ขอความรู้เรื่อง"เครื่องกรองนํ้า"ครับ

<< < (3/4) > >>

Daimyo:
อ้างจาก: ชอลิ่วเฮียง ที่ สิงหาคม 18, 2009, 02:06:07 PM

หลักการของเครื่องกรองน้ำทั่วไป (ยกเว้นระบบ RO) คือใช้ตะแกรงขนาดตาเล็กมากๆ ดักอนุภาคที่แขวนลอยอยู่ในน้ำ  ดังนั้นถ้าสิ่งแปลกปลอมละลายมากับน้ำ  เช่น เกลือ  น้ำตาลทราย  วิสกี้ ฯลฯ  จะกรองไม่ได้
เครื่องกรองระบบ Reverse Osmosis ใช้หลักการกรองเลียนแบบการดูดซึมอาหารของเซลพืช (การกินอาหารของพืชใช้การดูดซึมแร่ธาตุที่ละลายน้ำผ่านเยื่อผนังเซลโดยกักน้ำไว้ด้านนอก  แต่การกรองแบบ R O  ใช้การดูดซึมน้ำผ่านเยื่อกรองโดยกักแร่ธาตุ และสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ ไว้ด้านนอก) ดังนั้นโดยทฤษฎีแล้ว การกรองโดยระบบ RO จะได้น้ำบริสุทธิ์ 100 %  ดังนั้นสิ่งที่เป็นจุดสังเกตุของระบบนี้ก็คือ  1. จะต้องใช้พลังงานไฟฟ้าในการกรอง  และ 2. จะต้องมีน้ำส่วนหนึ่ง (ประมาณ 50%) ที่จะต้องปล่อยทิ้งไป
      เท่าที่ผมเคยมีประสบการณ์กับเครื่องกรองน้ำระบบ RO ที่ใช้ในบ้านหลายยี่ห้อ ประสิทธิภาพการกรองเกิน 99.9% ทั้งนั้นแหละครับ  หัวใจของเครื่องกรองระบบ RO ก็คือเยื่อกรอง (Membrane) ซึ่งเท่าที่ผมทราบมีผู้ผลิตแค่ 2 ราย คือ ดูปองท์ กับ ดาวคอรริ่ง  ส่วนที่ใครจะสั่งเมมเบรนมาจากโรงงานใด แล้วมาออกแบบ ขึ้นรูปผลิตภัณฑ์ ผลิตขายติดยี่ห้อของตัวเองเข้าไปก็แล้วแต่กึ๋นของแต่ละรายแล้วละครับ.......
      อ้อ...ขอหมายเหตุเพิ่มเติมนะครับ..... เครื่องกรองน้ำบางยี่ห้อก็คล้ายๆ กับวงการค้าปืนเหมือนกันนะครับ...... ไส้กรองผลิตจากดาวพฤหัสฯ  ตัวถังผลิตจากเหล็กดาวอังคาร  หลอดยูวีมาจากใจกลางดวงอาทิตย์........ก็ฟังหู ไว้หู นะครับ.....



ขอบคุณมากครับท่านชอฯและท่านอื่นๆ....

ผมเจอยี่ห้อหนึ่งสามหมื่นกว่าๆ......แต่ดูไปดูมาก็ไม่ต่างจากหมื่นกว่าๆ......

ชอลิ่วเฮียง - รักในหลวง:
มีเรื่องเล่าให้ฟัง....ขำ ขำ นะครับ....
     ผมอยู่ที่ต่างจังหวัด ก็เคยมีเซลขายเครื่องกรองน้ำตามบ้านมาเสนอขายถึงบ้านเหมือนกัน.... บังเอิญว่าเขามาถึงบ้านผมตอนมันเลยแดดร่ม....ลมตก...ไปแล้วนะซิครับ......
     เขาก็มั่นใจในคุณภาพสินค้าของเขามาก...... เพื่อน(ร่วมวง)ของผมก็เลยเสนอว่าให้ทดสอบผลิตภัณฑ์......คนขายก็ตกลง........
     เพื่อนผมก็จัดแจงยกกระติกน้ำแข็งใบใหญ่ที่มีก๊อกเปิดน้ำมาวาง.......ใส่น้ำแข็งเต็มกระติก......เทวิสกี้(เรียกให้หรูไปงั้นแหละ.....ยี่ห้อแม่โขง.....อายุ 10 กว่าปี) ลงไป เทโซดาผสม  ต่อท่อยางจากกระติกผ่านเครื่องกรอง....แล้วเราก็เปิดผ่านเครื่องกรองลงแก้ว.....คนขายก็ต้องทดลองสินค้าตัวเองด้วย.........
     ผล.....กลิ่น....รสชาด....เจือจางลงจริง  แต่ปริมาณแอลกอฮอล์ไม่ลดหรอกครับ...... เพราะน้องคนขายน่ะหลับอยู่ข้างเครื่องของเขานั่นแหละครับ..........
     หมายเหตุ.....เครื่องกรองแบบธรรมดา ไม่ใช่แบบ RO นะครับ

ลุงโย:
ผมลองให้ข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณาเกี่ยวกับเครื่องกรองน้ำที่เห็นขายสำหรับใช้ตามบ้านนะครับ
1.) ความหมายของศัพท์เท่าที่นึกออกก่อนก็แล้วกันครับ
    UV = Ultra Violet ก็คือแสงยูวีสำหรับฆ่าเชื้อครับ ไม่เกี่ยวกับการกรอง
    Ozone = โอโซน นี่ก็ใช้ฆ่าเชื้ออย่างเดียวเหมือนกัน
    Carbon = คาร์บอนหรือถ่านนั่นเอง มีหน้าที่ดูดพวกสารปนเปื้อนในน้ำเช่น คอรีน กลิ่น หรือสี ที่ปนมาในน้ำ
    RO = Reverse Osmosis ซึ่งเป็นวิธีทำให้น้ำบริสุทธิ์ขึ้นโดยใช้ไส้กรองRO (หมายความว่าดีขึ้นกว่าก่อนกรองนะครับ ซึ่งRO สามารถทำน้ำให้ดีได้จนถึงผลิตยาฉีด
              ก็มีครับขึ้นอยู่กับระบบและชนิดไส้กรองRO)
    Resin = เรซิน ปกติจะเป็นชนิด cation คือทำให้น้ำหายกระด้างเท่านั้นครับ (จับพวกประจุ+  ดังนั้นมันจึงไม่จับคลอรีนในน้ำประปานะครับ(ไม่มีประจุ))
    Ceramic = เป็นไส้กรองอีกชนืดหนึ่งซึ่งมีรูพรุนเล็กมาก ขนาดเป็นไมครอน กรองเชื้อได้(1ไมครอน ก็ประมาณ 1 มม. แบ่งเป็น 1พันส่วนแหละครับ )

2.) ดังนั้นถ้าเริ่มต้นด้วยน้ำประปา ถ้าจะใช้เครื่องกรองก็ต้องใช้แบบมีไส้กรองคาร์บอน (คลอรีนในน้ำประปาถ้าเอามาต้นหรือทำกับข้าวที่ต้องใช้ความร้อน
ทำให้เกิดมะเร็งได้ครับ) ซึ่งคาร์บอนที่ใช้ก็มีหลายแบบครับ บางชนิดอัดแน่นสามารถกรองสารที่แขวนลอยในน้าได้ด้วย แต่บางชนิดเป็นเกล็ดหรือเม็ดอย่างนี้ได้แค่
ดูดจับคลอรีนหรือสีหรือกลิ่นเท่านั้น ส่วนเรซินสำหรับน้ำประปาที่สะอาดจริงๆไม่จำเป็นเท่าไหร่ครับ เพราะข้อกำหนดของไอออนของการประปาอยู่ในเกณฑ์ที่ดื่มได้อยู่แล้ว
แต่สุดท้ายต้องมีการกำจัดเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนอยู่ในน้ำหรือฝังตัวแล้วเติบโตอยู่ที่ผิวของคาร์บอนหรือเรซินเอง     ซึ่งจะใช้ UV หรือ RO หรือ Ceramic ก็แล้วแต่จะเลือกครับ
ยังไงก็ดูที่น่าเชื่อถือหน่อยก็ดีครับ

3.) ถ้าเป็นน้ำบาดาล อันนี้ยากครับ เพราะต้องตรวจสอบก่อนว่ามีแร่ธาตุตัวไหนเจือปนอยู่บ้าง มากน้อยแค่ไหน เพื่อที่จะได้เลือกสารกรองที่เหมาะสม (ขอไม่ลงรายละเอียดนะครับ
แต่ถ้าบ้านใครเป็นน้ำบาดาล เครื่องกรองที่ขายใช้ตามบ้าน ซื้อไปใช้เลยไม่ได้นะครับ น้ำผ่านแค่ครั้งเดียว ทั้ง คาร์บอน เรซิน RO อาจหมดสภาพไปเลยก็ได้)

~ Sitthipong - รักในหลวง ~:
เรื่องอะไหลก็สำคัญครับ เช่น พวกหลอด UV หรือใส่กรองต่าง ๆ  ดูอายุการใช้งานและค่าอะไหล่ด้วยครับ  ;)

ชอลิ่วเฮียง - รักในหลวง:
     ผมจะเปรียบเทียบแบบง่ายๆ นะครับ (อาจจะไม่ถูกต้องนัก แต่ก็พอให้เห็นภาพได้)
     คุณภาพน้ำที่ได้จากเครื่องกรองน้ำแบบทั่วไป เราอาจจะคิดเป็นเปอร์เซนต์ว่าจะลดความสกปรกลงไปได้เป็นกี่เปอร์เซนต์ เช่นกรองได้ถึง 95%.....ถ้าใช้น้ำประปา(โดยเฉพาะประปานครหลวงซึ่งสะอาดมาก)เป็นต้นทาง  น้ำกรองที่ได้ก็สะอาดปลอดภัยแน่นอน....แต่ถ้าเราใช้น้ำสกปรก เช่น น้ำโคลน  น้ำในคลองข้างทำเนียบฯ  หรือ น้ำทะเล เป็นต้นทาง  น้ำกรองที่ได้โคลนหายไป 95%แต่สีก็ยังขุ่นอยู่  สีดำๆกลิ่นเหม็นๆลดไป 95% แต่ก็ยังมีกลิ่นอยู่  ถือว่ายังคงไม่สะอาด ไม่ปลอดภัย  แล้วก็ยังเค็มอยู่ 100% เพราะกรองไม่ได้.......แล้วก็น้ำต้นทาง 10 ลิตร เราก็จะได้น้ำกรอง 10 ลิตร
      ส่วนคุณภาพน้ำที่ได้จากเครื่องกรองน้ำระบบ RO นั้น  ไม่ว่าน้ำต้นทางจะเป็นอย่างไร  น้ำกรองที่ได้จะเป็นน้ำจืด สะอาดมากๆ เสมอ ไม่ว่าจะเป็นน้ำโคลน  น้ำเน่า  หรือน้ำทะเล  ก็จะได้น้ำกรองที่สะอาด บริสุทธิ์เกือบ 100 % เท่ากันหมด  ส่วนที่แตกต่างก็คือ ถ้าน้ำต้นทางเป็นน้ำประปา  เมมเบรนที่ใช้กรองก็จะมีอายุการใช้งานยาวนาน  น้ำต้นทาง 10 ลิตร อาจจะได้น้ำกรองถึง 7 - 8 ลิตร  แต่ถ้าน้ำต้นทางเป็นน้ำสกปรก เมมเบรนก็จะอายุสั้น (แพงมากๆ ด้วย)  แล้วน้ำต้นทาง 10 ลิตร อาจจะได้น้ำกรองแค่ 1 ลิตร.............
      แล้วที่ท่านไดเมียว บอกว่าเครื่องราคาต่างกันเกือบ 3 เท่า แต่ดูหน่วยก้านใกล้เคียงกันนั้น.......ลองถามราคาอะไหล่เมมเบรนดูสิครับ.......ผมเคยเจอ  2 ยี่ห้อ ราคาเครื่อง และอะไหล่ต่างกัน 4 เท่า แต่เหมือนกันเปี๊ยบ แถมใช้แทนกันได้ด้วย  เอาเมมเบรนของตัวแพงไปใส่ตัวถูก เอาของตัวถูกไปใส่ตัวแพง ผลที่ได้ก็ยังคงเหมือนเดิมคือกรองได้สะอาดเท่ากัน.......แล้วก็ยังมีแบบราคาเครื่องต่างกันประมาณ 2.5 เท่า แต่ราคาอะไหล่เมมเบรนเท่ากันก็มี.........ที่ให้เน้นราคาเมมเบรนเป็นหลักก็เพราะเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดนะครับ  ส่วนอะไหล่ตัวอื่นๆนั้นไม่น่ากลัวครับ ถึงไม่มีขาย แต่ช่างไทยทำได้สบายมากครับ.......
      ดังนั้นความเห็นของผมก็คือ เลือกระบบ RO ครับ.......ใช้ชนิดราคาถูกที่สุด(ไม่ต้องมี UV  ไม่ต้องมีโอโซน ไม่ต้องมีไส้กรองเรซิน  คาร์บอน หรืออื่นๆ ให้รกรุงรัง)  แล้วก็ราคาเมมเบรนอะไหล่ถูก  หาซื้อได้ง่าย และมีขายตลอดไป (กลัวตรงที่ไม่มีเปลี่ยนนี่แหละครับ  เพราะว่าถึงแม้ว่าจะใช้น้ำประปาเป็นต้นทาง ก็จะต้องเปลี่ยนเมมเบรนทุก 1.5 - 2 ปี ตามกำหนดของผู้ผลิตนะครับ) ........ขอให้โชคดีในการเลือกครับ.........

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว