๏ฟฝ๏ฟฝ็บบ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝสน๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝาปืน
เมษายน 25, 2024, 04:22:02 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เว็บบอร์ด อวป. สามารถเข้าได้ทั้งสองทาง คือ www.gunsandgames.com และ www.gunsandgames.net ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 785 786 787 [788] 789 790 791 ... 812
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ไลฟ์ สไตล์ ของ " สมิง วังม่วง " และพี่น้องคอปืน จังหวัด น่าน  (อ่าน 948690 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 68
ออฟไลน์

กระทู้: 7628


tel. 0861810566


« ตอบ #11805 เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2015, 09:37:35 AM »

"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา ชีิวิตคนก็เหมือนสะพาน  มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน" สมิง วังม่วง


ทหารรับจ้างเดนตาย งานเขียนอิงเรื่องจริงของ สยุมภู ทศพล
ตอนที่ 7 กางเกงใน มรณะ (จบในตอน)
?ชอปเปอร์ของเราโดนยิงตกเมื่อตอนเช้าอีกหนึ่งเครื่อง ผมงงไปหมดแล้วครับหัวหน้า ไม่ทราบว่าพวกเวียดนามเหนือมันทราบหมายกำหนดการเดินทางของชอร์ปเปอร์ได้อย่างไร ทั้งๆที่การส่งข่าวแต่ละครั้ง ผมก็ได้เข้ารหัสด้วยตนเอง พวกมันยังแปลรหัสของเราออก ผมชักสงสัยเสียแล้วว่าไอ้สมุดรหัสหมายเลขต่างๆที่กองบัญชาการของเราเปลี่ยนแปลงทุกๆครึ่งเดือน ไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่ง?
?แสน? นายทหารเสนาธิการของกองบัญชาการทหารรับจ้างเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับใช้ไม้ที่ถืออยู่ในมือชี้ไปยังจุดพิกัดบนแผนที่ขนาดใหญ่ที่วางทาบกับกระดานดำตรงมุมห้องยุทธการ
?ชอร์ปเปอร์ของเราโดนยิงที่พิกัดแทงโก้-กอล์ฟ 893764 ซึ่งเป็นบริเวณที่หน่วยล่าสังหารของพวกเราปฏิบัติการอยู่ในขณะนี้ เครื่องระเบิดทันที นักบินไม่มีโอกาสแม้แต่จะส่งข่าวทางวิทยุให้เบาเดอร์คอนโทรลทราบ ...พอตอนสาย ไอ้ปากหมา (เครื่องบินลาดตระเวณชี้เป้า) บินขึ้นไปตรวจการณ์ ขนาดบินสูงลิบก็ยังโดนยิงด้วย ป.ต.อ. ต้องเผ่นกลับมา ผมคิดว่ามีทางเดียวเท่านั้นครับ หัวหน้า?
?คุณจะให้เครื่อง T-28 มาทำแอร์สไตร้ท์ (ทิ้งระเบิด) ในบริเวณดังกล่าวใช่ใหม?
รองผู้บัญชาการทหารรับจ้างสอดคำพูดขึ้นมาทันควัน
?ถูกต้องครับ... มันมีวิธีเดียวเท่านั้นที่จะกำจัดปืนต่อสู้อากาศยานของพวกมัน ...ถ้าขืนปล่อยใว้ หน่วยล่าสังหารของพวกเราจะประสพกับอุปสรรคในการปฏิบัติงานอย่างแน่นอน... เท่าที่ทราบ ขณะนี้ทั้งเสบียงอาหารและกระสุนเริ่มชอร์ทแล้วครับ?
แสนเอ่ยตอบผู้บังคับบัญชาของเขาอย่างนอบน้อม...
?ไอ้เรื่องแอร์สไตร้ท์ ไม่ยากหรอกครับร้องขอไปไม่ถึง 30 นาที เครื่องมันก็จะแห่กันมาเป็นฝูงๆ สิ่งที่ผมอยากทราบให้แน่นอนก็คือ ที่ตั้งของปืน12.7 มม.แม้กระทั่งหน่วยล่าสังหารของเราเองที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ใกล้ กับบริเวณดังกล่าว ก็ยังตรวจการณ์ที่ตั้งปืนของมันไม่พบ ขืนขอเครื่องบินมาทิ้งระเบิดแบบปูพรมเช่นนั้น เปอร์เซ็นต์มีน้อยมาก ดีไม่ดีพวกเราเจอลูกหลงเข้าไปละก็ยุ่งแน่ครับ?
แสนนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ สายตาจ้องมองดูลักษณะภูมิประเทศดังกล่าวบนแผนที่อย่างครุ่นคิด กล่าวออกมาอีก
?ลักษณะภูมิประเทศป่าทึบและหุบเหวเช่นนี้ มันยากเหลือเกินที่จะตรวจการณ์ให้เห็นอย่างชัดแจ้ง ผมคิดว่า พรุ่งนี้ตอนเที่ยง ผมจะลองเสี่ยงใช้เครื่องปอร์ตเตอร์บินไปดร็อปกระสุนและเสบียงให้กับพวกเรา ข้าศึกอาจจะตรวจการณ์พบที่ตั้งของพวกเรา แต่มันก็ไม่มีวิธีใดอีกแล้ว ใช่ใหมครับ หัวหน้า?
?โอเค นั่นมันเป็นปัญหาที่คุณจะต้องแก้ไขในฐานะ ฝ.อ.3 ของกองบัญชาการ แต่ไอ้ปัญหาที่รหัสหรือโค๊ตลับ ทางวิทยุของเรารั่วไหลนี่ซิ มันเป็นปัญหาที่พวกเราจะต้องวางมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวดที่สุด ผมชักสังหรณ์ใจเสียแล้ว ไม่พวกเราก็พวกทหารแม้วที่ทำงานอยู่ที่นี่แหละ เป็นตัวการ มันเอาไปให้ใคร... ที่ใหน... อันนี้แหละ คือสิ่งที่ผมอยากทราบที่สุดในขณะนี้?
รองผู้บัญชาการทหารรับจ้างลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินไปเดินมาด้วยท่าทางที่อารมณ์เสียขนาดหนัก
ผมนั่งฟังการประชุมอยู่ด้วย เห็นท่าไม่ดีก็เลยลุกขึ้นจากเก้าอี้หวังจะแว๊บขึ้นไปพักผ่อนบนที่พักที่สร้างเป็นเรือนโรง มีกระสอบทรายวางซ้อนกันหลายต่อหลายชั้น
?คุณบิ๊กแมนครับ อย่าเพิ่งครับ ผมอยากจะให้คุณปฏิบัติงานสอบสวนเกี่ยวกับการรั่วไหลของสมุดรหัส ผมคิดว่าช่วงเวลาที่คุณปฏิบัติงงานอยู่ในล่องแจ้งมันก็นานพอที่คุณจะกว้างขวางในหมู่ประชาชนชาวแม้วดีกว่าทหารของผมอย่างแน่นอน?
ผมชะงักหันกลับมา ขยับจะพูด ท่านรองผู้บัญชาการก็สวนคำพูดออกมาอีก
?ผมจะขอตัวคุณจาก ?นอร์แมน? มาช่วยงานที่ บก.สิงหะ ชั่วคราว ไม่ต้องห่วงครับ เรื่องอัตราเงินโอเวอร์ไทม์ ผมจะให้คุณอัตราเดียวกับซีไอเอทุกประการ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้างานสำเร็จ ผมจะเพิ่มโบนัสให้กับคุณอีกด้วย?
เอาแล้วสิครับ อยู่ดีๆก็จะหาเหาให้ผมเสียแล้วไหมล่ะ รับจ้างไอ้กันรบก็ปวดกระดหลกอยู่พอแรงแล้ว ท่านรองยังจะยัดเยียดตำแหน่ง ?เจมส์บอนด์? ให้กับผมเสียอีก ของมันกล้วยๆเสียเมื่อไหร่ละครับ งานสืบสวนท่ามกลางกลุ่มทหารรับจ้างหลายสัญชาติที่มีอาวุธสงครามอยู่ในมือ กฏหมายมันจะช่วยอะไรผมได้ ผิดหูผิดตาก็ซัดกันเปรี้ยงปร้าง ขนาดสารวัตรทหารที่มีอาวุธพร้อม ไม่จำเป็นจริงๆแล้ว ก็ไม่ค่อยอยากจะเจอะเจอพวกผีห่าเหล่านี้หรอกครับ
คิดๆไปมันก็น่าจะลองสนุกกับงานชิ้นนี้สักพัก แถมยังจะได้พักผ่อนไม่ต้องขึ้นแนวรบอีกด้วย ภาพยนต์ประเภทสืบสวนผมก็เคยดูมามากต่อมาก แอบสำรวจตัวเอง... ?มาด? ของผมมันชักจะคล้ายๆ ?ฌอน คอนเนอรี่? เข้าไปทุกที่ ไอ้ที่ผมว่าคล้ายๆไม่ใช่หุ่นนะครับ ทุกตะรางนิ้วของ ?ฌอน คอนเนอรี่? มีส่วนที่เหมือนกับผมเปรี๊ยบก็อีตรงกระบาลที่ล้านเป็นง่ามถ่อเท่านั้นเอง?
บก.ล่องแจ้งกับเบาเดอร์คอนโทรลประสานงานกันแพร๊บเดียว ผมก็มานั่งปร๋อบนรถจิ๊ปที่กำลังห้อตะบึงฝุ่นฟุ้งไปตามเส้นทางที่ตรงไปยังตลาดล่องแจ้งให้แล้ว
ก่อนจะเข้าสู่บริเวณตลาด รถของผมถูกตรวจค้นจากเจ้าหน้าที่สารวัตรทหารอย่างลวกๆเมื่อเขาชะโงกเข้ามาดูกระบะท้าย เมื่อมองไม่เห็นของต้องห้ามที่อาจจะถูกขโมยจากค่ายพักเข้าไปขายยังตลาดมืดแล้ว ยามรักษาการณ์ที่มีท่าทางเบื่อหน่ายก็ยกมือเป็นสัญญาณ ให้รถจิ๊ปเล็กของผมผ่านไปทันที
พ้นจากหน่วยตรวจ ผมก็มาถึงบริเวณร้านรวงที่สร้างอย่างง่ายๆด้วยวัสดุที่แปลงมาจากหีบห่อของอุปกรณ์สงคราม หลังคาที่มุงด้วยสังกะสีส่วนมากเป็นรูโหว่ ด้วยอำนาจสะเก็ดดระเบิดที่วันดีคืนดีข้าศึกมันก็จะซัลโวตลาดล่องแจ้งเป็นว่าเล่นทีเดียว
สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ หลุมขนาดใหญ่ที่ขุดเอาไว้ภายในบริเวณร้านนั่นเอง พอได้ยินเสียงระเบิดตูม-ตาม ทั้งเจ้าของร้านและลูกค้าไม่ฟังอีร้าคารมหรอกครับ เผ่นกันโครมครามแย่งกันลงหลุมชุลมุนวุ่นวายไปหมด พอเหตุการณ์สงบจึงค่อยมานั่งโจ้เหล้ากันต่อไปอีก
นึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วในบริเวณดังกล่าวนี้ ผมอดขำไม่ได้ ท่านผู้อ่านที่เป็นแฟนหมัดมวยสมัยก่อนโน้นคงจะจำชื่อของกรรมการห้ามมวยท่านหนึ่งได้ ใช่ครับ ผมกำลังจะเขียนถึง ?ร.ท.กมลศิลป ปาณุทัย? กรรมการห้ามมวยสนามราชดำเนินที่สมัครมารับจ้างไอ้กัน ในสมรภูมิลาวหยั่งกับผมเหมือนกัน
วันนั้นผมลงจากเนินสกายไลน์ หิว ?เผ๋อ? (กว๋ยเตี๋ยวแม้ว) เต็มฟัดก็เลยเตร่ๆมาที่ตลาด ก็บังเอิญเจอะผู้กองกมลศิลปนั่งซดสุราบาลหน้าแดงก่ำกับลูกน้อง 4-5 คน แถมมีอีตัวคอยนั่งสูสีเสียด้วย
ไอ้ความสนิทสนมกันตั้งแต่ประเทสไทย ผู้กองคะยั้นคะยอจะให้ผมร่วมโต๊ะให้ได้ ไม่ทราบว่ามีอะไรมาดลใจ ผมปฏิเสธออกไป พร้อมกับขอตัวไปทางหัวตลาด
ผมคล้อยหลังไม่ถึงยี่สิบเมตร ก็ได้ยินเสียงวิ้ด-วิ้ด ครางโหยหวนมาทางด้านสนามบิน ยังไม่ทันจะคิดการอะไร เสียงระเบิดเหมือนกับธรณีจะถล่มก็บังเกิดขึ้น ผมหันขวับกลับไปดู พระเจ้าช่วย ร่นค้าที่ผู้กองกมลศิลปนั่งอยู่เมื่อกี้นี้หายไปเสียแล้ว มีกองไม้ที่หักระเนระนาดปรากฏขึ้นมาแทนที่ เจ้าเสียงวิ้ดดังกล่าวปรากฏขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ผมไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว พุ่งพรวดเดียวเข้าไปซุกอยู่กับร่องน้ำที่เฉอะแฉะข้างๆทางนั่นเอง
ผมอดที่จะมองดูร้ารที่ผู้กองกมลศิลปนั่งอยู่ไม่ได้ จากซากสลักหักพังผมมองเห็นแผ่นสังกะสีพะเยิบพะยาบ ร่างของมนุษย์ 3-4 คนตะกุยกองไม้จนเศษไม้กระเด็นไปคนละทิศละทาง พร้อมกับวิ่งออกไปจากร้านที่เกิดเหตุอย่างไม่คิดชีวิต
ถ้าผมจำไม่ผิด คนที่วิ่งรวมกลุ่มอยู่ด้วยก็คือผู้กองกมลศิลปนั่นเอง เป็นที่น่าสังเกตุว่าเจ้ากางเกงขายาวสีเขียวที่ผู้กองสวมอยู่นั้นฉีกขาดตลอดทั้งสองขา ทำให้มองดูคล้ายๆกับกะโปรงที่กำลังพองลม
ผมก็เลยนอนหัวเราะท้องแข็งอยู่กับร่องน้ำที่เฉอะแฉะนั่นเอง พอเหตุการณ์สงบเสียงระเบิดตูมตามที่กระหน่ำสนามบินและตลาดสดล่องแจ้งเงียบเสียงลงแล้ว กลุ่มทหารรับจ้างก้พากันมาช่วยรื้อสิ่งสลักหักพังออก อนิจจา ผู้หญิงแม้วที่นั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่กับผู้กองกมลศิลปร่างกายตั้งแต่ส่วนล่างตั้งแต่บริเวณเอวขาดหายไปเสียแล้ว ผมไม่กล้าเข้าไปร่วมวงกับเขาหรอกครับ ดีไม่ดีเจ้า ?ลูกยาว? ของไอ้แกวเกิดจับพลัดจับผลูตูมตามเข้ามาอีก ผมก็ต้องอาศัย ?หลวงพ่อโกย? อีกเท่านั้น
ผมพุ่งหัวรถจิ๊ปเข้าไปจอดที่หน้าร้านแห่งหนึ่งที่มีป้ายภาษาไทยเขียนเอาไว้ด้วยสีแดงแจ๊ดอย่างสะดุดตาว่า ?โลลิต้า-ไนท์คลับ? เสียงเพลง ?ไทยดำรำพัน? จากการร้องของ ก.วิเสส ดังกระหึ่มก้องไปหมด ผสมผเสกับเสียงร้องของกลุ่มทหารรับจ้างขี้เมาบางคนที่แหกปากร้องคลอด้วยเนื้อร้องที่ดัดแปลงเสียใหม่อย่างสัปปะดี้สีปะดน ทำให้ผมเผลอตัวหัวเราะออกมาคนเดียว ก็มันจะไม่ขำอย่างไรใหวครับ ลองๆฟังเพลงไทยดำรำพันที่พวกทหารรับจ้างลาวเขาร้องกันบ้างเป็นไร...
?ทิดทองดี... สี่เด็กน้อย ร้องไห้เง ...เอามันเลย เด็กมันเก ...สี่มันให้ตายโลด?
ผมพาตัวเองเข้าไปเป็นส่วนประกอบของโลลิต้าอนาถาแห่งนั้นอย่างรวดเร็ว
?สวัสดีค่ะ นายภาษา หายหน้าหายตาไปตั้งหลายวัน น้อยคิดว่านายภาษาจะย้ายไปปากเคเสียแล้ว เชิญเลยค่ะ วันนี้คนแน่นเป็นพิเศษ นายภาษาเข้าไปนั่งที่โต๊ะบัญชีนั่นก่อนก็ได้?
เจ้าของเสียงอยู่ในชุดเสื้อยืดสีแดงสลับขาวชนิดไม่มีแขนรัดรูปฟิตเปรี๊ย เมื่อผมเหลือบสายตาลงไปยังกางเกงชนิดขาบานที่ตัดเย็บเข้ารูปร่างของเธอเข้าดั้วยแล้ว
ผมก็ต้องกลืนนำลายด้วยความลานใจ เพียงแว๊บเดียวที่ผมมองผาดๆให้นึกถึง ?เนินพระอุมา? ในนวนิยายที่พี่พนมเทียนแต่งขึ้นมาทันที อย่าให้เซดเลยครับ ประเดี๋ยวผมจะเสียคนเอาเปล่าๆเมื่อตอนแก่
กลุ่มทหารจากสุวรรณเขต 4-5 คนกำลังสาละวนกับกระป่องเบียร์ที่กองพะเนินเทินทึกอยู่บนโต๊ะอย่างไม่สนใจใยดีกับบรรยากาศรอบข้าง โต๊ะถัดไปนักบินเฮลิคอปเตอร์ 2 คน นั่งหน้าตาแดงก่ำเหมือนกับลูกท้อ เท้าทั้งสองข้างขยับเข้าจังหวะกับเสียงเพลงจากตู้ลำโพง ซึ่งยังคงกระหึ่มอยู่ตลอดเวลา
?น้อย? ดาวดวงเด่นของโลลิต้า ผละออกจากผมตรงเข้าไปนั่งกับทหารแม้วหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่ง ซึ่งถ้าความจำผมยังใช้ได้ ไอ้หมอนี่ทำงานอยู่ที่หน่วยสื่อสารทหารบกล่องแจ้งนั่นเอง
ด้วยท่าทางที่สนิทสนมและเอาอกเอาใจจนผมอดที่จะสงสัยไม่ได้ ซึ่งตามปกติแล้วผู้หญิงลาวน้อยคนนักที่จะสนิทสนมกับผู้ชายแม้ว ของมันรู้ๆกันอยู่แล้วครับ ทหารแม้วยศนายทหารเงินเดือนก็ไม่เกินหกร้อยบาท แต่ทหารรับจ้างชาวไทยขี้หมูขี้หมาพลทหารก็ฟัดไปตั้ง 1,500 บาท เข้าไปแล้ว ไหนจะเบี้ยเลี้ยง ไหนจะโบนัส แถมจ่ายไม่อั้นเข้าไปด้วยอีก แล้วแม่สาวชาวลาวจะไม่สนได้อย่างไร และโดยพาะผม ตำแหน่งล่าม เงินเดือนเบาะๆก็กดเข้าไปตั้งเจ็ดแปดพัน แม่สาวน้อยก็ยังไม่สนใจเสียนี่ ดันไปประจี๋ประจ๋อกับทหารแม้วที่เครื่องหมายยศก็บ่งเอาไว้ว่าเป็นเพียงนายทหารประทวนเท่านั้น
ไอ้หมอนี่ทำงานอยู่แผนกรหัส อาเป้าหมายแรกของการสืบสวนของผมชักเข้าเค้าเสียแล้ว...
ทหารแม้วคนนั้นใช้เวลาสนทนาอยู่ชั่วครู่ก็เดินออกจากร้านไปอย่างรวดเร็ว จากความสังเกต น้อยมิได้จ่ายเงินค่าอาหารจากโต๊ะดังกล่าวเลย
น้อยเดินตรงเข้ามาหาผม ในมือข้างขวาถือถุงกระดาษชนิดหนาสีเหลืองเข้ม ซึ่งผมมองปร๊าดเดียวก็รู้ว่าเป็นซองที่ใช้สำหรับเก็บเอกสารของทางบก. นั่นเอง
?อะไรครับ? ผมแกล้งถามออกไปอย่างไม่ค่อยจะสนใจเท่าใดนัก
?กางเกงชั้นในค่ะ หมู่เล่าลือเอามาฝาก 3-4 ตัว? ในขณะที่เธอจีบปากจีบคอพูดอยู่นั้น เธอก็เปิดถุงกระดาษให้ผมดู กางเกงชั้นในแบบหูรูดสีขาวนวลที่ฝรั่งมันแจกให้ทหารรับจ้าง 3-4 ตัวอัดแน่นอยู่ภายในถุงกระดาษอันนั้น...
?น้อยจะเอาไปให้น้าชายที่อยู่โรงเรียน ?น้ำงัว? ถ้าว่างๆประเดี๋ยวนายภาษาไปกับน้อยไหมคะ?
ผมยกนาฬิกาขึ้นมาดู เห็นว่าระยะทางพอจะกลับมาทันค่ำ ก็เลยรับปากกับเธอไปทันที
ไม่ถึง 10 นาที น้อยกับผมก็นั่งอยู่บนรถจิ๊ปมุ่งหน้าตรงไปยังโรงเรียนน้ำงัวที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 20 กิโลเมตร ซองกระดาษที่บรรจุกางเกงชั้นในวางเอาไว้บนตัก กระแสลมที่พัดย้อนสวนเข้ามาทำให้ผ้าคลุมศรีษะของเธอปลิวไสว
ผมหักพวงมาลัยหลบหลุมขนาดใหญ่กึ่งกลางถนนทำใหเรถแฉลบวูบวาบ น้อยผวาเข้ามาปะทะกับร่างของผม เธอร้องออกมาด้วยความตกใจ
?นายภาษา ถุงกระดาษน้อยตกค่ะ? ผมค่อยๆชะลอรถพร้อมกับเข้าเกียร์ถอยหลัง ถอยรถมายังบริเวณที่ถุงกระดาษตกแล้วลงจากรถไปอย่างรวดเร็ว
ไอ้ถุงกระดาเจ้ากรรม ดันตกลงไปแช่อยู่ในน้ำที่ขังอยู่ก้นหลุมเสียด้วย ผมค่อยๆหยิบขึ้นมา มันเปียกชุ่มไปหมด ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมแกะปากถุงกระดาษพร้อมดึงเจ้ากางเกงชั้นในออกมาตรวจดูอย่างรวดเร็ว มองผาดๆมันก็ไอ้กางเกงชั้นในธรรมดาเท่านั้น แต่ไอ้ตรงที่มันเปียกน้ำนี่สิครับ น้ำหมึกที่เขียนเอาใว้ในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง มันซึมออกมาดำปรื๋อไปหมด ผมก็เลยกลับข้างในของกางเกงชั้นในอันนั้นออกมาดูด้วยความสงสัย
เจอะแล้วครับ โค๊ดลับทางวิทยุที่เพิ่งออกเมื่อตอนเช้าถูกเขียนด้วยหมึกสีดำเต็มพรืดไปหมดทั้งกางเกง
?แคร๊ก? เสียงลูกเลื่อนดึงกระสุนเข้ารังเพลิง ดังแว่วขึ้นมาทางเบื้องหลัง
ผมกระโจนพรวดเดียวลงไปยังหลุมที่อยู่ข้างๆขอบถนนไล่ๆกับเสียงรัวเป็นประทัดแตกของปืน M-16 ที่วิถีกระสุนของมันฉีกพื้นถนนเข้าหามูลดินที่ผมหมอบอยู่อย่างหมิ่นเหม่ จนร้อนวูบวาบไปทั้งหนังหัว...
ผมเห็นท่าไม่ดีก้เลยกลิ้งตัว ให้ห่างออกจากจุดที่ใช้เป็นกำบังครั้งแรก นึกเจ็บใจตัวเองที่ลืมอาวุธคู่มือเอาใว้บนรถจิ๊ป แต่มานึกขึ้นได้ว่ากระสุนที่บรรจุอยู่ในแม็กกาซีนที่ติดมาอันเดียวนั้นมีเหลืออยู่เพียงสิบกว่านัด ก็มีความหวังฉายแสงขึ้นมาทันที...
?น้อยมีอะไรก็ตกลงกับผมได้นี่ครับ? ผมตะโกนแข่งเสียงปืนออกไป ได้ผล เสียงปืนชะงักชั่วครู่ มีเสียงแหลมเล็กสวนย้อนกลับมาทันควัน
?คุณบิ๊กแมน โยนถุงกระดาษขึ้นมาบนถนนแล้วชูมือเดินขึ้นมา ดิฉันจะปล่อยคุณไป คุณก็ทำหน้าที่ของคุณ ดิฉันก็ทำหน้าที่คุณไม่มีทางเลือก?
ผมกลิ้งเข้าไปหาขอนไม่ผุที่ทอดขวางอยู่ใกล้ๆ ล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อแบบ ?เวสมอร์แลนด์? สิ่งที่ติดมือมาก็คือลูกระเบิดมะนาวขนาดจิ๋ว (*เข้าใจว่าเป็นแบบเดียวกับระเบิดมือที่เรียกว่า mini v4 ที่ตชด.ไทยใช้ ? หลังเขา) ผมค่อยๆดึงสปริงสลักนิรภัยออกโยนทิ้ง อุ้งมือขวากำรอบกระเดื่องแน่น ต่อจากนั้นใช้มือซ้ายล้วงเอากางเกงชั้นในที่บรรจุอยู่ในถุงกระดาษออก ใช้เศษไม้ที่กองอยู่ข้างๆบรรจุเข้าไปแทนที่ ปิดปากถุงกระดาษด้วยเชือกเส้นเล็กๆ ที่ห้อยติดอยู่อย่างลวกๆ พร้อมกับขว้างถุงกระดาษออกไปกลางถนนทันที
ชะรอยเธอคงจะประมาทว่าผมคงจะไม่มีอาวุธอะไรติดตัวอีกแล้ว เพราะก่อนจะออกเดินทาง เธอก็เห็นถนัดอยู่แล้วว่า นอกจากเจ้า M-16 กระบอกใหม่เอี่ยมแล้ว ผมไม่มีอาวุธชนิดใดติดตัวมาอีกเลย
ร่างของเธอค่อยๆโผล่ออกมาจากตัวถังรถจิ๊ป เจ้า M-16 ถูกกระชับแน่นอยู่ในมือ ปากกระบอกขนานกับลำตัว เธอเดินช้าๆใกล้ถุงกระดาษเข้ามาทุกที
ผมค่อยๆขยับตัวจากท่าหมอบ มาเป็นท่านั่งคุกเข่า กำลูกระเบิดขึ้นมาเสอแนวอก จากประสพการณ์ฆ่าคนที่ผ่านๆมา ผมพอจะทราบดีว่า เมื่อเริ่มดึงสลักนิรภัย มันจะต้องใช้เวลาถึง 4 วินาทีกว่าที่ระเบิดมันจะตูมตามขึ้นมา ทั้งๆที่เชื่อมั่นในความรู้ที่เคยฝึกและเคยใช้มาอย่างช่ำชองก็อดที่จะขนหัวลุกไม่ได้ (*ผู้เขียนคงจะหมายถึงจากจากปล่อยกระเดื่องแล้วจอกกระทบแตกเริ่มทำงานจะมีเวลา 4 วินาทีกว่าระเบิดจะระเบิดขึ้น-หลังเขา)
ตัดสินใจทันทีคลายอุ้งมือออก เสียงกระเดื่องตีกับกระทบแก๊ปดังเบาๆ ผมเริ่มนับช้าอยู่ในใจถึง 3 ก็ขว้างลูกระเบิดไปยังร่างของเธอทันที พร้อมกับฟุบตัวลง ก้มศรีษะให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะต่ำได้
เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว อากาศรอบตัวถูกความกดดันวูบวาบไปหมด ผมคิดว่าลูกระเบิดของผมคงจะแตกอากาศเข้าให้แล้ว ผมหมอบดูเหตุการณ์อยู่ชั่วครู่ เห็นว่ามันเงียบเชียบก็ค่อยๆลุกจากขอนไม้เดินตรงเข้าไปยังร่างของหญิงสาวที่นอนคว่ำหน้า เลือไหลนองกับพื้นส่งกลิ่นคาวคลุ้งไปทั่วบริเวณ ผมก้มลงหยิบปืน M-16 ขึ้นมาถือไว้ ใช้ปากกระบอกเขี่ยร่างของหญิงสาวให้หงายขึ้น ใบหน้าข้างซ้ายของเธอฉีกขาดออกไปจนกระทั่งถึงใบหู ดวงตาปลิ้นถลนออกมานอกเบ้า ไม่มีร่องรอยดวงหน้าอันโสภาของเธอหลงเหลืออยู่อีกเลย ผมค่อยๆช้อนร่างอันยับเยินขอวเธอขึ้นมาวางบนรถจิ๊ป ใช้ผ้ากันฝนปันโจที่วางอยู่ใกล้ๆคลุมร่างของเธอจนมิด ต่อจากนั้นกลับรถมุ่งหน้าเข้า บก.ล่องแจ้งทันที
เห็นไม่ต้องบรรยายเหตุการร์ต่อไปก้ได้ใช่ใหมครับ ของพรรค๋นี้ ใครๆก็เดาออก ผมอยากจพขอแถมท้ายสักนิดว่า ส.อ.เล่าลือ ทหารแม้วผู้ทรยศโดนท่านนายพลวังเปาสั่งยิงเป้าในพลบค่ำวันนั้นเอง ?โลลิต้าไนท์คลับ? ถูกปิดตาย ญาติพี่น้องของ ?น้อย? โดนจับระนาว ในที่สุดความจริงก็ปรากฏออกมาว่า ?น้อย? เป็นลูกผสมระหว่างลาวแดงกับเวียดนามเหนือ ยศครั้งสุดท้ายก็คือ ?สิบเอกหญิงแห่งกองพันทหารเวียดนามเหนือที่ 172? เล่นเอา ?เจมส์บอนด์? สมัครเล่นอย่างผมขนหัวลุกไปตั้งหลายวัน
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 68
ออฟไลน์

กระทู้: 7628


tel. 0861810566


« ตอบ #11806 เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2015, 09:07:10 AM »

"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา ชีิวิตคนก็เหมือนสะพาน  มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน" สมิง วังม่วง


ทหารรับจ้างเดนตาย งานเขียนอิงเรื่องจริงของ สยุมภู ทศพล
ตอนที่ 8 สาม ต่อ หนึ่ง (จบในตอน)
มกราคม 2511 เหนือสนามบินซำทอง 12,000 ฟิต ?คารีบู? สีน้ำตาลสลับดำบินวนเวียนอยู่เหนือที่ราบแอ่งกระทะ ภายในห้องโดยสารที่ก้วางขวาง บัดนี้แน่นเอี้ยดไปด้วยพลร่มอเมริกัน, ไทย, และฟิลิปปินส์ ที่กำลังยืนเรียงเดี่ยวหันหน้าไปทางประตูช่องท้ายที่เปิดอ้าเต็มที่ มองดูปุยเมฆเรียงรายเป็นชั้นๆ แลดูเวิ้งว้าง สุดสายตา
ร่มชูชีพแบบ ?สกายไดร้ท์? (SKY DRIVE-หลังเขา) ที่พ่วงติดเข้ากับเครื่องแบบเสือพรานมองดูรุ่มร่ามและรุงรังเหมือนกับมนุษย์อวกาศ ที่กำลังเดินอยู่บนดวงจันทร์
มันเป็นการกระโดร่มแบบ ?สกายไดร๊ฟท์? ที่กระจอกที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา อุปกรณ์การกระโดจำพวก ?เครื่องวัดความสูง? ?ร่มรีเสริฟ? (*น่าจะหมายถึงร่มสำรอง-หลังเขา) ถูกหน่วย ?สกาย? ซึ่งมีหน้าที่เบิกและสนับสนุนแก่พวกเราโดยตรงปฏิเสธเอาดื้อๆว่า ?ขาดสต็อค?
หมายกำหนดการ กระโดร่ม ซึ่งถูกจัดขึ้นมาเพื่อต้องการทดสอบประสิทธิภาพของทหารอเมริกันและล่ามต่างๆที่ปฏิบัติงานอยู่ ณ สนามบินซำทองได้ถูก ?ฟิ๊ก? เอาใว้อย่างเรียบร้อยแล้ว โอกาสที่จะเลื่อนออกไปดูเหมือนจะไม่มีทางแม้แต่เปอร์เซนต์เดียว
และอีกอย่างหนึ่ง ประชาชนทั้งลาวและแม้วเผ่าต่างๆซึ่งแออัดยัดเยียดอยู่เบื้องล่างก็คงจะบังเกิดกริยาแน่ๆถ้าการแสดงชุดนี้ของทหารอเมริกันต้องพับลงไป
ร.อ. เบอร์นาด หัวหน้าทีม และเจ้านายโดยตรงของผม ยืนยิ้มเผล่อยู่หัวแถว เขาหันมาตะโกนกระเซ้าผมอย่างทีเล่นทีจริง
?เฮ๊ย... ใครจะจองเฟอร์นิเจอร์ของบิ๊กแมนก็จองๆกันเอาไว้บนเครื่องนี่ก่อนนะโว้ย ประเดี๋ยวลงไปข้างล่างเป็นได้แย่งกันตายห่า เที่ยวนี้บิ๊กมนจอดแน่ๆ สกายไดร์ฟไม่มีเครื่องวัดและร่มช่วยแบบนี้ ไม่แน่จริงอั๊วว่าได้วัดพื้นแหง๋ๆ?
ผมฉุนกึกเข้าไปถึงสมอง ไอ้คำพูดทีเล่นทีจริงของฝรั่งนี่เคยโดนคนไทยฉะปากมานักต่อนักแล้ว หยั่งว่านั่นแหละครับ ผมยังต้องอาศัยบารมีและอิทธิพลของ ?แคปตั้น-เบอร์นาร์ด? (แค็ปตั้น=Captain น่าจะหมายถึงทหารยศร้อยเอก-หลังเขา) ในการเลื่อนชั้นเงินเดือนอยู่เสมอเสมอ ถึงแม้จะโมโหโกรธาจนตัวสั่น อย่างดีที่ผมทำได้ก็คือ ตะโกนด่าพ่อล่อแม่ในความปากหมาของเจ้านายอยู่ในใจ
ความจริงมันก็เป็นอย่างที่ ร.อ.เบอร์นาดพูดเอาไว้ไม่มีผิด เกิดมาผมเคยกระโดด ?สกายไดร๊ฟ? กับเขาเมื่อไหราละครับ ฮี่ท่อ ตอนสะเออะไปอยู่ศูนย์สงครามพิเศษก็กระโดดเพียง 5 ครั้งเท่านั้นเอง แถมเป็นการกระโดดแบบธรรมดาๆ ที่ชาวบ้านเขากระโดดกันก็คือ หลับหุหลับตากระโจนพรวดออกมาจากเครื่องบินโดยไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น พอเชือกดึงร่มออกกินลม ผมก็ตั้งสติเตรียมลงพื้น เป็นอันเสร็จพิธี
แต่คราวนี้ อเมริกันเสือกมาให้ผมร่วมทีมกระโดร่ม แถมจำเพาะเจาะจงให้กระโดดแบบกระตุกเองซะด้วย
บ้ายอ... อยากได้เงินดอลล่าห์เพิ่ม และประการสุดท้าย ผมอายไอ้ ?ฟรีด้า? พนักงานวิทยุสัญชาติฟิลิปปินส์ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับผมอยู่ตลอดเวลาต่างหากครับผม
ก็ทำไมจะไม่อายเล่าครับ ขนาดไอ้ฟรีด้ามันขาเป๋ข้างหนึ่งยังกล้าโดด แล้วไอ้ผมที่มีอาการครบสามสิบสองขืนไม่กระโดดเป็นต้องโดน ?ถุย? จากไอ้ปินส์ไปตลอดชาติแน่ๆ
?ขณะนี้เครื่องขึ้นสู่ระยะ 12,000 ฟิตแล้ว อีก 5 นาทีจะถึงบริเวณกระโดด... แสตนบาย?
เสียงเลานดืสปี๊กเกอร์ที่ติดอยู่เหนือเคบินห้องโดยสารดังลั่น ร.อ.เบอร์นาดหันมาให้อาณัติสัญญาณพวกผมแล้วหันหน้ากลับไปเตรียมพร้อมที่จะกระโดดด้วยท่าทางที่ปราศจากอาการพรั่นพรึงแม้แต่นิดเดียว
ผมยืนอยู่หลังสุด ถัดผมออกไปเบื้องหน้าเล็กน้อย ?ไอ้ฟรีด้า? คู่รักคู่แค้นของผม ยืนเหงื่อแตกซิกทั้งที่อากาศหนาวจับจิตจับใจ อากัปกริยาดังกล่าวทำให้ผมอ่านไต๋ของมันออกอย่างทะลุปรุโปร่งขึ้นมาทันที
มันก็ไอ้ครือๆกับผมนั่นแหละครับ ?ไอ้ฟรีด้า? มันทั้งไซท์และกลัวจนขี้หดตดหายไม่แพ้ผมเหมือนกันทีเดียวเชียว
ประกายไฟสีแดงวับวาบอยู่เหนือช่องประตูท้าย
ร.อ.เบอร์นาดหล่นวูบไปเป็นคนแรก คนที่สอง, คนที่สาม ก็ก้าวเท้าเคลื่อนที่ไป ณ ตำแหน่งดังกล่าวแล้วกระโจนพรวดดิ่งเวหาลงไปเบื้องล่างจนมองแทบไม่ทัน
แถวของนักกระโดดร่มหดสั้นลงทุกที ตัวของผมเองก้เคลื่อนที่ใกล้ประตูช่องท้ายเข้าไปทุกขณะ ?ไอ้ฟรีด้า? เดินขาทิ่มกระเผล็กๆเข้ามาช่องประตูด้วยท่าทางที่ผมมองดูแล้ว อยากจะร้องไห้ออกมาดังๆในความไม่เจียมกะลาหัวของมัน
พลร่มทั้ง 18 คนกระโดดลงไปเรียบร้อยแล้ว อีตานี้ก็ถึงรอบของไอ้ฟรีด้ากับผมกันละ
ชะรอยไอ้ฟรีด้าคงจะเกิดปอดลอยขึ้นมาดื้อๆ ผมเห้นมันสะดุ้งสุดตัว แล้วถอยหลังกลับเข้ามาชนกับผมโครมเบ้อเร่อ กริยาที่มันแสดงออกมาคล้ายๆกับจะเกี่ยงให้ผมกระโดดลงไปก่อนมัน
ฮี่ท่อ ใครจะยอม ขืนหลวมตัวให้มัน ผมก็เสียเชิงไทยเท่านั้น เท้าไวเท่าความคิด ผมถีบตูมเข้าไปที่บริเวณกลางหลังของมันเต็มแรง
ไอ้ฟรีด้าแหกปากร้องขึ้นมาด้วยความตกใจพร้อมๆกับที่ร่างของมันเซถลาหลุดออกไปจากช่องประตูด้วยลักษณะการกระโดดที่พลิกแพลงยิ่งกว่านักกระโดดร่มใดๆที่ผมเคยเห็นมา
ก็ไอ้ฟรีด้ามันตลังกาหน้าลงไปจากเครื่องบินนะซีครับ แรงถีบบวกแรงตกใจ ทำให้ไอ้ฟรีด้ากระโดดร่มด้วยท่าทางที่พิลึกกึกกือยิ่งกว่าทุกๆคน
ผมหลับหูหลับตากระโจนพรวดตามไอ้ฟรีด้าออกมาจากช่องประตู
อันดับแรกที่รู้สึกก็คือ กระแสลมที่รุนแรงปะทะหน้าจนชาไปทั้งแถบ อันดับต่อมา ความรู้สึกบอกกับตัวเองว่ากำลังถูกแรงดึงดูดของโลกดึงตัวเองลงสู่พื้นดินด้วยความเร็วสูงจนหายใจแทบไม่ทัน
เอ๊ะ นี่ตัวอาตมายังไม่ตายนี่หว่า ลองลืมตาดูนิดนึงก็มองเห็นพื้นดินวิ่งเข้าหาลูกตาเร็วจี๋ เหมือนกับอีตอนนั่งมองดูภูมิประเทศในขณะนั่งอยู่บนรถยนต์ที่ใช้ความเร็วเกินกว่า 150 ก.ม.ต่อชั่วโมงขึ้นไป
ถ้าขืนไม่กระตุกร่ม ผมเป็นจอดตามคำพูดของผู้กองเบอร์นาดแน่ๆ...
มือมันเสือกไวกว่าความคิดไปซะแล้วซีครับ มือขวาของผมดึงห่วงร่มออกมาเต็มแรง
?พรึ่บ?
เสียงที่ชินหูที่สุดจากการกระโดดร่มดังลั่นขึ้นมาเหนือบริเวณศรีษะ ร่างของผมโดนกระตุกอย่างแรง ผมแหงนหน้าขึ้นไปดู
ไชโย ร่มกาง ผมรอดตายแล้ว ผมบังคับร่มพร้อมกับก้มลงดูเบื้องล่าง โอ้โห ผมยังอยู่สูงจากพื้นดินอีกตั้งหลายพันฟุต สนามบินซำทองเล็กกระจิ๊ดริ๊ดเหมือนโต๊ะปิงปองขนาดจิ๋ว และห่างจากผมไปทางตะวันทิศออก ร่มสีแสดของใครไม่รู้ลอยละลิ่วห่างออกจากสนามบินไปทุกที...
อนิจจา ทั่วท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาล มีร่มชูชีพกางเพียงสองร่มเท่านั้นเอง ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งตกใจ นึกว่าพลร่มอีก 18 คน ร่มไม่กลาง ตกพื้นดินตายเรียบนะครับ
ความจริงร่มทั้ง 18 ร่ม มันจะต้องกางอย่างแน่ๆ แต่ที่แน่ๆในขนาดนี้ พลร่มทุกคนกำลังดิ่งเวหาด้วยการร่อนตีวงก้วางแล้ววกเข้าหากัน แถมยังจับมือจับไม้กันกลางอากาศให้วุ่นไปหมด ควันสีต่างๆที่ผูกติดกับสันรองเท้าพลร่มพุ่งเป็นสายฉวัดเฉวียนอยู่บนท้องฟ้ามองดสวยงามสุดขอบฟ้า
กระแสลมพัดร่มของผมห่างสนามบินออกไปทุกทีๆ จนผมหมดปัญญาที่จะบังคับร่ม ผมก็เลยปล่อยเลยตามเลยด้วยความท้อแท้ใจ
ร่มของผมตรงดิ่งไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งบริเวณหมู่บ้านดังกล่าว ผมสังเกตุเห็นประชาชนไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างก็แหงนหน้ามองดูผมและออกวิ่งติดตามร่มของผมเป็นการใหญ่...
พระเจ้าช่วย บางคนถือมีดสปาต้าที่ขาววับอยู่ในมือ ทำอากัปกริยาเหมือนกับจะหั่นผมออกเป็นชิ้นๆเมื่อผมลงถึงพื้นดิน
ผมผ่านไร่ฝิ่นที่งามสะพรั่ง กระแสลมเฮือกสุดท้ายพาร่มของผมพุ่งเข้าหากระต๊อบหลังหนึ่งอย่างชนิดหมดทางแก้ไข
?โครม?
ปลายเท้าทั้งสองของผมทะลุหลังคาแฝกลงไปเต็มแรง ร่างของผมหล่นวูบลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่ในซอกแคบๆของกระต๊อบหลังนั้นเข้าอย่างเหมาะเหม็ง
กระทาชายแม้วนายหนึ่งที่กำลังนั่ง ?อึ? อยู่อย่างสบายอารมณ์ ทำหน้าเหมือนกับโดนผีหลอก เขาจ้องมองหน้าผมอยู่ชั่วอึดใจก็ร้องโวยวายออกมาสุดเสียง ร้องไม่ร้องปล่าว พี่แกยังลุกขึ้นวิ่งพรวดพราดทะลุฝาประตูที่บอบบางออกไปเบื้องนอกอย่างขวัญเสีย
ถ้าสายตาของผมไม่ฝาด พี่แม้วคนนั้นแกไม่ได้นุ่งกางเกงติดตัวออกไปหรอกครับ โธ่ ก็ใครบ้างครับที่เขานุ่งกางเกงนั่งอึกัน
อนิจจา ผมตกลงมาบนหลังคาส้วมแม้วเข้าให้ ส้วมดังกล่าวหักสะบั้นพังลงไม่มีชิ้นดี...
มีเสียงเอะอะเกรียวกราวดังลั่นอยู่ข้างนอก ภาษาแม้วที่ชินหูพูดกันสับสน ความรู้สึกต่อมาก็คือ สายร่มถูกดึงออกแรงดึงอยู่ข้างนอก ผมเซถลาล้มลงกับพื้นส้วมอีกครั้ง
ผมรีบปลดสายร่มแล้วคลานกระย่องกระแย่งออกมาอย่างทุลักทุเล
ชาวแม้วกลุ่มใหญ่ ทั้งชายและหญิงกำลังยื้อแย่งร่มชูชีพกันจ้าละหวั่น มีดสปาต้าที่ผมสังเกตุเห็นก่อนลงพื้นกำลังถูกฟาดฟันผ้าร่มจนขาดออกเป็นชิ้นๆ
ช่างหัวมัน ร่มของไอ้กัน กะอีแค่สมบัติแค่นี้ ขนหน้าแข้งไอ้กันไม่กระดิกหรอกครับ ผมไม่รู้จะทำอะไรเลยนั่งดูพวกแม้วยื้อแย่งผ้าร่มกัน และรู้สึกว่าจะบังเกิดความสนุกสนานไปกับพวกเขาด้วยเหมือนกัน...
เสียงหัวเราะกิ๊กกั๊กของแม้วสาวกลุ่มหนึ่ง ทำให้ผมต้องละสายตาจากร่มชูชีพ หันขวับกลับไปมองทางที่มาของเสียงอย่างรวดเร็ว
สาวแม้วหน้าตาแฉล่มแช่มช้อย ผิวกายขาวซีดเหมือนกับสาวจีนยืนรวมกลุ่มกันอยู่ 3 คน แต่ละคนแต่งกายด้วยผ้าสีกรมท่า นอกจากนั้นก็ยังมีแถบแพรสีเขียวสลับชมพูคาดประดับอยู่ตามที่ต่างๆยืนส่งยิ้มให้ผมเหมือนกับชอบอกชอบใจอยู่ในที
?หัวเราะอะไรครับ น้องสาว?
ผมล่อภาษาไทยออกไปทั้งดุ้น พร้อมกับลุกขึ้นยืนสืบเท้าเข้าไปหาพวกเธอ
?ขำค่ะ ขำที่คุณตกลงมาบนส้วมของพ่อเฒ่าวังตา คุณคงจะไม่รู้ว่า ส้วมหลังนี้เพิ่งสร้างเสร็จก่อนคุณตกลงมาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดี?
สาวแม้วที่หน้าตาเข้าทีที่สุดในกลุ่มนั้น จีบปากจีบคอพูดภาษาไทยที่ชัดเปรี๊ยออกมาจนผมอดทึ่งใจไม่ได้
?คุณเป็นคนไทยหรือคะ ดิฉันชื่อมีเดียร์ เคยข้ามไปเรียนวิทยาลัยครูที่อุดรตั้ง 3 ปี ขณะนี้เป็นครูที่นี่ คุณจะไม่แนะนำตัวของคุณให้มีเดียร์ทราบบ้างหรือคะ คุณป็นคนไทยคนแรกที่มีเดียร์พูดคุยด้วยหลังจากที่กลับจากอุดรมาแล้ว บ้านเถิดเทิงยินดีต้อนรับ?
ใจของผมเย็นวาบ ?บ้านเถิดเทิง? อยู่ห่างจากสนามบินซำทองถึง 7 กิโลเมตร ไอ้ความปอดลอยของผมแท้ๆ ที่ดันกระตุกร่มตั้งแต่อยู่ในระยะ 10,000 ฟิต ลมมันก็เลยพัดผมลอยมาไกลถึงขนาดนี้
?มีเดียร์? พาผมไปบ้านของเธอซึ่งปลูกอยู่ข้างๆโรงเรียนนั้นเอง เป็นที่น่าสังเกตุว่า ?พ่อเฒ่าวังตา? เจ้าของส้วมที่แก้ผ้าวิ่งหนีผมในขณะร่มชูชีพตกลงไปในส้วม เดินตามกลุ่มพวกผมแจ จนผมชักเอะใจ มีเดียร์พาตัวเองไปซักถามอยู่ชั่วครู่ ก้เดินอมยิ้มกลับมาหาผมพร้อมกับเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ด้วยท่าทางขบขัน
?พ่อเฒ่าวังตาแกมาขอค่าเสียหายค่ะ แกคิดราคาทั้งหมดสองหมื่นกีบ?
ผมสะดุ้งเฮือก สองหมื่นกีบก็ตั้ง 500 บาท ส้วมระยำอะไรวะถึงแพงขนาดนี้ ตามสายตาของผม ไอ้ส้วมมุงแฝกหลังนั้น ถึงยังไงๆราคาของมันจะเกิน 30 บาทไปไม่ได้ ผมอธิบายเหตุผลให้มีเดียร์ฟัง เธอหันกลับไปซุบซิบกับพ่อเฒ่าวังตาอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก็หันกลับมาพูดพลางหัวเราะกับผมอีกครั้ง
?พ่อเฒ่าวังตาแกบอกว่า ราคาส้วมนะมันไม่กี่บาทหรอก สองหมื่นกีบที่แกคิดกับคุณ แกรวมถึงค่าปลอบขวัญที่คุณทำให้แกตกใจจนถ่ายอุจจาระไม่ออกด้วย แกเล่าให้มีเดียร์ฟังว่า หลังจากร่มชูชีพของคุณตกลงในส้วม แล้วแกพยายามไปถ่ายอุจจาระอีกครั้ง ก็ถ่ายไม่ออก พ่อเฒ่าวังตาตกใจมาก เหตุการณ์ครั้งนี้ คุณต้องรับผิดชอบจ่ายเงินให้แกค่ะ?
มีเดียร์หัวร่องอหาย ส่วนผมหัวเราะไม่ออกหรอกครับ เงินสองหมื่นกีบอีตอนปลายเดือนผมมีซะเมื่อไหร่เล่าครับ เรื่องทั้งเรื่องก็เลยต้องวานมีเดียร์บอกให้พ่อเฒ่าวังตาคอยเดินทางไปรับเงินพร้อมๆกับผมในวันรุ่งขึ้น แกถึงยอมเลิกประกบตัวผม เดินยิ้มร่ากลับไปด้วยความดีใจ
มีเดียร์เป็นคนล่องแจ้ง ท่านนายพลวังเปาออกทุนสร้างโรงเรียน ?วังเปาอนุสรณ์? ขึ้นแถวหมู่บ้านเถิดเทิง แล้วส่งเธอซึ่งสำเร็จจากวิทยาลัยครูอุดรอย่างสดๆร้อนๆ มาอบรมสั่งสอนประชาชนแม้วตามโครงการพัฒนาความรู้สมัยใหม่ของท่านนายพลวังเปา
เพื่อนของมีเดียร์ทั้งสองคนปลีกตัวหลบออกไปเหมือนอย่างจะรู้ใจ
อากาศก็เริ่มจะมืดครื้ม ฝนหลงฤดูจู่โจมเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้อากาศที่หนาวเหน็บอยู่แล้ว ยิ่งเพิ่มความเยือกเย็นขึ้นอย่างจับจิตจับใจ
ผมเปลี่ยนชุดเครื่องแบบที่เหม็นหึ่งออก มีเดียร์รับภาระหาชุดแม้วมาให้ผมผลัดด้วยท่าทางที่เอาอกเอาใจ จนผมนึกเข้าข้างตัวเอง วาดอนาคตสำหรับค่ำคืนนี้เอาไว้อย่างสวยหรู
ฝนกระหน่ำตั้งแต่สามโมงเย็น จนกระทั่งสามทุ่มก็ยังไม่ยอมหยุด เทียนไขเล่มเล็กที่จุดมาตั้งแต่หัวค่ำถูกเปลี่ยนเล่มแล้วเล่มเล่า จนกระทั่งเหลือเล่มสุดท้าย และเล่มสุดท้ายดังกล่าวกำลังจะสิ้นแสงลงไปในไม่ช้า
ท่านผู้อ่านคงจะเดาจิตใจของผมออกใช่ไหมครับ ใช่ครับ ผมแช่งชักหักกระดูกให้เจ้าเทียนไขมันหมดแสงลงไปตั้งนานแล้ว แต่มันก็ยังไม่หมดซะที
ก็สว่างออกอย่างนั้น ผมจะมีปัญญา ?เริ่ม? กับเธอได้อย่างไรกัน ตามปกติผมก็ไม่ค่อยจะถนัดนักในเรื่องพรรค์ยังงี้ มันเขินๆ อย่างไรพิกล
ถ้ามืดๆสิครับ ความหน้าด้าน และความมืด บางทีเจ้าสองสิ่งนี้มันอาจจะช่วยให้งานของผมลุล่วงไปด้วยดีก็อาจจะเป็นได้
?ครืน...เปรี้ยง?
อสุนียบาตฟาดลงมาสนั่นหวั่นไหว ต้นไม้ใหญ่ข้างๆโรงเรียน ล้มครืนลงมาได้ยินถนัดหู หน้าต่างบานเดียวที่เพยิบพยาบอยู่เปิดผลัวะออกไปเต็มแรงสายลมกระโชกเข้ามา เทียนไขดับพรึ่บลงทันที
ผมเอื้อมมือออกไปควานหาไม้ขีด (อีตอนนี้อยากจะด่าตัวเองซะจริงว่าไอ้หน้าโง่) ไม่เจอะหรอกครับ สิ่งที่ผมเจอะก็คือสะโพกที่
แข็งปั๋งของ ?มีเดียร์? ซึ่งกระเถิบเข้ามาใกล้ผมเหมือนกับจะกริ่งเกรงต่อบรรยากาศรอบข้าง
มีเดียร์นิ่ง ผมก็นิ่ง มือที่วางอยู่บนสะโพกด้านข้างเริ่มร้อนผ่าวเหมือนถูกไฟลน เมื่อมันร้อนผมก็เริ่มขยับมือนะซีครับ มีเดียร์นิ่ง แต่คราวนี้ผมไม่นิ่งอีกแล้ว มืออีกข้างของผมที่ว่างคว้าหมับเข้าไปบนร่างของเธอพร้อมกับออกแรงดึงให้ร่างของเธอนอนราบลงไปบนแคร่ไม้
ผมทาบร่างลงไปประกบเธอเหมือนกับเป็นอัตโนมัติ มีเดียร์เอนกายขึ้นมาเหมือนกับเป็นตะคิว จมูกเจ้ากรรมดันฟ้องผมว่าหน้าอกของมีเดียร์ไม่มีอะไรเหลืออยู่จริงๆ นอกจากเนื้อสองก้อนที่อ่อนไหวนุ่มนิ่มเนียนจมูกจนผมแทบจะขาดใจตาย
ถ้าจะเปรียบมีเดียร์เป็นรถยนต์ เธอก็เหมือนกับรถเซคกันแฮนด์ที่ยังไม่ค่อยจะชอกช้ำเท่าไรนัก เครื่องยนต์เพิ่งจะถูกยกเครื่องมาอย่างสดๆร้อนๆ จากอากัปกริยาของเธอ ทำให้ผมไม่กล้าที่จะเหยียบคันเร่งเท่าไรนัก ค่อยๆขับไปด้วยความเร็ว 70-80 ก.ม.ต่อชั่วโมง พอเครื่องร้อน มีเดียร์กลับเป็นฝ่ายจู่โจมผม เสียจนกระทั่งถูกน็อคนอนกลิ้งเหมือนกับผีตาย
มีเดียร์หายออกไปจากห้องพักใหญ่ผมก็ได้ยินเสียงเปิดประตู เงาของกลุ่มคนไม่น้อยกว่า 3 คนวูบวาบอยู่ในความสลัวเบื้องหน้า
ผมพรวดพราดลุกขึ้น ผ้าห่มถูกมือลึกลับกระตุกพรืดหลุดไปกองอยู่ที่ปลายเท้า
?จุ๊...จุ๊... เพื่อนๆของมีเดียร์เค้ามาเยี่ยมคุณค่ะ คุณนอนเฉยๆไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น?
เสียงของมีเดียร์กระซิบกระซาบพร้อมกับใช้มือกดหน้าอกของผมให้นอนราบลงไปกับพื้น
สาวแม้วทั้งสองจู่โจมเข้าฟัดผมอย่างบ้าคลั่ง ผมขนลุกซู่ กลิ่นสาปสาวที่อบอวลอยู่รอบด้านทำให้จิตใจคึกคัก ร่างกายส่วนที่อ่อนปวกเปียกผงาดขึ้นมาเหมือนกับม้าถูกโด๊ปยา
นักมวยจำเป็นเริ่มชก ยกที่หนึ่ง, สอง, ผ่านไปอย่างหวานคอแร้ง พอขึ้นยกที่สามซึ่งเป็นยกที่แม่ครูสาวมีเดียร์เป็นผู้กำกับการแสดงเอง สติของผมก็เริ่มโบยบินออกจากร่าง ลมหายใจเริ่มอ่อนลงเหมือนกับคนไข้หนัก และสำนึกสุดท้ายก่อนที่จะหลับผล็อยลงไป ผมได้ยินเสียงหัวเราะคลิ๊กๆประสานเสียงกัยดังกึกก้องสะท้อนไปมาอยู่ในสมองที่หนักอึ้งนั้น
ผมหลับเหมือนตาย จนกระทั่งสิบเอ็ดโมงเช้า เสียงหึ่งๆของชอร์ปเปอร์ที่บินวนเวียนอยู่เหนือหมู่บ้าน ช่วยปลุกประสาทให้ผมกระโจนผลุงลงมายืนโซซัดโซเซอยู่ที่ลานบ้าน พื้นดินรอบตัวโคลงเคลงเหมือนกับเกิดแผ่นดินไหว ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเหลืองซีดๆ หูอื้อตาลาย ผะอืดผะอมหยั่งกับผู้หญิงที่มีอาการแพ้ท้องมิมีผิด
ด้วย ?สโม๊ค? ที่ติดตัวอยู่เป็นประจำ ทำให้นักบินรีบร่อนชอร์ปเปอร์ลงมารับผมทันที เมื่อเห็นอาณัติสัญญาณควันสีแดงจากเบื้องล่าง
มีเดียร์และเพื่อนสาวของเธอวิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากโรงเรียน ร.อ.เบอร์นาดกับทหารลาวอีกสามคนกระโดดแผล็วลงมาจากชอร์ปเปอร์ เขาหัวเราะก๊ากที่มองเห็นผมอยู่ในชุดเครื่องแต่งกายชาวแม้ว
?ลื้อกระโดดอีท่าใหนว่ะ ร่มห่างจุดตั้ง 6-7 ก.ม. แต่ก็ยังดีกว่าไอ้ฟรีด้าแยะ ลื้อคงไม่รู้หรอกว่า ไอ้ฟรีด้าดันไปลงที่บ้าน ?หนองไหล? โน่น ขาข้างซ้ายหัก ขณะนี้มันนอนอยู่โรงพยาบาลที่ล่องแจ้งเรียบร้อยแล้ว ลื้อรู้ไหม๊ ฟรีด้ามาขอบคุณลื้อมาด้วย?
ร.อ.เบอร์นาด หันไปทำตาเจ้าชู้กับมีเดียร์แล้วหันมาพูดกับผมอีกครั้ง
?ไอ้ฟรีด้ามันขอบคุณที่ลื้อช่วยสงเคราะห์ถีบมันลงมาจากเครื่องบิน จนทำให้ขาซ้ายมันหักไปอีกข้างหนึ่ง คราวนี้ขาของมันจะได้เท่ากันเสียที มันบอกให้ไปเยี่ยมมันบ้าง ...เฮ้ย โน่น อีแม้วนั่นสวยสะบัดช่อเลย?
?เบาๆครับ แค็ปตั้น เธอเข้าใจภาษาอังกฤษของคุณเป็นอย่างดี เอเป็นครูอยู่ที่นี่ ลองไปจีบดูซีครับ รึแค็ปตั้นจะอยู่ที่นี่ก่อนก็ได้ ตอนเย็นผมจะเอาชอร์ปเปอร์มารับ?
?เฮ๊ย วันนี้ ฟรีเดย์โว้ย อั๊วจะพักอยู่ที่นี่ พรุ่งนี้มารับอั๊วก็แล้วกัน?
ร.อ.เบอร์นาดตัดบทเอาดื้อๆ ผมฉากแว๊บขึ้นชอร์ปเปอร์ ท่ามกลางเสียงโวยวายของพ่อเฒ่าวังตาที่วิ่งควบจี๋ร้องตะโกนเงินค่าส้วมมาติดๆ
ชอร์ปเปอร์ยกฐานสกีขึ้นจากพื้น... พ่อเฒ่าวังตาชูกำปั้น เต้นเป็นลิงอยู่เบื้องล่าง ผมชำเลืองดูเบอร์นาดที่กำลังเดินเข้าไปหา ?มีเดียร์? แล้วก็ยิ้มออกมาด้วยความสาใจ
?คืนนี้แหละมึงเอ๋ย ไอ้แค็ปตั้นปากหมา มึงจะต้องรู้ฤทธิ์สาวแม้วเหมือนหยั่งที่กูรู้ ต่อให้มึงแน่ขนาดไหน สามต่อหนึ่งถ้ามึงไม่คลานขึ้นชอร์ปเปอร์ มึงก็เก่งเกินคนไปล่ะ ขอสวัสดีในความโชคร้ายของมึง?
ผมเอนตัวลงครึ่งนั่งครึ่งนอนกับพนักเก้าอี้ พนักงานประตูอเมริกันนิโกร ขมวดคิ้วเอ่ยปากกถามผมด้วยความคลางแคลงใจ
?วอทท์ แฮปเป่น บิ๊กแมน? (what happen ? เกิดอะไรขึ้น ?หลังเขา*)
?ทรู มัช ฟัก โว้ย ไอ้มืด? (too much fuck ? อึ๊บมากไป ? หลังเขา*)
ผมตอบมันออกไปเป็นภาษาไทยปนอังกฤษด้วยความฉุนกึก ไอ้มืดหัวเราะก๊าก ล้วงกระเป๋าหยิบซอง ?เหล้าแห้ง? โยนให้ผม
?ล่อเหล้าแห้งซะ พรรคพวก ต่อให้ลื้อโทรมมาขนาดไหน เจอะไอ้ 80 ดีกรีอันนี้ของอั๊วเข้าเป็นต้องคึกคักอยากจะเข้าไปซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่เชื่อลื้อลองดูซิวะเกลอ?
ผมล่อ ?เหล้าแห้ง? ของเม็กซิกันเข้าไปสองซองซ้อนๆ
ดีกรีอันร้อนแรงวิ่งพรวดเข้าไปในกระเพราะ ชั่วอึดใจ หูตาของผมก็สว่างไสว ท้องฟ้าเปลี่ยนจากเหลืองเป็นธรรมดา ภาพของเหตุการณ์ที่ประทับใจเมื่อคืน วูบวาบอยู่ในสมอง ความคึกคักของอารมณ์เริ่มทับทวีพุ่งขึ้นมาเหมือนกับพ่อม้าโดน ?ทิงเจอร์ขาว?
?เป็นยังไงพรรคพวก เหล้าแห้งของอั๊ว มันออกฤทธิ์หรือยัง?
ไอ้มืดย้อนถามผมออกมาอีกครั้ง ผมไม่ตอบคำถามของมัน แต่คำพูดที่ผมตะโกนใส่วิทยุบอกกับนักบินก็ทำให้ไอ้มืดหัวเราะออกมาก๊ากใหญ่
?เฮ๊ย พรรคพวก อั๊วลืมของอยู่ที่เถิดเทิงช่วยบินกลับไปส่งอั๊วหน่อยวะ?
บันทึกการเข้า

เอก@ดอยฯ
ปฏิบัติอย่างถูกต้องตั้งแต่แรกเริ่ม
Moderator
Hero Member
*****

คะแนน 183
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9463


Do it right the first time


« ตอบ #11807 เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2015, 06:58:12 PM »

 เยี่ยม
บันทึกการเข้า

SPSC No.057       THPSA No.A-331
สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 68
ออฟไลน์

กระทู้: 7628


tel. 0861810566


« ตอบ #11808 เมื่อ: พฤศจิกายน 13, 2015, 10:50:49 AM »

 เรื่องดับรามสูร นวนิยายยอดฮิต จาก ไทยรัฐ โดย สยุมภู ทศพล

ขอขอบคุณและขออนุญาติเผยแพร่หนังสือดีๆไม่ให้หายสาปสูญไป ขอขอบคุณ คุณ สยุมภู ทศพล

ผมขอขอบคุณร้าน สุหนังสือเก่า http://www.su-usedbook.com/ ที่ให้ยืมหนังสือเรื่องนี้ด้วยนะครับ

ดับรามสูร เล่มที่ 1 ตอนที่ 1

" -รามสูรจาก ยู.2 รามสูรจาก ยู.2-เปลี่ยน " ภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันตามหลักสากลของการใช้วิทยุที่ถูกต้องดังแว่วออกมาจากตู้ลำโพงขนาดเล็กซึ่งติดตั้งอยู่ข้างๆ เครื่องวิทยุดักข่าวยี่ห้อ " เซ็นนิท " อันมีประสิทธิภาพสูงที่สุดของโลกในยุคปัจจุบัน


พนักงานวิทยุรูปร่างสูงเกินหกฟุต ตัดผมเกรียนติดหนังศีรษะ พลิกข้อมือซ้ายขึ้นมาชำเลืองดูนาฬิกาด้วยอาการเนือย ๆ เหมือนกับเซ็งต่อหน้าที่อันจำเจที่ตัวเองปฏิบัติอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เขาเผลอตัวหาวออกมาดัง ๆ จนกระทั่งพนักงานวิทยุที่นั่งเรียงรายอยู่ข้าง ๆ พากันหันหน้ามามองเป็นแถว คนที่อยู่ใกล้ที่สุดยื่นถ้วยกาแฟที่พร่องไปเกือบครึ่งถ้วยส่งมาให้พร้อมกับกระซิบเบา ๆ

" เหลืออีก 45 นาทีจะเที่ยงคืน ถ้าลื้อทนง่วงนอนไม่ไหวก็ล่อกาแฟนี่ก่อน อย่าเสือกสวาปามเข้าไปหมดเสียล่ะ ไอ้เกลอ ยังไง ๆ เหลือติดก้นถ้วยไว้ให้อั๊วบ้าง "

" ขอบใจ...จอห์น อั๊วเพลียรากไส้เลยว่ะ สงสัยจะ "แฮ้ง โอเวอร์" ไปหน่อย "

ในขณะที่พูด พนักงานวิทยุที่ทางสลึมสลือก็ยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่ม เพียงอึกแรกเขาก็ตาเหลือก ละล่ำละลักออกมาด้วยความตกใจ

" -เฮี้ย กาแฟอะไรของลื้อวะ...จอห์น บาดคอยิ่งกว่าโวคก้าเสียอีกแน่ะโว้ย "

จอห์นหัวเราะก๊าก เอื้อมมือไปรับถ้วยกาแฟพร้อมกับพูด

"เป๊ปซี่ผสมกัญชาน้ำ ตบตูดด้วยกาแฟผสมเหล้ายีน...อั๊วรับรอง...แดน..คืนนี้ลื้อจะคึกยิ่งกว่าม้าโด๊ปยา "

" แดน " ทำคอย่น พร้อมกับเอื้อมมือออกไปหยิบ " ปากพูด - หูฟัง " ขึ้นมากดสวิทช์ กรอกคำพูดออกไปค่อนข้างดัง

" ยู.2 จากรามสูร สัญญาของคุณจางลงกว่าปกติมีอะไรว่ามาเลย "

เงียบไปชั่วอึดใจ ก็มีเสียงตอบกลับมา และคราวนี้คลื่นสัญญายิ่งเบาลงไปอีก

" -รามสูร...ไต้ฝุ่น " ลูซี่ " กำลังเคลื่อนที่เข้ามาแนวแม่น้ำโขง..." เกาะคา " แจ้งให้ผมทราบแล้วว่า อีกครึ่งชั่วโมงฝนจะตกหนัก ผมจะบินหนีฝนขึ้นเหนือชั้นบินปกติ...เลิกกัน "

" -บลูเชี้ยด ฝนถล่มเมืองอุดรแน่คืนนี้ "

แดนอุทานออกมาอย่างหัวเสียพร้อมกับยกโทรศัพท์แจ้งข่าววิทยุไปยังศูนย์บังคับการซื่งอยู่ห่างออกไปคนละตึกด้วยท่าทางรีบร้อน แล้วหันกลับมา " แสตนบาย " เครื่องวิทยุต่อไปอีกด้วยท่าทางที่กระฉับกระเฉงขึ้นกว่าเดินจนสังเกตเห็นได้ชัด

ท้องฟ้าเมืองอุดร ถูกปกคลุมด้วยกลุ่มเมฆอย่างกะทันหัน ลมเริ่มพัดแรงจัดขึ้นทุกที ชั่วอึดใจทั้งพายุและฝนก็กระหน่ำลงมาอย่างไม่ปรานีปราศรัย เสาไฟตามถนนหนทางล้มระเนระนาดไฟฟ้าเกิดช็อตดับไปทั่วทั้งเมือง

มืด !... มันช่างมืดเป็นบ้าเป็นหลังอะไรเช่นนี้ ท้องฟ้าที่ฉ่ำไปด้วยพายุฝน กลืนสีดำเข้าไปจนไม่มีแม้แต่แสงดาวบรรยากาศมัวซัวและวังเวงอย่างบอกไม่ถูก

ภายใน " ค่ายรามสูร " กลับสว่างไสวไปด้วยแสงไฟจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสวมเสื้อฝน " ปันโจ " พร้อมอาวุธเดินตรวจตราไปรอบ ๆ อาณาบริเวณด้วยอาการระแวดระวัง

บนชั้นที่ 3 ของตึกศูนย์บังคับการที่สว่างไสวไปด้วยแสงฟลูออร์ริเซ่นนั้น ถูกแบ่งออกเป็นห้องทำงานเรียงรายเป็นพืดไปหมด ทางเดินซึ่งเป็นเฉลียงยาวถูกปูพรมสีเทาอ่อน มองดูราบเรียบกลมกลืนกับสีสันของผนังตึกหมายเลขประจำห้องที่ทำด้วยพลาสติคที่ขาวบางแห่งปรากฏแสงสีแดงสว่างโพลนพร้อมด้วยป้าย " อีเมอร์เจ็นซี่ " ( ฉุกเฉิน ) กระพริบเป็นจังหวะมองเห็นสะดุดตา

ชายร่างสูง แต่งชุดปฏิบัติการสีเทาอ่อนแบบติดกันเอวจั้มแขนสั้น ที่บริเวณเหนือกระเป๋าเสื้อด้านซ้ายมือมีแผ่นป้ายชื่อที่ปักด้วยด้ายสีขาวไว้ว่า " นอร์แมน " เดินทอดน่องช้า ๆ ไปตามเฉลียง ศีรษะซึ่งล้านเกือบค่อนท้ายทอยสะท้อนแสงไฟเป็นมันแผล็บ เขาชำเลืองตามองดูหมายเลยประจำห้อง แล้วหยุดลงที่หน้าประตูห้องหมายเลข " 014 " เอื้อมมื้อไปจับลูกบิดประตูเหมือนกับจะชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วเริ่มหมุนลูกบิดไปทางขวาตามเฟืองตัวเลขจนกระทั่งเข็มลูกศรไปชี้อยู่ที่หมายเลข 9 ต่อจากนั่นเขาก็หมุนลูกบิดย้อนกลับมาทางซ้ายมืออีกครั้ง

มีเสียงดัง " กริ๊ก " เมื่อเข็มลูกศรชี้ทับช่องหมายเลข " 7 " บานประตูเริ่มเลื่อนช้า ๆ เข้าไปในกรอบซื่งออกแบบสร้างเป็นรางเอาไว้อย่างแนบเนียน เขาก้าวเท้าเข้าไปในห้อง ซึ่งหร้อม ๆ กับบานประตูได้เลื่อนกลับเข้ามาปิดแน่นสนิทเหมือนอย่างเดิม

เจ้าหน้าที่ในห้องทำความเคารพกันพึ่บพั่บ ชายศีรษะล้านเจ้าของชื่อ " นอร์แมน " เดินยิ้มเข้าไปหาเจ้าหน้าที่สูงอายุที่ยืนอยู่หน้าจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ พร้อมกับยื่นมือให้สัมผัส

" หัวหน้าเพิ่งมาถึงหรือครับ...ตั้งแต่ได้รับคำสั่งจาก " เพนตากอน " ว่าหัวหน้าจะย้ายมาอยู่ที่นี่ พวกผมทุกคนก็รอ และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมขอถือโอกาสเลี้ยงฉลองต้อนรับหัวหน้าเสียเดี๋ยวนี้เลย "

" นอร์แมน " ยังไม่ทันจะเอ่ยอะไรออกมา เจ้าหน้าที่ทุกคนที่ปฏิบัติงานอยู่ในห้องก็พากันมาห้อมล้อม "หัวหน้า" คนใหม่กันสลอน ทุกคนมีแก้วเหล้าถืออยู่ในมือพร้อมเสร็จนอร์แมนหันกลับไปมองหน้าเจ้าหน้าที่ สูงอายุ และก็ดูเหมือนทายใจกันออก เขารีบยื่นแก้วเหล้าที่ตระเตรียมเอาไว้แล้วส่งให้กับเจ้านายใหม่ของเขาทันที

" -คุณทำให้ผมแปลกใจอยู่เสมอ "ร็อกกี้" สุขภาพของคุณเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม สงครามเวียดนามและลาวที่เพิ่งสงบลงไป คงจะทำให้คุณได้พักผ่อนเต็มที่ขึ้นละกระมัง ?...โอเค...ขอบคุณมาก ขอบคุณทุก ๆ คนที่ต้อนรับผม"

นอร์แมนกล่าวตัดบทขึ้นมา หลังจากดื่มกันเป็นพิธีได้เสร็จสิ้นลง เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าประจำโต๊ะโทรทัศน์วงจรปิดเรียบร้อยแล้ว นอร์แมนก็หันไปมองที่จอโทรทัศน์ พร้อมกับพูดต่อไปอย่างเอาการเอางาน

" ผมเพิ่งบินมาถึงอุดรก่อนฝนตกเพียงห้านาที อยากจะเห็นข่ายงานก็เลยมาที่นี่ก่อน...ผมมีงานลับสุดยอดจาก " เพนตากอน " หลายชิ้น...ร็อคกี้-ค่ายของเรามีหมาสงครามกี่ตัว ? "

ร็อคกี้มองไปที่จอโทรทัศน์ ซึ่งขณะนี้ปรากฏภาพเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจูงสุนัขสงครามตัวขนาดลูกม้าเดินฝ่าสายฝนอยู่ตามบริเวณรั้วลวดหนามด้วยอาการระแวดระวัง แสงไฟตามเสามุมรั้วถูกสายฝนบดบังจนมองดูเลือนลางเหมือนกับไฟที่พรางยามสงครามไม่มีผิด

" 240 ตัว ครับหัวหน้า จัดออกเป็น 6 ผลัด "

ในขณะที่พูด ร็อคกี้ก็ปรับสวิทช์ให้กล้องส่งโทรทัศน์แบบ " อินฟาเรด " ส่งกราดเข้าไปตามรั้วลวดหนามที่กั้นล้อมรอบเสาอากาศแบบกรงช้างของค่ายรามสูรเอาไว้โดยรอบ

ภาพของการเคลื่อนไหวในสิ่งที่มีชีวิตในอาณาบริเวณรอบ ๆ ค่ายรามสูรจะถูก " รีเรย์" ขึ้นไปบนจอรับภาพโทรทัศน์ขนาดใหญ่ในห้องคอนโทรลของศูนย์บังคับการ แม้กระทั่งในความมืดสนิทที่สายตาธรรมดาไม่สามารถที่จะมองเห็นได้ " แสงอินฟาเรด " ซึ่งติดตั้งอยู่กับกล้องโทรทัศน์ก็สามารถที่จะ "จับภาพ" ของผู้แปลกปลอมที่บุกรุกเข้ามาได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด กริ่งอันตรายของห้องคอนโทรลจะดังกังวานไปยังสวิทช์บอร์ดที่กองรักษาการณ์ พร้อมกับแจ้งตำแหน่งของผู้บุกรุกทันที

แม้กระทั่งบริเวณรอบ ๆ ค่ายรามสูรด้านนอก ไม่ว่าจะด้านที่ติดกับถนนหรือว่าด้านหลัง จะมีหน่วยลาดตระเวนติดอาวุธพร้อมออกเคลียร์พื้นที่อยู่ตอลดเวลาในรัศมีไม่น้อยกว่าหนึ่งกิโลเมตรจากตัวค่าย

เฮลิคอปเตอร์ (ชอร์เปอร์) ติดอาวุธปืน "มินิกัน" ที่ยิงแบบอัตโนมัตินาทีละเกือบ ๖,000 นัด หรืออีกนัยหนึ่งที่ทหารจากสมรภูมิเวียดนามเรียกมันว่า "กันชิป" บินลัดเลาะพร้อมกับทิ้งพลุส่องแสงสว่างไสวไปทั่วอาณาบริเวณ

มันเป็นมาตรการการป้องกัน "ค่ายรามสูร" ที่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่อเมริกันได้กระทำกันมาในสถานที่ราชการที่ปฏิบัติงานลับสุดยอดหลายต่อแห่งที่อยู่ในเครือของ ซี.ไอ.เอ. ในปัจจุบัน

เจ้าหน้าที่ทุกคนที่ผ่านค่ายชั้นนอก จะต้องแสดงบัตรและถูกตรวจค้นร่างกายอย่างละเอียดถี่ถ้วน และเมื่อจะผ่านเข้าไปตามตัวตึกจะต้องตรวจสอบลายมือจากเครื่องคอมพิวเตอร์อีกครั้งหนึ่ง และรหัสลับจากลูกบิดประตู คือ กำแพงด่านสุดท้ายที่จะพิสูจน์ว่าบุคคลดังกล่าว คือเจ้าหน้าที่อันแท้จริงหรือไม่ ? ถ้าหมุนรหัสผิด ลูกบิดประตูจะเกิดลัดวงจรกลายเป็นระเบิดเวลาทำลายร่างกายของผู้เปิดเป็นผุยผงในชั่วพริบตาเลยที่เดี่ยว

ต่อให้มีมาตราการในการระมัดระวังเพียงไรก็ตามแต่ก็มีจารชนผืนแผ่นดินใหญ่ วางแผนเข้าไปถล่มเครื่องมืออีเล็คโทรนิคของค่ายรามสูรจน "ดับ" ไปเกือบอาทิตย์เต็ม ๆ

02.00 น. ของคืนวันเดี่ยวกัน ความบ้าคลั่งของ "ไต้ฝุ่นลูซี่" เพิ่งจะเคลื่อนผ่านอุดรไปอย่างหมาด ๆ ดวงดาวเริ่มปรากฏตัวออกมาทอแสงระยิบระยับพร่างพรายเต็มท้องฟ้า เมฆฝนซึ่งหนาทึบสลายตัวจนมองดูโล่งไปหมดทั้งจักรวาล

เสียง " ออด " ดังกังวานตรงผนังด้านซ้ายมือของจอโทรทัศน์ที่เรียงรายอยู่บนแผงเบื้องหน้าทุกคนที่นั่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ต่างก็หันไปมองหยั่งกับนัดเอาไว้

ช่องเล็ก ๆ ตรงผนังตึกด้านนั่นเปิดผัวะออกมาเต็มแรงพร้อม ๆ กับมีแผ่นเทปคาสเซทกลิ้งหลุดลงมาวางบนชั้น ซึ่งวางรับเอาไว้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ชั่วพริบตาผนังตึกซึ่งกลายเป็นช่องส่งของก็ปิดตัวเองราบสนิทกับผนังจนมองไม่เห็นรอยพิรุธใด ๆ ทั้งสิ้น นอกจากตัวอักษรภาษาอังกฤษที่เขียนเอาไว้ว่า " ราดิโอ " เท่านั่น

นอร์แมนลุกขึ้นไปหยิบเทปคาสเซทแล้วเดินกลับเข้ามาที่โต๊ะ จัดแจงประกอบตลับเทปเข้าไปในเครื่องวิทยุกระเป๋าหิ้ว เปิดวอลลุ่มเร่งความดังสัญญาเกือบสุด ชั่วอึดใจ ภาษาอังกฤษก็แว่วกังวานออกมาจากลำโพงซึ่งต่อพ่วงออกมาจากวิทยุเครื่องนั่น

" ความถี่ 49.75 รับข่าวนี้ได้ในเวลา 01.33 น. จากชั้นความสูง 40,000 ฟิต เหนือนครเวียงจันทน์ "

ภาษาอังกฤษจากเทปเงียบหายไปชั่วขณะอึดใจ ต่อมาก็ปรากฏภาษาเวียดนามอ่านเป็นตัวเลขล้วน ๆ กรุ๊ปละห้าตัว ดังติดต่อกันเกือบห้านาทีเต็ม ๆ จึงหยุด เจ้าหน้าที่รหัสซึ่งนั่งอยู่ใกล้ ๆ จัดแจงถอดรหัสอยู่ครู่หนึ่งก็เงยหน้าขึ้นพูดกับนอร์แมนด้วยน้ำเสียงที่แสดงอาการเสียใจ

" ผมถอดรหัสไม่ออกครับ มันเป็นรหัสสองชั้นที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย "

นอร์แมนล้วงมือลงไปในกระเป๋าชุดเครื่องแบบหยิบวัตถุเคลือบสีเขียวทึบ ๆ ออกมาวางบนฝ่ามือ ลักษณะของมันเหมือนกับเครื่องคำนวนเลขขนาดเล็กไม่มีผิด มีแป้นตัวเลขและแป้นตัวอักษรภาษาอังกฤษเรียงรายเป็นพืดเขาพลิกวัตถุประหลาดนั้น คว่ำหน้าลง จัดแจงกดปุ่มให้ฝาด้านหนึ่งเด้งออกมา แล้วบรรจุตลับเทปเข้าไป พลิกด้านหน้าขึ้นเปิดสวิทช์ให้เครื่องทำงานทันที

ในขณะที่เครื่องเริ่มทำงาน นอร์แมนก็ดึง "หูฟัง" ขนาดจิ๋วจากตัวเครื่องขึ้นมาเสียบช่องหู พร้อมกับกดแป้นตัวเลขตามรหัสวิทยุที่ดังออกมาจากตลับเทป ท่ามกลางความแปลกใจของพนักงานถอดรหัสที่ยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ข้างๆ

นอร์แมน " รีวาย " เทปกลับที่เดิม ปลดหูฟังออกต่อจากนั้นก็กดสวิทช์ที่ติดอยู่ข้าง ๆ วอลลุ่มประกายไฟสีเขียวสุกใสพร่างพรายขึ้นมาบนแผงหน้าปัด...อักษรภาษาอังกฤษเรืองแสงวิ่งไล่ตามกันเหมือนกับจำลองแผ่น "สกอร์บอร์ด" ขนาดใหญ่เอามาไว้ในเครื่องอีเลคโทรนิคฉบับกระเป๋าไม่มีผิด

" ถึงหน่วยงานที่ 13 โปรดรอรับ "ฮอง" ที่ศิริโฮเต็ล ในวันที่ 17 นี้ สั่งจองห้องหมายเลข 111 เอาไว้ด้วยใช้พาสปอร์ดของฝรั่งเศษ " นายปีแอร์ " รหัสบอกพวก " ลอนดอน- ปารีส แผนงานอยู่ที่-ฮอง "

มันเป็นข่าวที่พร่างพรายขึ้นมาบนแผงหน้าปัด พนักงานดักข่าวที่ยืนดูอยู่ใกล้ ๆ อุทานออกมาค่อนข้างดัง

" เครื่องถอดรหัสไฟฟ้า...โอ...หัวหน้า ผมนึกไม่ถึงจริง ๆ ถ้าไม่เห็นด้วยตา ผมเป็นไม่เชื่อเด็ดขาดเทวดาเท่านั้นที่สร้างเครื่องชนิดนี้ได้ "

" ไม่ใช่เทวดา นี่คือผลผลิตของ " ซี.ไอ.เอ." นักวิทยาศาสตร์ของหน่วยงานนี้ เพิ่งจะสร้างขึ้นสำเร็จอย่างสด ๆ ร้อน ๆ เพียงห้าเครื่อง สามเครื่องแรกอยู่ที่เกาหลี , ญี่ปุ่น , รัสเซีย สองเครื่องสุดท้ายอยู่ในจีนแดงและอุดร ตามลำดับมันยังได้ผลไม่ครบถ้วนตามเป้าหมายของเรา...รหัสอาจผิดพลาด วันนี้วันที่ 15 อีกสองวันเราจะได้พิสูทย์กันเสียทีว่า ไอ้เครื่องมือเทวดาอันนี้สมองกลของมันจะทำงานถูกต้องหรือผิดพลาดเพียงไร ? "

พอพูดจบ นอร์แมนก็หยิบ " มินิ-คอมพิวเตอร์ " ใส่กระเป๋าเดินออกไปจากห้อง โทรทัศน์วงจรปิดด้วยท่าทางรีบร้อน จุดหมายปลายทางของเขาก็คือห้องทำงานส่วนตัวซึ่งอยู่บริเวณท้ายสุดของตัวตึกชั้นที่สองของตึก " อินฟาเรด-ทีวี " นั่นเอง

05.30 น. ห่างจากเวลาที่ดักข่าวได้ 4 ชั่วโมงเต็ม ๆ " นอร์แมน " หรือชื่อจริงในทะเบียนประวัติของ ซี.ไอ.เอ. ว่า "เอ็ดการ์จ เบิร์ด " อดีต " เสนาธิการ ซี.ไอ.เอ." ในสมรภูมิลาว นั่งรถจี๊ปเล็กเลี้ยวควับเข้าไปจอดที่หน้าตึกสีขาวซีดข้างสถานีวิทยุ วปถ. จังหวัดอุดร อันเป็นแหล่งบัญชาการที่มีเรียกตามรหัสว่า บก. 333 หลังจากถูกเจ้าหน้าที่สารวัตรทหารตรวจบัตรผ่านเรียบร้อยแล้ว เขาก็ติดต่อโทรศัพท์ของพบผู้บัญชาการ บก.333 ทันที

05.45 น. นอร์แมน ก็ถูกนำตัวเข้าไปประชุมในห้องเก็บเสียง เพียงก้าวแรกที่พาตัวเองเข้าไปในส่วนประกอบของห้อง เข้าก็ต้องอุทานออกมาด้วยความดีใจ

"คุณ ธน" คุณเองหรอกหรือที่เป็น ผบ.อยู่ที่นี่...คราวแรกผมนึกว่าจะเป็นหัวหน้า " เทพ " เสียอีก...ยินดีครับที่พบกับหัวหน้าอีกครั้ง...ผมนึกไม่ถึงเลยจริง ๆ

ในขณะที่ยื่นมือออกไปสัมผัส นอร์แมน ก็กล่าวทักทายกับหัวหน้า " ธน " ผบ.บก. 333 ด้วยความคุ้นเคยกันเป็นพิเศษ...

" ธน " คือชื่อรหัส ยศทางทหารที่แท้จริงเป็นนายพลตรีแห่งกองทัพบกไทย จากอดีตหัวหน้าบริหารชั้นสูงของกองพันทหารรับจ้างในสมรภูมิลาว ทำให้เขาได้รับความไว้วางใจจากราชการให้มาปฏิบัติหน้าที่-ที่ บก.333แทน " เทพ " (พลโท วิฑูร ยะสวัสดิ์) ซึ่งถูกเรียกตัวเข้ามาเป็นมันสมองในกลาโหมอย่างกะทันหัน

การรบอย่างละเลงเลือดในเมืองลาวทำให้ " ธน " กับ " นอร์แมน " สนิทสนมกันพอสมควร พอสมครามลาวสงบ นอร์แมนก็ถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่ที่ศูนย์อพยพชาวญวนและลาวในสหรัฐ ส่วน "ธน" ข้ามกลับมาอยู่ที่อุดร เพื่อกระทำหน้าที่ประสานงานกับสหรัฐที่ตั้งฐานทัพอยู่ในประเทศไทยต่อไป

ความสนิทสนมและความผูกพันในอดีต ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินได้อย่างราบรื่น แผนการ " หักคอ " จารชนเวียดนามเหนือเจ้าของสมญานาม " ฮอง " ได้ถูกกำหนดขึ้นอย่างรัดกุม เจ้าหน้าที่ "ตอบโต้จารกรรม" ชั้นเซียนจากกรมประมวลและ ศรพ. ถูกเรียกตัวเข้ามาร่วมสมบทด่วน...เพียงชั่งโมง ทุกสิ่งทุกอย่างก็เรียบรร้อย นอร์แมนเร้นกลายเข้าไปในตลาดเมืองอุดรอย่างเงียบ ๆ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงต่อมาเขาก็กลายเป็นหมอสอนศาสนาผมเผ้ารุงรัง ขี่จักรยาน ตะเวนเผยแพร่ศาสนานิกายใหม่เอี่ยมอ่อง ไปตามแหล่งสลัม ด้วยมาดของผู้เคร่งครัดต่อพระเจ้าที่พูดภาษาไทยหยั่งกับน้ำไหลไฟดับจนบางคนคิดเลยเถิดไปว่า ไอ้หมอนี่อาจจะเป็น "ข้าวนอกนา" ที่ไอ้กันไข่ทิ้งไว้ก่อนหนีกลับสหรัฐก็ได้

ไม่มีใครสักคนที่จะล่วงรู้ความลับว่า "ไอ้หมอเพชฌฆาต" คนนี้เคยวางแผนถล่มชีวิตทหารเวียดนามเหนือราบเรียบเป็นหน้ากลองมาแล้วไม่ต่ำกว่า 20,000 คนขึ้นไป "นักบุญคนบาป" ที่มือซ้ายถือคัมภีร์ ส่วนมือขวามักจะทิ้งอยู่แนบกายรอเวลาที่จะกระตุก "ทูตมฤตยู" ที่ซุกซ่อนอยู่ในชุดหมอศาสนาขึ้นมาคายพิษให้แก่มนุษย์ทุกผู้ที่เป็นอันตรายต่อขบวนการ ซี.ไอ.เอ.

06.30 น. ของเช้าวันที่ 17 เดือนธันวาคม บริเวณด่านตรวจคนเข้าเมือง จังหวัดหนองคาย เงียบเชียบผิดปกติสถานการณ์ที่ตึงเครียดระหว่างลาวกับไทย ณ พรมแดน ทำให้ประชาชนทั้งสองฝ่ายที่เคยไปมาหาสู่กันโดยไม่ต้องใช้ " บอร์เดอร์ - พาส " ต้องยุติลงอย่างกะทันหัน และเมื่อประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยลาวออกคำสั่งห้ามประชาชนไทยและลาวที่ไม่มีพาสปอร์ตข้ามฝั่งอย่างเด็ดขาด ก็เลยทำให้ความชุลมุนวุ่นวายที่เคยมีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันลดหายไปจนมองดูเหมือนกับท่าข้ามเมืองหนองคายกลายเป็นท่าร้างไปอย่างถนัดใจ

สามล้อสองสามคนจับกลุ่มเล่นหมากฮอส พร้อมกับส่งสียงเชียร์กันอย่างเอ็ดอึง ห่างออกไปทางด้านขวามือบริเวณทางขึ้นประตูด่านตรวจ ขอทานแต่งตัวรุงรังสะพายวัตถุทุกชนิดเท่าที่เก็บได้ตามท้องถนนอีรุงตุงนังไปหมด ไม่ว่าจะเป็นกาน้ำ , กระป๋องนม , ขันพลาสติกแตก ๆ แถมสะพายมีดดาบพลาสติคอย่างทะมัดทะแมง นั่งพิงลูกกรงยิ้มกับท้องฟ้าอันสดใสด้วยมาดของจินตกวีที่ดื่มด่ำในความสุนทรีของธรรมชาติในยามเช้าและไม่ลืมที่จะวางขันอลูมิเนียมขนาดเล็กลงตรงเบื้องหน้า ป้ายภาษาไทยและอังกฤษที่แขวนเอาไว้ที่หน้าอกสะดุดสายตานักทัศนาจรทุกคนจนต้องหยุดมองและให้ทานด้วยความเต็มใจ

" โปรดทำทานแก่เหยื่อสงครามอินโดจีน...ชายคนนี้วิปลาสเนื่องจากการสู้รบในสงครามบัดซบนั้น "

เงินในขันอลูมิเนียมยังว่างเปล่า ชายขอทานขยับไฟฉาบขนาดแปดท่อนสนิมเขรอะบุบบู้บี้ที่ถืออยู่ในมืออย่างทะนุถนอม บางครั้งก็ยกปลายข้างหนึ่งแบบใบหูแล้วพูดกรอกลงไปในกระบอกไฟฉายค่อนข้างดัง

" ผู้พันครับ...ทุ่งไหหินแตกแล้วครับ...เห็นทีจะอยู่ไม่ได้ มันระดมยิงหนักเหลือเกิน "

เขาจะพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำซากจนประชาชนในตลาดเมืองหนองคายเห็นเป็นของธรรมดา บางที่เด็ก ๆ ก็จะเข้ามารุมล้อมหยอกล้อชายขอทานดังกล่าวด้วยความคึกคะนอง เขาก็จะกระตุกมีดดาบพลาสติคออกมากวัดแกว่งแล้วร้องลิเกด้วยน้ำเสียงที่หวานวิเวกจนลิเกอาชีพบางคนถึงกับอายไปเลยก็มี

ไม่มีใครรู้ว่าหัวนอนปลายตีนของชายขอทานผู้นี้มาจากไหน จู่ ๆ พอสงครามลาวสงบก็มาปรากฏตัวที่เมืองหนองคายแล้วเดินตระเวนไปตลอดทั้งวันอย่างไม่มีจุดหมายเก็บวัสดุทุกชนิดเท่าที่จะหาได้ ผูกสะพายติดเป้สนามเก่าคร่ำคร่า ริมฝีปากเหยียดยิ้มกับท้องฟ้าด้วยท่าทางวิกลจริตเต็มตัว

ที่พักประจำของขอทานก็คือด่านตรวจคนเข้าเมืองเขาจะมานั่งรอการบริจาคจากนักทัศนาจารที่ข้ามไปมาระหว่างประเทศทั้งสองด้วยรายได้ที่น่าอิจฉา สำหรับคนว่างงานบางคน

เจ้าหน้าที่เริ่มทยอยขึ้นมาทำงานและในเวลาเดียวกันนั้น นักทัศนาจรจากทุกชาติทุกภาษาถือพาสปอร์ดสากลต่างหิ้วสิ่งของมาให้ศุลกากรตรวจสินค้าต้องห้ามกันเป็นจ้าละหวั่นไปหมด เสียงแตรลมของเรือข้ามฟากจากฝั่งลาวที่วิ่งเข้ามาใกล้ทุกขณะ ทำให้ความชุลมุนวุ่นวายเพิ่มมากขึ้นอย่างช่วยเหลือไม่ได้ ท่าข้ามที่เซ็งและเงียบเหงามาตลอดเวลาถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยสรรพสำเนียงนานาชาติที่เซ็งแซ่จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

เรือข้ามฟากติดธงชาติลาว วิ่งแหวกสายน้ำที่ขุ่นคลักเข้ามาใกล้ฝั่งไทยทุกขณะ เสียงสามล้อรับจ้างที่ร้องตะโกนโหวกเหวก ทำให้ขอทานที่นั่งหลับไหลอยู่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาด้วยท่าทางเซื่องซืม เขาขยับตัวลุกขึ้นแล้วเคลื่อนที่ออกไปยืนยังจุดที่มองเห็นตัวเรือได้ถนัด พร้อมกับยกท่อนไฟฉายขึ้นส่องดูตัวเรือปากก็ตะโกนออกมาดัง ๆ

" เรือข้าศึกอยู่กลางแม่น้ำโขง มีทหารประจำอยู่สามคน ฝรั่งหนึ่ง ลาวสอง...ประจำสถานีรบ "

ประชาชนและสามล่อที่ยืนอยู่ในละแวกดังกล่าวต่างก็พากันหัวเราะครืนในความไม่เต็มเต็งของขอทานผู้น่าสงสารนั้น...แต่พอเรือข้ามฟากเทียบท่าทุกคนก็เพ่งความสนใจไปยังพื้นตลิ่งเบื้องล่างจนหมดสิ้น ละความสนใจจากชายวิกลจริตที่ออกลิงออกค่างอยู่หน้าด่านตรวจชั่วขณะ

ชายฉกรรจ์สามคนหิ้วกระเป๋าเดินไต่บันไดที่สูงลิบขึ้นมาบนด่านตรวจ สิ่งที่น่าสังเกตคนโดยสารสำหรับเรือข้ามฟากเที่ยวเช้านี้มีเพียงสามคนเหมือนกับคำพูดของขอทานไม่มีผิดคนที่เดินนำหน้าสูงกว่าหกฟุตขึ้นไป ผิวขาวหน้ากระเดียดไปทางลูกผสมระหว่างฝรั่งเศสกับลาวหรือว่าเวียดนาม ส่วนสองคนที่เดินกระย่องกระแย่งขึ้นมามองดูจากหน้าตาและท่าทางบอกยี่ห้อลาวร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม

"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา ชีิวิตคนก็เหมือนสะพาน  มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน" สมิง วังม่วง
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 68
ออฟไลน์

กระทู้: 7628


tel. 0861810566


« ตอบ #11809 เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2015, 10:35:34 AM »

เรื่องดับรามสูร นวนิยายยอดฮิต จาก ไทยรัฐ โดย สยุมภู ทศพล

ขอขอบคุณและขออนุญาติเผยแพร่หนังสือดีๆไม่ให้หายสาปสูญไป ขอขอบคุณ คุณ สยุมภู ทศพล

ผมขอขอบคุณร้าน สุหนังสือเก่า http://www.su-usedbook.com/ ที่ให้ยืมหนังสือเรื่องนี้ด้วยนะครับ

ดับรามสูร เล่มที่ 1 ตอนที่ 2


ชายฉกรรจ์หน้าตาเหมือนชาวยุโรป ผมสีบรอนซ์เป็นมันระยับเหมือนกับที่เพิ่งจะถูก "ย้อม" มาอย่างสด ๆ ร้อน ๆ คราบของยาย้อมผมที่เปรอะอยู่ตามตีนผม ทำให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองหน้าใหม่ ที่เพิ่งจะย้ายเข้ามาทำงานได้สองวัน ถึงกับชำเลืองมองด้วยสายตาที่พินิจพิจรณา

กระเป๋าเจมส์บอนด์ ถูกเปิดออกตรวจค้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน เมื่อพาสปอร์ตถูกประทับตราตามกรรมวิธีผ่านเข้าเมืองเสร็จเรียบร้อยแล้ว พนักงานคนที่ตรวจพาสปรอ์ตก็เอื้อมมือลงไปที่ขอบโต๊ะเบื้องล่าง ควานหาสวิทช์ เมื่อพบก็กดเป็นจังหวะสามครั้งซ้อน ๆ ซึ่งพร้อม ๆ กันนั้น ชาวยุโรปดังกล่าวก็หิ้วกระเป๋าเดินออกจากบริเวณด่านตรวจพอดิบพอดี

มันจำเพาะเจาะจงผ่านช่องทางเข้าออกที่ขอทานวิกลจริตยืนขวางอยู่พอดิบพอดี เขาปราดเข้าขวางมือซ้ายขยับป้ายที่แขวนอยู่ที่หน้าอกให้มันสะดุดตา เมื่อชาวยุโรปผู้นั้นไม่สนใจ เขาก็ใช้มือขวาสัมผัสที่ขอบกางเกงแล้วรูดตัวเองลงไปนอนซบไหว้อยู่ที่รองเท้า ปากก็ร่ำไห้ออกมาอย่างน่าเวทนา

ชาวยุโรปพยายามขยับเท้าทั้งสองให้พ้นจากมือของขอทาน ด้วยท่าทางขยะแขยง เมื่อไม่สำเร็จเขาก็หยิบธนบัตรดอลล่าร์หนึ่งฉบับวางแปะลงไปที่พื้นเบื้องหน้า แล้วชักเท้าก้าวข้ามร่างที่กำลังหยิบเงินดอลล่าร์ขึ้นมาดูด้วยท่าทางงก ๆ เงิ่น ๆ พาตัวเองเดินข้ามถนนมุ่งหน้าไปที่แนวจอดรถสามล้อด้วยท่าทางที่เหมือนว่า จะชำนาญภูมิประเทศของเมืองหนองคายไม่น้อยเลยที่เดียว

ขอทานขว้างเงินดอลล่าร์ลงบนพื้น ปากก็ตะโกนออกมาคับถนน

" ฝรั่งให้เงินปลอมกูด้าย...ไอ้หอก ไม่รู้จักกูซะแล้ว "

ในขณะที่กลุ่มสามล้อพรั่งพรูเข้าไปแย่งธนบัตรดอลล่าร์กันวุ่นวายอยู่นั้น ขอทานวิกลจริตก็เดินผละออกจากด่านตรวจตรวจคนเข้าเมือง พร้อมกับยกท่อนหัวกระบอกไฟฉายขึ้นมากรอกด้วยน้ำเสียงที่ผิดไปจากเมื่อกี้เป็นคนละคน

" เช็คพ้อยจากวณิพก...นกออกจากรัง...ไข่ไม่มี เลิกกัน "

พอพูดเสร็จขอทานวิกลจริตก็หัวเราะก๊ากออกมาสุดเสียงแล้ววิ่งเหยาะ ๆ ไปตามถนน ท่ามกลางความสมเพชของประชาชนที่มองดูอยู่ข้าง ๆ ทาง

รถแท๊กซี่ป้ายดำ ยี่ห้อมาสด้า 929 สีเขียวมะกอกจอดแช่อยู่ที่คิวรถตั้งแต่เช้าไม่ยอมรับผู้โดยสาร โชเฟอร์หน้าอ่อนเหมือนกับผู้หญิงประเภทสองนั่งคุยจุ๋งจิ๋งกับหนุ่มหุ่นสำอางหน้าตาหล่อเหลาหยั่งกับนักร้องลูกทุ่งยอดนิยม วิทยุบนชั้นคอนโซล ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ แต่ทว่าไม่มีเสียงดนตรีหรือเสียงโฆษณาใด ๆ ทั้งสิ้น มีแต่เสียงโครกครากของคลื่นสัญญาดังแว่วอยู่ไม่ขาดระยะ

" เช็คพ้อยจากวณิพก นกออกจากรัง ไข่ไม่มี เลิกกัน "

รหัสวิทยุดังแว่วออกมาจากลำโพงด้วยความดังของสัญญาที่ค่อนข้างจะเบาผิดปกติ กระเทยหนุ่มกับบุรุษหุ่นนักร้องไหวตัวเยือก

" อีจิ๋ว ผู้กองส่งข่าวมาแล้วโว้ย ไอ้ปีแอร์ออกจากด้านตรวจมาแล้ว ผู้กองตรวจค้นอย่างคร่าว ๆ ไม่พบอาวุธ เอ็งเตรียมตัวประเดี๋ยวสนุกแน่ ไม่เอ็งก็ข้าด้องเจอะกับมันเข้าซักคนหนึ่ง โชคดีโว้ย "

พอพูดจบ บุรุษหุ่นนักร้องก็กระโจนเผ่นลงไปจากรถ วิ่งเหยาะ ๆ ไปยัง " ดัทสัน 1300 " สีแดงจอดอยู่ขอบถนนติดเครื่องพารถขึ้นมาจอดอยู่หลังคิวของ " มาสด้า 929 " ทันที

ไม่ถึงห้านาที รถสามล้อก็พาชาวยุโรปเจ้าของนาม " ปีแอร์ " เข้ามาที่คิวรถแท็กซี่ป้ายดำ ทั้งไอ้จิ๋วและบุรุษหุ่นสำอาง ต่างก็ลงไปยื้อยุดฉุดมืออยู่ชั่วครู่ ความสำเร็จก็เป็นของไอ้จิ๋ว " ปีแอร์ " พาตัวเองขึ้นมานั่งด้านหน้าพร้อมกับพยักหน้าให้ไอ้จิ๋ว กระเทยตัวแสบหันไปยักคิ้วกับเพื่อนคู่หู พร้อมกับหรี่ตาเหมือนกับจะส่งอาณัติสัญญาณอะไรซักอย่างหนึ่ง แล้วติดเครื่องพารถออกจากท่าจอดหยั่งกับติดปีกบิน

" คุณคงจะเพิ่งมาเมืองไทย "

ไอ้จิ๋ว เปิดฉากสนทนาพร้อมกับชำเลืองดูเหตุการณ์ทางกระจกหลัง

" ผมไม่เข้าใจภาษาของคุณดีนัก...กรุณาพูดอังกฤษหรือฝรั่งเศสได้ไหมครับ ? "

ปีแอร์ ทำสีหน้าเหรอหรา แล้วพูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษอย่างชัดถ้อยชัดคำ

ไอ้จิ๋ว ไม่ตอบ มันค่อย ๆ ลดมือไปกุมคันเกียร์ พอหัวนิ้วโป้งไปสัมผัสกับปุ่มกึ่งกลางของคันเกียร์มันก็ค่อย ๆ ออกแรงกดทันที

ด้วยเครื่องอีเลคโทรนิคที่ออกแบบเป็นพิเศษมันสามารถดันเข็มฉีดยาบรรจุยาสลบอย่างแรงซึ่งซ่อนอยู่ในพนักพิงพุ่งออกมาสัมผัสสะโพกด้านหลังปีแอร์ พร้อมกับเดินยาสลบเข้าไปในร่างกายของเขาอย่างพอเหมาะพอเจาะ

ปีแอร์สะดุ้งขึ้นมานิดนึง ชั่วอึดใจศีรษะของเขาก็หงายเริด ขึ้นมองดูหลังคารถ ดวงตาหลับพริ้มหมดสติสัมปชัญญะไปในบัดดล

ไอ้จิ๋ว เอื้อมมือไปกดสวิทช์ที่แผงวิทยุ ดึงปากพูดที่ซ่อนอยู่ในตู้คอนโซนออกมากรอกคำพูดลงไปห้วน ๆ

" เฮดควอเตอร์จากเช็คพ้อย เรียบร้อยอีก 2 นาทีจะไปถึงที่หมาย "

พูดวิทยุยังไม่ทันจะขาดคำ ทางแยกลูกรังก็มองเห็นอยู่เบิ้องหน้า ไอ้จิ๋ว หักรถเลี้ยววูบเข้าไป โดยลดความเร็วลงนิดนึง พอเลยเข้าไปสุดทางก็เลี้ยวซ้ายเข้าไปจอดอยู่ในโรงเก็บรถที่มิดชิดของบ้านทรงโบราณอันกว้างใหญ่ไพศาลแต่ทว่าสงบเงียบวังเวง จนนึกไม่ถึงว่าจะมีมนุษย์อาศัยอยู่

รถตู้ทึบขนาดใหญ่เหมือนกับรถบรรทุกเครื่องมือซ่อมรถวิทยุของราชการทหาร จอดซุ่มอยู่ก่อนแล้ว พอรถของไอ้จิ๋วเข้าไปจอดเทียบ ประตูด้านท้ายก็เปิดผางออกทันที

ฝรั่งผิวขาวไม่ปรากฏสัญชาติที่แน่นอนสามคนกระโดดตุ๊บลงมาจากรถ ทั้งหมดสวมชุดเสื้อกาวน์แบบนายแพทย์ตามโรงพยาบาล มีผ้าก๊อซปิดคาดจมูกเอาไว้ทุกคน

ไม่ถึงสองนาที ปีแอร์ก็ถูกอุ้มขึ้นไปนอนเปลือยกายอยู่บนเตียงผ่าตัด โคมไฟขนาดใหญ่ที่สว่างจ้าอยู่บนเพดาน ถูกดึงลงมาที่บริเวณหน้าท้อง

เสื้อผ้าและกระเป๋าเจมส์บอนด์ ถูกตรวจค้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน ด้วยความรอบคอบ สำหรับกระเป๋าถูกสเก๊ตช์ตำแหน่งที่วางสิ่งของทุกชิ้นเอาไว้ก่อนอย่างแนบเนียน

ไม่มี " เอกสาร " ลับสุดยอดอยู่ในชุดเครื่องแต่งกายและในกระเป๋าเจมส์บอนด์นั้น !

รองเท้าถูกตรวจค้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง ซ่นที่หนาเตอะถูกงัดออกมาตรวจสอบทุกแง่ทุกมุม

" ไม่มีอะไรเลยครับ...หัวหน้า "

ฝรั่งคนหนึ่งพึมพำออกมา พร้อมกับค่อย ๆ จัดสิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ะไปบรรจุอยู่ในกระเป๋าเจมส์บอนส์ตามภาพสเก๊ตช์ด้วยความระมัดระวัง

ฝรั่งรูปร่างผอมสูง ลักษณะท่าทางเป็นหัวหน้าไม่พูดอะไรออกมาซักคำ เขาจ้องสำรวจร่างกายที่เปล่าเปลือยของปีแอร์ด้วยท่างทางพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง ก็ออกแรงพลิกร่างของจารชนจากเวียดนามเหนือให้นอนคว่ำลง

รอยแผลเป็นที่ถูกเย็บอย่างสด ๆ ร้อน ๆ ด้วยเอ็นแมวปรากฏหราอยู่ที่โคนขาบริเวณก้นกบด้านซ้าย หัวหน้าคณะใช้มือกดบาดแผลอยู่ครู่หนึ่งเหมือนกับชั่งใจแล้วหันไปออกคำสั่งห้วน ๆ

" ผ่าตัดแผลนี่ออก...ระวังเลือกเอ็นที่จะเย็บให้คล้ายคลึงกับของเก่าด้วย...ผมคิดว่าจะต้องพบ " ของ " อยู่ข้างในนี่อย่างเด็ดขาด "

ฝรั่งคนขวามือหยิบกรรไกรตัดเอ็นออกอย่างระมัดระวัง พอบาดแผลเปิดออก แค็ปซูลเล็ก ๆ ขนาดยา " คอร์แลม " ก็ทะลักตามเลือดออกมาทันที

" ไมโครฟิล์ม "

หัวหน้าคณะ อุทานออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความดีใจ พร้อมกับหยิบแค็ปซูลขึ้นมาวางบนจานอลูมิเนียมด้วยความระมัดระวัง ปากก็ออกคำสั่งต่อไปอีกอย่างห้วน ๆ

" เตรียมเครื่องขยายฟิล์ม "

เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างพร้อม หัวหน้าคณะก็บรรจงถอดรอยต่อแค็ปซูลออกอย่างระมัดระวัง แผ่นฟิล์มขนาดจิ๋วที่ได้รับการย่อส่วนแล้ว ถูกซุกซ่อนอยู่ในแค็ปซูลอย่างแนบเนียนก็ถูกคีบออกมาวางบนแป้นขยายฟิล์ม ชั่วอึดใจแผ่น ไมโครฟิล์มแผ่นนั่นก็ได้รับการขยายจากเครื่องอีเลคโทรนิคอย่างเรียบร้อย

หัวหน้าคณะคีบแผ่นไมโครฟิลม์ที่โตขนาดแผ่นแสตมป์ม้วนลงไปในแค็ปซูล แล้วปิดเอาไว้อย่างเดิม ทำความสะอาดยัดลงไปในแผล จัดแจงเย็บด้วยเอ็นแมวที่เลือกสรรเอาไว้แล้วด้วยความระมัดระวัง ตรวจตราบาดแผลอยู่ครู่หนึ่ง ก็จัดแจงแต่งกายให้จารชนเวียดนามเหนือทันที

" สิบนาทีกับสามสิบวินาที...คุณช่วยหมุนเข็มนาฬิการของมันถอยหลังกลับมาห้านาที...คราวนี้ต่อให้มันชาญฉลาดแค่ไหน มันก็ไม่สามาถที่จะพิสูจน์ได้ว่ามีอะไรบังเกิดขึ้นกับมันในขณะเดินทางเมื่อมันฟื้นขึ้นมา สภาพจิตใจของมันก็จะคิดว่าเผลอตัวหลับในขณะเดินทางเท่านั้น โอ.เค. อุ้มมันลงไปวางบนรถข้างล่างได้แล้ว ขอบใจทุก ๆ คน "

หัวหน้าคณะผ่าตัดฉุกเฉิน ยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกพร้อมกับกล่าวขอบคุณเพื่อนร่วมงานด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่แสดงออกถึงความภาคภูมิใจ ที่งานลับสุดยอดของ ซี.ไอ.ไอ. ได้ผ่านพ้นไปอย่างสะดวกโยธิน

ไอ้จิ๋วพาปีแอร์ขึ้นมาบนถนนใหญ่ "ดัทสัน-1300" ที่เพื่อนคู่หูจอดแช่อยู่ที่คิวรถเพิ่งจะพาผู้โดยสารกลุ่มใหญ่แซงผ่านหน้าไปอย่างสด ๆ ร้อน ๆ ไอ้จิ๋วส่งสัญญาณไฟหน้ารถ กระพริบเป็นรหัสมอส แจ้งผลการปฏิบัติงานอย่างสั้น ๆ เพื่อนคู่หูตอบรับด้วยการเปิดไฟเลี้ยวทั้งขวาและซ้ายพร้อม ๆ กัน แล้วเร่งเครื่องตีจากหายไปอย่างรวดเร็ว

ก่อนถึงอุดร ฯ สิบกิโลเมตร ปีแอร์ก็รู้สึกตัวฟื้นขึ้นมา ดูท่าทางเขางงงันต่อสภาพร่างกายของเขามาก เขาสะบัดศีรษะพร้อมกับปิดปากหาวด้วยท่าทางเซื่องซึม แต่ไม่วายที่จะเอื้อมมือออกควานหากระเป๋าเจมส์บอนด์ ซึ่งวางอยู่ข้าง ๆ ด้วยความระแวดระวัง อันเป็นนิสัยเคยชินของจารชนที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างจำเจ

ไอ้จิ๋วชำเลืองดูด้วยหางตา แล้วเหยียดยิ้มด้วยความสมเพช คันเร่งถูกเหยียบจนมิด มาสด้า 929 แล่นทะยานเหมือนธนูออกจากแหล่งจุดหมายปลายทางก็คือ " ศิริโฮเต็ล " อันเป็นที่พักซึ่งได้รับการนัดหมายเอาไว้แล้วจากหน่วยงานจารกรรมนอกประเทศของเวียดนามเหนือ

เสียงเครื่องปรับอากาศภายในห้อง " ศูนย์ปฏิบัติการจารกรรมนอกประเทศ " ของค่ายรามสูรครางกระหึ่มความเงียบและบรรยากาศที่ตึงเครียดของแต่ละคนที่กำลังจ้องสายตาเขม็งไปยังผนังตึกด้านหนึ่งที่ใช้เป็นจอภาพยนตร์ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายในห้องเก็บเสียงแห่งนั้น เงียบสงัดเหมือนปราศจากผู้คนโดยสิ้นเชิง

เครื่องฉายสไลด์และเครื่องฉายภาพยนตร์ตั้งอยู่บนโต๊ะเดียวกัน ณ บริเวณด้านหลังแถวเก้าอี้ พนักงานฉายทั้งสองคนก้มหน้าก้มตาอยู่กับเครื่อง ครู่หนึ่งก็เอื้อมมือไปกดสวิทช์ที่เรียงรายบนโต๊ะ แสงไฟที่สว่างนวลอยู่บนเพดานดับพรึ่บลงทันที

เครื่องฉายสไลค์เริ่มทำงาน ลำแสงส่องทะลุผ่านแผ่น " ไมโครฟิล์ม " ไปทาบอยู่ที่ผนังตึก ตัวอักษรเวียดนามที่ได้รับการขยายซ้ำเป็นครั้งที่สองเรียงรายเป็นพืดอยู่บนจอนั้น เสียงเลาว์ดสปีคเกอร์ซึ่งติดตั้งอยู่บนผนังด้านหนึ่ง แว่วกังวานออกมาเป็นภาษาอังกฤษด้วยท่วงทำนองช้า ๆ และข้อความเหล่านั้นก็ถอดออกมาจากตัวอักษรเวียดนามบนผนังตึกนั่นเอง

ถึงหน่วยงานที่ 13

1. ขอชมเชยผลงานครั้งที่แล้ว

2. ต้องการ " ข่าวกรอง " ด่วนในเรื่องต่อไปนี้

2-1. จำนวนอเมริกันทั้งทหารและพลเรือนที่เกี่ยวข้องกับ " รามสูร "

2-2. "ข่าวกรอง" เรื่องเครื่องบิน "บ-2" และ "เอส.อาร์. 71"

2-3. ปฏิบัติการทุกชนิดที่จะได้มาถึง " ข่าวกรอง " ที่ว่า ห้องใต้ดินของรามสูรเป็น "ศูนย์ควบคุมขีปนาวุธ" ที่ตั้งเป้าหมายการยิงครอบคลุมถึง ฮานอย และ นครปักกิ่ง งบประมาณและกำลังพลไม่อั้น...

2-4. พยายาม ถ่ายรูปหรือสะเก็ตช์ภาพเครื่องจักร "ภายใน" โรงงานผลิตอาวุธของกองทัพบกที่สรรพาวุธให้ได้

2-5. ให้ "เหงียน - วัน - เรย์" ดำเนินการปลุกระดมในหน้าหนังสือพิมพ์ที่ตัวเองเป็นผู้อำนวยการอยู่ให้หนักยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยใช้แผน "ด่าตัวเอง" กล่าวโจมตีเวียดนามเหนือ และคอมมิวนิสต์ เพื่อปกปิดสัญชาติอันแท้จริงของตัวเองและขอเพิ่มยอดเงินช่วยเหลือจาก "เหงียน - วัน - เรย์" เป็นเดือนละ 200,000 บาท

3. พลตรี " โว - วัน ทัน " จะมาส่งอาวุธด้วยตนเองที่ " ทุ่งหมาหอน " ในวันที่ 30 ธันวาคม เวลา 01.30 น. ตำบลเครื่องลงที่พิกัด 463427 "ช็อปเปอร์แพ็ค" (ที่จอดเฮลิคอปเตอร์) รหัส " กางเขนเพลิง "

4. เงินเรี่ยไรจากญวนอพยพทั้งหมดที่จะส่งไปช่วยเหลือเวียดนามเหนือ ประจำเดือนธันวาคม ให้ส่งมอบกับ พลตรี "โว - วัน - ทัน"

5. สัญญาณบอกพวก... "ดงซวน - ฮานอย"

ลงชื่อ วู-ดินห์-แฮห์

เลาว์ดสปีดเกอร์ อ่านทวนอีกครั้ง แล้วภาพไมโครฟิล์มบนผนังตึกก็หายแวบไปจากสายตา ก่อนที่เครื่องฉายภาพยนตร์จะทำงาน "นอร์แมน" ซึ่งนั่งอยู่ใกล้เครื่องฉายก็หันหน้ามาออกคำสั่งเบา ๆ

"อย่าเพิ่งฉาย...เปิดไฟก่อน...ทุกคนโปรดไปรอผมที่ห้องทะเบียนประวัติ ผู้พันแสตนเล่ห์อยู่กับผมก่อน"

คำสั่งของนอร์แมน คล้ายกับจะไล่เจ้าหน้าที่ ที่ไม่เกี่ยวข้องให้ออกไปจากห้องอยู่ในที และทุกคนต่างก็รู้หน้าที่ของตัวดีว่าอะไรเป็นอะไร ชั่วอึดใจห้องฉายภาพยนตร์ก็เหลือเสนาธิการชั้นหัวกระทิอยู่เพียงสองคน

" - แสตนเล่ห์ ข่าวกรองข้อ 2, ข้อ 2-1, ข้อ 2-2, ข้อ 2-3 คือข่าวกรองที่เกี่ยวข้องกับค่ายรามสูรโดยตรง...สำหรับข่าวชิ้นนี้เราจะไม่แจ้งให้ทางรัฐบาลไทย (บก.333) ทราบ เราจะจัดจารกรรมตอบโต้พวกมันเอง ส่วนข้อ 2-4, ข้อ 3, ข้อ 4 เป็นหน้าที่ ที่ บก. 333 จะต้องปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใด ด้วยกำลังพลของเค้าเอง โดยมีเราสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง...สำหรับคุณมีแผนอะไรที่นอกเหนือกว่านี้ ลองเสนอผมดู"

พ.ท. แสตนเล่ห์ อดีตกรีนเบเร่ต์จากสงครามเวียดนามใช้ดินสอแดงที่ถืออยู่ในมือเคาะกับที่ท้าวแขนเหมือนกับจะใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วขยับตัวลุกขึ้นยืนโพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

" สำหรับข้อ 3. ผมอยากจะให้พวกเราร่วมมือกับ บก. 333 ด้วย...ผมเชื่อว่า ชอร์ปเปอร์ที่จะมาส่งอาวุธจะต้องเป็นช็อร์ปเปอร์ที่สวมท่อเก็บเสียงรุ่นใหม่ของโซเวียตอย่างเด็ดขาด...มันเป็นโอกาสทองของพวกเราแล้ว ไม่ใช่หรือครับหัวหน้า...น้อยครั้งนักที่นายทหารชั้นนายพลของเวียดมินห์ จะเดินทางข้ามพรมแดนเข้ามาถึงในประเทศไทย...สิ่งหนึ่งที่ผมแปลกใจก็คือทำไมเรด้าร์ของเราถึงจับทิศทางมันไม่ค่อยได้ "

ประโยคสุดท้าย ผู้พันแสตนเล่ห์ บ่นพึมพไหมือนกับจะพูดกับตัวเอง

" - แผนของคุณทำให้ผมนึกถึงคำสั่งจาก " เพนตากอน " (กลาโหมสหรัฐ) ขึ้นมาได้...โอ เค...หน่วยงานของเรากำลังต้องการแบบ " พิมพ์เขียว " ของชอร์ปเปอร์รุ่นใหม่จากรัสเซียอยู่พอดี...ไม่ได้แบบพิมพ์ก็เล่นเอาเครื่องจริง ๆ ของมันไปเลย...แต่อย่าลืม พวกเราจะไปเข้าร่วมปฏิบัติงานโดยออกหน้าออกตากับทหารไทยโดยเปิดเผยไม่ได้อย่างเด็ดขาด คุณก็รู้อยู่แล้ว่า สื่อมวลชนซ้ายจัดบางฉบับกำลังจ้องเล่นงานพวกเราอยู่ทุกขณะ...เราจะต้องใช้หน่วย "เพชฌฆาตรับจ้าง" ที่เป็นคนไทยล้วน ๆ เข้าปฏิบัติงานแทน"

"หน่วยเพชฌฆาตรับจ้าง"

พ.ท. สแตนเล่ห์ พึมพำออกมาเบา ๆ พร้อมกับขมวดคิ้วทำสีหน้าเคลือบแคลงใจ

ครับ...หน่วยเพชฌฆาตรับจ้างที่ขึ้นตรงต่อองค์การ ซี.ไอ.เอ. โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของหน่วยนี้เคยผ่านงานวินาศกรรมและจารกรรมในสงครามลาวมาแล้วอย่างโชกโชน พอสงครามสงบ เขาเหล่านี้ก็กลับมาประกอบอาชีพตามถนัดในประเทศไทย บางคนก็อยู่ในคุก บางคนก็ตั้งแก๊งยาเสพติด แต่ทุกคนจะหนีกรงเล็บของ ซี.ไอ.เอ. ไปไม่พ้นผู้พันแสตนเล่ห์ ผมจะปลุกวิญญาณพวกเพชฌฆาตรับจ้างเหล่านี้ให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีก คอยดูก่อนถึงหมายกำหนดการ ผมจะลากไอ้พวกมืองสังหารเหล่านี้ให้มารวมกันอยู่ที่นี่ให้หมดพวกมันจะต้องตกเป็นทาสของดอลล่าร์อย่างโงหัวไม่ขึ้น พวกมันจะต้องตายแทนอเมริกันด้วยความเต็มใจ ไปที่ห้องทะเบียนประวัติเถอะครับ ป่านนี้พวกนั้นคงจะรอเราอยู่แล้ว

พอดูจบ " นอร์แมน " หัวหน้าข่าวกรองรามสูรก็พาตัวเองเดินออกมาจากห้องศูนย์จารกรรมนอกประเทศด้วยท่าทางรีบร้อน

โคมไฟชนิดปรับระยะ ได้ถูกดึงลงมาส่องสว่างอยู่เหนือโต๊ะทำงานขนาดใหญ่การปรับระยะที่แนบเนียนทำให้ใบหน้าของผู้ที่นั่งอยู่เบื้องหลังโต๊ะเป็นเงาสลัวเหมือนกับซ่อนอยู่ในฉากที่มืดทึบ แป้นโทรศัพท์สีแดงและขาวที่ตั้งอยู่คู่กันสะท้อนแสงวูบวาบ จนกระทั่งผู้ที่นั่งซ่อนอยู่ในเงามืดถึงกับหยีตาลงชั่วขณะ

มืออันหยาบกระด้างและแข็งแรงเอื้อมมาหยิบแฟ้มสีดำที่วางซ้อนกันอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้าออกมาวางเรียงรายตามลำดับหมายเลขที่กำกับอยู่บนแฟ้มนั้น "ตรา-ทอป-ซี-เครท" (ลับสุดยอด) สีแดงที่ประทับอยู่เหนือตัวเลขอารบิคเด่นอยู่ท่ามกลางแสงไฟ เขาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก็บรรจงเปิดแฟ้มหมายเลข 1 ออกช้า ๆ พร้อมกับระบายยิ้มอย่างภาคภูมิใจเมื่อมองเห็นรูปถ่ายของเขาเองปรากฏหราอยู่บนนกระดาษอาร์ตสีขาวปึกหนานั้น

มันเป็นรูปถ่ายตรงหน้าขนาดโปสการ์ดของพันโทแห่งกองทัพบกสหรัฐ หน้าอกด้านซ้ายติดแถบและเหรียญกล้าหาญแพรวพราวไปหมด ริมฝีปากที่บางเฉียบและศีรษะที่ค่อนข้างจะอัตคัดผมของบุคคลในภาพถ่ายทำให้บุรุษที่นั่งยิ้มอยู่คนเดียวในเงามืดยกมือข้างหนึ่งขึ้นไปลูบกระบาลที่ใสเหน่งของตัวเองด้วยความเผลอตัว ชั่วอึดใจเขาก็ลดมือลงผลักแฟ้มดังกล่าวออกไปที่มุมโต๊ะด้านซ้ายมือ ด้วยท่าทางที่บังเกิดอารมณ์ฉุนเฉียวมาอย่างปัจจุบันทันด่วน

"ออกมา...ไอ้พวกเพชฌฆาตอาชีพ...พวกเอ็งจะต้องตกเป็นทาสของ ซี.ไอ.เอ. ไปจนตาย ถึงพวกเอ็งจะอยู่ในขุมนรกชั้นไหน...ข้าก็จะลากพวกเอ็งขึ้นมาเพื่องานครั้งนี้ให้จงได้ "

เขาพึมพำออกมาเหมือนกับจะพูดกับตัวเอง แล้วค่อย ๆ เปิดแฟ้มหมายเลข 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ออกมาวางเรียงราย แสงสว่างเหนือโต๊ะสาดให้เห็นภาพถ่ายบุคคลต่างอาชีพกันโผล่หน้าสลอนอยู่ในแฟ้มลับสุดยอดนั้น

เขาใช้ดินสอแดงขีดเส้นใต้ลงภายใต้ภาพของบุรุษผิวดำหน้าบาก ศีรษะโล้นซึ่งชื่อบ่งเอาไว้ว้า " โมฮาหมัด อับดุลราห์มาร์ " พร้อม ๆ กับพึมพำออกมาอีกครั้ง

" - มิสเตอร์ โล้น...ผลงานในสมรภูมิลาวของคุณเป็นที่กล่าวขวัญกันในหน่วยงาน...คุณไม่น่าพลาดให้ตำรวจไทยจับเข้าไปขังอยู่ในลหุโทษเลย...ไม่มีสิ่งไหนภายใต้ดวงอาทิตย์ที่ ซี.ไอ.เอ. จะทำไม่ได้...ผมจะเอาคุณออกมาเอง...มิสเตอร์โล้น "

ประโยคสุดท้าย " นอร์แมน " คำรามออกมาด้วยเสียงลึก ๆ พร้อมกับใช้มือขวากระแทกอุ้งมือซ้ายเต็มแรง

"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา ชีิวิตคนก็เหมือนสะพาน  มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน" สมิง วังม่วง


บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 68
ออฟไลน์

กระทู้: 7628


tel. 0861810566


« ตอบ #11810 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2015, 08:38:19 AM »

 เรื่องดับรามสูร นวนิยายยอดฮิต จาก ไทยรัฐ โดย สยุมภู ทศพล

ขอขอบคุณและขออนุญาติเผยแพร่หนังสือดีๆไม่ให้หายสาปสูญไป ขอขอบคุณ คุณ สยุมภู ทศพล

ผมขอขอบคุณร้าน สุหนังสือเก่า http://www.su-usedbook.com/ ที่ให้ยืมหนังสือเรื่องนี้ด้วยนะครับ

ดับรามสูร เล่มที่ 1 ตอนที่ 3

รถตู้ทึบขนาดใหญ่ มีตราขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยติดหราอยู่ข้าง ๆ รถ วิ่งช้า ๆ ข้ามสะพานข้างโรงสี แล้วเลี้ยวผ่านกระทรวงกลาโหมด้านหลังมุ่งตรงไปตามถนนที่ตัดออกไปยังบริเวณท้องสนามหลวงด้านหลังศาลอาญา

06.50 น. พอดิบพอดี เนื่องจากเป็นเวลาเช้าพอสมควร การจราจรในถนนสายนั้นก็เลยเบาบางจนแลดูโล่งไปหมดทั้งถนน

เครื่องยนต์สำลักติด ๆ กันแล้วก็หยุดเอาดื้อ ๆ พนักงานขับรถพยายามสตาร์ทอยู่สองสามครั้ง เมื่อเห็นว่าเครื่องยนต์ไม่ติดแน่ก็เปิดประตูกระโดดลงมาทำหน้ายู่ยี่บ่นเป็นหมีกินผึ่ง พร้อมกับเปิดฝากระโปรงหน้ารถตรวจดูเครื่องยนต์อย่างอารมณ์เสีย

" ช่วยสตาร์ทให้ด้วยโว้ย...จิตต์ ไอ้ห่าเมื่อกี้นี้ก็ ยังดี ๆ อยู่นี่หว่า "

พนักงานขับรถร้องตะโกนบอกเด็กหนุ่มเจ้าของชื่อจิตต์ที่นั่งอยู่หน้ารถ

เกือบสิบนาที ที่ทั้งสองช่วยกันแก้เครื่องยนต์ จนแล้วจนรอด ก็ไม่สามารถที่จะแก้ความพยศของเจ้าของรถตู้ทึบคันนี้ได้

ชายฉกรรจ์ในชุดสีกากี อันเป็นเครื่องแบบของกรมราชทัณฑ์สองคน สะพายปืนยิงเร็ว " แบเรตต้า" เดินออกจากช่องประตูเข้าออกของศาลอาญา เข้ามาหยุดยืนอยู่ที่หัวรถตู้ทึบ ซึ่งขณะนี้ส่วนหัวของมันจอดขวางทางเข้าออกอยู่พอดิบพอดี

"- คุณ...คุณครับ...ประเดี๋ยวรถบรรทุกนักโทษจะผ่านเข้าออกทางประตูด้านนี้ กรุณาถอยรถให้พ้นประตูด้วยครับ "

คนหนึ่งที่มีรูปร่างอ้วนเตี้ยกล่าวขึ้นมาอย่างสุภาพพนักงานขับรถกระแทกฝาปิดหน้าหม้อรถโครมใหญ่ แล้วหันกลับมาตอบด้วยน้ำเสียงอ่อย ๆ

"สตาร์ทไม่ติดครับ ผมหมดปัญญาแล้ว ถ้ากรุณาช่วยผมเข็นพอให้พ้นช่องทางนี่ ก็เห็นจะแก้ปัญหาได้ละกระมังครับ"

เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ หรืออีกนัยหนึ่ง ผู้คุมนักโทษหันไปมองหน้ากันอยู่ชั่วครู่ คนที่โย่งกว่าเพื่อนพยักหน้าเป็นเชิงเห็นใจ แล้วขยับออกเดินไปท้ายรถ

จิตต์ขึ้นไปถือพวงมาลัย ผู้คุมทั้งสองกับพนักงานขับรถออกแรงเข็นจนตัวโก่ง เจ้ารถตู้ทึบจึงค่อย ๆ ขยับอย่างเชื่องช้า กว่าจะดันส่วนท้ายของมันให้พ้นช่องทางเข้าออกไปได้ก็เล่นเอาเหงื่อตกทั้งสามคน

"-บรรทุกอะไรครับหนักเหลือเกิน...นี่ดีว่าพื้นถนนมันลาดลงไปข้างหน้า...ถ้าเป็นพื้นเรียบ ๆ สามคนเห็นจะไม่มีทาง"

ผู้คุมคนเตี้ยที่สุดพูดพรางหอบพลาง พร้อมกับห่อปากพ่นลมออกมาอย่างเหน็ดเหนื่อยเอาการ

" - เครื่องมือแก้โทรศัพท์ทั้งนั่นแหละครับ วันนี้ทั้งวันผมต้องออกเช็คย่านสนามหลวงทั้งหมด น่ากลัวเห็นจะเสียงานเสียแล้ววันนี้...ขอบคุณมากครับ "

พนักงานขับรถพูดรักษาน้ำใจผู้คุมออกไปพร้อมกับผละเดินขึ้นไปนั่งแทนที่จิตต์ ซึ่งขณะนี้เลื่อนตัวเองออกไปยังอีกด้านหนึ่งของรถ แล้วสอดสายตามองไปรอบ ๆ ด้านอย่างพินิจพิจารณา

" - เจ้านายติดต่อมาหรือยังวะจิตต์ " พนักงานขับรถหันไปถามเพื่อนร่วมเดินทางอย่างห้วน ๆ

" - ยัง...พี่ชาติ...ไอ้สองคนเมื่อตะกี้นี้มันสงสัยอะไรบ้างหรือเปล่า - พี่ ? "

ประโยคสุดท้าย จิตต์เอ่ยปาก ถามออกไปพร้อมกับใช้สายตามองที่กระจกตรงบังโคลนรถเบื้องหน้าสำรวจดูผู้คุมที่กำลังยืนคุยกันอยู่หน้าช่องทางประตูเข้าออกของศาลอาญาอย่างหวาดระแวง

" มันจะไปรู้อะไรวะ...อย่าไปสนมันเลย นั่นเจ้านายเรียกมาแล้ว " ไฟแดงจากแผงหน้าปัดกะพริบถี่ ๆ ติด ๆ กัน จิตต์เอื้อมมือหยิบปากพูดหูฟังซึ่งสียบอยู่ข้าง ๆ พวงมาลัยขึ้นมาแนบที่หู

" - กระทิงแดงจากเสือดำ...นกออกจากรังแล้ว "

คำสั่งที่เป็นรหัสลับ...ห้วน...และสั้น แว่วออกมาจากหูฟังขนาดเล็ก ซึ่งความดังของมันพอที่จะได้ยินเพียงในระยะใกล้ ๆ เท่านั้น

" เสือดำจากกระทิงแดง...แผนหนึ่งเรียบร้อย...เลิกกัน "

จิตต์ตอบวิทยุกลับไปอย่างห้วน ๆ ชาติเอื้อมมือไปที่แผงหน้าปัดทางซ้ายมือสุด กดปุมที่ซ่อนอยู่ข้าง ๆ แผ่นไฟร์เบอร์ที่ปิดพรางเอาไว้ เลื่อนออกช้า ๆ พร้อม ๆ กับโทรทัศน์ขนาดหกนิ้วปรากฏโฉมอยู่อย่างแนบเนียน

สวิทช์เปิดปิดถูกเลื่อนไปในตำแหน่ง " เปิด " ชั่วอึดใจภาพอันชัดเจนของถนนสายหน้าเรือนจำคลองเปรมก็ปรากฏขึ้นมาในจอโทรทัศน์

ด้วยประสิทธิภาพของกล้องส่งโทรทัศน์ขนาดเล็กที่ซุกซ่อนอยู่บนรถโฟล์คตู้ทึบคันที่กำลังแล่นเอื่อย ๆ ติดตามรถบรรทุกนักโทษจากลหุโทษมุ่งหน้ามาทางโรงภาพยนตร์เฉลิมไทย...ทำให้รถตู้ทึบคันดังกล่าวมองเห็นการเคลื่อนไหวของรถบรรทุกอยู่ตลอดเวลา

รถบรรทุกนักโทษ เลี้ยวซ้ายผ่านเฉลิมไทยเนื่องจากการจราจรย่านถนนราชดำเนินกำลังแออัดยัดเยียด ก่อนรถจะถึงวงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยจึงต้องเสียเวลาอยู่นานพอสมควร

" กระทิงแดง...ไอ้แสบ นั่งอยู่ด้านในสุดติดกับห้องคนขับ...ไอ้โล้นท้ายรถ...เตรียมแผนที่สอง "

คำสั่งจากวิทยุได้แว่วขึ้นอีกครั้งและคราวนี้เนื่องจากรถโฟล์คได้เลื่อนมาจอดอยู่ใกล้กับท้ายรถบรรทุกนักโทษภาพที่ออกมาในจอจึงสามารถมองเห็นร่างของบุรุษที่ถูกกล่าวนามทั้งสองคนนั่งตัวลีบปะปนอยู่กับนักโทษอย่างถนัดชัดเจน

" พี่ชาติ ดูโน่น พี่แสบ, พี่โล้น นั่งหน้าม่อยอยู่หลังลูกรงเหล็กโน่น...ทนเอาหน่อยนะลูกพี่ ประเดี๋ยวไอ้จิตต์จะเอาลูกพี่ออกมาชมกรุงเอง "

" อย่าเสือกทำเป็นเล่นอยู่น่า ติดเครื่องรถได้แล้ว...เร็วเข้า ไอ้หอก รถนักโทษถึงหน้ากรมประชา ฯ แล้วโว้ย "

ชาติพูดพลางเอื้อมมือลงไปที่พื้นรถหยิบซองผ้าใบแบน ๆ ขึ้นมา แก้ห่อออกอย่างรวดเร็ว แล้วหยิบปืนรูปร่างแปลกประหลาดขึ้นมาวางไว้บนตัก

มันเป็นปืนกลมือรุ่นล่าสุดในตระกูลของ " เอช-เค " ซึ่งเพิ่งจะผ่านการทดสอบไปอย่างสด ๆ ร้อน ๆ และยังไม่ได้รับเข้าประจำการตามหน่วยราชการในประเทศไทยแต่อย่างใด

จากลักษณะที่พิกล ๆ ผิดปืนธรรมดาก็อีตรงลำกล้องที่อวบใหญ่เกือบเท่าปากกระบอกของปืน " เอ็ม-79 " แถมยาวตลอดจนจรดศูนย์หลัง

ชาติดึงพานท้านที่หดอยู่ออกกางเต็มที่ ทำให้ส่วนยาวของมันเพิ่มจากเดิมถึง 6 นิ้วฟุตเต็ม ๆ

แม็กกาซีนบรรจุเต็มอัตรา 30 นัด สองแม็กกาซีนถูกแผ่นสก๊อซเทปเชื่อมติดต่อกันในลักษณะหันก้นแม็กกาซีนชนกันแล้วยัดผลัวะเข้าไปในช่องหน้าเครื่องลั่นไกเสียงดัง " เช้ะ "

จากลักษณะดังกล่าว ทำให้เป็นที่สังเกตุได้ว่าผู้ที่ใช้ปืนจะต้องผ่านหลักสูตร " คอมมานโด " หรือหลักสูตรฆ่าคนมาแล้วอย่างโชกโชน

มือปืนสมัครเล่นทั้งหลายถ้าเห็นการใส่แม็กกาซีนแบบนี้ขอให้พึงระลึกเถิดว่า ได้พบกับมือปืนอาชีพที่ผ่านการฆ่าคนมาแล้วอย่างวินาศสันตะโร

ปืนกลทุกชนิดช่วงที่เสียเปรียบก็คือ ตอนกระสุนหมดแม็ก ฯ จังหวะที่กำลังเปลี่ยนแม็กกาซีนก็คือจังหวะที่เจ้าของปืนต้องพบกับความตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น ความรวดเร็วในการเปลี่ยนแม็ก ฯ ก็คือช่วงที่โสภาที่สุดในการเซฟชีวิต ใครเร็วกว่าคือผู้ชนะ

จากระบบแม็กกาซีนพ่วงท้าย เมื่อกระสุนหมดผู้ยิงเพียงแค่คลายล็อค แล้วดึงแม็ก ฯ ออกกลับทางเอาส่วนล่างสุดแม็ก ฯ ยัดเข้าไปแทนที่เดิมเท่านั้น ผู้ที่ชำนาญและฝึกฝนมาอย่างดีจะใช้เวลาเพียงหนึ่งวินาทีเท่านั้นเอง หนึ่งวินาทีที่สามารถยิงติดต่อกันได้ถึง หกสิบนัด...แล้วปืนกลชนิดอื่น ๆ จะไปหยุดยั้งมันได้อย่างไร

เครื่องยนต์ที่เสียมาตลอดเวลาเกือบยี่สิบนาทีถูกสตาร์ทครางกระหึ่ม จิตต์ถือกระเป๋าผ้าในขนาดใหญ่ด้วยมือข้างขวา ส่วนมือซ้ายหิ้วเครื่องโทรศัพท์กระโดดลงจากรถเดินผ่านผู้คุมทั้งสองที่มองดูด้วยความสงสัย

" เครื่องติดแล้วหรือครับ...คุณคงจะเข้าไปข้างในใช่ไหมครับ "

จิตต์ยิ้มให้ผู้คุมอย่างใจเย็น พูดพลางเดินพลางผ่านเข้าไปด้วยอาการปกติ

" ครับ จานจ่ายสกปรกนิดหน่อย...ผมจะต้องเข้าไปเช็คสายข้างใน สายพันกันอยู่ตลอดเวลาพูดกันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง "

คงจะเป็นด้วยเครื่องแบบพนักงานโทรศัพท์ที่จิตต์สวมอยู่นั่นเอง ที่ทำให้ผู้คุมทั้งสองมิได้ติดใจสงสัยอะไรต่อไป

จิตต์ผ่านช่องประตูเข้าออก เดินทะลุเข้าไปในห้องโถงของตึกศาลอาญา ซึ่งขณะนี้บรรดาเจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์และเจ้าหน้าที่บางส่วนกำลังนั่งทำงานกันตามโต๊ะแน่นขนัดไปหมด

จิตต์เดินเข้าไปที่โต๊ะโทรศัพท์ หลังจากอธิบายให้เจ้าหน้าที่เข้าใจในวิธีการบางสิ่งบางอย่างแล้วก็จัดแจงเปลี่ยนเครื่องโทรศัพท์เครื่องเก่าออก ต่อจากนั้นก็เอาเครื่องที่ถือติดมือเข้าไปด้วยต่อกับสายเมนใหญ่ พร้อมกับหันด้านแป้นหมุนซึ่งใหญ่โตผิดปกติเข้าไปทางกลุ่มคน

" อย่าพึ่งใช้โทรศัพท์นะครับ ผมจะออกไปเอาเครื่องมือที่รถข้างนอก...ประเดี๋ยวก็เสร็จครับ "

จิตต์เอ่ยอย่างสุภาพกับเจ้าหน้าที่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ซึ่งก็ได้รับรอยยิ้มแทนคำตอบเป็นทำนองเข้าใจ เขาก็เลยทิ้งโทรศัพท์เครื่องเก่าเอาไว้บนโต๊ะ หิ้วกระเป๋าถือที่หนักอึ้งติดมือออกไปด้วย

โผล่ออกไปนอกห้องก็พอดีรถบรรทุกนักโทษกำลังเลี้ยวข้ามสะพานเข้ามาพอดิบพอดี

ในขณะที่รถบรรทุกนักโทษกำลังถอยหลังเอาส่วนท้ายแหย่เข้าไปในช่องเข้าออกอยู่นั้น รถโฟล์ตู้ทึบซึ่งวิ่งตามมาอยู่ตลอดเวลาก็วิ่งเลยไปทางด้านกระทรวงกลาโหมพอถึงแยกไปศาลเจ้าพ่อหลักเมืองก็กลับรถจอดซุ่มคุมเชิงอยู่ข้างทางนั่นเอง

จิตต์ค่อย ๆ ล้วงมือลงไปในกระเป๋าผ้าใบ หยิบวัตถุแบน ๆ คล้าย ๆ กับมาตรวัดไฟขึ้นมาถือไว้ในมือแล้ววางกระเป๋าลงข้าง ๆ ตัว สายตามองไปที่ท้ายรถบรรทุกนักโทษคล้ายกับค้นหาบุรุษที่ปรากฏอยู่ในจอโทรทัศน์เมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา

ผู้คุมทั้งสองคนขยับปืน "แบเรตต้า " ที่สะพายอยู่บนบ่าลงมากระชับอยู่ในซอกแขน แล้วก้าวเท้าออกไปยืนขนาบอยู่คนละด้านของท้ายรถ

ส่วนผู้คุมซึ่งนั่งอยู่ท้ายรถก็จัดแจงไขประตูแล้วดึงบานประตูที่กรุด้วยเหล็กเปิดออกตะโกนปรามนักโทษที่กำลังส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันให้แซดไปหมด

" เฮ้ย ค่อย ๆ หน่อยโว้ย...รู้จักเคารพสถานที่บ้างซีวะ ไอ้ห่า...พวกมึงนี่ฟังภาษาคนไม่ค่อยจะรู้เรื่อวเลยนี่หว่า "

มีเสียงหัวเราะเกรียวกราวดังขึ้นลั่นรถ ติดตามด้วยเสียงแหบ ๆ จากคนหนึ่งของกลุ่มนักโทษที่อยู่ข้างในสุดร้องตอบออกมา

" ภาษาคนหูของผมไม่ถึงหรอกครับเจ้านาย ถ้าพูดภาษาคุกละก็พอจะฟังออกบ้าง...เฮ้ยหยุดเห่าหอนได้แล้วโว้ย รถทัศนาจรถึงพัทยาแล้ว "

เสียงเอะอะเจี๊ยวจ๊าวเงียบลงชั่วขณะ จิตต์ใช้มือข้างที่ว่างเลื่อนปุ่มสวิทช์ปุ่มที่อยู่ทางขวามือสุดไปทางซ้ายจนมีเสียงดัง "คริ๊ก" เบา ๆ

แสงไฟสีเขียวพร่างพรายขึ้นมาที่ช่องหน้าปัดพร้อมกับมีเสียงซู่ซ่าของคลื่นวิทยุแทรกเข้ามาเบา ๆ จิตต์ขบกรามแน่น ค่อย ๆ ใช้มือกดปุ่มสีแดงข้าง ๆ หน้าปัดอย่างใจเย็น

"...บึ้ม"

มีเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นภายในห้องโถงแรงผลักดันของดินระเบิดทำให้อากาศวูบวาบ ควันสีเหลืองเข้มพวยพุ่งออกมาจากจุดระเบิดเหมือนกับท่อแก๊สรั่ว เจ้าควันดังกล่าวเริ่มสาดออกไปรอบทิศ เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในรัศมีของมันเมื่อสูดควันดังกล่าวออกไป ก็มีอาการล้มร่วงผล็อยลงกับพื้นเป็นแถว

มันคือควันสลบอย่างแรงที่ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในประเทศไทย

เจ้าควันมฤตยูดังกล่าวถูกอัดแน่นอยู่ในตัวเครื่องโทรศัพท์ซึ่งทำหน้าที่เป็นระเบิดเวลาที่อาศัยเครื่องส่งวิทยุจุดชนวนให้ระเบิดตามเวลาที่ต้องการ

จากเครื่องส่งวิทยุแบตเตอรี่แห้ง จิตต์สามารถระเบิดเครื่องโทรศัพท์ได้สำเร็จตามแผนการอย่างสะดวกโยธิน และในขณะเดียวกันควันสีเหืองที่คละคลุ้งอยู่เต็มห้องก็เริ่มลามเลียออกมานอกห้องบ้างแล้ว

จิตต์รีบล้วงมือลงไปในกระเป๋าผ้าใบหยิบหน้ากากไอพิษขึ้นมาสวมอย่างรวดเร็วพร้อม ๆ กันนั้นชาติซึ่งกระโดดลงจากตู้ทึบอย่างได้จังหวะจะโคน ก็วิ่งปราดเข้าไปที่ช่องประตูหน้ารถบรรทุกนักโทษ แหย่เจ้าปืนกลกระบอกโตพรวดเข้าไปลั่นไกอย่างใจเย็น

"เปาะ...เปาะ...เปาะ...เปาะ"

นอกจากจะรูปร่างพิกลแล้ว เสียงระเบิดของมันยังพิกลตามออกไปด้วย...ด้วยเสียงที่ค่อนข้างเบาเหมือนกับเสียงหักกิ่งไม้แห้ง ก็เลยไม่ทำให้กลุ่มผู้คุมและนักโทษที่กำลังตกตะลึงกับเสียงระเบิดรู้สึกตัวแต่ประการใด

พลขับรถตาเหลือกโพลง ร่างแอ่นตะกายขึ้นสุดตัวจนศีรษะเกือบถึงหลังคารถแล้วคว่ำหน้าลงซบกับพวงมาลับเลือดทะลักออกมาเป็นสายน้ำ

ชาติใส่หน้ากากป้องกันไอพิษควบจี๋เข้ามาในช่องประตู พร้อมกับกราดปืนเข้าใส่ผู้คุมทั้งสองซึ่งยังยืนเหม่อต่อเหตุการณ์ที่กำลังบังเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนนั้น

"เปาะ...เปาะ...เปาะ...เปาะ"

เสียงดังเหมือนหักกิ่งไม้แห้งกังวานขึ้นอีกครั้งอำนวจของกระสุนปืนขนาด 9 มม. ของปืนกลเก็บเสียงแบบ " เอ็มพี 5 เอ-3 เอสดี." หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ในวงการปืนจารกรรมทั่วโลกว่าเจ้า " เอ-3 " ส่งร่างของสองผู้คุมหมุนคว้างศีรษะหงายเริดขึ้นเบื้องบน ปืนหลุดกระเด็นลงที่พื้น แอ่นตะกายอยู่ชั่วครู่ก็ล้มฮวบกับพื้นซีเมต์ในท่านอนตะแคง เลือดทะลักออกมาแดงฉาน

จิตต์กระชากเจ้า "เอ-3" ออกมาจากกระเป๋าผ้าใบดึงพานท้ายกางออกดังเชะแล้ววิ่งตรงเข้าไปที่ผู้คุมอีกสองคนที่ติดรถมาจากเรือนจำคลองเปรม ซึ่งกำลังยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ท้ายรถ

ความตกใจทำให้ผู้คุมชะตาขาดทั้งสองหันหลังกลับเผ่นขึ้นไปบนรถอีกครั้ง

มันเป็นช่วงจังหวะที่นักโทษเพิ่งจะหายจากการตกตะลึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทำให้นักโทษทั้งหมดเดาเหตุการณ์บางสิ่งบางอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่ง สัญชาตญาณหนีเอาตัวรอดได้บังเกิดขึ้นในบัดดล นักโทษทั้งหมดก็เลยเฮโลกันทะลักออกมาจากประตูลูกกรงกันเป็นเจ้าละหวั่น

ผู้คุมชะตาขาดทั้งสองก็เลยวิ่งขึ้นไปปะทะกับกลุ่มนักโทษที่พรั่งพรูอย่างช่วยเหลือไม่ได้

นักโทษรูปร่างเหมือนกับยักษ์ปักหลั่น ตัวดำสนิทศีรษะโล้นเลื่อนเป็นมันแผล็บกระโดดล็อคคอผู้คุมคนทางขวามือพร้อม ๆ กันแหกปากตะโกนออกมาสุดเสียง

" ไอ้แสบ ของมึงคนซ้ายมือนี่ล่อมันให้จังหนับไปเลยโว้ย "

ไอ้โล้นตะโกนพลางผลักร่างของผู้คุมลงกับพื้นตรวนซึ่งติดอยู่ที่ขาถูกรูดออกมาข้างหนึ่ง เหมือนกับปาฏิหาริย์โดยไม่มีการรั้งรออะไรทั้งสิ้น ไอ้โล้นใช้ตรวนรัดฉับเข้าไปที่คอหอย ออกแรงดึงจนผู้คุมผู้เคาระห์ร้ายลิ้นจุกปากสิ้นใจอย่างน่าอนาถบนพื้นรถนั่นเอง

ไอ้แสบก้มลงใช้มือสองบิดรอยต่อของโซ่ตรงบริเวณที่ติดกับห่วงกลมซึ่งได้ตะไบเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่ที่สุด (จากสินบนที่ให้แก่ผู้คุมในเรือนจำ) ชั่วพริบตาโซ่ตรวนก็หลุดออกจากห่วงอย่างง่ายดาย

ไอ้แสบหยิบปลายโซ่ที่หลุดออกดึงขึ้นมารัดเอาไว้กับเข็มขัดข้างเอว ถีบซ้ายป่ายขวาแหกกลุ่มนักโทษที่กำลังรุมสกรัมผู้คุมอีกคนลงมาจากรถอย่างชนิดลืมตาย

จิตต์ขยับหน้ากากป้องกันไอพิษให้ริมฝีปากพ้นจากท่อกรองอากาศร้องตะโกนสุดเสียง

"เร็ว...พี่โล้น...พี่แสบ...รถอยู่ข้างนอก"

และในช่วงเวลาเดียวกันนั่นเอง เจ้าควันมฤตยูก็ลามเลียออกมาจากห้องโถง กลุ่มนักโทษที่กำลังชุลมุนอยู่ท้ายรถสูดควันสีเหลืองเข้าไปเต็มเปา...ทุกคนมีอาการสะดุ้งเฮือกน้ำตาไหลพราก มือทั้งสองยกขึ้นกุมลำคอแล้วแถกไถลร่างกายลงกับพื้นซีเมนต์ด้วยความทรมานอย่างแสนสาหัส


"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา ชีิวิตคนก็เหมือนสะพาน  มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน" สมิง วังม่วง

บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 68
ออฟไลน์

กระทู้: 7628


tel. 0861810566


« ตอบ #11811 เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2015, 01:00:36 PM »

   เรื่องดับรามสูร นวนิยายยอดฮิต จาก ไทยรัฐ โดย สยุมภู ทศพล

ขอขอบคุณและขออนุญาติเผยแพร่หนังสือดีๆไม่ให้หายสาปสูญไป ขอขอบคุณ คุณ สยุมภู ทศพล

ผมขอขอบคุณร้าน สุหนังสือเก่า http://www.su-usedbook.com/ ที่ให้ยืมหนังสือเรื่องนี้ด้วยนะครับ

ดับรามสูร เล่มที่ 1 ตอนที่ 4

ไอ้แสบกับไอ้โล้นยกชายเสื้อขึ้นปิดจมูกเหมือนกับนัดกันเอาไว้ แล้ววิ่งเกาะกลุ่มวกกลับหนีควันมฤตยูออกไปกับนักโทษส่วนหนึ่ง ที่กำลังห้อตะบึงออกจากช่องทางเข้าออกสู่บริเวณภายนอกศาลอาญา ด้วยสัญชาติญาณของการหนีเอาตัวรอด

อิสรภาพคือสิ่งที่ทุกคนปราถนา นักโทษหลายต่อหลายคนที่กำลังแยกย้ายกันหลบหนีอยู่นั้นบางคนมีคดี ติดตัวหลายสิบคดี และแต่ละคดีที่ต้องโทษก็ไม่น้อยกว่าห้าปีขึ้นไป บางคนก็เป็นนักโทษที่ต้องคดีปล้นฆ่าเจ้าทุกข์ โทษเท่าที่มองเห็นก็คือประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต

ดังนั้นเมื่อสถานการณ์และโอกาสเกิดฟลุคขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน พวกนักโทษก็เลยถือโอกาสสหลบหนีกันเป็นจ้าละหวั่น...หนี...หนี พาตัวเองห้อตะบึงวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต คิดอยู่อย่างเดียวขอให้ห่างจากที่เกิดเหตุให้ห่างเท่าที่จะห่างได้ ท่ามกลางสายตาที่ตื่นตะลึงของประชาชนที่กำลังสัญจรอยู่ตามท้องถนน

ชาติและจิตต์ วิ่งตามเพื่อนคู่หูมาติด ๆ มีเสียงรัวเป็นประทัดแตกดังลั่นออกมาจากบริเวณมุมตึกด้านซ้ายสุดของศาลอาญา แนวกระสุนของแบเรตต้าลอดแนวรั้วปะทะเข้ากับร่างนักโทษสองคนที่กำลังวิ่งอยู่ข้างหน้าเข้าอย่างจัง

ร่างของนักโทษหมุนเป็นลูกข่าง แล้วถลาแว็บลงไปกองอยู่กับล้อหลังของรถตู้ทึบ ส่วนอีกคนกระเด็นหวือเข้าไปนอนฟุบอยู่ใต้ท้องรถอย่างพอเหมาะพอเจาะ

ชาติเอียงตัวในลักษณะ " กึ่งซ้ายหัน " ลดฝีเท้าลงนิดนึ่ง ปืน " เอ-3 "กระชับแน่นกับซอกแขน เขาบังคับให้ตัวปืนขนานกับพื้น เหนี่ยวไกพร้อมกับส่ายปืนออกไปเป็นมุมกว้าง ในลักษณะการยิงแบบจู่โจมของหน่วย " คอมแมนโด-กรีน เบเร่ต์ "

กระสุน 9 มม. อันทรงอานุภาพของเจ้า "เอ.-3 " พ่นออกจากลำกล้องเกือบครึ่งแม็ค ฯ ชาติเหนี่ยวไกสาดเม็ดสาคูเหล็กออกไปอีกชุด...พร้อม ๆ กับวิ่งเข้าหารถตู้ทึบอยู่ตลอดเวลา

ร่างของผู้คุมสองคนที่โผล่แว็บออกมาจากมุมตึกของศาลอาญาด้านซ้ายมือ ซึ่งเป็นภูมิประเทศที่อับและปลอดภัยจากควันมฤตยูกระเด็นไปคนละทิศละทาง เสียงปืนเงียบเป็นปลิดทิ้ง ประชาชนที่มาเยี่ยมผู้ต้องขังซึ่งติดตามผู้คุมทั้งสองมาดูเหตุการณ์จากบริเวณด้านหน้าของศาลอาญาก็หันหลังกลับวิ่งกันป่าราบปากก็ตะโกนแทบไม่เป็นภาษาคน

" ยิงกันใหญ่แล้วโว้ย...นักโทษหนีหมดแล้วโว้ย "

เล่นเอาทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ พนักงานศาลและบรรดาญาติมิตรของผู้ต้องขังที่ยืนจับกลุ่มกันอยู่ตามบริเวณต่าง ๆ ของศาลอาญา พากันวิ่งพล่านไปหมด

ส่วนหนึ่งมุ่งหน้าไปยังเสียงระเบิดที่ดังสนั่นหวั่นไหวภายในห้องโถงใต้ถุนศาล อีกกลุ่มหนึ่งพรูกันวิ่งออกไปดูเหตุการณ์ยังทิศทางที่ผู้คุมทั้งสองวิ่งออกไปจุดจบนอนเลือดท่วมอยู่ ณ บริเวณมุมตึกเบื้องหน้า

ไอ้แสบกับไอ้โล้น กระโจนพรวดขึ้นไปนั่งหอบแฮก ๆ อยู่ในที่นั่งหน้ารถ น้ำตาไหลพรากด้วยอำนาจของควันมฤตยูในเวลาติด ๆ กัน ชาติและจิตต์ก็ตาลีตาเหลือกวิ่งขึ้นมานั่งแออัดยัดเยียดอยู่กันบนที่นั่งหน้ารถนั่นเอง

"ฉิบหายแล้วลูกพี่...เสียงปืนกลดังลั่นเป็นประทัดแบบนั้น แผนแตกแน่ "

จิตต์พูดพลางเปลี่ยนแม็กกาซีนชนิดพ่วงด้วยความชำนิชำนาญ

ชาติกระแทกเท้าลงที่คลัช มือตบเกียร์เหยียบคันเร่งพารถบรรทุกพุ่งออกจากที่จอด ล้อหลังบดขยี้ร่างของนักโทษที่นอนอยู่ใต้ท้องรถเลือดสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นถนน

รถตู้มุ่งหน้าไปยังเส้นทางที่ทะลุออกไปยังบริเวณท้องสนามหลวงด้วยความเร็วสูง

" กระทิงแดง...ขับไปตามแผนเดิม...ข้างหลังว่าง "

เสียงวิทยุดังแว่ว ๆ ออกมาจาก " ปากพูดหูฟัง "ชาติถอดหน้ากากป้องกันไอพิษออกจากจมูก แล้วโยนโครมลงไปที่พื้นรถ ขบกรามแน่น คำรามออกมาเสียงลึก ๆ อยู่ในลำคอ

" สวย...สวยแน่ ไอ้โล้น ลงอั้วมีกองระวังหลังแบบนี้ ไอ้หลามขืนตามมาเป็นได้ฟัดกันสนุกมือแน่ เฮ้ย จิตต์ เอาคีมที่อยู่ในซอกประตูนั่น งัดตรวนให้ไอ้สองคนนั่นก่อนโว้ย "

ไอ้โล้นกับไอ้แสบยกขาที่ติดตรวนขึ้นมาชันเข่าจิตต์ใช้คีมงัดอยู่ชั่วครู่ ตรวนก็หลุดออกจากห่วงอย่างง่ายดาย ทั้งสองโยนตรวนไปที่พื้นรถ รูดขากางเกงขายาวที่ถลกขึ้นมาเหนือเข่าลงไปปิดห่วงเหล็กที่ยังคาข้อเท้าอยู่ทั้งสองข้าง ไอ้แสบร้องห้ามออกมาเบา ๆ เมื่อมองเห็นจิตต์ขยับคีมที่ถืออยู่ในมือ

" ขอบใจจิตต์ ห่วงเหล็กปล่อยมันเอาไว้ก่อน...ไฟแดง ลูกพี่ "

ประโยคสุดท้าย ไอ้แสบหันไปบอกชาติด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

ในจังหวะเดียวกันนั่นเอง เสียงไซเรนของฉลามบกก็ดังกังวานขึ้นอย่างโหยหวน เสียงอันเยือกเย็นของมันบาดจิตบาดใจเข้าไปในสมอง

" กระทิงแดง ระวัง ฉลามบกสองคันเปลี่ยนแผนใช้แผนห้า โชคดี "
วิทยุจากรถโฟล์คออกคำสั่งมาอีกครั้ง ชาติมองไปที่กระจกหลังภาพของฉลามบกปรากฏแวบเข้าทางเบื้องหลังในระยะห่างไม่เกิน 500 เมตร

และที่ทางแยกเบื้องหน้า ระหว่างกรมประชาสัมพันธ์กับท้องสนามหลวง การจราจรที่แออัดยัดเยียดก็กำลังดำเนินไปอย่างต่อเนื่องกัน มิหนำซ้ำไฟแดงก็ยังปรากฏหรามองเห็นถนัดตา

ชาติหัวเราะฮึ ๆ พร้อมกับเอื้อมมือไปที่แผงหน้าปัดผลักสวิทช์ที่อยู่อันล่างสุดไปทางซ้ายมือ

ทันใดนั้นเองเสียงไซเรนที่โหยหวน เหมือนกับรถฉลามก็ดังกังวานขึ้นจากลำโพงที่ซ่อนอยู่บนหลังคาตู้ทึบไฟสีแดงที่กระพริบอยู่บนหลังคาเริ่มหมุนส่งประกายสีแดงที่แสบตาออกไปรอบทิศ

จิตต์หัวเราะก๊าก ผลักสวิทช์เครื่องรับส่งวิทยุไปที่ตำแหน่งเครื่องขยายเสียง ยกปากพูดขึ้นมาถืออยู่ในมือแล้วตะโกนกรอกลงไปเต็มเสียง

" รถทุกคันโปรดทราบ รถทุกคันโปรดทราบ ระตู้ทึบคันนี้มีวัตถุระเบิดแรงสูงที่อาจระเบิดขึ้นมาทุกขณะ เพื่อความปลอดภัยโปรดหยุดรถของท่านเอาไว้ก่อน ขอย้ำอีกครั้ง โปรดหยุดรถของท่านเอาไว้ก่อน "

เสียงประกาศจากเครื่องขยายเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ สร้างความตระหนกตกใจอย่างใหญ่หลวงให้กับบรรดาประชาชนที่กำลังขับรถอยู่ในเส้นทางดังกล่าว ยิ่งได้ยินเสียงไซเรน และมองเห็นไฟกระพริบเข้าอีกด้วยก็เลยพากันเบรคจนตัวโก่ง เกิดอุบัติเหตุชนกันชุลมมุนวุ่นวายไปหมด

ไอ้โล้นซึ่งนั่งเงียบอยู่ตลอดเวลา แหกปากหัวเราะขึ้นมาสุดเสียง แล้วกระตุกไมโครโฟนจากมือจิตต์ขึ้นไปประกาศเป็นภาษามาเลย์ด้วยสำเนียงเร็วปรื๋อ แถมสวดขอพรพระเจ้าดังลั่นไปตลอดทาง

ชาติอมยิ้มเหยียบคันเร่งเกือบมิด พารถตู้ทึบ เลี้ยวซ้ายห้อแน่บขึ้นสะพานพระปิ่นเกล้าด้วยความเร็วไม่น้อยกว่า 100 กม. ต่อชั่วโมง

" กระทิงแดง สละรถใหญ่ตามแผนฉลามตามขึ้นไปแล้ว "

จิตต์กระชากคันเหล็กที่ยื่นออกมาจากใต้เบาะรถทันใดนั้นเอง ผนังที่กั้นระหว่างห้องโดยสารด้านหน้ากับตู้ทึบก็เปิดช่องทะลุเข้าถึงกัน

ภาพของรถสปอร์ตสีแดงเพลิง ที่จอดซุกซ่อนอยู่ข้างในตู้ทึบทำความตื่นตาตื่นใจให้กับไอ้โล้นจนถึงกับอ้าปากหวอ

เพียงแว่บเดียวที่มองเห็นลักษณะรูปร่างของมัน ไอ้โล้นก็บอกตัวเองได้ทันทีว่า เจ้ารถสีแสบลูกนัยน์ตาคันนั้นก็คือเจ้าวิหคสายฟ้า " มาเซราตี้ " รถแข่งชั้นเยี่ยมของโลกนั่นเอง

ประตูด้านท้ายของ "มาเซราตี้ " ซึ่งอยู่ติดกับเก้าอี้เบาะด้านหน้าของรถตู้ทึบถูกเปิดอ้าออกในลักษณะที่บานประตูถูกพับเลื่อนเก็บขึ้นไปซ่อนเอาไว้บนหลังคาแบบสปอร์ตที่หนาเตอะนั้น

จิตต์พาไอ้โล้นและไอ้แสบคลานเข้าไปในรถสปอร์ตแล้วสตาร์ทเครื่องยนต์ทันที

เครื่องยนต์ " มาเซราตี้ " ครางกระหึ่ม เสียงของชาติดังแว่ว ๆ อยู่ที่ลำโพงข้างหน้าปัด

" จิตต์ อั๊วจะสละรถเมื่อถึงกลางสะพาน ขณะนี้ไอ้หลามเกือบจะถึงตีนสะพานข้างล่างแล้ว พออั๊วคลานเข้าไปให้ลื้อออกรถทันที โชคดีโว้ย "

พอพูดจบชาติก็กดปุ่มไฮโดรลิคที่แผงหน้าปัดและมันเป็นจังหวะเดียวกับที่รถตู้ทึบเริ่มลงจากส่วนที่สูงที่สุดของสะพานพระปิ่นเกล้าพอดี จากลักษณะดังกล่าวรถฉลามบกที่วิ่งตามมาจะไม่มีวันเห็นเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นรถตู้ทึบเลยแม้แต่นิดเดียว

แท่งเหล็กที่เปรียบเสมือนคานรับน้ำหนักค่อย ๆ โผล่ยื่นออกไปจากตัวรถด้านท้ายและในจังหวะที่สัมพันธ์กันแผงกั้นตู้ทึบด้านหลังที่ปิดช่องทางขึ้นลงของรถ "มาเซราตี้ " อยู่ตลอดเวลาก็ค่อย ๆ เลื่อนตัวเองลงไปประกบกับแท่งเหล็กที่ยื่นค้ำอยู่ในลักษณะเป็นมุม 45 องศาจากพื้นสะพาน

แผงกั้นหน้ารถเปิดออกเรียบร้อยแล้ว " มาเซราตี้ " ก็อยู่ในสภาพที่จะเคลื่อนที่ได้ตลอดเวลา ชาตินั่งกุมพวงมาลัยแน่น สายตาชำเลืองกระจกหลังอย่างกระวกกระวายใจ

ชาติตั้งชนวนระเบิดเวลาที่เครื่องวิทยุ พร้อมกับขยับพวงมาลัยให้ขืนมาทางขวาเล็กน้อยแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเบาะเก้าอี้ในขณะที่ก้มตัวลงเตรียมที่จะมุดเข้าไปในประตูด้านท้ายของเจ้า "มาเซราตี้ " ก็ยังอุตส่าห์เอื้อมมือไปปรับพวงมาลัยรถอีกครั้ง

ปล่อยมือจากพวงมาลัยของรถตู้ทึบ ชาติก็พุ่งตัวเองเข้าไปในช่องประตูท้ายของรถสปอร์ตพร้อม ๆ กับร้องตะโกนให้สัญญาลูกน้องคู่ใจ

"ไปเล้ย...จิตต์"

" มาเซราตี้ " พุ่งพรวดออกจากที่จอดรถ ส่วนหน้าของมันหล่นวูบลงไปตามทางลาดเบื้องหน้าจิตต์เหยียบคันเร่งลงไปอีก เจ้าวิหคสายฟ้าหลุดจากพื้นสะพานไฮโดรลิค ล้อทั้งสี่สัมผัสกับพื้นซีเมนต์ของสะพานพระปิ่นเกล้าในลักษณะที่เสียอาการทรงตัวเล็กน้อย

จิตต์ปราดรถหลบเข้าไปในช่องจราจรเลนซ้ายมือแล้วเหยียบคันเร่งพาเจ้ามาเซราตี้วิ่งย้อนกลับเข้าฝั่งนคครหลวงและสวนกลับรถฉลามบกทั้งสองคันที่วิ่งตามมาบนกึ่งกลางสะพานนั่นเอง

รถตู้ทึบที่ปราศจากพลขับวิ่งส่ายออกไปทางขวามือรถราที่วิ่งสวนเข้ามาต่างพากันหักหลบกันอย่างตาลีตาเหลือกพร้อมกันตะโกนด่าพ่อล่อแม่กันให้เอ็ดอึงไปหมด

ไม่มีอะไรหยุดยั้งมันได้อีกแล้ว เจ้ารถตู้ทึบพุ่งเข้าชนราวสะพานหักระเนนระนาด ความแรงของมันส่งตัวรถที่หนักอึ้งลอยละลิ่วลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยา ท่ามกลางความตื่นตะลึงของประชาชนที่มองเห็นเหตุการณ์

รถตู้จมหายลงไปในกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก ร่องรอยที่พอจะเห็นก็คือแผ่กระจายของคลื่นและพรายน้ำที่ผุดขึ้นมาเป็นระลอก

ฉลามบกวิ่งเข้ามาจอดในบริเวณที่เกิดอุบัติเหตุ การจราจรบนสะพานพระปิ่นเกล้าถูกปิดโดยฉับพลัน อึดใจต่อมา รถฉลามบกจากจุดต่าง ๆ ก็เปิดไซเรนวิ่งอ้าวเข้ามาจอดสมทบอีกหลายคัน

ในขณะที่กลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตรวจดูสภาพของราวสะพานที่หักระเนนระนาดอยู่นั้น

เสียงระเบิดที่ดังสนั่นหวั่นไหวเหมือนกับลูกระเบิดทำลายใต้น้ำ ก็ได้ดังกระหึ่มขึ้นมาจากพื้นน้ำเบื้องล่าง

กระแสน้ำถูกแรงอัดของระเบิดทำลายแรงสูงรวมตัวกันพุ่งขึ้นมาเป็นลำเหมือนพายุหมุนคลื่นขนาดยักษ์หนุนเนื่องแผ่กระจายออกเป็นวงกว้าง อำนาจของมันทำให้ขบวนเรือโยงที่แล่นตามกันเป็นงูกินหางพลิกคว่ำลงกับพื้นแม่น้ำเหมือนกับถูกมือยักษ์จับกระชาก

กว่าเหตุการณ์จะคืนเข้าสู่ภาวะปกติก็เล่นเอาทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่อกสั่นขวัญแขวนไปตาม ๆ กัน

เป้าสำหรับซ้อมยิงขนาดมาตราฐานห้าเป้า ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าในลักษณะหันส่วนข้างเข้าหาผู้ยิง

ห่างจากเป้าออกมาประมาณ 25 เมตร ได้ถูกจัดเอาไว้เป็นสถานที่ยิง ด้วยการจัดออกเป็นสัดส่วนอย่างเป็นระบียบเรียบร้อยเป็นล็อค ๆ แต่ละล็อคมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการฝึกซ้อมยิงปืนอย่างครบครัน

แสงไฟที่สว่างไสวอยู่บนนเพดานได้รับการออกแบบให้อยู่ในที่ที่ไม่เป็นปัญหากับสายตาในขณะยิงปืน

มันเป็นห้องใต้ดินขนาดใหญ่ที่ได้ลงทุนสร้างด้วยจำนวนเงินอย่างมหาศาล เพื่อฝึกมือปืนขององค์การ ซี.ไอ.เอ. โดยเฉพาะ

ไอ้โล้น ไอ้แสบ อดีต "เพชฌฆาตรับจ้าง" สมรภูมิลาวซึ่งได้รับการช่วยเหลือออกมาจากลหุโทษ เมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมายืนตรวจดูความเรียบร้อยของปืนพกยี่ห้อ " แฮมเมอร์รี่ " ซึ่งเป็นปืนที่ใช้ยิงแข่งขัน "เป้าพลิก" อย่างละเอียดถี่ถ้วน ถูกกระสุนปืนที่ไม่แน่ใจถูกคัตออกไปจากกล่องหลายต่อหลายนัด ห่างออกไปเล็กน้อย พ.ต. แจ็คสัน นายทหารสรรพาวุธของ ซี.ไอ.เอ. ยืนกอดอกควบคุมการยิงอย่างใกล้ชิด

"มิสเตอร์แสบ หนึ่งเดือนที่คุณโดนคุมขังอยู่ในเรือนจำ จากรายงานของแพทย์แสดงให้เห็นว่าสุขภาพของคุณอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เหมือนเดิมอาชีพมือปืนรับจ้างที่เพชรบุรีคงจะไม่ทำให้ฝีมือปืนของคุณตกลงไปมากนัก ผมมีหน้าที่ฝึกให้คุณยิงปืนถึงแม้คุณจะไม่เคยยิงเป้าชนิดนี้มาก่อนผมก็สามารถที่จะฝึกให้คุณมีความชำนาญได้ ในเวลาอันรวดเร็ว เป้านิ่งที่คุณยิงคะแนนเต็มเมื่อสักครู่นี้แสดงให้เห็นว่าคุณมีพรสวรรค์ในทางนี้เป็นพิเศษถ้าพร้อมยิงได้เลย..."

ภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันจาก พ.ต. แจ็คสัน ครูปืน ทำให้ไอ้แสบหันกลับมายิ้มให้ แล้วกล่าวตอบออกไปด้วยภาษาอังกฤษอย่างกระท่อนกระแท่น

" หนึ่งเดือนสนิมไม่จับมือหรอกครับ อาจารย์ "

" เฮ้ย ไอ้แสบมึงไปหัดสปิคมาจากไหนวะ อีตอนอยู่เมืองลาวกูเห็นมิงใช้ภาษาใบ้ยัน ไม่เลว มึงนี่ชักจะก้าวหน้าใหญ่นะมึงนะ "

ไอ้โล้น ซึ่งยืนคัดลูกกระสุนอยู่ใกล้ ๆ " เย้า " ออกมาด้วยความเป็นกันเอง ไอ้แสบหันมาค้อนไม่ตอบว่าอะไรหันกลับไปหยิบที่ครอบหูขึ้นมาสวมศีรษะ บรรจุลูกกระสุนลูกกรดเข้าไปในแม็คกาซีนเพียงห้านัดแล้ว ยัดเข้าไปในตัวปืนที่ปากลำกล้องยาวไม่น้อยกว่าหกนิ้วฟุต ต่อจากนั้นก็ค่อย ๆ ทาบนิ้วมือทั้งห้าลงบนร่องของด้ามปืนที่ออกแบบเป็นพิเศษ

ขยับตัวออกไปยืนในช่องที่มีแสงวงกลมล้อมรอบกะสายตาไปที่เป้าอยู่ชั่วครู่ จัดตำแหน่งของเท้าทั้งสองให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุด แล้วทิ้งมือที่ถือปืนลงข้าง ๆ ตัว พยักหน้าให้กับพนักงานควบคุมเป้าที่นั่งคุมสวิทช์อัตโนมัติอยู่ทางซ้ายมือ

" พรึ่บ "

สวิทย์ไฟฟ้าดีดเป้ารูปขวดทั้งห้าตัวที่ตั้งขวางอยู่พลิกกลับมาอยู่ในลักษณะเต็มตัวอย่างรวดเร็ว



"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา ชีิวิตคนก็เหมือนสะพาน  มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน" สมิง วังม่วง

บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 68
ออฟไลน์

กระทู้: 7628


tel. 0861810566


« ตอบ #11812 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2015, 08:56:48 AM »

 เรื่องดับรามสูร นวนิยายยอดฮิต จาก ไทยรัฐ โดย สยุมภู ทศพล

ขอขอบคุณและขออนุญาติเผยแพร่หนังสือดีๆไม่ให้หายสาปสูญไป ขอขอบคุณ คุณ สยุมภู ทศพล

ผมขอขอบคุณร้าน สุหนังสือเก่า http://www.su-usedbook.com/ ที่ให้ยืมหนังสือเรื่องนี้ด้วยนะครับ

ดับรามสูร เล่มที่ 1 ตอนที่ 5

ไอ้แสบขยับปืนขึ้นมาเสมอแนวไหล่ เหมือนกับเป็นอัตโนมัติ ช่วงแขนถูก " ล็อค " ตามวิธีการยิง " เป้าพลิก " กระสุนนัดแรกบรรจงปล่อยไปที่เป้าตัวแรกอย่างนิ่มนวล และในช่วงเวลาติด ๆ กัน ไอ้แสบก็ขยับมือเลื่อนออกไปยิงเป้าตัวที่สอง, สาม, สี่ และห้าตามลำดับพร้อม ๆ กับเหนี่ยวไกปล่อยกระสุนออกไปเป็นจังหวะ พอยิงเป้าตัวสุดท้ายเสร็จ ไอ้แสบก็ลดปืนลงแนบกับลำตัวยืนนิ่งอยู่ชั่วอึดใจก็มีเสียงดัง " พรึบ " เป้าทั้งห้าตัวพลิกกลับไปอยู่ในลักษณะขวางตามเดิม

พนักงานตรวจเป้าเริ่มขานคะแนนการยิงของไอ้แสบทางเครื่องขยายเสียงด้วยภาษาอังกฤษที่ช้าและชัดถ้อยชัดคำ

" ปืนยิงเร็ว 5 นัด เวลา 8 วินาที คะแนนเต็ม 50 ยิงได้ 50 เวลาที่ยิงจริง 4 วินาทีครึ่ง "

" ฝีมือของคุณยังคงเส้นคงวาเหมือนเดิม มิสเตอร์แสบ เริ่มยิงชุดที่สองในระบบ 6 วินาที "

พ.ท. แจ็คสัน อาจารย์ปืนของ ซี.ไอ.เอ. เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง ไอ้แสบสูดลมหายใจเข้าปอด คลายปุ่มล็อคดึงแม็กกาซีนเปล่าออกมาบรรจุลูกกระสุนชุดใหม่เข้าไปด้วยท่าทางคล่องแคล่วว่องไว

การยิงครั้งที่สองผ่านไปอีก ผลการยิงก็ออกมาในรูปแบบเดิมคือ 50 คะแนนเต็ม แต่ทว่าเวลาในการยิงลดลงเหลือเพียง 4 วินาทีถ้วน ๆ

" ยอดเยี่ยม...มิสเตอร์แสบ ครั้งต่อไปเป็นครั้งสุดท้ายในระบบ 4 วินาที ถ้าเป็นไปได้ขอให้คุณยิงให้เร็วที่สุดเท่าที่คุณจะยิงได้โดยไม่คำนึงถึงการ "มิส" (กระสุนออกนอกตัวเป้า) แล้วผมจะหมายเหตุเอาไว้ใน "สกอร์" ของคุณ "

ในที่สุดช่วงการยิงปืนที่นักยิงปืนเป้าพลิกกลัวนักกลัวหนาก็ได้มาถึง สี่วินาทีที่ต้องอาศัยความรวดเร็วเหนี่ยวไกปล่อยกระสุนให้เข้าเป้าก่อนที่เป้าจะพลิกกลับ นักเลงปืนมีหวังยิงพลาดเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

ไม่มีอะไรที่จะเป็นของยากสำหรับมือปืนอาชีพที่เคยผลาญลูกปืนเป็นตัน ๆ อย่าง "น้อย...นกไน" หรืออีกชื่อหนึ่งที่ชาวเพชรบุรีคุ้นหูว่า "ไอ้แสบ" อีกต่อไป เขาใช้เวลาเพียง 1 1/2 วินาที ก็สามารถทะลวงจุดศูนย์กลางของเป้าคอขวดทั้งห้าเป้าพรุนไปหมดด้วยคะแนนเต็ม 50 คะแนน

" มิสเตอร์แสบ 50 คะแนนในระบบ 4 วินาที ไม่ใช่ของแปลกประหลาดอะไรนักสำหรับมือปืนที่ฝึกอย่างจำเจ แต่สถิติการยิงเร็ว "หนึ่งวินาทีครึ่ง" ของคุณนี่ซิ เป็นปัญหา...มิสเตอร์แสบ คุณทำลายสถิติการยิงเร็วขององค์การ ซี.ไอ.เอ. ลงได้อย่างงดงามที่สุด ผมขอแสดงความยินดีอย่างจริงใจในความสำเร็จของคุณ

ในขณะที่พูด พ.ท. แจ็คสัน ก็ยื่นมือออกไปสัมผัสมือลูกศิษย์ที่เพิ่งจะเสร็จการยิงทำลายสถิติการยิงเร็วขององค์การ ซี.ไอ.เอ. ลงอย่างสด ๆ ร้อน ๆ

" ขอบคุณมากครับ อาจารย์ เท่าที่ผมยิงได้คะแนนขนาดนี้ก็คงจะเป็นด้วยผมสมมุติให้เป้าเหล่านั้นเป็นคน คนหนึ่งละกระมัง...เพราะตามปกติ ฝีมือยิงเป้าของผมก็มักจะ "ด้อย" กว่าคนอื่น ๆ ในทีมงานของเราไม่ใช่หรือครับ ? "

" น้อย นกไน " หรือ " ไอ้แสบ " เพชฌฆาตรับจ้างของขบวนการ ซี.ไอ.เอ. ย้อนถามด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ

"โอ.เค. มิสเตอร์แสบ ฝีมือยิงเป้าของคุณมักจะด้อยกว่าคนอื่น ๆ ในทีมงานของพวกเราจริง แต่ในทางปฏิบัติงานจริง ๆ แล้ว คุณฝีมือในทางฆ่าที่เยี่ยมยอดที่สุดทุกนัดเหมือนกับผีจับยัด รอยกระสุนที่ทะลวงเข้าไปที่บริเวณหน้าผากของแต่ละศพเป็นสิ่งที่ยืนยันว่า ฝีมือในเชิงปืนของคุณ " เหนือ " กว่าทุก ๆ คนที่เคยผ่าน " คอร์ส " การฝึกของผมอย่างสิ้นเชิง...คุณเป็นลูกศิษย์ที่ผมภาคภูมิใจที่สุด "

ไอ้แสบเลิกคิ้ว ทำท่าเหมือนกับจะพูดอะไร ออกมา แต่แล้วก็นิ่ง ทอดสายตาเหม่อมองดูแนวเป้าด้วยท่าทางชินชา อาจารย์ปืนก็เลยพูดต่อไปอีกอย่างช้า ๆ

" คุณก็เป็นมือปืนอาชีพ คลุกคลีกับปืนทุกชนิดโดยถือเป็นอาหารประจำวัน คุณเคยห้ำหั่นชีวิตคนมามาก คนที่คุณฆ่าก็มีทั้งคนดีและคนเลว ผมเสียอีกที่เกิดมาไม่เคยฆ่าใครซักคน ชีวิตของผมเริ่มเปลี่ยนแปลงหลังจากได้เหรียญทองในการแข่งขันยิงปืนในกีฬาโอลิมปิคที่กรุงแม็กซิโก "

พ.ท. แจ็คสันหยุดนิ่งไปชั่วขณะ...ไอ้แสบหันกลับมาสบตาอาจารย์ปืนพร้อมกับระบายยิ้มด้วยใบหน้าที่อ่อนวัยเหมือนกับทารก

" เล่าต่อไปเถิดครับอาจารย์ คนที่มีอดีตอันน่าภาคภูมิใจเหมือนกับอาจารย์รู้สึกว่าจะหาได้ยากนักในปัจจุบัน ขอให้ลูกศิษย์ได้ทราบความสามารถในเชิงปืนของแชมป์โอลิมปิค ซึ่งเราทุกคนยอมรับว่าเป็นแชมป์โลกในปัจจุบันผมจะภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก ถ้าอาจารย์จะกรุณาเล่าอดีตชีวิตของอาจารย์ต่อไป "

ไอ้แสบหยอด " ยาหอม " ให้อาจารย์ปืนพร้อมกับยกมือทั้งสองขึ้นท้าวขอบโต๊ะ สายตาทั้งคู่มีแวววิงวอนจนสังเกตเห็นได้ชัด

" ผมนอนลูบคลำเหรียญทองโอลิมปิคอยู่ในค่ายพักนักกีฬา ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มีโทรศัพท์จากภายนอกต่อตรงเข้ามาถึงผมด้วยข้อเสนออย่างง่าย ๆ พร้อมด้วยเงินเดือนอย่างมหาศาล ตอนนั้นผมยังตัดสินใจอะไรไม่ถูก...ขอเวลาคิดเดือนหนึ่ง พอตอนเช้ามืดตื่นขึ้นมาก็ไม่รู้ว่ามือมืดที่ไหนเอาเงินมาวางไว้ที่หน้าหัวนอนของผมถึงสามหมื่นดอลล่าร์พร้อมด้วยจดหมายขู่เอาไว้ด้วยว่า "รีบตัดสินใจทำงานกับ ซี.ไอ.เอ. เสียเดี๋ยวนี้ แล้วชีวิตของคุณจะปลอดภัย ! " นับแต่วันนั้นจนกระทั่งวันนี้ ผมก็ต้องทำงานอยู่กับหน่วยงานที่นี่โดยตลอดมา การฆ่าคนไม่ใช่ของสนุก ผมดูบุคลิกของคุณแล้วมิสเตอร์แสบ ผมไม่เชื่อเลยจริง ๆ ว่า คุณสามารถเข่นฆ่ามนุษย์ด้วยค่าจ้างเพียงสองร้อยบาทต่อคน "

ประโยคสุดท้าย พ.ท. แจ็คสัน ยิงคำถามให้กับลูกศิษย์อย่างชนิดไม่ยอมให้ตั้งตัว

แววตาของไอ้แสบกระด้างขึ้นในฉับพลัน กรามทั้งคู่ถูกบดเป็นสันนั้นเหมือนกับจะบังเกิดการกดดันขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน น้ำเสียงที่พรั่งพรูออกมาผิดแปลกไปจากคนเดิมอย่างสิ้นเชิง

" อาจารย์เข้าใจผิด...ซี.ไอ.เอ. อาจจะได้ประวัติของผมไปด้วยข้อมูลที่ผิดพลาดไปจากความจริง...ผมเคยฆ่าคนมามาก แต่ไม่เคยได้รับค่าจ้างในจำนวนสองร้อยบาทต่อคน อย่างต่ำที่สุดก็ดูเหมือนจะเป็นสองร้อยดอลล่าร์ "

ถ้าผมจำไม่ผิดกรณี "นายแสง" หัวหน้านักศึกษาที่ผมยิงตายที่สะพานเหลือง อาจารย์ก็คงทราบดีอยู่แล้วว่า ซี.ไอ.เอ. ต้องจ่ายผมถึงหนึ่งแสนบาท แต่อย่าลืมนะครับผมไม่ใช่เครื่องจักรที่ไม่รู้จักความกลัว งานฆ่าคนที่ผมเคยผ่านมาแต่ละครั้ง ผมเคยกลัวจนเหงื่อท่วมตัว ช่วงวินาทีที่เหนี่ยวไกเหมือนกับช่วงเวลาที่ตกนรก แต่ผมจำเป็นต้องทำ ทำเพื่อความอยู่รอดของชีวิตผมเอง อาจารย์ก็รู้ซึ้งแล้วไม่ใช่หรือครับว่า อำนาจดอลล่าร์มันมีอิทธิพลเพียงไร ? แม้แต่อาจารย์เองก็ยังกลายเป็น " ส่วนหนึ่ง " ของหน่วยงานนี้ไปด้วยความเต็มใจไม่ใช่หรือครับ ?

ประโยคสุดท้าย ไอ้แสบย้อนถาม พ.ท. แจ็คสัน ด้วยคำถามที่เหมือนกับจะ " ด่า " อาจารย์ปืนของ ซี.ไอ.เอ. อยู่ในที

" ทุกคนที่มาฝึกกับผมล้วนแล้วแต่ยิงปืนได้ขนาดชั้น " เอ๊กซเปอร์ท " แต่ทุกวันนี้ทะเบียนประวัติของมือปืนเหล่านั้นถูกประทับตราด้วยอักษรสีแดงว่า " สูญหาย " ผมเป็นห่วงคุณ มิสเตอร์แสบ คุณเป็นนักเลงปืนที่มีแววจะโด่งดังในอนาคต "

" ขอบคุณครับ อาจารย์ มือปืนของ ซี.ไอ.เอ. เท่าที่ " สูญหาย " ไปในระหว่างปฏิบัติงานในภูมิภาคเอเชียอาคเน่ย์ ส่วนมากจะเป็น " มือปืนกระดาษ " ขอประทานโทษที่ผมพูดพาดพิงถึงมือปืนยิงเป้าว่าเป็นมือปืนกระดาษเพราะตามเหตุที่เป็นจริงแล้ว มือปืนกระดาษส่วนมากมักชอบคุยฟุ้งว่ายิงแม่นอย่างโน้น อย่างนี้ แถมแสดงภูมิรู้ในกลไกอาวุธปืนทุกชนนิดอย่างเชี่ยวชาญจนกรมสรรพาวุธแทบจะจ้างเอาไว้เป็นวิศวกรปืน เมื่อซี.ไอ.เอ. ตกหลุมพรางจ้างเข้ามาเป็นมือปืน อาจารย์ครับ...ไอ้มือปืนซังกะบ๊วยใจปลาซิวเหล่านี้ใจไม่ถึงหรอกครับ จะฆ่าคนแต่ละครั้งก็มีบทบาทเหมือนกับพระเอกหนังไทย เวลาพกปืนก็ต้องโชว์ให้ชาวบ้านเขารู้ว่าตูมีปืนก็เลยโดนเก็บไปตามระเบียบ ขอให้อาจารย์รับทราบไว้ด้วยว่า ในบางครั้งผมอาจจะปฏิบัติการทุก ๆ อย่างเพื่อเงินสำหรับครั้งนี้ ทั้ง ๆ ที่ผมยังไม่รู้แผนการของหน่วยเหนือดีนัก แต่เท่าที่ประเมินสถานการณ์ในปัจจุบันของประเทศแล้วรู้สึกว่าผมจะต้องมีงานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อีกแน่ ๆ เพื่อราชบัลลังก์และความอยู่รอดของประเทศชาติ ไอ้มือปืนรับจ้างเดนตายหยั่งผมพร้อมแล้วที่จะตายเหมือนหมาข้างถนนตายเยี่ยงวีรบุรุษนิรนามที่ไม่คำนึงถึงลาภยศใด ๆ ทั้งสิ้น "

สองสามประโยคสุดท้าย ไอ้แสบคำรามออกมาสุดเสียงด้วยความลืมตัว และพร้อม ๆ กันนั้น ไอ้โล้นซึ่งยืนเอียงคอฟังอยู่ใกล้ ๆ ก็แหกปากร้องเพลง " หนักแผ่นดิน " ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เล่นเอาอาจารย์ปืนของ ซี.ไอ.เอ.ถึงกับอ้าปากหวอด้วยความสนเท่ห์ใจ

" เพลงอะไร...มิสเตอร์โล้น "

ไอ้โล้นหยุดร้องเพลงหันกลับมาตอบเป็นภาษาอังกฤษอย่างชัดถ้อยชัดคำ

" หนักแผ่นดิน - อาจารย์ ขณะนี้กำลังฮิตขนาดหนักขนาดผมกับไอ้แสบอยู่ในคุกก็ยังต้องร้องกันสามเวลาก่อนอาหาร ใคร " ขวา " จัด ถ้าไม่รู้จักเพลง " หนักแผ่นดิน " ละก็เชยตายห่า...ถ้า ซี.ไอ.เอ. สนใจจะแปลเป็นภาษาอังกฤษละก็บอกผมนะครับ-อาจารย์ "

พอพูดจบทั้งไอ้โล้นและไอ้แสบต่างแหกปากร้องเพลง " หนักแผ่นดิน " ดังสนั่นคับห้องใต้ดิน เล่นเอาพนักงานตรวจเป้าซึ่งยืนอยู่ในซอกทางเดินข้าง ๆ ถึงกับหัวเราะออกมาก๊ากใหญ่

" พอ...พอแล้วครับ ผมมีเวลาน้อยเต็มทีสำหรับพวกคุณ มิสเตอร์โล้น โปรดเข้าประจำที่ล็อคยิงถัดไป "

พ.ท. แจ็คสัน ตัดบทขึ้นมาพร้อมกับสั่งให้ " อับดุล รามาน " หรือไอ้โล้นเข้าประจำที่ในล็อคยิงถัดไป

ไอ้โล้นหันหลังก้าวสวบ ๆ เข้าไปที่โต๊ะบนล็อคที่สองแล้วเอื้อมมือหยิบปืนเก็บเสียง "เอ-3" ขึ้นมากระชับเอาไว้ในซอกแขนมือข้างซ้ายเอื้อมลงไปจับแม็คกาซีนแบบพ่วงติดต่อกันขยับดูอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยกมือขึ้นมาจับท่อเก็บเสียงที่ครอบอยู่บน " ครอบรางปืน " ด้วยท่าทางและลักษณะการยิงแบบ " คอมแบท " สายตาทั้งคู่จ้องแน๋วไปยังเป้าทั้งสิบที่ตั้งขวางอยู่ลิบ ๆ เบื้องหน้า

" พอเริ่มสัญญาณยิง ให้คุณยิงเป้าทั้งสิบด้วยระบบ " เซมิ-ออโต" (กึ่งอัตโนมัติ) ใช้กระสุน 30 นัด กำหนดให้โดนเป้าละ 3 นัด โดยเคลื่อนที่เข้าหาเป้าอยู่ตลอดเวลา พอถึงกำหนด 30 วินาที เป้าจะพลิกกลับ คราวนี้คุณจะมีเวลาเปลี่ยนแม็กกาซีน 2 วินาที ก่อนที่เป้าจะพลิกกลับมาอีกครั้งหนึ่ง การยิงครั้งสุดท้ายในการฝึกวันนี้ก็คือ คุณวิ่งผ่านเป้าทั้งสิบแล้วยิงด้วยระบบ "ฟลู-ออโต" (อัตโนมัติเต็มตัว) เข้าใส่เป้าทั้งหมด 30 นัด ผลการยิงอย่าพยายามให้หลุดจาก "จุดตาย" ซึ่งได้ทำเครื่องหมายเอาไว้แล้วบนเป้านั้น พร้อมแล้วให้สัญญาณได้ "

พ.ท. แจ็คสัน อธิบายการใช้ปืนกลมือเก็บเสียงอย่างชัดถ้อยชัดคำ ไอ้โล้นจ้องเขม็งไปยังแนวเป้าซึ่งอยู่ห่างออก
ไปประมาณ 60 เมตร แล้วยกมือซ้ายชูขึ้นเหนือศีรษะอยู่ครู่หนึ่ง สูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอดพร้อมกับลดมือลงในอาณัติสัญญาณพนักงานตรวจเป้าทันที

"พรึ่บ"

เสียงดังเหมือนกับร่มชูชีพกินลมดังลั่นอยู่เบื้องหน้าเป้าสิบตัวสีดำสนิทพลิกวูบมาตั้งหราอยู่เบื้องหน้า มองเห็นขอบเส้นสีขาวที่ล้อมรอบ "จุดตาย" บนตัวเป้าอย่างถนัดชัดเจน

ไอ้โล้นก้าวเท้าสืบไปข้างหน้า แล้วเหนี่ยวไกปืนเป็นจังหวะสามนัดซ้อน ๆ เข้าหาเป้าตัวที่หนึ่งพร้อม ๆ กับเคลื่อนที่เข้าหาตัวเป้าตลอดเวลา จากเป้าตัวที่สอง, สาม, จนกระทั่งถึงเป้าตัวที่สิบ ไอ้โล้นใช้เวลาในการยิง30 วินาที พอดิบพอดี เท่ากับเวลาที่ พ.ท. แจ็คสันกำหนดเอาไว้

"พรึ่บ"

เป้าทั้งสิบพลิกกลับไปตั้งขวางอยู่ในตำแหน่งเดิมไอ้โล้นคลายปุ่มแม็กกาซีนเปล่าออก พลิกข้อมือเอาก้นแม็กกาซีนซึ่งพ่วงต่อเอาไว้ด้วยสก๊อตช์เทปยัดผลั้วะเข้าไปในช่องเดิมอย่างรวดเร็ว ซึ่งพร้อม ๆ กันนั้น เป้าทั้งสิบตัวก็พลิกกลับมาในลักษณะหน้าตรงพอดิบพอดี

ไอ้โล้นใช้หัวแม่มือเลี่อนปุ่มบังคับการยิงไปที่ตำแหน่ง "ฟลู-ออโต" แล้วกึ่งซ้ายหันออกวิ่งเหยาะ ๆ ผ่านเป้าทั้งสิบในลักษณะเอียงข้าง เริ่มสาดกระสุนทั้ง 30 นัก เข้าหาเป้าอย่างเป็นจังหวะจะโคน

เสียงปืนเก็บเสียงครางระงมเหมือนกับเสียงตีกลองแทร็ค ชั่วอึดใจทุกสิ่งทุกอย่างก็สงบเงียบ ไอ้โล้นถอดแม็กกาซีนเปล่าออกแล้วถือด้วยมือข้างซ้าย ส่วนมือขวาละจากช่องลั่นไก เลื่อนขึ้นมาจับคอปืนทิ่มปากลำกล้องลงพื้นดินแล้วก้าวเท้าเดินช้า ๆ เข้ามาที่บริเวณ "ล็อคปืน" ด้วยมาดของนักเลงปืนชั้นมหากาฬ

"ถุย...ไอ้โล้น ยังไม่ทันจะตรวจเป้าเสือกเดินแอ๊คยิงห่าเหวแบบนี้กูเห็นจะไม่รับประทานกับมึงแน่ ๆ ไอ้หอกขนาดยืนยิง กูแทบจะตายชักอยู่แล้ว ยังขืนเสือกให้วิ่งยิงอีก...มันอะไรของมันวะ"

"เฉย ๆ ไอ้แสบ ไอ้ลักษณะ "เคลื่อนที่ยิง" และ "วิ่งยิง" แบบนี้อั๊วถนัดนัก แล้วก็เคยคว้าเหรียญทองที่มาเลเซียมาแล้วด้วย มือปืนทีมชาติไทยที่ว่าแน่ ๆ มาเจอเกมส์พิเรน ๆ แบบนี้เข้าร้องจ๊ากมาหลายคนแล้วไม่เชื่อลื้อลองถามผู้กอง "ชวลิต กมุทธชาติ" ดูก็แล้วกัน มาเลเซียจัดเกมส์พิเรน ๆ แบบนี้ขึ้นมาก็เพื่อ "แย่ง" เหรียญทองจากนักยิงปืนไทยโดยเฉพาะ ไม่เชื่อประเดี๋ยวลื้อคอยดูคะแนนของอั๊วถึงไม่เต็มก็เฉียด ๆ เต็มนั่นแหละโว้ย"

ไอ้โล้นคุยโขมงโฉงเฉงพร้อมกับหันไปทำอาณัติสัญญาณให้พนักงานตรวจเป้าเริ่มขานคะแนน

ธงสีแดงถูกลดลงขวางเบื้องหน้าล็อคยิง พนักงานตรวจเป้าเคลื่อนที่ออกจากซอกทางเดินตรงเข้าไปหาเป้าทั้ง10อย่างรีบเร่ง หลังจากเสียเวลาเช็ครอยกระสุนที่ตัวเป้าอยู่ชั่วครู่ก็ใช้ไมโครโฟนแบบเครื่องส่งวิทยุที่เสียบอยู่ในกระเป๋ารายงานคะแนนการยิงทันที

" ระยะทาง 60 เมตร ยิงระบบ " เซมิออร์โต " เวลา 30 วินาที กระสุน 30 นัด เวลาที่ยิงจริง 30 วินาที เข้าเป้าทั้ง 10 เป้า เข้าจุดตายเก้าเป้า เข้าจุดพิการหนึ่งเป้า ส่วนระยะทาง 25 เมตร ยิงระบบ " ฟลูออร์โต " เวลา 5 วินาที เวลายิงจริง 4 วินาที กระสุน 30 นัด เข้าเป้า 28 นัด เป้าที่สองและเป้าที่แปดกระสุนหายไปอย่างละนัด...ผลการยิงเข้าจุดตายทั้งหมด "

พนักงานตรวจเป้าขานคะแนนการยิงของไอ้โล้นทางเครื่องขยายเสียงอย่างละเอียดถี่ถ้วน ไอ้แสบอ้าปากหวอด้วยความอัศจรรย์ใจ ส่วน พ.ท. แจ็คสันถึงกับอุทานออกมาด้วยความพึงพอใจอย่างใหญ่หลวง


"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา ชีิวิตคนก็เหมือนสะพาน  มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน" สมิง วังม่วง

บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 68
ออฟไลน์

กระทู้: 7628


tel. 0861810566


« ตอบ #11813 เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2015, 09:21:45 AM »

อัพเดตตลาดปืนมือ 2 วันนี้ http://2013.gun.in.th/index.php?board=6.0 (ถ้ายังไม่ได้สมัครสมาชิก ก็สมัครด้วยครับ)

"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา ชีิวิตคนก็เหมือนสะพาน  มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน" สมิง วังม่วง

บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 68
ออฟไลน์

กระทู้: 7628


tel. 0861810566


« ตอบ #11814 เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2015, 06:09:20 AM »

เรื่องดับรามสูร นวนิยายยอดฮิต จาก ไทยรัฐ โดย สยุมภู ทศพล

ขอขอบคุณและขออนุญาติเผยแพร่หนังสือดีๆไม่ให้หายสาปสูญไป ขอขอบคุณ คุณ สยุมภู ทศพล

ผมขอขอบคุณร้าน สุหนังสือเก่า http://www.su-usedbook.com/ ที่ให้ยืมหนังสือเรื่องนี้ด้วยนะครับ

ดับรามสูร เล่มที่ 1 ตอนที่ 6

เกือบจะเป็นกิจวัตรของวันอาทิตย์ตอนใกล้เที่ยง บริเวณเวียนน้ำพุราชเทวี เลี้ยวซ้ายตลอดเส้นทางกิ่งเพชรไปจนถึงหน้าโรงภาพยนตร์โคลีเซียมรถจะติดกันเป็นพืดไปหมด ยิ่งมาหยุดรอรถไฟที่หน้ารั้วแผงกั้นตรงสี่แยกยมราชเข้าไปด้วยอีกแล้วก็ดูเหมือนว่าขบวนรถที่แออัดยัดเยียดจะจอดนิ่งเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ

สะพานลอยซึ่งเพิ่งจะสร้างเสร็จช่วยทำให้การจราจรที่คั่บคั่งบริเวณถนนสายหน้าสนามม้านางเลิ้งค่อยเบาบางลง แต่เนื่องจากขอบถนนทั้งสองข้างถูกจับจองเป็นที่จอดรถถของบรรดาแฟนอาชา แน่นขนัดไปหมดก็เลยทำให้ ช่วงถนนซึ่งคับแคบอยู่แล้วทวีความแออัดยัดเยียดชุลมุนวุ่นวายขึ้นทุกที...

วันนี้จะมีการแข่งขันม้าลูกผสมชิงถ้วยพระราชทานระยะทาง ๔๕ เส้นพร้อมด้วยรางวัลเงินสดอีก ๗๕,๐๐๐ บาท

ประชาชนที่หวังร่ำรวยโดยฝากความหวังและโชคชะตาเอาไว้กับม้าตัวที่แทง ต่างก็ทยอยกันเข้าสู่สนามเป็นทิวแถว และเริ่มเบียดเสียดเยียดยัดชุลมุนวุ่นวายที่หน้าประตู เมื่อใกล้เวลาเที่ยวแรกของการแข่งม้าในวันนั้นจะเริ่มขึ้น

ทางสนามม้ามีรายได้จากการเก็บเงินค่าประตูมิใช่น้อย อัฒจันทร์ใหญ่แบ่งออกเป็น 2 ตอน ตอนแรกเก็บเงินค่าผ่านประตู 5.00 บาท สำหรับตอนที่สองซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับเส้นชัยก็คิดราคาพิเศษมากขึ้นไปอีกเท่าตัว

นอกจากนั้นบริเวณอัฒจันทร์ ตอนที่ 2 ก็ยังรวมที่นั่งของบรรดาสมาชิกและเจ้าของคอกม้าที่ทางสนามได้จัดเอาไว้เป็นสัดส่วนด้วยห้องกระจกระบบแอร์คอนดิชั่นตลอดจนมีพนักงานคอยบริการพร้อมเสร็จ

ต่อจากอัฒจันทร์ที่ใหญ่โตมโหฬารออกไปเพียงเล็กน้อย เป็นตัวตึกสีเหลืองซีด ๆ เก่าคร่ำคร่า อันเป็นที่ตั้งหอบังคับการหรือหอตัดสินว่าม้าตัวไหนเป็นตัวชนะ โดยอาศัยรูปถ่ายจากกล้องถ่ายรูปแบบการแข่งขันกรีฑาซึ่งเรียกว่า " โฟโต้ - พีนิท " กล้องนี้จะตัดสินได้อย่างชัดเจน และแน่นอนด้วยระบบการถ่ายรูปแบบอัตโนมัติ

หลังจากประกาศผลการตัดสินออกไปแล้วคณะกรรมการสนามก็จะนำฟิล์มที่ล้างและอัดขยายเรียบร้อยแล้วออกให้ประชาชนชม โดยติดภาพดังกล่าวนั้นเอาไว้ตามชั้นต่าง ๆ ของอัฒจันทร์

ชั้นล่างของหอบังคับการก็ยังเป็นที่สังสรรค์ของเหล่าสมาชิกของสนามม้าโดยครบครันพร้อมเพรียงด้วยอาหารและบริการอย่างดีเยี่ยม

ภายในบ๊อกซ์ที่นั่งของบรรดาเจ้าของคอกม้า ซึ่งจัดเอาไว้ในห้องกระจก ณ บริเวณชั้นที่ 3 ของอัฒจันทร์ 10 บาท

เสี่ยวิชัย พรกิจนรากุล เจ้าของคอกม้าหลายคอกกำลังหัวเราะส่งเสียงดังคุยฟุ้งดังลั่นไปหมด เขาใช้กล้องส่องทางไกลดูลักษณะม้าที่เดินวนเวียนอยู่หน้าซองสตาร์ทด้วยความพินิจพิจารณาอยู่ชั่วครู่ แล้วหันมากระซิบกับชาติและจิตต์ ลูกน้องคู่ใจเบา ๆ

" เจ้าของม้า " สิบทิศ " สั่งสู้เต็มที่ เมื่อกี้นี้อั๊วเห็น " ไอ้กวง " เจ้าของคอกแทงวินตั้งหมื่นบาทม้ามันฟิตฉิบหายเลยว่ะ คนจูงแทบจะยึดมันไม่อยู่ โน่นเต้นอยู่หน้าซองโน่น "

" จะเอาอะไรมาวิ่งกับมันครับเสี่ย เมื่อเทิตย์ก่อนวิ่ง 25 เส้น 1 นาทีกับจุดสี่เศษ ๆ มันยังไม่ขยับอะไรเลย วันนี้ขึ้นไปอีก 3 ชั้น แถมได้ลดอีก 5 ปอนด์ มันก็เท่ากับวิ่งหลังเปล่าเท่านั้น ถ้าเสี่ยกวงไม่ " เปิด " วันนี้ก็โง่เต็มทีเจ้านาย"

ชาติ จอมทรชน ซึ่งวันนี้แต่งกายอย่างโก้หรูด้วยเสื้อผ้าชั้นดีแถมเดาะผูกไทสีแดงแจ๊ดนั่งยิ้มระรื่นขนาบข้างลูกพี่พร้อมกับสาธยายด้วยความชำนิชำนาญระดับเซียนม้า

" ไอ้โห้...ผลประเมินลดลงเหลือ 13 บาทแล้วครับเสี่ย"

จิตต์ซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ อุทานขึ้นมาพร้อมกับสะกิดให้ลูกพี่ของมันดูป้ายประเมินผลกลางสนามม้าอัฒจันทร์

ภายในสนามหญ้าจะเห็นป้ายสกอร์บอร์ดเป็นรูปแท่งสี่เหลี่ยนผืนผ้ายาวประมาณ 30 เมตร มีช่องแบ่งออกเป็น 21 ช่อง และแต่ละช่องก็มีตัวเลขไฟฟ้าหมุนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาด้วยระบบคอมพิวเตอร์

ตัวเลขเหล่านี้จะบอกจำนวนเงินที่ผู้แทงม้าจะได้รับเมื่อม้าตัวที่เราแทงเข้า " วิน "

บางช่องตัวเลขอยู่ที่หมายเลข "1999" ซึ่งหมายความว่า ม้าเบอร์นั้นไม่มีใครแทงเลย (หรือแทงเป็นจำนวนน้อยไม่ถึง 20 ตั๋ว) ถ้าม้าเบอร์ดังกล่าวนั้นเข้าจะจ่ายประมาณหนึ่งพันหรือสองพันต่อเงินแทง 10 บาท ซึ่งปรากฏการณ์หยั่งว่านี้นาน ๆ จึงจะมีสักครั้ง ประชาชนทั่ว ๆ ไปมักจะเรียกว่า "ม้าฟลุค"

บางช่องหมายเลขลดวูบถึง 11 บาท ก็หมายความว่าม้าเบอร์นั้นมีคนรุมแทงอย่างมหาศาลเป็นจำนวนแสน ๆ บาทขึ้นไป และถ้าม้าเข้าวินก็จะจ่ายเพียง 11 บาท ต่อเงินแทง 10 บาทเท่านั้น

สนามม้าเปรียบเสมือนหนึ่ง " เสือนอนกิน " สนามม้าจะมีรายได้เที่ยวหนึ่ง ๆ หลายหมื่นบาท ทั้งนี้ โดยการหักเปอร์เซ็นต์จากจำนวนตั๋วทั้งหมดที่ประชาชนซี้อในเที่ยวหนึ่ง ๆ โดยคิดหักร้อยละ 22.5

สมมุติกันอย่างง่าย ๆ ยอดตั๋วรวมทั้งหมดในเที่ยวนั้นมี 30,000 ตั๋ว (ตั๋วละ 10 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 300,000 บาท) ทางสนามก็เอา 300,000 บาท ตั้งลบด้วย 67,500 บาท(22.5%) แล้วยกเอายอดที่เหลือมาจ่ายให้กับม้าที่ชนะโดยเอายอดที่เหลือตั้งแล้วหารด้วยจำนวนตั๋วในเที่ยวนั้น ๆ ที่กระดานดำก่อนม้าจะออกสตาร์ท) ผลที่ออกมาก็คือส่วนแบ่งที่ผู้แทงจะได้รับเงินรางวัลต่อตั๋ว 10 บาท (สำหรับสนามนางเลิ้ง เครื่องคอมพิวเตอร์จะ " โกง " เอ้ยขอโทษ " คำนวณ " ออกมาเลยทีเดียว)

รายจ่ายของสนามม้าก็คือ รางวัลของม้าชนะที่ 1,2,3,4 ซึ่งรวมกันเข้าแต่ละเที่ยวก็มักจะไม่เกิน 20,000 บาท นอกนั้นก็เป็นเบี้ยเลี้ยงพนักงานขายตั๋ว ค่าไฟฟ้า, เหลือเบาะ ๆ เที่ยวหนึ่ง ๆ เกือบ 3-4 หมื่นบาท วันหนึ่ง ๆ มี14 เที่ยว ลองคิดดูเป็นการบ้านว่าพวกเราชาวอาชาเอาเงินไปซื้อหญ้าให้ม้ากินมากมายเพียงไร

สำหรับจ๊อกกี้จะมีรายได้ 10% จากรางวัลที่ชนะม้าชั้น 1 รางวัลเป็นหมื่น จ๊อกกี้ก็จะได้ส่วนแบ่งถึง 1,000 บาทอาทิตย์หนึ่งซัดเสีย 4 วิน เงินเดือนข้าราชการชั้นเอกก็เห็นทีจะสู้คุณเธอเหล่านั้นไม่ได้

ขณะนี้ประชาชนกำลังรุมแทงม้า "สิบทิศ" กันอย่างมืดฟ้ามัวดิน ตัวเลขในป้ายสกอร์บอร์ดลดลงไปถึง 13 บาทและไม่มีที่ท่าจะขยับสูงขึ้นไปอีกกว่านั้น

เหลืออีก 3 นาที ม้าเริ่มแข่งขัน เสี่ยวิชัยหันไปกระซิบกับชาติและจิตต์เบา ๆ

"รับกิน "สิบทิศ" ไม่อั้น แทงเท่าไรรับให้หมด"

ชาติกับจิตต์ลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินออกไปจากห้องกระจก สะกิดลูกน้องอีก 2-3 คนที่ยืนเตร่อยู่ข้างนอก พาตัวเองกลืนหายไปกับประชาชนที่กำลังซื้อตั๋วกันอย่างคับคั่งอย่างรวดเร็ว

อา ! งานของโต๊ดเถื่อนได้เริ่มขึ้นแล้ว มันเป็นงานที่บ่อนทำลายวงการแข่งม้าอย่างบัดซบที่สุด รายได้อันชอบธรรมของสนามม้าโดนแบ่งไปเป็นจำนวนมหาศาลโดยบุคคลกลุ่มนี้

เจ้าหน้าที่ (บางคน) พยายามที่จะปราบ แต่ก็ต้องพ่ายแพ้แก่อำนาจเงินของบรรดาโต๊ดเถื่อนไปอย่างราบคาบจากการจ้องที่จะปราบกลายเป็นเข้าแถวเวียนเทียนคอยรับเงินจากโต๊ดเถื่อนดังกล่าวนั้นอย่างหน้าด้าน ๆ ท่ามกลางความสมเพชของประชาชนซึ่งมองเห็นเหตุการณ์อยู่ตำหูตำตา

แม้กระทั่งบนอัฒจันทร์ชั้น 5 บาท บริเวณชั้นบนสุดโต๊ดเถื่อนระดับ "กระจอก" ก็ยังระบาดไปทั่ว รับแทงกันอย่างโจ่งครึ่ม พนักงานขายตั๋วบางคนกระทำหน้าที่เป็นโต๊ดเถื่อนเสียเองก็มี และประชาชนส่วนมากก็นิยมเสียด้วยเนื่องจากโต๊ดดถื่อนมีวิธีการล่อใจแก่นักเลงม้าด้วยการเพิ่มเงินรางวัลม้าชนะที่ประเมินไว้ในสกอร์บอร์ดให้แก่แทงอีก 100 บาท (สมมุติว่าทางสนามจ่าย 20 บาท โต๊ดเถื่อนจะจ่ายเพิ่มเป็น 21 บาท) และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อนักเล่นแทงผิดเจ้ามือโต๊ดเถื่อนก็ยังมีน้ำใจคืนทุนให้ร้อยละ 10 บาทอีกด้วย

เสี่ยวิชัย พรกิจนรากุล ได้วางแผนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ด้วยอำนวจเงิน 10,000 บาทที่เขาฟาดหัวจ๊อกกี้ผู้ขี้ม้า " สิบทิศ " ในเที่ยวนั้น ด้วยข้อตกลง " สิบทิศ " จะต้องไม่ชนะและมีตำแหน่งอย่างเด็ดขาด จ๊อกกี้ให้คำมั่นสัญญาพร้อมกับรับมัดจำไปก่อน 5,000 บาท

บรรดา "ขาประจำ" ที่เคยแทงโต๊ดเถื่อนกับเสี่ยวิชัยก็พากันมาแทง "สิบทิศ" กันอย่างคับคั่ง เสี่ยวิชัยก็รับอย่างไม่อั้นเหมือนกัน จนกระทั่งธงสัญญาณปล่อยม้าได้ยกขึ้น ชาติและจิตต์จึงนำเงินจากขาประจำนอกห้องกระจกมาส่ง

"ได้เท่าไรวะชาติ"

เสี่ยวิชัยหันมาถามเมื่อลูกน้องคนสนิทเอากระเป๋าซิปรูดกะทัดรัดวางลงบนโต๊ะ

" 65,000 บาท ครับเสี่ย กำลังเก็บอยู่เพลิน ๆ ผู้พัน " เจริญ " ผ่านมา ผมต้องหลบแทบแย่เกือบโดนซิว "

ชาติพูดพรางรูดซิปให้เจ้านายดูเงินในกระเป๋า เสี่ยวิชัยเหลือบตามองอย่างคร่าว ๆ แล้วพูดขึ้นเบา ๆ

" อั๊วรับทั้งหมด 4 แสน เช็คครึ่งหนึ่ง ถ้าพลาดเที่ยวนี้อั๊วพังแน่ "

เสี่ยวิชัยพูดพลางยกกล้องสองตาส่องไปยังซองสตาร์ท ซึ่งขณะนี้ม้าทุกตัวอยู่ในความควบคุมของกรรมการปล่อยม้าเรียบร้อยแล้ว

ธงสีขาวจากมือ "สตาร์ทเตอร์" ถูกลดลงพร้อม ๆ กับที่ซองม้าเปิดผางออกโดยพร้อมเพรียงกัน เสียง "ออด" ยาวดังลั่นสนาม ระบบคอมพิวเตอร์ตัดสวิทช์ระหว่างห้องขายตั๋วกับแผงสกอร์บอร์ดโดยฉับพลัน ทำให้ห้องขายตั๋วระบบอัตโนมัติต้องยุติการขายตั๋วโดยสิ้นเชิง

"ม้าออกแล้ว"

เสียงโฆษกประจำสนาม ประกาศผ่านลำโพงออกมาได้ยินอย่างถนัดชัดเจน

นาทีแห่งความตื่นเต้นได้เริ่มต้นขึ้นแล้วเสียงโห่ร้องเสียงเรียกชื่อม้าแต่ละตัวที่นักเสี่ยงโชคพากันแทงดังกระหึ่มขึ้นมาก้องอัฒจันทร์ แทบทุกคนพากันตะโกนเรียกชื่อม้า "สิบทิศ" กันอย่างบ้างคลั่ง

เหมือนกับสวรรค์สาป...ม้าสิบทิศซึ่ง "เต็งหาม" ชูขาหน้าอยู่ในซองสตาร์ทอยู่ชั่วอึดใจ แล้วกระโจนผึงตามม้าทั้งกลุ่มซึ่งขณะนั้นออกสตาร์ทไปแล้วเกือบครึ่งเส้น

เสี่ยวิชัยระบายยิ้มอยู่บนใบหน้าพร้อมอุทานด้วยความลำพอง

"ต้องอย่างนี้ซิวะ...อ้ายน้องแก้ว"

จ๊อกกี้พยายามขี่ม้า "สิบทิศ" อย่างเต็มที่เพื่อตบตาสจ๊วต (เจ้าหน้าที่ควบคุมการขี่ม้า) ทั้งโยกทั้งไส ทั้งตีจนกระทั่งสิบทิศพรวดพราดขึ้นมาทันกลุ่มหน้า แล้วเริ่มผ่านม้าเหล่านั้นขึ้นไปทีละตัวจนกระทั่งขึ้นไปทาบม้า 2-3 ตัว ที่กำลังอยู่กลุ่มหน้าทันที

เสียงโห่ร้องกระหึ่มขึ้นอีกวาระหนึ่ง ประชาชนซึ่งเงียบเสียงลงไปชั่วขณะเนื่องจากม้า "สิบทิศ" ออก "ซองสตาร์ท" ไม่ดีเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง นักเสี่ยงโชคเกือบค่อนสนามส่งเสียงเชียร์กันอย่างบ้าคลั่ง สายตานับหมื่นคู่จ้องเขม็งไปยังกลุ่มม้าที่กำลังขับเคี่ยวกันอยู่ในสนามหญ้าเบื้องล่าง ลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่สุมอยู่ภายในสมองไปโดยสิ้นเชิงบางคนชูตั๋วม้าที่ถืออยู่ในมือด้วยท่าทางลิงโลด อากัปกิริยาที่แสดงออกมาเต็มไปด้วยความหวังในชัยชนะของม้าสิบทิศร้อยเปอร์เซ็นต์ เต็ม

อนิจจา...จ๊อกกี้ ซึ่งได้สวาปามเงินสินบนของเสี่ยวิชัยเข้าไปเต็มคราบเริ่มแสดงลวดลายด้วยการขี่ซุกเข้าไปทางในแทนที่จะขี่ออกทางนอก จะแซงโค้งก็แซงไม่ได้เพราะมีม้าที่นำอยู่ขวางหน้าเอาไว้ มิหนำซ้ำยังโดน " ชน " ซึ่งภาษาม้าเรียกว่า " โดนปั๊ม " รูดกลับลงไปรวมอยู่กับม้ากลุ่มหลังเหมือนอย่างเดิม

พอถึงโค้งออกทางตรง ม้า "สิบทิศ" พยายามจะขึ้นมาอีกครั้ง แต่มันก็สายไปเสียแล้ว ม้าสิบทิศได้ที่ 6 ในจำนวนม้า 12 ตัว กินแม้กระทั่ง "เพรส" เล่นเอาประชาชนที่มองเห็นเหตุการณ์พากันโห่ร้องสาปแช่ง บางคนที่ใจร้อนหน่อยก็ระดมขว้างปาจ๊อกกี้ผู้ขี่ม้าสิบทิศด้วยเปลือกแตงโมและถุงน้ำแข็ง สารวัตรทหารต้องออกมาคุ้มกันจ๊อกกี้เป็นพัลวัน เล่นเอาชุลมุนวุ่นวายกันไปพักหนึ่ง

เสี่ยวิชัยมีรายได้ในเที่ยวนั้นเกือบ 600,000 บาท เขารีบจัดแบ่งเงินจำนวนหนึ่งออกเป็นเบี้ยเลี้ยงสำหรับ "พระภูมิเจ้าที่" ที่เมียงมองอยู่หน้าห้องกระจกแล้วส่งให้กับลูกน้องทั้งสอง ซึ่งก็รีบผละออกไปอย่างรวดเร็วเหมือนหนึ่งจะรู้ใจกัน

การแข่งขันม้าในวันนั้น มีการพลิกล็อคกันอย่างวินาศสันตะโร ม้าเต็งหนึ่งซึ่งได้รับการคาดหมายว่าจะชนะหลุดจากตำแหน่งเป็นแถว ๆ และแน่นอนเหลือเกินทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ใน "แผน" ของเสี่ยวิชัยทั้งสิ้น เงินจำนวนนับเป็นล้าน ๆ บาทอัดแน่นอยู่ในกระเป๋าเจมส์บอนด์ทั้ง 3 ใบ เสียงหัวเราะของเสี่ยวิชัยดังลั่นไม่ขาดระยะ

การแข่งขันได้ผ่านไปจนกระทั่งถึงเที่ยวสำคัญคือเที่ยวชิงถ้วยพระราชทานระยะ 45 เส้น

ภายในสนามเดินวน ซึ่งตั้งอยู่หลังอัฒจันทร์ คับคั่งไปด้วยจ๊อกกี้และผู้ที่เกี่ยวข้อง สุภาพสตรีแต่ชุดเดินทางสีน้ำเงินเข้ม ซ่อนดวงตาเอาไว้ด้วยแว่นตาขนาดใหญ่ยืนพิงขอบรั้วอยู่ด้วยท่าทางกระสับกระส่าย มือข้างหนึ่งซึ่งยกขึ้นท้าวขอบรั้วมีพัดกระดาษติดตราเครื่องวหมายการบินบริษัทหนึ่งถือติดมือเอาไว้ด้วย นาน ๆ ครั้ง เธอก็จะใช้พัดกระดาษขึ้นมากระพือไล่ความร้อนบนใบหน้าซึ่งขณะนี้เหงื่อเริ่มซึมออกมาเป็นเม็ด ๆ มองเห็นถนัดตา

ผิวที่ขาวจนซีดทำให้เครื่องแต่งกายชุดน้ำเงินเข้มอันมันระยับผุดผาดสะดุดตาจนสุภาพสตรี ๓-๔ คนซึ่งยืนอยู่อีกด้านหนึ่งเตร่เข้ามาดูด้วยท่าทางสนใจ

ชาติและจิตต์ ยืนรวมกลุ่มอยู่บนอัฒจันทร์ด้านหลังของชั้นที่สอง แทนที่ทรชนทั้งสองจะเฝ้าดูม้าแข่งซึ่งกำลังถูกจูงเข้ามาในสนามเดินวน กลับใช้สายตาสอดส่ายไปยังกลุ่มเจ้าของคอกม้าซึ่งยืนออกันแน่นอยู่รอบ ๆ สนามเดินวนแห่งนั้นด้วยความพินิจพิจารณาเป็นพิเศษ ชั่วครู่หนึ่งสายตาของจิตต์ก็มองเห็นสุภาพสตรีในชุดสีน้ำเงินเข้มเข้าอย่างถนัดถนี่

"เจอะแล้วลูกพี่ โน่นแต่งชุดสีน้ำเงินถือพัดกระพืออยู่โน่น"

ในขณะที่กระซิบกระซาบ จิตต์ก็ยกมือข้างที่ถือกล้องสองตาขึ้นมาวางพาดบนขอบอัฒจันทร์ มือข้างที่ว่างหมุนที่ปรับระยะไปทางซ้ายมือดัง "กริ๊ก" เบาๆ แล้วหันหน้าไปสำรวจรอบ ๆ ข้างด้วยอาการระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังเพ่งจุดสนใจลงไปในสนามเดินวนเบื้องล่างก็ยกกล้องขึ้นมากรอกคำพูดลงไปในช่องกระจกด้านขวาเบา ๆ

" นางเลิ้ง จากบางซื่อ เจอะแล้ว กำลังจะลงไปประกบตัวข้างล่าง มีอะไรจะรายงานให้ทราบเป็นระยะ ๆ เลิกกัน"

ด้วยประสิทธิภาพของเครื่องส่งวิทยุขนาดจิ๋วที่ซุกซ่อนอยู่ภายในกล้องสองตาทำให้จารชนทั้งสองสามารถส่งข่าวการเคลื่อนไหวของสุภาพสตรีในชุดสีน้ำเงินไปยังบุคคลระดับ "คีย์แมน" ซึ่งนั่งบัญชาการอยู่ในห้องกระจกแอร์คอนดิชั่นได้อย่างสบาย

และโดยไม่ต้องรอคำตอบ ชาติกระตุกแขนจิตต์กระโจนผลุงลงจากอัฒจันทร์ด้านหลังอย่างรวดเร็ว ชั่วอึดใจทั้งสองก็สามารถผ่านประตูเข้าไปปะปนกับเจ้าของม้าที่ยื่นออกันอยู่รอบ ๆนอกสนามเดินวนอย่างง่ายดาย

ทรชนทั้งสองใช้ความพยายามอยู่ครู่หนึ่งก็สามารถเบียดผู้คนเข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ สุภาพสตรีผู้นั้นในลักษณะประกบเอาไว้ทั้งสองข้าง

จากอัฒจันทร์ชั้นบนสุดเหนือบริเวณสนามเดินวนชายฉกรรจ์สองคนสวมเสื้อฮาวายปล่อยชายสีสะดุดตายืนคุยกันอยู่เงียบ ๆ แต่ทว่าสายตาจ้องเขม็งจับอยู่ที่สุภาพสตรีในชุดสีน้ำเงินอยู่ตลอดเวลา กล้องถ่ายรูปติด "ซูม" ที่ใช้ถ่ายภาพในระยะไกลถูกวางพาดเอาไว้บนขอบผนังอัฒจันทร์ สายสะพายตัวกล้องโยงขึ้นไปคล้องเอาไว้ที่บริเวณลำคออย่างรัดกุม โปรแกรมม้าปกแดงถูกม้วนเป็นแท่งยาว ๆ แล้วเสียบกระเป๋าหลังเอาไว้อย่างรวก ๆ

ชายฉกรรจ์ทั้งสองจ้องเขม็งดูเหตุการณ์เบื้องล่างอยู่ครู่หนึ่งก็หันมาสบตากัน คนหนึ่งกระซิบออกมาเบา ๆ

" ใช่แน่...ลูกพี่ ลักษณะท่าทางเหมือนกับที่ " สาย " ของเราแจ้งมาไม่มีผิด...ผมชักเป็นห่วง "นาย" ของเราเสียแล้ว จะทำยังไงดีครับ "

ชายฉกรรจ์คนที่สะพายกล้องนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ แล้วกระซิบตอบด้วยน้ำเสียงที่พอ ๆ กัน

" ส่งวิทยุไปให้ "นาย" เรารู้ตัวเสียก่อน ถ้าไม่มีทางเลี่ยงก็เป่ามันด้วยปืนเก็บเสียงข้างบนนี่เลย "

ชายฉกรรจ์คนที่เป็นลูกน้องยกมือขึ้นไปหยิบปากกาลูกลื่นที่เสียบอยู่บนกระเป๋าฮาวายพร้อม ๆ กับหันหน้าไปสำรวจเหตุการณ์รอบ ๆ ข้างด้วยอาการระแวดระวังเมื่อไม่มีใครสนใจเขาก็บิดหัวปากกาไปทางซ้ายมือแล้วยกปากกาขึ้นมาจ่อที่ริมฝีปากกรอกคำพูดลงไปเบา ๆ

" ระวัง...นายกำลังโดนประกบจากฝ่ายตรงข้าม โปรดระวังชายทั้งสองที่ผูกเน็คไท จะให้ปฏิบัติอะไรตอบขึ้นมาด่วน "

เครื่องส่งวิทยุขนาดจิ๋วซึ่งซุกซ่อนอยู่ในแท่งปากกาบิ๊คส่งสัญญาณลงไปในเครื่องรับ-ส่งวิทยุขนาดเดียวกันซึ่งซุกซ่อนอยู่ในแว่นตาขนาดใหญ่ของสุภาพสตรีในชุดสีน้ำเงินนั้น

ด้วยการออกแบบที่แนบเนียน "หูฟัง" ขนาดเล็กซึ่งติดตั้งอยู่กับก้านแว่นตาที่โค้งรัดอยู่กับใบหูทั้งสองข้างของผู้สวมทำให้ผู้ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ไม่สามารถที่จะได้ยินสัญญาณวิทยุแต่อย่างใด

ใบหน้าอันผุดผาดที่กระเดียดไปทางลูกผสมระหว่างชาวยุโรปกับเผ่าพันธุ์ในแหลมอินโดจีนหันมาชำเลืองดูชาติซึ่งอยู่ทางขวามือแล้วตวัดสายตากลับไปมองจิตต์ด้วยอาการปกติ ต่อจากนั้นก็หันกลับไปจ้องดูม้าแข่งซึ่งขณะนี้กำลังถูกจูงเข้ามาในสนามเดินวนบ้างแล้ว

หลังจากสนใจม้าอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็ใช้มือซ้ายยกขึ้นไปถอดแว่นตาออกมาบรรจงเช็คด้วยผ้าเช็คหน้าอย่างแผ่วเบา พร้อม ๆ กับใช้นิ้วชี้กดปุ่มที่สลักก้านแว่นตาด้วยความระมัดระวังแล้วยกแว่นขึ้นสวมเอาไว้อย่างเดิม แต่คราวนี้เธอขยับแว่นให้ต่ำลงมาทาบอยู่บนจมูกที่โด่งเป็นสันนั้นพร้อม ๆ กับพึมพำออกมาเป็นภาษาที่ออกสำเนียงคล้าย ๆ กับภาษาที่ใช้กันอยู่ในประเทศหลังม่านเหล็กในปัจจุบัน

" ลูกพี่ นายส่งรหัสมาให้เราถ่ายรูปไอ้สองคนนั่นไว้นายบอกว่าจะพยายามหลอกให้มันหันหน้ามาทางเราให้ได้พยายามเก็บภาพของพวกมันทุกอิริยาบถ อย่าจับตายปล่อยพวกมันไป ข้อสุดท้ายสั่งให้ "สาย" ของสถานีที 2 แกะรอยรับช่วงจากพวกเราต่อไป "

ชายฉกรรจ์คนที่ถือปากกาลูกลื่นกระซิบกระซาบกับลูกพี่ซึ่งขณะนี้กำลังยกกล้องถ่ายรูปติด " ซูม " ขึ้นมาปรับระยะพร้อมกับลั่นชัทเตอร์เก็บภาพด้านหลังของชาติและจิตต์อย่างถี่ยิบ

จากช่องทางเข้าออก ม้าแข่งที่เพิ่งจะเสร็จสิ้นจากการแข่งขันในเที่ยวที่ 10 อันเป็นเที่ยวก่อนจะถึงการแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานถูกจูงทยอยเข้ามาเป็นแถว แต่ละตัวเหงื่อโทรมกาย เสียงร้องเสียงหายใจฟืดฟาดของม้าแต่ละตัวทำให้ประชาชนที่ยืนออกันอยู่รอบ ๆ สนามเดินวนต่างพากันไปมองด็วยความตื่นตาตื่นใจ

ม้าตัวที่ชนะถูกพาไปเข้ากักกันเพื่อรอตรวจปัสสาวะค้นหายาโด๊ป ส่วนม้าที่ไม่มีตำแหน่งถูกปลดอานออก จ๊อกกี้คนที่จะขี่ม้าเที่ยวถ้วยพระราชทานรีบเปลี่ยนเสื้อตามสีประจำคอกแล้วเดินเข้ามาในสนามเดินวนอย่างรวดเร็ว

จ๊อกกี้รูปร่างแกรนสวมเสื้อสีแดงแขนขาวเดินก้มหน้างุด ๆ ออกมาจากที่พักและเส้นทางที่จะผ่านเข้าสนามเดินวนก็จำเพาะเจาะจงต้องผ่านบริเวณที่สุภาพสตรีในชุดสีน้ำเงินยืนอยู่เสียด้วย พอจ๊อกกี้เดินผ่านด้านหลังสุภาพสตรีผู้ถูกทรชนทั้งสองประกบตัว ก็หันหลังเดินพรวดออกมาปะทะกับร่างจ๊อกกี้เต็มแรง มือข้างหนึ่งของเธอตะปบลงไปที่อุ้งมือของจ๊อกกี้ซึ่งยกขึ้นกั้นเอาไว้อย่างพอเหมาะพอเจาะวัตถุชนิหนึ่งซึ่งมีรูปร่างเหมือนกับ "แคปซูล" เล็ก ๆ ถูกเปลี่ยนมือจากสุภาพสตรีอย่างแนบเนียน


"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา ชีิวิตคนก็เหมือนสะพาน  มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน" สมิง วังม่วง

บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 68
ออฟไลน์

กระทู้: 7628


tel. 0861810566


« ตอบ #11815 เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2015, 02:45:46 PM »

อัพเดตราคาปืนใหม่  กระสุน แหล่งซื้อ เดือน พ ย - ธค 2558  http://2013.gun.in.th/index.php?topic=63413.0  (ถ้ายังไม่ได้สมัครสมาชิก ก็ สมัครด้วย)
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 68
ออฟไลน์

กระทู้: 7628


tel. 0861810566


« ตอบ #11816 เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2015, 10:11:46 AM »

อัพเดตตลาดปืนมือ 2  http://2013.gun.in.th/index.php?board=6.0 (ถ้ายังไม่ได้สมัครสมาชิก ก็สมัครด้วยครับ)
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 68
ออฟไลน์

กระทู้: 7628


tel. 0861810566


« ตอบ #11817 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2015, 09:58:22 AM »

เรื่องดับรามสูร นวนิยายยอดฮิต จาก ไทยรัฐ โดย สยุมภู ทศพล

ขอขอบคุณและขออนุญาติเผยแพร่หนังสือดีๆไม่ให้หายสาปสูญไป ขอขอบคุณ คุณ สยุมภู ทศพล

ผมขอขอบคุณร้าน สุหนังสือเก่า http://www.su-usedbook.com/ ที่ให้ยืมหนังสือเรื่องนี้ด้วยนะครับ

ดับรามสูร เล่มที่ 1 ตอนที่ 7

" ซีเลสเต้ " สีหมากสุกรุ่นล่าสุดแล่นเอื่อย ๆ ผ่านหน้ากองบังคับการตำรวจทางหลวง ช่วงการจราจรที่คับคั่งทำให้รถจอดนิ่งอยู่กับที่หลายครั้ง เสียงกระดิ่งสัญญาณที่ดังกังวานอยู่ตรงบริเวณสี่แยกทำให้บุรุษหน้าเหี้ยมสองคนที่นั่งคู่กันอยู่ตอนหน้ารถมีท่าทีอึดอัดคนที่หน้าอ่อนวัยกว่าถึงกับสบถออกมาดัง ๆ

" รถไฟมา...ไอ้โล้น...แซงแม่มันขึ้นไปเลยเจ้านายสั่งมาแล้ว...เหลือเวลาอีกสิบกว่านาที...ถ้าพลาดงานนี้มึงกับกูเห็นทีจะต้องกลับเข้าคุกเหมือนอย่างเดิมแน่ ๆ...แซงเลย..."

ไอ้โล้นเหลือบตามองผ่านฟิล์มกรองแสงขึ้นไปดูแผงรั้วกั้นที่กำลังลดตัวลงมาอย่างช้า ๆ ด้วยความใจเย็น แล้วกระแทกครัชเปลี่ยนเกียร์เหยียบคันเร่งพร้อม ๆ กับหักพวงมาลัยเฉออกทางซ้ายมือ โดยปราศจากการให้สัญญาณจราจรใด ๆ ทั้งสิ้น

เสียงเครื่องยนต์ 1600 ซีซี. คำรามดังสนั่นหวั่นไหวท่อไอเสียที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษด้วยการเจาะทะลวงตลอดท่อแล้วใส่ใบมีดโกนเอาไว้ที่ปลายท่อเหมือนกับใบพัดก็เลยทำให้เสียงโหยหวนบาดจิตบาดใจเข้าไปถึงสมอง

รถวิ่งอยู่ในช่องจราจรซ้ายมือเบรคกันตัวโก่ง...บางคนชะโงกหน้าออกมาตะโกนด่าด้วยความโมโห ไอ้โล้นหัวเราะก๊าก เหยียบคันเร่งน้ำมันจนมิดพารถกระโจนพรวดข้ามทางรถไฟชนิดที่เฉียดกับแผงเหล็กรั้วกั้นไม่ถึงฝ่ามือ

" ซีเลสเต้ " วิ่งแอบชิดซ้ายแล้วจอดสงบนิ่งอยู่ตรงมุมสนามม้าด้านสวนจิตรลดา กระจกด้านซ้ายมือถูกไขลดลงมาครึ่งหนึ่ง สายตาของจอมทรชนทั้งสองจ้องเขม็งไปยังกลุ่มม้าแข่งที่มองเห็นลิย ๆ อยู่หน้าอัฒจันทร์ วิทยุบนชั้นคอนโซล " แสตนบาย " เอาไว้มีเสียงคลื่นวิทยุดังซู่ซ่าอยู่ตลอดเวลา

" - จ๊อกกี้หมายเลข 6 ใส่เสื้อสีแดงแขนขาว ทวนข่าวอีกครั้ง หมายเลข 6 - - - เสื้อสีแดงแขนขาว " ขณะนี้มองเห็นรถของลื้อแล้ว...เริ่มปฏิบัติการได้ "

เสียงของ เสี่ย " วิชัย พรกิจนรากุล " ดังแว่ว ๆ อยู่ในลำโพงข้าง ๆ ชั้นคอนโซล ไอ้แสบเบ้ปากหันมามองไอ้โล้นพร้อมกับพูดออกมาเสียงอ่อย ๆ

" - ระยะขนาดนี้ กูยิงไม่ถูกแน่...ไอ้ห่า ระยะเกือบกิโลครึ่งแบบนี้ต่อให้อาจารย์ของเราก็เห็นจะไม่มีทางมึงจะเอายังไง...ไอ้โล้น "

ประโยคสุดท้าย ไอ้แสบย้อนถามเพื่อนคู่หูเหมือนกับจะปรึกษาอยู่ในที

"- เฉย ๆ น่า...เมื่อมึงไม่มีฝีมือก็หุบปากเซี้ยะโน่นหยิบถุงกอล์ฟข้างหลังโน่นให้กูที "

ไอ้โล้นพูดพลาง บุ้ยปากไปยังเบาะด้านหลังในขณะที่เพื่อนคู่หูเอื้อวตัวไปหยิบถุงกอล์ฟ เขาก็ละมือข้างหนึ่งจากพวงมาลัยลงไปหยิบปากพูดหูฟังขึ้นมากดสวิทช์กรอกคำพูดลงไปห้วน ๆ

" นางเลิ้งจากราชวิถี ทวนคำสั่งจ๊อกกี้หมาบเลข 6 เสื้อสีแดงแขนขาว...นอกนั้นตามแผนเดิม...เลิกกัน "

ไอ้โล้น แขวนปากพูดหูฟังเอาไว้ที่เดิม ต่อจากนั้นก็เอื้อมมือไปหยิบถุงกอล์ฟขึ้นมาวางบนตัก ปากก็พูดต่อไปไม่ขาดระยะ

"- ประเดี๋ยวกูจะแสดงสีมือให้มึงดูเอง...เฮ่ย...เปลี่ยนมาขับรถแทนกูได้แล้ว "

ไอ้โล้นพูดยังไม่ทันจะจบประโยค ไอ้แสบก็ปรับทีนั่งเอนลงไปกับพื้นแล้วขยับตัวลงไปนั่งอยู่ที่เบาะด้านหลังซึ่งพร้อม ๆกับที่ไอ้โล้นเลื่อนตัวเองเข้าไปแทนที่ทางด้านซ้ายมืออย่างรวดเร็ว

ในขณะที่ไอ้แสบเข้าประจำที่คนขับ ไอ้โล้นก็ล้วงมือลงไปในถุงกอล์ฟพร้อมกับดึงชิ้นส่วนของปืน " เอ็ม 16 " ขึ้นมาประกอบเข้าด้วยกันอย่างคล่องแคล่วว่องไว กล้องขยายแรงสูงซึ่งติดตั้งอยู่บนตัวปืนถูกเช็คซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความพิถีพิถัน ท่อเก็บเสียงขนาดใหญ่ถูกดึงขึ้นมาจากก้นถุงแล้วประกอบเข้าไปที่ปลายลำกล้องอย่างแนบเนียนท่ามกลางความสนเท่ห์ใจของสหายร่วมทีม

" อะไรว่ะ...ท่อเก็บเสียงปืนกล " เอ็ม 16 "...กูไม่เคยเห็นซักที...มึงไปเอามาจากไหนวะ ไอ้โล้น "

ไอ้แสบพูดพลางเอื้อมมือมาจับท่อเก็บเสียงด้วยความเคลือบแคลงใจ...

"-เมด-อิน-ไทยแลนด์...ไอ้แสบ เจ้านายเพิ่งได้มาจากโรงงานเถื่อนที่ตรอกจันทร์...หน่วยเหนือทดลองประสิทธิภาพดูแล้ว เพิ่งส่งมาให้กูเมื่อเช้านี่เอง ถ้าไอ้กระบอกห่านี่เกิดทรยศเก็บเสียงไม่ได้มึงกับกูก็คงจะหนีโปลิศอกแอ่นกันคราวนี้ละมึง "

ไอ้โล้นพูดพลางชำเลืองดูไปรอบ ๆ ด้วยอาการระแวดระวัง แล้วยกปืนขึ้นประทับปรับศูนย์กล้องตั้งระยะการยิงด้วยความพิถีพิถันเป็นพิเศษกว่าทุก ๆ คราวที่ผ่านมา

ม้าที่จะแข่งขันในเที่ยวชิงถ้วยพระราชทานถูกจูงออกมาหน้าอัฒจันทร์ จ๊อกกี้ผู้ขี่สวมเสื้อสีฉูดฉาดบาดตา ม้าทุกตัวเดินออกมาตามหมายเลขดังต่อไปนี้ หมายเลข 1 ชูพิโรจน์ "เกียงไกร 2 " ผู้ขี่...หมายเลข 2 น้องอู๋ "บุญชู 2" ผู้ขี่ หมายเลข 3 ศิริอนันต์ "ใหญ่" ผู้ขี่ หมายเลข 4 เอื้องหลวง "สมชาย" ผู้ขี่ หมายเลข 5 กิตินารายณ์ "พงษ์สุรีย์" ผู้ขี่ หมายเลข 6 เทพนรินทร์ "ปรีชา 2" ผู้ขี่

ม้าหมายเลข 6 "เทพนรินทร์" ซึ่งเป็นม้าต้นจัดได้รับการวิจารณ์ และคาดหมายจากเซียนม้าทั้งหลายว่าจะต้องชนะและครองถ้วยพระราชทานอย่างแน่นอน ถูกรุมแทงจากแฟน ๆอาชากันอย่างคับคั่ง จนกระทั้งป้ายคอมพิวเตอร์ลดวูบวาบมาอยู่ที่หมายเลขยี่สิบห้าบาทและทรงอยู่ในตำแหน่ง " เต็งหาม " จนกระทั่งได้สัญญาณเริ่มแข่งขัน...

ในขณะที่ม้าทุกตัวกำลังสาละวนเข้าช่องสตาร์ทตามลำดับหมายเลขอยู่นั่น เสี่ย วิชัยและสมุนคู่ใจก็เปิดฉากรับกินม้าเทพรินทร์อย่างไม่อั้น...

"-ขณะนี้ม้าอยู่ในความควบคุมของกรรมการปล่อยม้าเรียบร้อยแล้ว "

เสียงโฆษกเจ้าสนามประกาศผ่านเลาว์ดสปิคเกอร์ก้องกังวานไปทั่วอัฒจันทร์ ซึ่งพร้อม ๆ กันนั้นธงสีขาวก็ถูกชูขึ้นเหนือศีรษะ " สตารท์เตอร์ " ชั่วอึดใจก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

" พรึ่บ "

ซองสตาร์ทเปิดผางออกโดยพร้อมเพรียงกัน ม้าทั้ง 6 ตัวกระโจนพรวดออกมาจากซองเหมือนกับติดปีกบิน ม้าเทพนรินทร์ซึ่งอยู่ซอง 1 พุ่งปร๊าดออกมาเป็นตัวนำด้วยฝีเท้าต้นจัด ติดตามด้วยศิริอนันต์และน้องอู๋ตามลำดับ "-ไอ้แสบ-ไอ้โล้น...เตรียมตัว...ม้าออกแล้วหมายเลข 6 เป็นตัวนำ "

เสี่ยวิชัยกรอกคำพูดลงไปในกล้องส่องทางไกลด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ พร้อมกับขยับกล้องติดตามกลุ่มม้าแข่งด้วยความเร้าใจ

ฝนซึ่งตั้งเค้ามาตั้งแต่การแข่งม้าเที่ยวแรกเริ่มโปรยปรายลงมาเป็นสาย...ชั่วอึดใจมันก็กระหน่ำลงมาเหมือนกับท้องฟ้ารั่ว กลุ่มประชาชนที่แออัดยัดเยียดอยู่ริมสนามซึ่งปราศจากหลังคาเฮโลถอยขึ้นไปอยู่บนอัฒจันทร์ชั้นที่ 3 กันเป็นแถว แต่ก็มีแฟนอาชาบางคนที่ใจถึงยืนกรำฝนส่งเสียงเชียร์ม้าด้วยความฮึกเหิมจนลืมนึกถึงสภาพร่างกายซึ่งขณะนี้เปียกปอนไปตาม ๆกันอย่างถนัดใจ

ไอ้แสบเอื้อมมือไปเร่ง " วอร์ลุ่ม " ให้เสียงวิทยุดังเพิ่มขึ้นกว่าเดิม ยังไม่ทันจะพูดอะไรออกมา สหายร่วมทีมซึ่งนั่งประทับปืนอยู่ข้าง ๆ ก็ออกคำสั่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง

"- เริ่มติดเครื่อง แล้วพารถเคลื่อนที่ออกช้า ๆ ให้สัมพันธ์กับการวิ่งของม้า...พอม้าเลี้ยวโค้งออกทางตรงให้มึงขับรถตีคู่ไปทันที ต่อจากนั้นเป็นหน้าที่ของกูเอง...โอเค - ออกรถ "

ประโยคสุดท้าย ไอ้โล้นกำชับเสียงเครียดพร้อมกับลดกระจกด้านข้างจนสุด แล้วแหย่ท่อเก็บเสียงออกนอกรถแนบสายตาลงไปที่กล้องขยายบนตัวปืน ติดตามกลุ่มม้าแข่งที่กำลังห้อเหยียดอยู่ท่ามกลางสายฝนด้วยมาดของมือปืนชั้นมหากาฬ

ภาพม้าแข่งถูกดึงเข้ามาอยู่ภายในโฟกัสของกล้องขยายอย่างถนัดชัดเจน ไอ้โล้นเหยียดยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ พร้อมกับเอื้อมมือหยิบผ้าเช็ดหน้าออกไปเช็ดกระจกหน้ากล้องเล็งซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปากก็พึมพำออกมาไม่ขาดระยะ

"ทุกที...ไอ้ห่าพอจะฆ่าคนที่ไรหัวใจกูสั่นกระตุกแบบนี้ทุกที กูนี่มันเวรเหลือเกิน รักษาเท่าไรก็ไม่หาย "

ไอ้แสบผ่อนคันเร่ง ละสายตาจากม้าที่กำลังเกาะกลุ่มวิ่งเลี้ยวโค้งหันมาดูสหายร่วมทีมซึ่งขณะนี้ร่างกายสั่นสะท้านเหมือนกับคนเป็นไข้มาเลยเรียไม่มีผิด

" - ไอ้หอก...ตั้งแต่รบด้วยกันมาในลาวกูก็เห็นมึงเป็นอีแบบนี้ทุกที...คราวแรกกูนึกว่ามึงกลัวจนปอดแหกที่ไหนได้ทั้ง ๆ ที่มึงสั่นเป็นเจ้าเข้าแบบนี้ มึงก็ยังเข่นฆ่าไอ้แกวเสียราพณาสูร กูว่ามึงเป็นฮีสทีเรียแหง ๆ...ไอ้โล้น "

"-ไอ้จัญไร...ก๋งมึงน่ะซีเป็นฮีลทีเรีย...เสือกเอาอาการของกูไปเปรียบกับพวก "โกล์ด-เฟาว์-เวอร์" ด๊ายหมอเค้าบอกกูแล้วโว้ยว่ากูเป็นโรค "วอร์-ดิสซึ่ม" มันก็ไอ้โรคบ้าฆ่าคนหรือโรคบ้าสงครามนั่นแหละ...เฮ้ย...ตีคู่ไปเลย-ไอ้แสบ"

ประโยคสุดท้าย ไอ้โล้นกำชับออกมาค่อยข้างดังพร้อมขยับตัว เอี้ยวคอไปดูม้าแข่งที่กำลังห้อตะบึงจากโค้งเข้าสู่ทางตรงด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่า 50 กม.ต่อชั่วโมง

ไอ้แสบแตะคันเร่งเบา ๆ "ซีเลสเต้" โจนพรวดวิ่งขนานไปกับกลุ่มม้าที่กำลังขับเคี่ยวกันอยู่ในสนามหญ้า ซึ่งขณะนี้แปรสภาพเป็นโคลนตม เนื่องจากพายุฝนที่ถล่มลงมาหยั่งกับท้องฟ้ารั่ว

จากถนนที่รถของฆาตกรรับจ้างทั้งสองกำลังวิ่งอยู่นั้นมีคลองกั้นไว้ตลอดทั้งสาย ห่างจากคลองออกไปประมาณ 10 เมตร ก็เป็นบริเวณลู่สนามม้า อันเป็นเป้าหมายในการทำงานของเพชฌฆาตทั้งสองพอดิบพอดี

เสื้อสีแดงผ่านแวบเข้ามาในโฟกัส ไอ้โล้นเม้มริมฝีปาก ส่ายกล้องเล็งตามกลุ่ม ม้าที่กำลังวิ่งตีคู่ไปกับรถด้วยความใจเย็น

"-พอถึงครึ่งสนามมึงเร่งเครื่องให้ผ่านม้ากลุ่มนี้เลย กูจะเจี๋ยมมันที่นั่น "

ไอ้โล้นพูดพลางดึง "ขอรั้ง" ถอยหลังออกมาจนสุดแล้วปล่อยมือให้ "ขอรั้งลูกเลื่อน" พากระสุนจากแม๊กกาซีนเข้ารังเพลิงเสียงดัง " แคร้ง " จนไอ้แสบสะดุ้งออกมาสุดตัว

"-ประสาทแดก ไอ้ฉิบหาย กูนึกว่าปืนเก็บเสียงทำไมดังแรงขนาดนี้...เสียเส้นหมด"

ไอ้แสบบ่นพึมพำ พร้อมกับเปลี่ยนเกียร์เหยียบคันเร่งพาซีเลสเต้ควบออกนำหน้ากลุ่มม้าทันที

ไอ้โล้นขยับตัวหันหลังให้กระจกหน้ารถเหยียดท่อเก็บเสียงออกนอกช่องกระจก เป้าหมายคือจ๊อกกี้หมายเลข 6 ที่นั่งบนหลังม้า "เทพนรินทร์" ซึ่งขณะนี้กำลังนำหน้าม้ากลุ่มนั้นอยู่ถึง 3 ช่วงตัว

จากระยะห่างประมาณ 50 เมตร ด้วยประสิทธิภาพของกล้องเล็งทำให้ไอ้โล้นสามารถ " คลำ " จุดตายของเป้าหมายได้อย่างถนัดชัดเจน เพชฌฆาตรับจ้างจาก ซี.ไอ.เอ. สูดลมหายใจเข้าปอดเล็งปืนครั้งสุดท้าย แล้วบรรจงเหนี่ยวไกอย่างนิ่มนวล

" ปุ๊ "

เสียงดังเหมือนกับเสียงเป่าถุงกระดาษ ลูกกระสุนขนาด .223 ถูกรีดผ่านท่อเก็บเสียงทะลวงเข้าหาเป้าหมายเหมือนกับผีจับยัด ร่างของจ๊อกกี้ที่หมอบอยู่บนหลังม้าเทพนรินทร์ร่วงผลอยลงจากหลังม้าทันที

"เร็ว...ไอ้แสบ เหยียบให้มิดเลี้ยวซ้ายไปดักรถพยาบาลที่หน้าสนามม้าโน่น" ไอ้โล่นพูดพลางดึงท่อเก็บเสียงเข้ามาในช่องหน้าต่างพร้อมกับหมุนตัวกลับ สอดปืน "เอ็ม-16" เอาไว้ที่เบาะหลัง...ไขกระจกขึ้นอย่างรวดเร็ว

ไอ้แสบไม่ฟังเสียงอีกแล้ว ช่วงการจราจรที่เบาบางเนื่องจากฝนตกหนักทำให้ไอ้แสบควบซีเลสเต้เลี้ยวซ้ายผ่านวัดเบญจ ฯ ไปได้อย่างสะดวกโยธิน

ในขณะที่รถของไอ้แสบกำลังจะเลี้ยวซ้ายเข้าถนนหน้าสนามม้า วิทยุที่ชั้นคอนโซลก็ดังกังวานขึ้นอีกครั้ง

"-ราชวิถีจากนางเลิ้ง...แผนแรกสำเร็จ จ๊อกกี้หมายเลข 6 ขณะนี้อยู่บนรถพยาบาลของกรมตำรวจ คาดว่าอีก 3 นาทีคงถึงประตูเข้าออกสนามม้าด้านสะพานลอย...โปรดแจ้งตำแหน่งที่อยู่ของราชวิถีด่วน "

ไอ้แสบดึงปากพูดขึ้นมากรอกเสียงลงไปค่อนข้างดัง

"-กำลังจะผ่านวิทยาลัยพาณิชย์ ขณะนี้ไฟเขียวตลอด คิดว่าอีก 2 นาทีคงจะถึงช่องทางเข้าออกทางด้านสนามกอล์ฟ มีอะไรสั่งมาเลย"

"ดีมาก...เริ่มแผนสองได้แล้ว หน่วยคุ้มกันอยู่บนรถแลนด์โรเวอร์หลังคาขาว...ขณะนี้รถพยาบาลแล่นออกจากสนามผ่านสโมสรมุ่งหน้าไปทางช่องทางเข้าออกสนามกอล์ฟแล้ว...โปรดระวังมีรถเบ๊นซ์สีฟ้า ขับตามไปอักคัน ตรวจการณ์ข้างในรถไม่เห็นเพราะติดฟิล์มกรองแสง...เริ่มปฏิบัติการ"

เสียงรายงานถ่ายทอดเหตุการณ์จากสนามม้าผ่านเข้ามาในรถ "ซีเลสเต้" เป็นระยะ ๆ ไอ้โล้นหัวเราะฮึ ๆออกมาพร้อมกับเอื้อมมือข้ามไปหยิบกระเป๋าผ้าใบขนาดใหญ่ที่วางอยู่ข้าง ๆ ถุงกอล์ฟขึ้นมาเปิดออกอย่างรวดเร็ว

หน้ากากป้องกันไอพิษ2อันถูกดึงออกมาวางเอาไว้บนตัก เสียงไซเรนของรถพยาบาลที่ดังแว่ว ๆ อยู่ภายในบริเวณสนามม้าทำให้ไอ้โล้นแสยะยิ้มออกมาด้วยท่าทางกระหายเลือด

"-ประเดี๋ยวคงได้จวกกันยับ มึงขับรถดี ๆ ก็แล้วกัน...กูจะซดกับมันด้วยไอ้ปืนโตนี่แหละโว้ย "

ในขณะที่พูดไอ้โล้นก็ดึงปืน " เอ็ม-79 " จากพื้นใต้ท้องรถขึ้นมาวางบนตัก ไอ้แสบอ้าปากหวอทำท่าจะพูด ไอ้โล้นยัดหน้ากากไอพิษทิ่มพรวดเข้าไปที่จมูกพร้อมกับสำทับออกมาด้วยเสียงลึก ๆ

"-อย่าเสือกพูด ใส่หน้ากากนี่ซะ รถของเราอยู่ใต้ลม ประเดี๋ยวได้ตายโหงตายห่ากันบ้างหรอก "

ไอ้แสบรับหน้ากากขึ้นไปสวมด้วยท่าทางงง ๆ แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา มันขยับท่อกรองอากาศให้ครอบจมูกและปากพารถเข้าไปจอดชิดซ้ายก่อนถึงช่องทางเข้าออกประมาณ 30 เมตรสงบท่าทีรอจังหวะการทำงานด้วยท่าทางกระวนกระวายใจ

พอไอ้โล้นสวมหน้ากากป้องกันไอพิษเสร็จก็เอื้อมมือไปเปิดล็อคช่องเก็บของหยิบลูกปืนขนาดใหญ่แต่ทว่าอวบสั้น ขึ้นมาวางเอาไว้บนอุ้มมือลักษณะของกระสุนปืนที่พิลึกพิลั่นนั้น มีขนาดเท่ากับกล้วยน้ำว้าขนาดใหญ่ที่ยังไม่ปอกเปลือก เลยทีเดียว

ไอ้โล้นปลดล็อคหักลำกล้องปืน " เอ็ม-79" ออกแล้วยัดลูกปืนสีเขียวสดเข้าไปในช่องท้ายลำกล้องกระแทกอุ้งมือกดลำกล้องให้เข้าล็อคด้วยท่าทางชำนิชำนาญ ต่อจากนั้นก็เลื่อนท่อกรองอากาศให้พ้นจากจมูกหันไปพูดกับเพื่อนคู่หูเบา ๆ

"-ประเดี๋ยวมึงจี้ติด ไอ้รถเบ๊นซ์สีฟ้านั่นเข้าไปเลย...กูจะจวกมันด้วย "เอ็ม-16-เก็บเสียง" กะระยะให้ดี นะโว้ย เอาให้กึ่งกลางสะพานลอยนั่นแหละกำลังดี...เฮ้ยโน่นรถพยาบาลโผล่หัวออกมาแล้วโว้ย"

ประโยคสุดท้ายไอ้โล้นละล่ำละลักออกมาพร้อมกับเอี้ยวตัวเอื้อมมือไปหยิบ " เอ็ม-16" สวมท่อเก็บเสียงที่ดัดแปลงให้สั้นกว่าเดิมขึ้นมาวางพาดเอาไว้บนตัก

เสียงไซเรนครางโหยหวลอยู่ตรงประตูเข้าออก...ชั่วอึดใจ ส่วนหัวรถพยาบาลก็โผล่พรวดออกมาอย่างรวดเร็ว พลขับแตะเบรคนิดหนึ่งแล้วหักพวงมาลัยเลี้ยวซ้ายพารถมุ่งหน้าขึ้นสะพานลอยซึ่งมองเห็นทมึนอยู่ท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างไม่ปรานีปราศรัยนั้น

ในช่วงเวลาที่ติด ๆ กันนั่นเอง รถเบ๊นซ์สีฟ้า 6 สูบตามคำรายงานจากบริเวณสนามม้าก็โผล่พรวดตามออกมาติด ๆ พวงมาลัยที่หักเลี้ยวอย่างกะทันหันทำให้รถเสียการทรงตัว แฉลบออกไปขวางถนนอย่างน่าหวาดเสียว พลขับคงจะมีความสามารถพอตัว จึงประคองรถห้อแน่บตามรถพยาบาลไปได้อย่างทุลักทุเล

"-เกือบคว่ำ...ไอ้สัตว์ ฝีมือขับรถขนาดนี้ค่อยสูสีกับกูหน่อย จวกแม่มันเลย...ไอ้โล้น "

อดีตมือปืนรับจ้างเพชรคำรามออกมาจากลำคอพร้อมกับพารถกระโจนพรวดจี้ติดหลังหลังเบ๊นซ์สีฟ้าขึ้นไปบนสะพานลอยด้วยท่าทางกระหายเลือด

"-ทิ้งระยะประมาณ 30 เมตร ระวังรถสวนด้วย...พอกูยิงมึงเร่งเครื่องแซงขึ้นไปเลย แล้วปาดหน้ารถพยาบาลกึ่งกลางสะพานโน่นให้ได้ จี้เข้าไปอีกนิด...ระวังรถมันขึ้นสะพานแล้วโว้ย "

ไอ้โล้นกระซิบออกมาตามไรฟัน ร่างกายที่นั่งคุ้มไหล่อยู่บนเก้าอี้สั่นสะท้านเหมือนกับไข้มาเลเรียกำเริบขึ้นมาอย่างกะทันหัน...แววกระหายเหลือดพร่างพรายอยู่บนดวงตาที่โปนจนมองดูเหมือนกับจะทะลุออกมานอกเบ้านั้น...

ไอ้แสบเอื้อมมือไปกดสวิทช์ที่แผงหน้าปัด ทันใดนั้นเองกระจกหน้าค่อย ๆเลื่อนหดลงไปในตัวรถเหมือนกับปาฏิหาริย์...สายฝนกระหน่ำพรูเข้ามาในรถจนเปียกปอนไปหมดทั้งคัน

ไอ้โล้นยกปืน "เอ็ม-16" ขึ้นวางพาดช่องกระจกหน้ารถ ท่อเก็บเสียงซึ่งยาวเฟื้อยโผล่จังก้าออกไปเบื้องหน้า เป้าหมายที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 30 เมตร พร่างพรายอยู่ท่ามกลางสายฝน ความรุนแรงของดีเปรสชั่นทำให้การจราจรบนสะพานลอยเบาบางจนดูเหมือนกับว่า เส้นทางดังกล่าวนั้นถูกห้ามใช้เป็นการชั่วคราวเลยทีเดียว

ไอ้โล้นเลื่อนคันบังคับการยิงไปที่ตำแหน่ง "ฟลู-ออร์โต" เหนี่ยวไกสาดกระสุนเข้าใส่กระจกหลังของรถเบ๊นซ์เป็นจักรผัน

" ปุ๊...ปุ๊...ปุ๊...ปุ๊...ปุ๊ "

กระสุนปืน .223 ทะลวงผ่านท่อเก็บเสียงครางระงมเหมือนกับท่อลมรั่ว กระจกหลังของรถเบ๊นซ์สีฟ้าวิ่งอยู่ข้างหน้าปรากฏรอยร้าวแผ่กระจายแล้วร่วงกราวเหมือนกับข้าวเกียบปิ้ง ร่างของชายฉกรรจ์ที่แออัดยัดเยียดอยู่ในรถทะลึ่งขึ้นสุดตัว แล้วล้มผลุบหายลงไปในเบาะมองเห็นวอมแวมรถซึ่งวิ่งอยู่ดี ๆเริ่มแฉลบเซไปเซมา...ไอ้โล้นโยนปืน "เอ็ม-16" เอาไว้ที่เบาะหลัง ซึ่งพร้อม ๆ กันนั้น ไอ้แสบก็เหยียบคันเร่งพารถแซงขึ้นไปทันที

กระจกหน้ารถ "ซีเลสเต้" ถูกสวิทช์อัตโนมัติเลื่อนขึ้นไปปิดเอาไว้เหมือนอย่างเดิม ไอ้แสบควบรถผ่านเบ๊นซ์สีฟ้าซึ่งหมุนคว้างอยู่บนสะพานได้อย่างหวุดหวิด เพียงแว่บเดียวที่มองเห็นไอ้โล้นก็สามารถบอกกับตัวเองได้ว่า ขณะนี้ทุกชีวิตที่อยู่บนรถคันนั้น "ตายโหง" ไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่กระสุนนัดสุดท้ายได้สิ้นเสียงลง

ซีเลสเต้ไล่รถพยาบาลเข้าไปใกล้ทุกขณะ พอเกือบจะถึงกึ่งกลางสะพาน ไอ้แสบก็หักรถออกทางขวามือแล้วปาดหน้ารถพยาบาลอย่างน่าหวาดเสียว

เสียงเบรคสนั่นหวั่นไหว พลขับรถพยาบาลกระแทกเบรคลงไปเต็มเหยียด ชั่วอึดใจต่อมารถพยาบาลก็ถลาแซ่ด ๆเข้าไปสิ้นฤทธิ์อยู่ที่ราวสะพานโดนมีรถของเพชฌฆาตรับจ้างทั้งสองจอดประกบอยู่ด้านหน้า

ไอ้โล้นกระโจนผลุงลงมาจากรถ ปากกระบอก " เอ็ม-79 " ทิ่มโครมลงไปบนแผ่นกระจกด้านข้างพร้อม ๆ เหนี่ยวไกไอ้ปืนโตทันที

" พร็อก "

เสียงดังเหมือนกับทุบกระบอกไม้ไผ่ ลูกกระสุน " เอ็ม-79 " ที่บรรจุแก๊สสลบพุ่งปร๊าดออกจากลำกล้องกระทบกับพื้นรถดังสนั่นหวั่นไหว แต่ปรากฏว่าไม่มีเสียงระเบิดตามมาแต่อย่างใด นอกจากจะมีควันสีเขียวพวยพุ่งขึ้นมาจากตำแหน่งกระสุนตกคละคลุ้งไปหมดเท่านั้น

ตามปกติแล้ว กระสุนที่ยิงจากปืน "เอ็ม-79 " จะไม่ระเบิดเมื่อลูกกระสุนที่วิ่งออกจากปากลำกล้อง "ควง" ไม่ครบรอบ ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ ซี.ไอ.เอ. จึงคิดค้นกระสุนบรรจุควันสลบขึ้นมาเป็นผลสำเร็จ โดยอาศัยแรงกระแทกจากหัวกระสุนในขณะที่กระทบพื้นดันแก๊สที่อัดแน่นอยู่ในตัวให้กระจายออกไปรอบทิศ

นางพยาบาลสองคนและพลขับรถพยาบาลยกมือขึ้นอุดจมูก...แต่ไม่ทันการเสียแล้ว ทั้ง 3 คนกระเสือกกระสนอยู่ครู่หนึ่งก็ล้มผล็อยลงกับพื้นทั้ง 3 คน สิ้นสติสัมปชัญญะในบัดดล...ไอ้โล้นล้วงมือเข้าไปในช่องกระจกที่แตกละเอียดปลดล็อคเปิดประตูท้ายของรถพยาบาลออกทันที !

ควันสีเขียวตลบออกมานอกรถ...ไอ้โล้นขยับท่อกรองอากาศเพื่อความรอบคอบอีกครั้งแล้วมุดเข้าไปลากเอาร่างที่เปรอะไปด้วยโคลนตมของจ๊อกกี้หมายเลข 6 ออกมาอย่างทุลักทุเล

ชั่วอึดใจไอ้โล้นก็แบกร่างของจ๊อกกี้หมายเลข 6 เข้าไปวางเอาไว้ที่เบาะหลังของ "ซีเลสเต้" ยังไม่ทันทีไอ้แสบจะออกรถ ประสาทหูของทรชนทั้งสองก็ได้ยินเสียงคำรามของปืนดังฝ่าพายุฝนเข้ามาอย่างถี่ยิบ แนวกระสุนฉีกตัวถังรถพยาบาลแล้วแฉลบเข้ามาปะทะด้านข้างของซีเลสเต้ดังเกรียวกราว เนื้อเหล็กโดนคมกระสุนฉีกเป็นทางมองเห็นถนัดหูถนัดตา...

ไอ้แสบกระชากรถออกจากราวสะพาน สายตาเขม็งมองดูที่กระจกหลังด้วยอาการตื่นเต้น...ภาพของรถเบ๊นซ์สีฟ้าที่วิ่งควบตามขึ้นมาในระยะเกือบ 50 เมตร ทำให้ไอ้แสบต้องรีบถอดหน้ากากออกแล้วอุทานสุดเสียง..."-ฉิบหายละมึง-ไอ้โล้น...โน่นพ่อของมึงไล่ตามขึ้นมาโน่น ไอ้ห่ายิงยังไงวะปล่อยให้มันรอดมาจวกเราอยู่ได้...เอ้า..ล่อแม่มันเลย"

ไอ้แสบพูดพรางเอื้อมมือไปกดสวิทช์ที่เรียงเป็นตับอยู่ที่แผงหน้าปัด ชั่วอึดใจกระจกด้านท้ายของรถ "ซีเลสเต้" ก็เลื่อนลงไปจนสุด

ไอ้โล้นหัวเราะก๊าก หยิบ "เอ็ม-16" ขึ้นมาวางพาดช่องท้าย แต่ยังไม่ทันจะเหนี่ยวไกก็ต้องฟุบตัวลงแนบกับเบาะ เนื่องจากโดนสลุตด้วยกระสุนอีกชุด

และคราวนี้กระสุนนัดหนึ่งของมันจับพลัดจับผลูหลุดเข้ามาทางช่องท้าย เจาะขอบพนักเบาะพิงด้านหลังกระจุยกระจายไม่มีชิ้นดี...อำนาจกระสุนแรงสูงยังทะลวงผ่านเบาะหน้าฉีกกระจกออกเป็นรูโบ๋ เมล็ดฝนพรั่งพรูเข้ามาในตัวรถเป็นสาย


"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา ชีิวิตคนก็เหมือนสะพาน  มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน" สมิง วังม่วง
บันทึกการเข้า

anan02
Full Member
***

คะแนน 239
ออฟไลน์

กระทู้: 218


« ตอบ #11818 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2015, 09:48:08 AM »

รออ่านต่อครับพี่ ไหว้
บันทึกการเข้า
สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 68
ออฟไลน์

กระทู้: 7628


tel. 0861810566


« ตอบ #11819 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2015, 06:07:17 AM »

 เรื่องดับรามสูร นวนิยายยอดฮิต จาก ไทยรัฐ โดย สยุมภู ทศพล

ขอขอบคุณและขออนุญาติเผยแพร่หนังสือดีๆไม่ให้หายสาปสูญไป ขอขอบคุณ คุณ สยุมภู ทศพล

ผมขอขอบคุณร้าน สุหนังสือเก่า http://www.su-usedbook.com/ ที่ให้ยืมหนังสือเรื่องนี้ด้วยนะครับ

ดับรามสูร เล่มที่ 1 ตอนที่ 8

ทูตมฤตยูจากรถเบ๊นซ์ คำรามกราดเกี้ยวแหวกสายฝนพุ่งปร๊าดเข้าหา "ซีเลสเต้" เป็นสายกระสุนส่องแสงสีเขียวสุกใสสว่างเป็นทางมองเห็นถนัดหูถนัดตา ไอ้แสบชำเลืองดูกระจกหลังพร้อม ๆ กับโยกพวงมาลัยพารถวิ่งส่ายเป็นงูเลื่อย ปากก็คำรามออกมาอย่างกระหายเลือด

"-ชัดเจน...กูว่าไอ้แกวมันตามล่ามึงจากเมืองลาวมาถึงที่นี่แหง ๆ ลองกระสุนส่องแสงสีเขียวปี๋แบบนี้ละก็เชื่อขนมแกวกินได้ เม็ด-อิน-จีนแดงพันเปอร์เซ็น...จวกแม่มันเลย...ไอ้โล้น "

"-ไอ้ฉิบหาย ขับรถซ่นตีนแบบนี้ มึงจะให้กูยิงมันยังไงวะ "

ไอ้โล้น สบถออกมาอย่างหัวเสีย พร้อมกับใช้มือยึดพนักเบาะพิงมิให้เซไปปะทะกับประตูรถ ปืน "เอ็ม-79" ที่วางเอาไว้ข้าง ๆศพจ๊อกกี้กลิ้งตกลงไปที่พื้นรถเสียงดังเกียวกราว

ไอ้แสบหัวเราะก๊าก แตะคันเร่งน้ำมันลงไปอีก "ซีเลสเต้" กระโจนพรวดเหมือนกับกระทิงเปลี่ยว ห้อแน่บลงไปบนทางลาดของสะพานลอยเหมือนกับติดปีกบิน

รถเบ๊นซ์สีฟ้าก็ยังจี้ติดแจ เสียงครางระงมของปืนอาร์ก้าที่ดังสนั่นหวั่นไหวอยู่เบื้องหลังทำให้ไอ้แสบขบกรามแน่นพร้อมกับชำเลืองดูรอยกระสุนที่กระจกหน้ารถ ด้วยอาการฉุนเฉียวอยู่ครู่หนึ่ง แล้วละมือจากปุ่มเกียร์ขึ้นไปกดสวิทช์เรียงรายอยู่บนแผงหน้าปัดทันที

ชั่วอึดใจก็มีสียงพูดติดต่อวิทยุ " คลื่นพิเศษ " ของกรมตำรวจดังแซดไปหมด

"-ศูนย์ เรียก...นางเลิ้ง...พญาไท...ห้วยขวาง โปรดจัดชุดปฏิบัติการพิเศษออกช่วยเหลือรถประชาชนด่วนขณะนี้มีรถเสียเนื่องจากน้ำท่วมในท้องที่ของท่านหลายคัน...เปลี่ยน"

"-อะไรวะ...เสียงปืนดังเป็นประทัดแตกขนาดนี้โปลิสก็ยังไม่รู้อีกหรือว่านี่...ทางสะดวกแล้วโว้ย...ใส่มันด้วยไอ้ปืนโตเลย ไอ้โล้น "

"-มึงลดความเร็วรถลงหน่อยไอ้แสบ...ฉิบหายเหยียบลงไปได้เกือบมิดเกร์ ประเดี๋ยวกูจะสลุตมันเอง"

ไอ้โล้นพูดพลางหยิบ "เอ็ม-79" ขึ้นมาหักลำกล้องพร้อมกับบรรจุลูกกระสุน ชั่วอึดใจมันก็เหยียดลำกล้องที่อวบหนาขนาดลำไม้ไผ่ออกไปนอกกระจกหลัง แนบสองตากับช่องศูนย์ เล็งอยู่ครู่หนึ่งแล้วเหนี่ยวไกทันที

" พร๊อก "

ลูกกระสุนบรรจุควันสลบพุ่งปร๊าดออกจากลำกล้องจุดหมายปลายทางก็คือ รถเบ๊นซ์สีฟ้าขณะนี้ จี้ติดเข้ามาในระยะเกือบ 50 หลา

เหมือนกับผีจับยัด ลูกกระสุนปะทะกับกระจกหน้ารถเบ๊นซ์ทะลุเข้าไปข้างในพร้อม ๆ กับมีเสียงระเบิดดังสนั่น

" - บึ้ม - "

รถเบ๊นซ์ถลาแวบออกไปทางเลนขวามือแล้วลื่นไถลกับราวสะพานครูดลงมาตามทางลาดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ชั่วอึดใจมันก็หมอบสิ้นฤทธิ์ในลักษณะเอาหน้าทิ่มราวสะพานเกยค้างเติ่งอยู่บนสะพานลอยนั่นเอง

ซีเลสเต้กระโจนพรวดลงมาจากสะพานลอยพายุฝนที่กระหน่ำลงมาหยั่งกับฟ้ารั่วทำให้ถนนว่างไอ้แสบหักพวงมาลัยเลี้ยวซ้ายพารถวิ่งหายเข้าไปในความบ้าคลั่งของพายุฝนที่มืดทมึนอยู่เบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว

เตียงผ่าตัด ที่ครบครันไปด้วยเครื่องอุปกรณ์ชั้นซุปเปอร์เดอร์ลุกซ์ตั้งตระหง่านอยู่ในห้องปรับอากาศที่เย็นเจี๊ยบ โคมไฟขนาดใหญ่เหนือเตียงผ่าตัดถูกเลื่อนระยะลงมาส่องสว่างเหนือร่างอันเปลือยเปล่าของศพจ๊อกกี้ นายแพทย์รูปร่างสูงเกิน 6 ฟุต คาดจมูกเอาไว้ด้วยผ้าก๊อซกำลังสาละวนผ่าตัดช่องท้องของศพด้วยความคล่องแคล่วว่องไวไม่ถึงยี่สิบนาที วัตถุชิ้นหนึ่งก็ถูกคีบออกมาจากลำไส้

มันเป็น แคปซูม ไมโครฟิล์ม ที่จ๊อกกี้กลืนลงไปเมือสองชั่วโมงที่ผ่านมานั่นเอง นายแพทย์ปลดผ้าก๊อซที่คาดจมูกออก หยิบ " แคปซูล " ขึ้นใส่ตลับโลหะเล็ก ๆ แล้วยัดลงไปในกระเป๋าเสื้อคลุม เอื้อมมือไปกดปุ่มที่อยู่บนผนังห้องแล้วพาตัวเองเดินออกไปจากห้องผ่าตัดอย่างรวดเร็ว

ไอ้แสบเดินคู่กับไอ้โล้น ไปตามเฉลียงทางเดินที่ยาวเหยียด...คำสั่งเรียกตัวอย่างกะทันหันทำให้ทั้งคู่เย็บริมฝีปากแน่น ชั่วครู่ทั้งสองก็มาหยุดอยู่หน้าห้องผ่าตัดพลางเคาะเบา ๆ

" เชิญ " มีเสียงร้องอนุญาตจากข้างใน

ทั้งคู่เปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบ ๆ...ภายในห้องผ่าตัดกำลังชุลมุนวุ่นวายกันอย่างขนานใหญ่ นางพยาบาล สองคนตระเตรียมเครื่องมืออย่างเร่งร้อน บนเตียงผ่าตัดนายแพทย์ชาวต่างประเทศซึ่งทำการผ่าตัดศพจ๊อกกี้เมื่อสามชั่วโมงที่ผ่านมากำลังฉีดยาให้กับ " คนไข้ " ซึ่งนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียง เสี่ย " วิชัย พรกิจนรากุล " ยืนขบกรามเป็นสันนูนอยู่ข้าง ๆ

ทางด้านปลายเตียง " ชาติ " สายสืบของ ซี.ไอ.เอ. ซึ่งอยู่ในคราบของทรชนยืนเอามือเท้าปลายเตียงด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความเสียใจ

" - ยา " จี-เซเว่น "... ใช้ได้ผลมาแล้วในสงครามอินโดจีน...ต่อให้คนไข้มีอาการ " โคม่า " ขนาดไหนก็สามารถจะมีสติขึ้นมาในชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ก็คงไม่นานนัก "

นายแพทย์ชาวต่างประเทศพูดกับเสี่ยวิชัยเป็นภาษาไทย อย่างชัดถ้อยชัดคำ พร้อมกับเดินยาเข้าเส้นคนไข้อย่างชำนิชำนาญ

ไอ้โล้น ก้าวเข้าไปใกล้เตียงผ่าตัด พอมองเห็นคนไข้ถนัดก็ผวาเข้าไปชิดขอบเตียงละล่ำละลักออกมาแทบไม่เป็นภาษาคน...

"ไอ้จิตต์...มึงเป็นอะไร...ใครทำมึง...โธ่...เพื่อนฝูงไม่น่าเลย !"

ร่างของจิตต์ คล้ายกับศพที่โดนถ่วงน้ำท้องอืดพองเหมือนอึ่งอ่าง ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีชมพูอมแดงจนมองดูเหมือนกับมีความร้อนสูงสุมอยู่ภายในร่างกายใบหน้าแตกยับเยินอูมบวมเป่ง คราบโลหิตเกรอะกรัง !!

เสี่ยวิชัย เบื้องหน้าหันมามองทรชนทั้งสองอย่างช้า ๆ แววตาทั้งคู่กระด้างและเย็นชาจนมองดูเหมือนกับไม่มีวิญญาณ

" - โดนมาจากสนามหลวงหลังจากที่จิตต์แกะรอยผู้หญิงลูกครึ่งไปจากสนามม้า...สายของเราเพิ่งเจอะมันเมื่อตอนหัวค่ำนี่เอง...มันถูกทิ้งเอาไว้ที่กลางสนามหลวง"

" โดนอะไรครับ...เจ้านาย "

ไอ้แสบซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ กระซิบถามขึ้นมาบ้าง

"กรอกปากด้วยน้ำมันก๊าดร้อน ๆ...ข้อมือโดนหักจนใช้การอะไรไม่ได้ หมอฉีดยาเข้าไปถ้าได้สติเราคงจะได้อะไร ๆ จากจิตต์พอสมควร...ยาจะได้ผลไหมครับหมอ ?"

ประโยคสุดท้ายเสี่ยวิชัยหันไปถามแพทย์อย่างร้อนใจ

เสียงคนเจ็บขยับตัว พร้อมกับถอนใขยาว ดวงตาซึ่งหลับพริ้มอยู่ตลอดเวลา ลืมโพลงขึ้นมาเหมือนกับจะตกใจต่อบางสิ่งบางอย่าง-อย่างปัจจุบันทันด่วน แล้วหลับตาลงไปอีกด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน ชาติซึ่งยืนอยู่ปลายเตียงขยับเข้ามาเขย่าที่ไหล่พร้อมกับกระซิบเบา ๆ

" - จิตต์...ลื้อปลอดภัยแล้ว...หมอกำลังจะช่วยลื้อ"

จิตต์ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ริมฝีปากที่บ่วมเจ่อ อ้าออกอย่างลำบากยากเย็น กล้ามเนื้อปากสั่นระริก เหมือนกับจะพยายามพูด แต่ไม่มีเสียงลอดออกมา

ด้วยความสงสัย ชาติเอื้อมมือไปอ้าปากของจิตต์ออกพร้อมกับก้มหน้าลงไปมองดูอยู่ครู่หนึ่งก็หันกลับมาส่ายหน้าด้วยอาการสิ้นหวัง

"-ไม่มีทางพูด...จิตต์มันโดนตัดลิ้น...เจ้านาย"

ไอ้โล้นเอื้อมมือไปสะกิตชาติเบา ๆ พร้อมกับขยับเข้าไปที่เตียง มันจ้องสายตาประสานกับจิตต์อยู่ครู่หนึ่งก็พูดออกมาเบา ๆ

" กูรู้ว่ามึงอยากพูด-จิตต์ มึงมันยอดคน ความอดทนของมึงเหมือนไม่ใช่คน ถ้ามึงได้ยินกูพูดและเข้าใจส่งสัญญาณให้กูรู้ด้วย...กระพริบตาสามครั้ง...เอาเลยเพื่อนฝูง"

ใบหน้าที่บวมอลึ่งฉึ่งเหมือนกับจะยิ้มออกมาด้วยความใจดี ดวงตาที่แข็งค้างอยู่ตลอดเวลาเริ่มกระพริบตามคำสั่งของไอ้โล้นอย่างลำบากยากเย็น

"-โอเค...ประเดี๋ยวหมอจะช่วยมึง...ให้ตายห่าเถอะวะ กูอยากรู้จริง ๆ ว่า ในขณะนี้มึงมีอะไรจะบอกกูบ้าง ?"

ประโยคสุดท้าย ไอ้โล้นพึมพำออกมาเหมือนกับจะบ่นกับตนเอง

จิตต์หลับตาอีกครั้ง ชั่วอึดใจเขาก็ลืมตาขึ้นมาจ้องหน้าไอ้โล้นเขม็ง ต่อจากนั้นก็กระพริบตาสลับกันไปอยู่ครู่หนึ่งก็หยุด

" มันส่งสัญญาณอะไรของมัน เห็นจะไม่มีทางรู้เรื่องกันแล้วกระมัง - รามาห์ "

เสี่ยวิชัยเรียกชื่อจริงของไอ้โล้นพร้อมกับขยับตัวอย่างอึดอัด

"-ต้องรู้-เจ้านาย...ไอ้จิตต์ เพื่อนผมพยายามจะส่งรหัสให้ผมทราบ...คุณพยาบาลขอกระดาษกับดินสอให้ผมหน่อยครับ "

ในขณะที่ไอ้โล้นรับกระดาษจากมือพยาบาล มันก็อธิบายต่อไปอีกอย่างยืดยาว

"-จิตต์พยายามส่งรหัส "มอส" ด้วยการกระพริบตาเป็นจังหวะสั้นยาวให้ผมทราบ กระพริบสั้นเป็นสัญญาณ "จุด" กระพริบระยะห่างเป็นสัญญาณ "ขีด" ผมสังเกตเห็นเมื่อกี้นี้ก็ชักเอะใจ...เอาเลยเพื่อนฝูง ส่งรหัสเลขสัญญาณมาได้เลย...แต่อย่าส่งเร็วนักนะโว้ย กูชักจะลืม ๆ เพราะไม่ได้ทำงานมาหลายปีแล้ว เริ่มเลย...พรรคพวก"

ประโยคสุดท้าย ไอ้โล้นหันไปพูดกรอกใส่หูจิตต์เบา ๆ

จิตต์เริ่มกระพริบตาอย่างมีจังหวะจะโคน เกือบ 3 นาทีเต็ม ๆ ที่มนุษย์ใจหินพยายามส่งข่าวให้เพื่อนร่วมทีมทราบถึงเหตุการณ์ที่เขาผจญมา แต่แล้วดวงตาของจิตต์ก็ค่อย ๆ หรี่ลงทุกขณะ จนกระทั่งปิดสนิท ร่างกายแน่นิ่งไม่ไหวติง

นายแพทย์เอื้อมมือไปจับชีพจรอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อย ๆ คลี่ผ้าที่อยู่บนหน้าอกขึ้นไปคลุมศีรษะ ต่อจากนั้นก็หันไปพยักหน้ากับพยาบาลทั้งสอง

" สิ้นใจแล้ว เอาศพเข้าไปเก็บไว้ที่ห้องดับจิตหมดหน้าที่ของผมเพียงแค่นี้...ผมเสียใจจริง ๆ ครับ..."

สองสามประโยคสุดท้าย นายแพทย์หันมาพูดกับเสี่ยวิชัยด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความเสียใจ แล้วเดินผละออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

เสี่ยวิชัยไม่ตอบ เขาหันไปคว้ากระดาษจากมือไอ้โล้น พร้อมกับถามอย่างกระตือรือร้น

"ได้ความว่าไง - รามาห์ " ไอ้โล้นแย่งกระดาษกลับแล้วอ่านข่าวจากการส่งสัญญาณของจิตต์ออกมาดัง ๆ

"ผู้หญิงลูกครึ่งพักอยู่ที่ห้อง 113 โรงแรมรอแยลมีฝรั่งที่คาดว่าจะเป็นสัญชาติรุสเซยพักอยู่ 2 คน เห็นนักศึกษาหัวก้าวหน้าของไทยรวมประชุมที่ห้องหลายคน...ผมโดนจับเข้าไปทารุณในห้อง...บอกพี่ชาติพวกมันมีรูปถ่ายพี่ชาติในสนามม้า ระวังตัว พวกมันเป็นสายของ "เค.จี.บี.""

"-ข่าวยังไม่สมบูรณ์ อั๊วคิดว่า ข่าวฉบับนี้ยังไม่จบมันจะต้องมีอะไรมากกว่านี้ ลื้อรับข่าวชัวร์หรือเปล่าวะ-รามาห์"

เสี่ยวิชัย สวนคำพูดขึ้นมาทันทีเมื่อไอ้โล้นอ่านข่าวจบลง

"-ชัวร์พันเปอร์เซ็นต์ ผมเคยเป็นพนักงานวิทยุที่ค่ายวชิราวุธมาเกือบ 2 ปีเต็ม ๆ พูดแล้วจะหาว่าคุย ผมเคยใช้ตีนเคาะเลขสัญญาณจนเกือบจะโดนขังมาแล้ว เคยทำสถิติในการรับถึง 18 คำต่อนาที จนฝรั่งซูฮกทั้งจูสแม็ค ของกล้วย ๆ ขนาดนี้ถ้ารับผิดก็ไม่ใช่ โมฮาหมัด-อับดุล-รามาห์ ซิครับ"

ยังไม่ทันที่ใครจะกล่าวอะไรออกมา เสียงออดก็ดังกังวานขึ้นลั่นห้อง เลาด์สปิคเกอร์ที่ติดเอาไว้ที่ผนังห้องส่งเสียงกังวาน

"-ทุกคนมาประชุมที่ศูนย์ปฏิบัติการ...ด่วน ทุกคนมาประชุมที่ศูนย์บังคับการ...ด่วน...ช่องทางเข้าออกที่ 3 กำลังถูกบุกรุก"

"-ฉิบหายแล้ว...ทำไมพวกมันรู้เส้นทางเข้าออกของพวกเราวะ...ไปโว้ย"

เสี่ยวิชัย ละล่ำละลักออกมาพร้อม ๆกับกระโจนพรวดออกจากห้องผ่าตัด ตามติด ๆ ด้วยกลุ่มทรชนและนางพยาบาลที่วิ่งพรูตามกันออกมาเหมือนกับงูกินหาง

บนเฉลียงทางเดินที่สว่างไสวไปด้วยแสงฟลูออร์ริสเซ่น ขณะนี้สับสนวุ่นวายไปด้วยเจ้าหน้าที่ประจำห้องใต้ดินของสถานทูตมหาอำนาจชาติหนึ่งในย่านถนนวิทยุ ทุกคนวิ่งมุ่งหน้าเข้าหาห้องศูนย์ปฏิบัติการด้วยความตื่นเต้น เสียงออดไฟฟ้า และเสียงเลาด์สปีคเกอร์ ที่ดังกังวานอยู่ตลอดเวลา สร้างความตื่นตระหนกให้กับเจ้าหน้าที่บางคนมองเห็นได้ชัด

ไม่ถึงสองนาที ทุกชีวิตอยู่ในห้องใต้ดินก็นั่งกันหน้าสลอนอยู่ในห้องศูนย์ปฏิบัติการ สายตาทุกคู่จ้องเขม็งไปยังจอโทรทัศน์ ที่ปรากฏภาพวูบวาบอยู่บนผนังห้องเบื้องหน้าด้วยความเงียบเชียบ

มันเป็นภาพที่ถูกส่งตรงมาจากตึกหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ สถานทูตสิงห์โปร์ แสงนีออนซึ่งสว่างไสวอยู่ภายในห้องตึกหลังนั้น ช่วยให้มองเห็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้บุกรุกได้อย่างถนัดถนี่ ภาพของชายฉกรรจ์ รูปร่างผอมสูงคนหนึ่งผ่านแวบเข้ามาในจอโทรทัศน์ในระยะใกล้ ๆ ทำให้ไอ้แสบซึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ เสี่ยววิชัยถึงกับอุทนานออกมาเบา ๆ

"-ไอ้สีตาแดง มันเคยไปรับจ้างรบเมืองลาวพร้อมผม ไอ้ห่าจิกนี่ซึ่ง ๆ หน้าไม่เอาใครหรอกครับ คนเมืองเชรเขาเรียกมันว่า " ไอ้ตาแดง " เอ๊ะ มันเสือกเข้ามาร่วมกับไอ้พวกนี้ได้ยังไง ผมงงจริง ๆ เจ้านาย "

" - ก็แล้วมึงล่ะ...ไอ้แสบ ทำไมมึงถึงเข้ามาทำงานอยู่ที่นี่ได้...เงินโว้ย...เงินตัวเดียวเท่านั้นมึงอยู่กับ ซี.ไอ.เอ.ได้...ไอ้สีก็มาอยู่กับ เค.จี.บี. ได้ยังจะเสือกมีหน้ามาถามอีก...ไอ้เส็งเคร็ง "

ไอ้โล้นซึ่งนั่งวางมาดอยู่บนเก้าอี้นวมข้าง ๆ ชาติยื่นหน้ายื่นตาเข้ามาทะลุกลางปล้องด้วยท่าทางกวน ๆ ไอ้แสบหันมาจ้องหน้าเขม็ง แล้วห่อริมฝีปากเป็นรูปวงกลม กระซิบคำพูด " เครื่องเพศชาย " อยู่ในลำคอเบา ๆ

ลักษณะของริมฝีปากทำให้ไอ้โล้นสามารถอ่านความหมายคำพูดของเพื่อนออก มันยิ้มพยักพเยิดพร้อมกับยกหัวนิ้วแม่มือไปยังนางพยาบาลที่นั่งอยู่ข้างหน้าในทำนองขอโอน " ของขวัญ " จากไอ้แสบให้แก่หญิงสาวอยู่ในทีเล่นเอาชาติที่นั่งมองพฤติการณ์ของตัวแสบทั้งสองอยู่ ถึงกับหัวเราะฮึ ๆ ออกมาเบา ๆ

ภาพของชายชราที่โดนผลักกระเด็นลงกับพื้นห้องทำให้การเล่นหัวของมนุษย์เดนตายทั้งสองยุติลงทันที

" - ไอ้แก่ เจ้านายของมึงอยู่ไหนวะ ?" กล้องโทรทัศน์อัตโนมัติ ซึ่งซ่อนอยู่ในห้องดังกล่าวนั้นเริ่มส่งเสียงเข้ามาเป็นครั้งแรก เสี่ยวิชัยขยับเข้าไปหา พ.ท. แจ็คสัน "ครูปืน" ของซี.ไอ.เอ. ด้วยท่าทางกระสับกระส่าย ยังไม่ทันจะกล่าวถามอะไรออกมา "ครูปืน" ซี.ไอ.เอ. ก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน

" อย่าตกใจ มิสเตอร์วิชัย "ลุงชิต" ผ่านการทดสอบมาแล้วหลายครั้ง ไอ้การทรมานแค่นี้ ไม่สามารถที่จะ " เปิดปาก " ลุงชิตของผมได้หรอกครับ ขนาดโดนหั่นนิ้วก้อยออกเป็นสองข้าง ลุงชิตก็ยังไม่ยอมพูด...อย่าตกใจมิสเตอร์วิชัย...ปากทางอุโมงค์ใต้ดิน ซึ่งอยู่บนห้องดังกล่าวนั้น จะต้องเป็นความลับตลอดไป...ลุงชิตแกเป็นใบ้มาแต่กำเนิด "

ประโยคสุดท้าย พ.ท. แจ็คสัน ลดเสียงลงกระซิบกระซาบกับเสี่ยวิชัยเบา ๆ แต่ทว่าสายตาจ้องดูภาพบนจอโทรทัศน์เขม็ง

ลุงชิตส่งเสียงอึกอักในลำคอ มือทั้งคู่ที่ยกขึ้นมาเหมือนกับอธิบายว่า ไม่มีใครอยู่บนบ้านหลังนี้ นอกจากแกคนเดียว ไอ้สีตาแดงขัดใจขึ้นมาก็ยกเท้ากระทึบโครมลงไปบนท้องน้อยเต็มแรง ปากก็คำรามออกมาอย่างเหี้ยมเกรียม

" - แกล้งทำเป็นใบ้...เหลี่ยมจัดนักมึง ไอ้แก่เอาซิวะมึงทนมือทนตีนพวกกูได้ก็เอา...เฮ้ยจับมันลุกขึ้นยืน "

ไอ้สีหันไปสั่งลูกน้องสามคนที่ยืนรายล้อมอยู่ใกล้ ๆ แล้วถอยออกไปยืนล้วงกระเป๋าค้นหาอะไรอยู่ในกระเป๋ากางเกงอยู่ชั่วอึดใจก็เงยหน้าขึ้นถามลูกน้องคนหนึ่งดัง ๆ

" - เฮ้ยใครมีไม้ขีดไฟบ้างวะ เอามาให้กูทั้งกล่องไอ้เหี้ยนี่แกล้งทำเป็นใบ้ ประเดี๋ยวกูจะทำให้มันพูดคล่องเป็นนกขุนทองเชียวมึง "

ไอ้สีรับกล่องไม้ขีดจากลูกน้อง แล้วเทออกมาทั้งกล่อง หักเอาหัวไม้ขีดไฟมารวมกันกำเอาไว้ในมือขยับตัวเข้าไปหาลุงชิตพร้อมกับตะคอกออกมาดัง ๆ

" - ไอ้แก่กูให้โอกาสมึงครั้งสุดท้าย เจ้านายของมึงที่หามคนเจ็บเข้ามาในบ้านหลังนี้อยู่ไหน...ถ้ามึงไม่ตอบกูจะระเบิดหูของมึงเดี๋ยวนี้ "

ลุงชิตส่งเสียง แบ๊ะ แบ๊ะ สั่นศีรษะเป็นเชิงปฏิเสธไอ้สีขัดใจขึ้นมาก็เตะตูมเข้าไปที่ท้องน้อย ในขณะที่ลุงชิตงอตัวดิ้นอึกอักอยู่ท่ามกลางการขนาบของกลุ่มมือปืน ไอ้สีก็ออกคำสั่งขึ้นมาอย่างเฉียบขาด

" - มัดมือ มัดแขน แล้วจับมันนอนตะแครงลงกับพื้น กูจะทำให้มันพูดให้ได้ "

ในขณะที่กลุ่มผู้บุกรุกกำลังสาละวนมัดลุงชิตอยู่ ในจอโทรทัศน์อยู่นั้น พ.ท. แจ็คสันครูปืนของ ซี.ไอ.เอ. ก็ออกคำสั่งขึ้นมาอย่างห้วน ๆ

" - ทุกคน นอกจากมิสเตอร์วิชัย, มิสเตอร์โล้น, มิสเตอร์แสบ, มิสเตอร์ชาติ, โปรดออกจากห้องใต้ดินโดยด่วน ใช้เส้นทางอุโมงค์หมายเลข 1 ต่อจากนั้นให้พักอยู่ภายในสถานทูต รอคำสั่งปฏิบัติการต่อไป..."

ยังไม่ทันจะสิ้นคำสั่งของ พ.ท.แจ็คสัน ทุกคนนอกจากผู้ที่ถูกกล่าวนาม ก็วิ่งพรูกันออกจากห้องศูนย์ปฏิบัติการเป็นจ้าละหวั่น ชั่วอึดใจภายในศูนย์ก็เหลือแต่เจ้าหน้าที่และกลุ่ทเพชฌฆาตรับจ้างขององค์การ ซี.ไอ.เอ. ยืนจับกลุ่มกันดูภาพบนจอโทรทัศน์วงจรปิดอย่างเงียบ ๆ

" - ไอ้ห่าพวกมันแกะรอยของเราที่พาไอ้จิตต์เข้ามาที่ปากอุโมงค์ที่ 3 ได้ยังไงกันวะ นี่พวกเราไม่มีทางช่วยลุงชิตเลยหรือครับหัวหน้า "

เสี่ยวิชัยเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับจ้องเขม็งไปที่จอโทรทัศน์ด้วยท่าทางกระสับกระส่าย...

" - ไม่มีทางช่วย...หน่วยงานของเราเป็นหน่วยงานที่ลับสุดยอด "สาย" ของเราทุกคนพร้อมที่จะตายเมื่อเหตุการณ์บังคับ ห้องใต้ดินของเราลงทุนเกือบหนึ่งพันล้านเส้นทางออกฉุกเฉิน ซึ่งเป็นอุโมงค์ใต้ดิน ถูกขุดห่างออกไปเป็นระยะทางเกือยครึ่งกิโลเมตร ถ้าคุณเป็นผู้บังคับบัญชา คุณจะยอมให้ฝ่ายตรงข้ามล่วงรู้ความลับของห้องใต้ดินแห่งนี้ล่ะหรือ...มิสเตอร์วิชัย ถ้าจำเป็นจริง ๆ ผมอาจจะทำลายตึกหลังดังกล่าวนั้นให้เป็นป่นเป็นผุยผงไปในชั่วพริบตา..."

"แล้วลุงชิตล่ะครับ...อาจารย์"

ไอ้แสบเอ่ยถามขึ้นมาอย่างเคลือบแคลงใจ

"-ไม่มีทางเลือก มิสเตอร์แสบ ผมจำเป็นต้องแทงบัญชีจำหน่าย "สาย" ของเรา ถ้ามีเหตุการณ์บังคับ ผมชอบพูดความจริงในฐานะที่คุณเป็นลูกศิษย์ ผมอยากจะพูดว่าพวกคุณยังมีโอกาสที่จะปลีกตัวออกจากองค์การนี้ แต่มีข้อแม้ว่าคุณจะต้องเคลียร์ตัวเองให้พ้นมลทินจากกฏหมายของรัฐบาลไทยเสียก่อน คุณคงจะไม่รู้ลุงชิตไม่ได้เป็นใบ้...เมื่อกี้นี้ ผมจำเป็นต้องโกหกเพื่อให้ขวัญและกำลังใจของพวกเราดีขึ้น แต่เหตุการณ์ที่ลุงชิตกำลังประสบอยู่ในขณะนี้ทำให้ผมไม่มั่นใจ...ลุงชิตอาจจะต้องพูดเพราะไม่สามารถที่จะทนการทารุณของพวกนั้นได้...ดูโน่น..."

ประโยคสุดท้าย พ.ท.แจ็คสัน ตัดบทพร้อมกับพยักพเยิดให้มองขึ้นไปบนจอโทรทัศน์

ทุกคนเหลือบสายตาขึ้นไปมองเหมือนกับนัดกันเอาไว้...ลุงชิตถูกผลักลงไปนอนตะแครงอยู่ที่พื้น สมุนของไอ้สีตาแดงใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบต้นคอของลุงชิตกดแน่นส่วนมือปืนเมืองเพชรคู่รักคู่แค้นของไอ้แสบคุกเข่าลงข้าง ๆร่างที่ถูกมัดงอก่องอขิงอยู่ที่พื้นนั้นแล้วค่อย ๆ ยัดหัวไม้ขีดไฟลงไปในหูของลุงชิดจนแน่นเอี๊ยด

" - กูถามมึงเป็นครั้งสุดท้าย เจ้านายของมึงหายไปไหน ?...ถ้ามึงไม่พูด กูจะระเบิดหูของมึงเดี๋ยวนี้ "

ลุงชิตส่ายหน้าปฏิเสธ ไอ้สีตาแดงจุดไม้ขีดไฟแล้วแหย่พรวดเข้าไปในหูของลุงชิตทันที

" ฟู่ๆๆ"

หัวไม้ขีดไฟที่อัดแน่นอยู่ในหูของลุงชิตลุกฟู่ขึ้นในบัดดล...ลุงชิตสะดุ้งเฮือกขึ้นสุดตัว แถกไถลร่างไปกับพื้นอย่างน่าเวทนา ส่งเสียงครวญครางออกมานอกจอโทรทัศน์อย่างโหยหวล คำพูดร้องของชีวิตพรั่งพรูออกมาไม่ขาดระยะ

"- ยอมแล้วครับ...ผมยอมแล้ว...อย่าทำผมเลยเจ้านาย "

ไอ้สีตาแดงหัวเราะก๊ากออกมาสุดเสียง พร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งกระชากร่างของลุงชิตขึ้นมาครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้ ปากก็สำทับต่อไปอีกอย่างเฉียบขาด

" - กูยังเหลือหูของมึงเอาไว้อีกข้าง คราวนี้ถ้ามึงไม่พูดความจริง...กูจะลากลิ้นของมึงออกมาสับเล่น เอาซิวะไอ้แก่...มีหูเหลือข้างหนึ่ง แต่พูดไม่ได้...มึงเลือกเอาก็แล้วกัน...นายของมึงอยู่ที่ไหน ? "

ประโยคสุดท้าย ไอ้สีตาแดงกำชับออกมาอย่างเหี้ยมเกรียม


"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา ชีิวิตคนก็เหมือนสะพาน  มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน" สมิง วังม่วง

บันทึกการเข้า

หน้า: 1 ... 785 786 787 [788] 789 790 791 ... 812
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.18 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.116 วินาที กับ 24 คำสั่ง