ภาพ Botswana+ ภาคผนวก

กาฬทวีป ดินแดนแห่งมนต์ดำอันน่าสะพึงกลัว เป็นที่รวมสิ่งดุร้าย ทั้งอากาศ ผู้คน แลสัตว์ร้าย เป็นที่กันดาน ผู้คนอดอยาก การปล้นฆ่าแย่งชิงอำนาจ นั่นคือ สิ่งที่เรารู้มาในอดีต แล ยังมีหลงเหลือในปัจจุบัน
แต่ในปัจจุบัน กลับกลายเป็นดินแดนที่ อยู่ในความฝันของ นักผจญภัย แล นักท่องเที่ยว ที่แสนสะดวกสบาย ทั้งอาหาร ที่พัก ในระดับ 5 ดาว การเดินทางด้วยพาหนะที่เย็นฉ่ำ เพียงแต่ถนนที่ยังไม่ดีนัก อากาศที่มีความแตกต่างกันในเวลาค่ำกับกลางวันที่แสงแดดอันร้อนแรง จะต่างกันถึง 20*C
มามะตามมา เราจะพาไปทัศนา ไขว่คว้าหาความฝัน ในอดีตที่พวกเราฝันใฝ่แลทำตามความฝันที่จะสะพายปืนเดินทางท่องSAFARIตามรอยพรานผิวขาว
ในหลายๆครั้งที่ผ่านมาข้าพเจ้าเดินทางไปอัฟริกา พร้อมด้วยกระเป๋าใส่ .416 Rem Mag และ 7MM Rem Mag
แต่ในปัจจุบันครั้งนี้ต้องแบกเป้ใส่ 15mm 24-70 mm 70-300 L IS และ 5D & 5D II ยี่ห้อ CANON ท่องไพร แทน
อันเนื่องจากท่องไปหลายแห่งจึงขอแบ่งเป็นแต่ละแห่งดังนี้
1.   ทะเลทราย แล มหาสมุทรแห่ง นามิเบีย
2.   น้ำตกอันยิ่งใหญ่ แห่ง ซิมบับเว
3.   น้ำตกอีกครั้ง ใน แซมเบีย
4.   ท่องไพร โชบี ใน บอตสวานา

คณะผู้ร่วมเดินทาง จาก ชัยทัวร์
นามิเบีย Namibia มีเมืองหลวง ชื่อ วินถุก Windhoek เพิ่งเป็นเอกราชเมื่อปึ 2533 ผู้คนมักพูดคุยกันด้วยภาษาเยอรมัน แต่ภาษาราชการเป็นภาษาอังกฤษ
พื้นที่ส่วนใหญ่หรือทั้งหมดก็ว่าได้เป็นทะเลทรายแลภูเขาหิน
แต่มันดันอุดมไปด้วย ยูเรเนี่ยม เพชร ทอง ทองแดง เหล็ก
ถ้าอยากรู้มากกว่านี้ก็ไปถาม ป้าวิ หรือ อากู๋ เอาเอง มาดูรูปกันดีกว่า

โบสถ์คริสต์นิกายลูเธอร์แรน (Christuskirche) กลางเมืองหลวง

แม่ค้าชาว ฮิมบา Himba ตั้งแต่เกิดจนตายมิเคยอาบน้ำ ใช้ดินทาตัวและพอกหัว

มองอะไรไม่เคยเห็นถุงชาส่ายนมหรือไง

ที่พักกลางทะเลทรายของชาวนามีสเชื้อสายเยอรมัน ยามเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น

ถ้าได้รถแบบนี้ท่องไปในไพรกว้าง ก็คงน่าสนุก

จะมีอะไรสุขเท่านี้ จิบยีนโทนิค เย็นๆ แกล้ม เนื้อสัตว์ตากแห้ง Biltong บนยอดเขายามเย็นดูพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า

ยามเช้าเมื่อพระอาทิตย์เริ่มเปล่งแสงเราก็เริ่มต้นเดินทางสู่ทะเลทรายอันสวยงาม ด้วยพาหนะ พาโนราม่า อุณหภูมิ ต่ำ 10*C เราจะเห็นหมอกที่ลอยอยู่นั่นคือน้ำของพวกพืชแลสัตว์ป่า เมื่อมันกลั่นตัวเป็นหยดน้ำเกาะตามใบไม้ใบหญ้า

สัตว์ป่าที่ออกมาเดินหาอาหารตามทาง ORYX SPRINGBUCK OSTRICH

ก่อนเดินทางเข้าสู่ทะเลทรายก็เข้าห้องน้ำห้องท่า piss ให้เรียบร้อย แลต้องมีความตั้งใจอย่างมากในการใช้ท่อส่งน้ำลงสู่ทะเลทราย

ภาพทะเลทรายที่ท่านดูนี้ ชื่อ ซอสซุสไฟล์ (Sossusvlei)เป็นทะเลทรายที่ได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดในโลก มีพื้นที่กว่า 50000ตร.กม. เนินทรายจะไล่เฉดสีจากชมพูไปจนถึงสีส้ม เขาว่าสีเกิดจากธาตุเหล็ก ตัวทรายละเอียดมาก เดินนุ่มเท้า สามารถเดินได้ดีเมื่อไม่ใส่รองเท้า ขณะที่เราเดินย่ำไปบนรอยทรายเท้าจะจมลงไปในทรายดูแล้วน่าจะร้อนเหมือนในหนังที่พระเอกต้องประคลอง นางเอกที่ร้อนใก้ลจะตาย แต่เมื่อไปทดลองดูแล้ว มันกลับเย็นอย่างไม่น่าเชื่อ

ในทะเลทรายมิใช่มีแต่ทรายมีแต่ทราย มีของสวยๆงามๆให้ดูเหมือนกัน นะจะบอกให้ ต้นไม้เหล่านี้อยู่ได้ด้วยปริมาณฝน ไม่ถึง 10mm ต่อปีเท่านั้น

ต้นไม้ที่ไม่มีวันตาย พอฝนลงใบก็เกิดออกดอกออกผลในเวลาอันรวดเร็วดั่งนกกระจอกไม่ทันกินน้ำ

ภาพชุดนี้เราจะคุ้นตามากจากหนังเรื่องหรือหนังโฆษณา ที่เชื่อมโยงกับทะเลทราย

เหนื่อยนักพักหน่อย กับอาหารมื้อเที่ยง แกงกะหรี่ไก่ ดื่มน้ำจิบเบีรย์ แล้วเดินทางต่อ

แคนยอนเซสเรียบ Sesriem ที่มีความลึก 30 เมตร ยาวกว่า 1 กม

หินกับทราย ไม่ใช่ ไอ้ทิ้งกับทราย

คอนโดของนก ไม่ใช่น้องนก นกที่นี่จะรวมกลุ่มกันสร้างรัง เพื่อปรับอุณหภูมิ ไม่ให้ร้อนมากหรือหนาวมาก แต่เหนือฟ้าก็ยังมีฟ้า เหนือรังนกก็มีรังเหยี่ยว เท่ากับเจ้าเหยี่ยวมีครัวอยู่ใต้รัง อะไรจะสุขเท่านี้

ฟ้าสางแล้วใกล้ถึงเวลา ร่ำลา

และแล้วเธอก็หิ้วกระเป๋าเดินจากไปเมื่อ พระจันทร์ ใกล้ลับขอบฟ้า

ร่ำลา Agama River Camp Namib Desert
เพื่อไปยัง เมือง สวาคอปมุนด์ Swakopmund ริม มหาสมุทร แอดแลนด์ติก เป็นเมืองตากอากาศที่มีชื่อเสียงที่สุดของอัฟริกา เมืองนี้จะหนาวมาก เพราะความหนาวจะเกิดจากลมทะเลที่พัดเอาความเย็นจากกระแสน้ำเย็นจากขั้วโลก เข้าสู่ฝั่ง นอกจากอากาศจะดีแล้วยังมีอาหารทะเลที่อร่อยมากโดยเฉพาะ ลอยเรือกลางทะเลมีหอยนางลมกับ ไวท์ขาว หรือ แชมเป็ญ ให้รองท้อง อู้จะมีอะไรเยี่ยมยอดเท่านี้

โรมแรม swakopmund ในอดีตเคยเป็นสถานีรถไฟ

ด้านซ้ายมือที่ลมทะเลพัดเข้าฝั่งจนเกิดเป็นกำแหงภูเขาทราย ด้านขวาก็จะเป็นมหาสมุทรแอตแลนด์ติก

เจ้าต้นนี้มีนามว่าWelwitschia อายุแต่ละต้นก็เข้าไปกว่าพันปีและพื้นที่บริเวณนี้ก็หนีไม่พ้นต้องใช้ชื่อ เวลวิทเชีย ตามต้นไม้นี้ แต่เอ้ หรือว่า ต้นไม้ใช้ชื่อตามพื้นที่ มันอยู่ได้ก็แค่น้ำจากหมอกในตอนเช้าเท่านั้น

เจ้าต้นนี้ก็ประหลาด เมื่อเด็ดใบมากัดดู จะมีรสเค็ม เนื่องจากไอน้ำเค็มที่พัดมาจากทะเลเมื่อปะทะกับลมร้อนในทะเลทรายก็เกิดเป็นหมอกและกลั่นตัวเป็นน้ำ เจ้าพวกนี้ก็ดูดซึมเข้าไปก็เลยมีร่างกายเค็ม

เมื่อมียายแก่ก็ต้องมีสาวๆสดใสบ้าง

สถานที่แห่งนี้มีนามว่า หุบเขาพระจันทร์ Moon vally คงจะได้ชื่อนี้ก็เพราะว่ามองไปก็คงมีพื้นผิวดั่งพื้นผิวพระจันทร์ น่าจะตั้งชื่อได้ไม่นานมานี้เอง คงจะหลังจากมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์ หรือ แยงกี้ไปถ่ายทำที่นี่แล้วบอกว่าไปเหยียบดวงจันทร์มา

เราไปออกทะเลกัน กับเรือลำนี้ ดีกว่า

ไอ้ตัวนี้บังอาจมาก ว่ายน้ำตามเรือมา แล้วบุกขึ้นเรือน ตีท้ายครัว

ฝีมือใครถ่ายภาพไม่เบาทีเดียว

ไหนายย วาฬ วาฬหายไปไหน นัดแล้วไม่มา

ตูละเบื่อ

ไปไปขึ้นฝั่งไปช๊อบปิ้งได้แล้ว

ท่านจะเชื่อไหมว่า ผู้หญิงสองท่านนี้ ขับ Toyota Fortuner จากเมืองไทย ผ่าน มองโกเลียไปฝรั่งเศษ ใช้เวลาไป 57 วัน แล้วบินจากฝรั่งเศษ กลับเมืองไทย เก็บกระเป๋า เดินทางสู่อัฟริกา นามีเบีย และเคยขับ จากเมืองไทย ไปจับมือกับกอลลิล่า ที่คองโก

ในที่สุดก็ต้องร่ำลา Namibia เพียงเท่านี้

อย่าลืมติดตาม ตอนต่อไป

	ผู้เขียน	หัวข้อ: ภาพ Botswana+ ภาคผนวก (อ่าน 9874 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้