ตะลึง! ข้อมูลคณะวิจัยศิริราชพบผู้ติดเชื้อในโรงพยาบาลทั่วประเทศสูงถึง 4 แสนราย ตาย 4 หมื่นต่อปี หมดค่ารักษาปีละ 2 หมื่นล้าน เผยเมื่อ 10 ปีก่อนตายเฉียดหมื่นติดเชื้อเกือบล้าน ระบุมีเชื้อดื้อยาอีกเพียบที่ไม่มียาวิเศษที่ไหนรักษาได้ วอนรัฐใส่ใจให้งบซื้ออุปกรณ์แพทย์ไม่ใช่รีไซเคิลเหมือนทุกวันนี้ ฟันธง ไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพเอเชียไม่ได้แน่ ถ้าไม่แก้ปัญหา หมอสุชัย แนะประชุมเวิร์คช็อปโรงพยาบาลทั่วประเทศให้ความรู้บุคลากรสธ.ตั้งรับ หวั่นเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่รับมือไม่ทัน
ศ.นพ.สุชัย เจริญรัตนกุล รมช.สาธารณสุข เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง การป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อในโรงพยาบาลครั้งที่ 19 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-4 มีนาคม 2548 จัดโดยชมรมผู้ติดเชื้อในโรงพยาบาลแห่งประเทศไทย โรงพยาบาลศิริราช ร่วมกับโรงพยาบาลบบำราศนราดูร โดยมีการนำเสนองานวิจัยที่จัดทำโดยทีมวิจัยจากโรงพยาบาลศิริราชนำโดย ศ.เกียรติคุณ นพ.สมหวัง ด่านชัยวิจิตร ประธานศูนย์ควบคุมโรคติดเชื้อศิริราชพยาบาล และคณะได้นำเสนองานวิจัยการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อในโรงพยาบาล จากการวิจัยพบว่า โรคติดเชื้อในโรงพยาบาลทำให้มีผู้ป่วยปีละ 4 แสนราย เสียชีวิตปีละ 4 หมื่นราย เสียค่าใช้จ่ายปีละ 2 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 6.4% ของการควบคุมการแพร่ระบาดการติดเชื้อ ลดลงจากเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาที่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อในโรงพยาบาลสูงถึงปีละ 8 แสน ราย เสียชีวิต 8 หมื่นราย คิดเป็น 11.4%
ศ.นพ.สมหวัง กล่าวว่า จากการเก็บข้อมูลมาถึง 19 ปีพบว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงเวลานี้ก็คือเชื้อดื้อยาในโรงพยาบาลเริ่มเพิ่มขึ้นเมื่อผู้ป่วยไม่มียารักษาก็ต้องเสียชีวิต ที่เคยตกเป็นข่าวครึกโครมก่อนหน้านี้ต้องเรียนว่าเป็นเพียงเปอร์เซ็นต์ปัญหาเพียงน้อยนิดเท่านั้น เมื่อเทียบกับเชื้อดื้อยาที่มีทั้งหมด บริษัทที่ผลิตวัคซีนมาป้องกันก็ไม่อยากผลิตเพราะไม่คุ้มกับเชื้อที่ดื้อยาอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการลงทุนในเรื่องวัสดุอุปกรณ์และบุคลากรยังไม่เพียงพอ ทำให้ต้องใช้อุปกรณ์ที่ใช้แล้วซ้ำหลายครั้ง ซึ่งแตกต่างจากต่างประเทศที่เขาใช้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้งการติดเชื้อในโรงพยาบาลจึงค่อนข้างต่ำเช่น เยอรมัน สหรัฐอเมริกา รวมถึง ญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ป่วยในโรงพยาบาลเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากกระบวนการรักษา วัสดุอุปกรณ์ อาหารที่รับประทาน ขยะมูลฝอย น้ำเสียที่มีเชื้อโรคในโรงพยาบาล ฯลฯ อย่างไรก็ตามถ้าเทียบกับอัตราการติดเชื้อในโรงพยาบาลถือว่าประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ต่ำเกือบที่สุดในโลกเพราะมีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
ประธานศูนย์ฯ กล่าวด้วยว่า การป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อในโรงพยาลบาลต้องการการสนับสนุนแผนยุทธศาสตร์ 5 ด้าน คือ 1.การพัฒนาคน แพทย์ พยาบาล ฯลฯ 2.การพัฒนาระบบงาน 3.การเฝ้าระวังโรคและพัฒนาเครือข่าย 4.การทำวิจัย และ 5.การควบคุมคุณภาพ พร้อมทั้งชี้ถึงผลเสียของการไม่ควบคุมโรคติดเชื้อในโรงพยาบาลด้วยว่า ผู้ป่วยและประชาชนที่เกิดจากการติดเชื้อโรคจะฟ้องร้องสถานพยาบาล โรคระบาดจะเกิดขึ้นในวงกว้าง สิ้นเปลืองงบประมาณในการรักษาอย่างมหาศาล และที่สำคัญต่างชาติจะไม่ยอมรับมาตรฐานของประเทศไทย
โอกาสที่ประเทศไทยจะเป็น Medical Hub Of Asia หรือศูนย์กลางสุขภาพแห่งเอเซีย ตามที่รัฐประกาศนโยบายไว้คงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก หากไม่สามารถควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาลได้ เมื่อเทียบกับประเทศญี่ปุ่นที่อยู่ในภูมิภาคนี้เขาดูแลดีกว่าเราไม่ใช่เขาเก่งกว่าแต่เพราะเขารวยและใส่ใจสุขภาพมากกว่า ศ.นพ.สมหวัง กล่าว และว่านอกจากนี้หากมีการควบคุมการติดเชื้อได้ดีจะทำให้ผู้ป่วยและประชาชนปลอดภัย ทั้งยังสามารถป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดต่อชนิดอื่นได้เช่น ไข้หวัดนก ซาร์ส ไข้หวัดใหญ่ ฯลฯ รวมทั้งสามารถประหยัดงบประมาณในการรักษาต่อปีด้วย ประการสำคัญทำให้ประชาชนและนานาประเทศไว้วางใจในมาตรฐานการรักษาของประเทศไทยด้วย
ศ.นพ.สุชัย กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศเพื่อนบ้านและประเทศไทย มีความร่วมมือกันเฝ้าระวังปัญหาโรคอุบัติใหม่-อุบัติซ้ำ เช่น โรคซาร์ส โรคไข้หวัดนก อย่างเข้มข้น ซึ่งแม้ล่าสุดจะมีรายงานพบผู้ป่วยติดเชื้อไข้หวัดนกที่ประเทศเวียดนาม แต่ในส่วนของประเทศไทยจนถึงขณะนี้ยังไม่พบผู้ป่วยรายใหม่แต่อย่างใด เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขได้กำชับให้สถานพยาบาลทุกแห่งเข้มงวดการปฏิบัติ 3 มาตรการคือ 1.การประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจในการปฏิบัติตนให้ห่างไกลจากโรคไข้หวัดนก 2.การเฝ้าระวังควบคุมโรค โดยอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) เมื่อพบผู้ต้องสงสัยให้มีการซักประวัติและส่งรักษาต่อตามคู่มือที่แจกไว้ทุกหมู่บ้าน และ 3.การให้การรักษาที่รวดเร็วเมื่อพบผู้ป่วย
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณ 20 ล้านบาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ เพื่อใช้ดำเนินโครงการเสริมสร้างศักยภาพการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา การควบคุมป้องกันโรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้ำ เช่น โรคซาร์ส โรคไข้หวัดนก ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมในกลุ่มประเทศอาเซียน บวก 3 (จีน ญี่ปุ่น เกาหลี)
ศ.น.พ.สุชัย กล่าวอีกว่า จากการวิเคราะห์ข้อมูลโรคซาร์สในฮ่องกง เมื่อปี 2546 พบว่าแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ ผู้เกี่ยวข้อง เป็นบุคคลเสี่ยงอันดับต้นๆ ที่จะได้รับเชื้อขณะดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาล หากมีมาตรฐานการควบคุมโรคติดเชื้อที่ไม่ดีพอ และจะกลายเป็นพาหะนำโรคไปสู่ผู้ป่วยคนอื่นหรือบุคคลใกล้ชิดได้ การพัฒนาระบบงานด้านการควบคุมการ ติดเชื้อในโรงพยาบาล จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยลดปัญหาในเรื่องการติดเชื้อจากคนสู่คน
ศ.น.พ.สุชัย กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาการควบคุมโรคติดเชื้อในโรงพยาบาลส่วนใหญ่ เป็นการจัดการเฉพาะด้านตามความเสี่ยงในกลุ่มงานนั้นๆ แต่หลังจากที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับโรคติดต่อที่รุนแรง เช่น โรคซาร์ส โรคไข้หวัดนก หรือเหตุการณ์ธรณีพิบัติ(สึนามิ) ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคระบาดต่างๆ การควบคุมโรคติดเชื้อจึงเป็นเรื่องที่เราต้องให้ความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะการควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาล แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานต้องให้ความสนใจและดำเนินการอย่างเข้มงวด ซึ่งนอกจากจะเกิดความปลอดภัยทั้งของตนเองและผู้ป่วย รวมทั้งลดค่าใช้จ่ายในด้านการรักษาพยาบาลแล้ว ยังจะช่วยให้มาตรฐานการควบคุมและป้องกันโรคติดเชื้อในโรงพยาบาลของไทย เป็นที่ยอมรับของนานาประเทศเหมือนกับการดำเนินงานสาธารณสุขหลายๆ ด้านที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ผลวิจัยระบุด้วยว่า การติดเชื้อโรคในโรงพยาบาลที่พบมากที่สุดคือ แผนกศัลยกรรม อายุรกรรม กุมารเวชกรรม และศัลยกรรมออร์โธปิดิกส์ (ร้อยละ 9.1,7.6,6.1 และ 5.
ตามลำดับ ตำแหน่งที่มีการติดเชื้อมากได้แก่ ทางเดินหายใจส่วนล่าง ทางเดินปัสสาวะ แผลผ่าตัด และผิวหนังและเนื้อเยื่อชั้นใต้ผิวหนัง (ร้อยละ 34.1,21.5,15.0 และ 10.5 ของจำนวนการติดเชื้อทั้งหมด)ตามลำดับ
ยังไงก็ดูแลสุขภาพกันนะคับค่ายาเดียวนี้แพงมากๆๆพี่สาวผมเป็นดีเทลยาวันนี้ผมกวนให้ซื้อยาให้เพื่อนเพราะคุณยายเค้าติดเชื้อที่ปอดเล่นเอากระเป๋าตังแห้งกันเลยคับขนาดได้ราคาพิเศษนะเนี้ย...........มีบางคนบอกว่าทำงานแทบตายเข้าโรงพยาบาลทีเดียวจนเลย พี่ๆๆที่มีอายุแล้วในเวปอย่าล้มนะคับแม่ผมล้มไปผ่าตัดกระดูกสันหลังมานี้
เล่นหมดไปหลายแสนขนาดรู้จักอาจาร์ยและเข้าโรงพยาบาลรัฐบาลยังเล่นเอาแย่เลยคับดูแลสุขภาพกันหน่อยนะคับผม