๏ฟฝ๏ฟฝ็บบ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝสน๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝาปืน
มีนาคม 29, 2024, 02:14:23 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เว็บบอร์ด อวป. สามารถเข้าได้ทั้งสองทาง คือ www.gunsandgames.com และ www.gunsandgames.net ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: คนเลวๆ ที่จ้องทำลายพระพุทธศาสนา  (อ่าน 3020 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เมียหลวงสั่งถอย เมียน้อยสั่งลุย
Sr. Member
****

คะแนน 53
ออฟไลน์

กระทู้: 900


« เมื่อ: กันยายน 17, 2009, 07:53:29 PM »

ลองเข้าไปอ่านดูนะครับ สงสัยมันบ้าไปแล้ว
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8319344/Y8319344.html

เมือง “มิถิลามหานคร” ที่พระพุทธเจ้าเคยเกิดมาบำเพ็ญบารมี อยู่ที่นี่ จังหวัดปราจีนบุรี       

เมือง “มิถิลามหานคร” ที่พระพุทธเจ้าเคยเสวยพระชาติเป็นมหานารทพรหม พระมโหสถ และพระมหาชนก
อยู่ที่นี่ จังหวัดปราจีนบุรี ไม่ใช่ที่อินเดียหรือเนปาล

จาก พระไตรปิฎกและอรรถกถา ที่กล่าวถึงการบำเพ็ญเพียร ของพระพุทธเจ้าของเรา ในอดีตชาติ สมัยที่เสวยพระชาติ เป็น มหานารทพรหม พระมโหสถ และพระมหาชนก  ดังที่จะยกมาแต่พอสังเขป ดังนี้

พระนารทกัสสปชาดก

ในอดีตกาล ยังมีพระราชาพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระเจ้าอังคติราช เสวยราชสมบัติ ในกรุงมิถิลามหานคร ณ วิเทหรัฐ พระองค์ทรงตั้งอยู่ในธรรม เป็นพระธรรมราชา พระองค์มีพระราชธิดาองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระนางรุจาราชกุมารี มีพระรูปโฉมสวยงาม ชวนดู ชวนชม มีบุญมาก. ได้ทรงตั้งปณิธาน ความปรารถนาไว้สิ้นแสนกัป จึงได้มาเกิดในพระครรภ์ของพระอัครมเหสี. ส่วนพระเทวีนอกนั้นของพระองค์ ๑๖,๐๐๐ คน ได้เป็นหญิงหมัน. พระนางรุจาราชกุมารีนั้น จึงเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ยิ่งนัก. พระองค์ได้ทรงจัดผ้าเนื้อละเอียดอย่างยิ่ง หาค่ามิได้พร้อมกับผอบดอกไม้ ๒๕ ผอบ อันเต็มไปด้วยบุปผาชาตินานาชนิด ส่งไปพระราชทานพระราชธิดาทุกๆวัน ด้วยทรงพระประสงค์จะให้ พระราชธิดาทรงประดับพระองค์ด้วยของเหล่านี้ และของเสวยที่จัดส่งไปประทานนั้น เป็นขาทนียะและโภชนียะ อันหาประมาณมิได้ ทุกกึ่งเดือนได้ทรงส่งพระราชทานทรัพย์ ๑,๐๐๐ ไปพระราชทานพระราชธิดา โดยตรัสสั่งว่า ส่วนนี้ลูกจงให้ทานเถิด. และพระองค์มีอำมาตย์อยู่ ๓ นาย คือ วิชยอำมาตย์ ๑ สุนามอำมาตย์ ๑ อลาตอำมาตย์ ๑.

ฯลฯ

พระมหาชนกชาดก

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภมหาภิเนกขัมมบารมี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า โก ยํ มชฺเฌ สมุทฺทสฺมึ ดังนี้เป็นต้น.
….
              ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล พระราชาพระนามว่า มหาชนก ครองราชสมบัติในกรุงมิถิลา แคว้นวิเทหะ.     พระเจ้ามหาชนกราชนั้น   มีพระราชโอรสสองพระองค์   คือ    อริฏฐชนกพระองค์หนึ่ง โปลชนกพระองค์หนึ่ง ในสองพระองค์นั้น พระราชาพระราชทานตำแหน่งอุปราชแก่พระราชโอรสองค์พี่ พระราชทานตำแหน่งเสนาบดีแก่พระราชโอรสองค์น้อง. กาลต่อมา พระมหาชนกราชสวรรคต พระอริฏฐชนกได้ครองราชสมบัติ ทรงตั้งพระโปลชนกผู้กนิษฐภาดาเป็นอุปราช. อมาตย์คนหนึ่งผู้ใกล้ชิดพระราชา ไปเฝ้าพระราชากราบทูลว่า ขอเดชะ พระอุปราชใคร่จะปลงพระชนม์พระองค์. พระอริฏฐชนกราชทรงสดับคำบ่อยๆ ก็ทำลายความสิเนหาพระอนุชา ให้จำพระโปลชนกมหาอุปราชด้วยเครื่องจองจำ ให้อยู่ในคฤหาสน์หลังหนึ่งใกล้พระราชนิเวศ มีผู้คุมรักษา พระกุมารโปลชนกทรงตั้งสัตยาธิษฐานว่า ถ้าข้าพเจ้าก่อเวรต่อพระเชษฐา เครื่องจองจำจงอย่าหลุดจากมือและเท้าของข้าพเจ้า แม้ประตูก็จงอย่าเปิด ถ้าข้าพเจ้ามิได้ก่อเวรต่อพระเชษฐา เครื่องจองจำจงหลุดจากมือและเท้าของข้าพเจ้า แม้ประตูก็จงเปิด เครื่องจองจำได้หักเป็นท่อนๆ แม้ประตูก็เปิดในทันใดนั้น ต่อนั้นพระโปล         ชนกก็เสด็จออกไปยังปัจจันตคามแห่งหนึ่ง ประทับอยู่ที่ปัจจันตคามนั้น ชาวปัจจันตคามจำพระองค์ได้ก็บำรุงพระองค์.

ฯลฯ

พระมโหสถชาดก

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล มีพระราชาพระนามว่า วิเทหะ เสวยราชสมบัติในกรุงมิถิลา แคว้นวิเทหะ มีบัณฑิต ๔ คน ชื่อเสนกะ ๑ ปุกกุสะ ๑ กามินทะ ๑ เทวินทะ ๑ เป็นผู้ถวายอนุศาสนอรรถธรรมแด่พระเจ้าวิเทหราชนั้น. กาลนั้น พระเจ้าวิเทหราชทรงพระสุบินในปัจจุสสมัย ในวันพระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิว่า ที่มุมพระลานหลวงทั้ง ๔ มุม มีกองเพลิง ๔ กองประมาณเท่ากำแพงใหญ่ลุกโพลง. ก็ในท่ามกลางกองเพลิงทั้ง ๔ นั้น มีกองเพลิงกอง ๑ ประมาณเท่าหิงห้อย ตั้งขึ้นลุกล่วงเลยกองเพลิงทั้ง ๔. ในขณะนั้นเอง ตั้งขึ้นจดประมาณอกนิฏฐพรหมโลกสว่างทั่วจักรวาล. สิ่งที่ตกในภาคพื้น แม้สักเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดก็ปรากฏ. โลกทั้งเทวดาทั้งมารทั้งพรหม มาบูชากองไฟนั้น ด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น. มหาชนเที่ยวอยู่ในระหว่างเปลวเพลิง ก็มิได้ร้อนแม้สักว่าขุมขน. พระราชาทรงเห็นพระสุบินนี้แล้ว ทรงหวาดสะดุ้ง เสด็จลุกขึ้นประทับนั่ง. ทรงจินตนาการอยู่จนอรุณขึ้นว่า เหตุการณ์อะไรหนอจะพึงมีแก่เรา. บัณฑิตทั้ง ๔ มาเฝ้าแต่เช้าทูลถามถึงสุขไสยาว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์บรรทมเป็นสุขหรือ. พระราชาตรัสตอบว่า ท่านอาจารย์ ความสุขจะมีแก่เราแต่ไหน เราได้ฝันเห็นอย่างนี้. ลำดับนั้น เสนกบัณฑิตทูลว่า ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์อย่าได้ตกพระหฤทัย พระสุบินนั้นเป็นมงคล ความเจริญจักมีแด่พระองค์. เมื่อมีพระราชดำรัสถามว่า เพราะเหตุไร จึงทูลว่า ข้าแต่มหาราช บัณฑิตที่ ๕ อีกคนหนึ่งจักเกิดขึ้น ครอบงำพวกข้าพระองค์ ซึ่งเป็นบัณฑิตทั้ง ๔ ทำให้หมดรัศมี. พวกข้าพระองค์ทั้ง ๔ คน เหมือนกองเพลิง ๔ กอง. บัณฑิตที่ ๕ จักเกิดขึ้น เหมือนกองเพลิงที่เกิดขึ้นในท่ามกลาง. ก็บัณฑิตนั้นหาผู้เสมอ ย่อมไม่มีในโลกทั้งเทวโลก. พระเจ้าวิเทหราชตรัสถามว่า ก็บัดนี้ บัณฑิตนั้นอยู่ที่ไหน. เสนกบัณฑิตทูลพยากรณ์ ราวกะเห็นด้วยทิพยจักษุ เพราะกำลังแห่งการศึกษาของตนว่า วันนี้ บัณฑิตนั้นจักปฏิสนธิ หรือจักคลอดจากครรภ์มารดา. พระราชาทรงระลึกถึงคำแห่งเสนกบัณฑิตนั้น จำเดิมแต่นั้นมา.
              ก็บ้านทั้ง ๔ คือ บ้านชื่อทักขิณยวมัชฌคาม ๑. ปัจฉิมยวมัชฌคาม ๑. อุตตรยวมัชฌคาม ๑. ปาจีนยวมัชฌคาม ๑. มีอยู่ที่ประตูทั้ง ๔ แห่งกรุงมิถิลา. ในบ้านทั้ง ๔ นั้น เศรษฐีชื่อ สิริวัฒกะ อยู่ในบ้านชื่อปาจีนยวมัชฌคาม ภรรยาของเศรษฐีนั้นชื่อ สุมนาเทวี. วันนั้น พระมหาสัตว์จุติจากดาวดึงส์พิภพ ถือปฏิสนธิในครรภ์แห่งนางสุมนาเทวี. ในเวลาที่พระราชาทรงพระสุบิน เทพบุตรอีกพันหนึ่งจุติจากดาวดึงส์พิภพ ถือปฏิสนธิในตระกูลแห่งเศรษฐีใหญ่น้อยในบ้านนั้น นั่นเอง. ฝ่ายนางสุมนาเทวีคลอดบุตรมีพรรณดุจทองคำ โดยกาลล่วงมาได้ ๑๐ เดือน.
              ขณะนั้น ท้าวสักกเทวราชทอดพระเนตรดูมนุษยโลก ทรงทราบว่า พระมหาสัตว์คลอดจากครรภ์มารดา. ทรงคิดว่า ควรเราจะทำพระพุทธางกูรนี้ ให้ปรากฏในโลกทั้งเทวโลก จึงเสด็จมาด้วยอทิสมานกาย ไม่มีใครเห็นพระองค์. ในเวลาที่พระมหาสัตว์คลอดจากครรภ์มารดา วางแท่งโอสถแท่งหนึ่งที่หัตถ์แห่งพระมหาสัตว์นั้น แล้วเสด็จกลับไปยังทิพยพิมานแห่งตนทีเดียว. พระ-มหาสัตว์รับแท่งโอสถนั้นกำไว้. ก็เมื่อพระมหาสัตว์คลอดจากครรภ์นั้น ความทุกข์มิได้มีแก่มารดา แม้สักหน่อยหนึ่ง. คลอดง่ายคล้ายน้ำออกจากธมกรก ฉะนั้น. นางสุมนาเทวีเห็นแท่งโอสถในมือของบุตรนั้น. จึงถามว่า พ่อได้อะไรมา. บุตรนั้นตอบมารดาว่า โอสถจ๊ะแม่. แล้ววางทิพยโอสถในมือมารดา. กล่าวว่า ข้าแต่แม่ แม่จงให้โอสถนี้แก่เหล่าคนเจ็บป่วย ด้วยความเจ็บป่วยอย่างใดอย่างหนึ่ง. นางสุมนาเทวีมีความร่าเริงยินดีเป็นอย่างยิ่ง จึงบอกแก่สิริวัฒกเศรษฐีผู้สามี ก็เศรษฐีนั้นป่วยเป็นโรคปวดศีรษะมา ๗ ปี มีความยินดีร่าเริง คิดว่า กุมารนี้เมื่อเกิดแต่ครรภ์มารดา ก็ถือโอสถมา. ทั้งพูดกับมารดาได้ในขณะที่เกิดนั่นเอง. โอสถที่ผู้มีบุญเห็นปานนี้ให้ จักมีอานุภาพมาก. คิดฉะนี้แล้ว จึงถือโอสถนั้นฝนที่หินบด แล้วเอาโอสถหน่อยหนึ่งทาที่หน้าผาก. โรคปวดศีรษะที่เป็นมา ๗ ปีก็หายไป ดุจน้ำหายไปจากใบบัว ฉะนั้น. ท่านเศรษฐีนั้นมีความดีใจว่า โอสถมีอานุภาพมาก. เรื่องพระมหาสัตว์ถือโอสถมา ก็ปรากฏไปในที่ทั้งปวง. บรรดาผู้เจ็บป่วยทั้งปวงนั้น พากันมาบ้านท่านเศรษฐีขอยา. ฝ่ายท่านเศรษฐีก็ถือเอาโอสถหน่อยหนึ่ง ฝนที่หินบด ละลายน้ำให้แก่คนทั้งปวง เพียงเอาทิพยโอสถทาสรีระเท่านั้น ความเจ็บป่วยทั้งปวงก็สงบ. มนุษย์ทั้งหลายได้ความสุข แล้วก็สรรเสริญว่า โอสถในเรือนท่านสิริวัฒกเศรษฐีมีอานุภาพมาก แล้วหลีกไป.
              ในวันตั้งชื่อพระมหาสัตว์ ท่านมหาเศรษฐีคิดว่า เราไม่ต้องการชื่อ บรรพบุรุษมีปู่เป็นต้น มาเป็นชื่อบุตรของเรา. บุตรของเราจงชื่อโอสถ เพราะเมื่อเขาเกิดถือโอสถมาด้วย. แต่นั้นมา จึงตั้งชื่อพระมหาสัตว์นั้นว่า มโหสถกุมาร เพราะอาศัยคำเกิดขึ้นว่า โอสถนี้มีคุณมาก โอสถนี้มีคุณมาก ด้วยประการฉะนี้. ลำดับนั้น ท่านเศรษฐีได้มีความคิดว่า บุตรของเรามีบุญมาก จักไม่เกิดคนเดียวเท่านั้น. ทารกทั้งหลายที่เกิดพร้อมกับบุตรของเรานี้จะพึงมี จึงให้ตรวจตราดู ก็ได้ข่าวพบทารกเกิดวันเดียวกัน ๑ พันคน จึงให้เครื่องประดับแก่กุมารทั้งหมด และให้นางนม ๑ พันคน ให้ทำมงคลแก่ทารกเหล่านั้น พร้อมกับพระโพธิสัตว์ทีเดียว. ด้วยคิดว่า ทารกเหล่านี้จักเป็น ผู้ปฏิบัติบำรุงบุตรของเรา. นางนมทั้งหลายตกแต่งทารก แล้วนำมาบำเรอพระมหาสัตว์. พระโพธิสัตว์เล่นอยู่ด้วยทารกเหล่านั้น เจริญวัย. เมื่อมีอายุได้ ๗ ขวบ มีรูปงามราวกะรูปเปรียบทองคำ. เมื่อพระโพธิสัตว์เล่นอยู่กับทารกเหล่านั้น ในท่ามกลางบ้าน. เมื่อช้างเป็นต้นมา สนามที่เล่นก็เสียหาย. ทารกทั้งหลายย่อมลำบาก ในเวลาเมื่อถูกลมและแดด. วันหนึ่ง เมื่อเขาเหล่านั้นกำลังเล่นกันอยู่ มหาเมฆตั้งขึ้น. พระมหาสัตว์ผู้มีกำลังดุจช้างสาร เห็นเมฆตั้งขึ้นก็วิ่งเข้าสู่ศาลาหลังหนึ่ง. พวกทารก นอกนี้วิ่งตามไปทีหลังพระมหาสัตว์ เหยียบเท้าของกันและกัน พลาดล้มถึงเข่าแตกเป็นต้น. พระโพธิสัตว์จึงคิดว่า ควรทำศาลาเป็นที่เล่นในสถานที่นี้ เราทั้งหลายจักไม่ลำบากอย่างนี้. จึงแจ้งแก่ทารกเหล่านั้นว่า พวกเราจักลำบากด้วยลม ฝน และแดด พวกเราจักสร้างศาลาหลังหนึ่งในที่นี้ ให้พอเป็นที่ยืน นั่ง และนอนได้. ท่านทั้งหลายจงนำกหาปณะมาคนละหนึ่งกหาปณะ. ทารกเหล่านั้นก็กระทำตามนั้น.

เมือง มิถิลา นี้ นัก ประวัติศาสตร์ และนักโบราณคดี ชาวตะวันตก ลงความเห็นว่า คือ   เมืองชนัคปูร์ ที่ ประเทศเนปาล ซึ่ง อาจจะดูขัดแย้ง กับ เรื่องราว “พระมหาชนก” ที่ท่าน จะไปค้าขาย ยังสุวรรณภูมิ ทางทะเล แล้วเรือเกิดอับปาง แล้วพระมหาชนกได้ กระโดดจากเสากระโดงเรือ ดังในพระอรรถกถา ว่า

พระมหาสัตว์ประทับยืนที่ยอดเสากระโดง ทรงกำหนดทิศว่า เมืองมิถิลาอยู่ทิศนี้ ก็กระโดดจากยอดเสากระโดง ล่วงพ้นฝูงปลาและเต่า ไปตกในที่สุด อุสภะหนึ่ง เพราะพระองค์มีพระกำลังมาก

แล้ว พระมหาชนก ก็ว่ายน้ำอยู่ในมหาสมุทรอันมองไม่เห็นฝั่ง อยู่ 7 วัน จนกระทั่ง ทางมณีเมขลา มาช่วยไว้ และอุ้มไปยังเมืองมิถิลานคร ดังในพระอรรถกถาว่า

 ก็แลครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว นางมณีเมขลาได้ถามว่า ข้าแต่ท่านบัณฑิตผู้มีความบากบั่นมาก ข้าพเจ้าจักนำท่านไปที่ไหน. เมื่อพระมหาสัตว์ตรัสว่า มิถิลานคร นางจึงอุ้มพระมหาสัตว์ขึ้น ดุจคนยกกำดอกไม้ ใช้แขนทั้งสองประคองให้นอนแนบทรวง พาเหาะไปในอากาศเหมือนคนอุ้มลูกรัก ฉะนั้น. พระมหาสัตว์มีสรีระเศร้าหมองด้วยน้ำเค็มตลอดเจ็ดวัน ได้สัมผัสทิพยผัสสะก็บรรทมหลับ. ลำดับนั้น นางมณีเมขลานำพระมหาสัตว์ถึงมิถิลานคร ให้บรรทมโดยเบื้องขวาบนแผ่นศิลา อันเป็นมงคลในสวนมะม่วง มอบให้หมู่เทพเจ้าในสวนคอยอารักขาพระมหาสัตว์แล้วไปสู่ที่อยู่ของตน.
 
ซึ่งถ้าเป็น ดังที่ นักประวัติศาสตร์ ลงความเห็นว่า  เมืองมิถิลา คือ   เมืองชนัคปูร์ ที่ ประเทศเนปาล นั้น ก็แสดงว่า เมื่อเรือล่ม ระหว่างทางจะไป สุวรรณภูมินั้น พระนางเมขลา ได้อุ้มอพระมหาชนก ข้ามผ่านดินใหญ่เป็นระยะทาง หลายพันกิโลเมตร เพื่อ นำไปสู่ มิถิลานคร ซึ่ง โดยทาง “ฤทธิ์” แล้ว ไม่สมเหตุสมผล เท่าใดนัก

แต่ถ้า ตามการศึกษาของผมที่ว่า “สุวัณณภูมิ” ในสมัยพุทธกาล หรือก่อนหน้านั้น คือ “เมืองทอง ที่ราชบุรี” แล้ว เหตุการณ์ เรืออับปางนี้ น่าจะเกิดที่ น่านน้ำ อ่าวไทย คือ พระมหาชนก ออกเดินเรือ จากเมืองท่า ที่จะไปสุวรรณภูมิ ที่ราชบุรี แล้วเรือล่มอับปาง กลางอ่าวไทย แล้วนางมณีเมขลา จึงได้ช่วย อุ้มไปส่ง ที่ มิถิลา ที่ “ปราจีนบุรี” น่าจะเป็นไปได้ ซึ่ง จะไปสอดรับกับ นิทานพระมโหสถ ที่ ยืนยัน ว่า “เมืองมโหสถ อยู่ที่ปราจีนบุรี” เพราะบ้านท่าน เศรษฐีชื่อ สิริวัฒกะ ของท่านมโหสถนั้น อยู่ในบ้านชื่อปาจีนยวมัชฌคาม ใกล้ประตูเมือง มิถิลา ดังมีนิทาน ที่อาจารย์สุจิตต์ วงษ์เทศ รวบรวมไว้ว่า
ลาวพวนที่อำเภอศรีมหาโพธิกับอำเภอศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี มีเขตติดต่อกันก็มีเมืองโบราณ ให้ชื่อว่า เมืองมโหสถ มี นิทานพระมโหสถ ดังนี้
พระมโหสถครองเมืองมโหสถที่บ้านโคกวัด(ปัจจุบันอยู่ในอำเภอศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี) ได้จัดให้ผู้ใหญ่ไปสู่ขอนางอมรเทวีซึ่งอยู่ที่เมืองโคกขวาง(ปัจจุบันอยู่บ้านโคกขวางในอำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี)เพื่ออภิเษกสมรส
ฝ่ายนางอมรเทวีมีเงื่อนไขให้พระมโหสถจัดการสร้างถนนมาจาก เมืองมโหสถ ส่วนนางก็จะสร้างถนนจากเมืองของนางให้เข้าหากัน และให้ถนนทั้งสองสายนี้เชื่อมต่อกันพอดีก่อนดาวรุ่งขึ้น หากเป็นไปตามนี้จึงจะยินยอมแต่งงานด้วย ถ้าไม่เป็นไปตามเงื่อนไขก็ไม่ตกลง
ในที่สุดต่างฝ่ายจองถนนจากเมืองของตน เมื่อถนนจะถึงกันนั้น นางอมรเทวีทำอุบายเอาโคมขึ้นแขวนบนยอดไม้ ทำนองว่าดาวรุ่งขึ้นแล้ว ถนนก็ไม่เชื่อมกัน   ซ้ำแนวถนนยังไม่ตรงกันอีกด้วย
พระมโหสถเสียใจเป็นอันมาก จึงเอาขนมขันหมากซึ่งจัดเตรียมไว้นั้นสาดทิ้งเสีย ณ หนองน้ำแห่งนั้น ปัจจุบันเรียกหนองขันหมาก อยู่กลางทุ่งหน้าหมู่บ้านเกาะสมอ(ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี)

คนเลวๆ ที่จ้องจะทำลายพระพุทธศาสนา
บันทึกการเข้า
พญาจงอาง +รักในหลวง+
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1870
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10361



« ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 17, 2009, 08:06:52 PM »

 เศร้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 17, 2009, 08:11:00 PM โดย พญาจงอาง » บันทึกการเข้า

..The only thing neccessary for the triump of evil is for the good man to do nothing..
"สิ่งเดียวที่ทำให้คนชั่วได้รับชัยชนะ คือการที่คนดีๆนิ่งดูดาย "
~ Sitthipong - รักในหลวง ~
"วาจาย่อมมีน้ำหนัก หากหนุนด้วยสรรพอาวุธ"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2953
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 23203



« ตอบ #2 เมื่อ: กันยายน 17, 2009, 08:40:30 PM »

ผมเข้าไปอ่านในพันทิพย์แล้ว บิดเบือนจากหลักฐานความเป็นจริง  พวกนี้มารศาสนาจริง ๆ ครับ   ไหว้
บันทึกการเข้า



...ไม่มีใครทำขาวให้เป็นดำ  หรือทำผิดให้เป็นถูกได้ตลอด...
Zeus-รักในหลวง
อะฮู้.....ไฮยีน่าก็เป็นแมวนะคราบบบ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 817
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10979


I'm going to make him an offer that he can't refus


« ตอบ #3 เมื่อ: กันยายน 17, 2009, 10:29:09 PM »

คนบ้าครับ......
บันทึกการเข้า

“A fear of weapons is a sign of retarded sexual and
emotional maturity.”
- Sigmund Freud

“ความกลัวอาวุธคือสัญญาณของความถดถอยทางเพศและวุฒิภาวะทางอารมณ์”
- ซิกมุนด์ ฟรอยด์
ทิดเป้า
Hero Member
*****

คะแนน -1181
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 11916



« ตอบ #4 เมื่อ: กันยายน 18, 2009, 03:00:42 AM »

คนบ้าครับ......

 ไหว้ครับ
บันทึกการเข้า

JJ-รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 387
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9427


« ตอบ #5 เมื่อ: กันยายน 18, 2009, 05:13:52 AM »

พวกนี้ "บ้า" ครับ
บันทึกการเข้า
♪♪︻┳一levis007︻┳一♪♪
รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 476
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4836


...คัง คัง ชิก...


« ตอบ #6 เมื่อ: กันยายน 18, 2009, 01:38:33 PM »

เลวจริง
บันทึกการเข้า

[/url][/url]
อรชุน-รักในหลวง
หมู่โลหิต O
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1599
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10265



« ตอบ #7 เมื่อ: กันยายน 18, 2009, 02:49:59 PM »

เพิ่งจะรู้ว่าบ้านเกิดผมเคยเป็นมิถิลามหานคร ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งจะเคยได้ยินนี่แหละ

สงสัยจะว่างจัดนะคนคิดคนแต่งเรื่องเนี่ย  ปัญญาอ่อนไร้สาระจริงๆ
บันทึกการเข้า
กรุงเก่า : รักในหลวงครับ
ชาว อวป.
Jr. Member
****

คะแนน 35
ออฟไลน์

กระทู้: 68



« ตอบ #8 เมื่อ: กันยายน 18, 2009, 04:27:56 PM »

แกเป็นแบบนี้มาไม่ต่ำกว่า ๕ ปีแล้วครับ ยังไงๆแกก็จะหาทางให้คนเชื่อว่าสถานที่สำคัญต่างๆเกี่ยวกับพระพุทธเจ้านี่ อยู่ในเมืองไทยทั้งหมด ขนาดกระเบื้องจารที่นักประวัติศาสตร์กรมศิลปากรไม่ยอมรับ แกยังไปเอามาอ้างอิงได้ บางครั้งคนเราสัมผัสในนิมิตรนั้นผมเชื่อว่าท่านสัมผัสจริง เพียงแต่เรื่องที่สัมผัสนั้นมันไม่จริงอ่ะครับ พูดง่ายๆจะจริงจะเท็จขึ้นอยู่กับว่าพระให้ท่านรู้ หรือมารทำให้ท่านรู้ครับ บางคนโดนหลอกให้เสียเวลามาหลายปียังโงหัวไม่ขึ้นเลยครับ
บันทึกการเข้า
เมียหลวงสั่งถอย เมียน้อยสั่งลุย
Sr. Member
****

คะแนน 53
ออฟไลน์

กระทู้: 900


« ตอบ #9 เมื่อ: กันยายน 21, 2009, 08:44:49 AM »

ไม่ทำให้ศาสนาดีขึ้นแล้วยังจะมาทำลาย
บันทึกการเข้า
Zeus-รักในหลวง
อะฮู้.....ไฮยีน่าก็เป็นแมวนะคราบบบ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 817
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10979


I'm going to make him an offer that he can't refus


« ตอบ #10 เมื่อ: กันยายน 21, 2009, 09:08:22 AM »

ไม่ทำให้ศาสนาดีขึ้นแล้วยังจะมาทำลาย
นอกจากจะเป็นเรื่องพระพุทธศาสนาแล้ว.........คนพวกนี้พยามจะตะแบงหลักฐานทางประวัติศาสตร์........พยามยกอ้างพระไตรปิฎก แบบผิด ๆ เชื่อว่าเกิดจากการศึกษาหรือตั้งสมมุติฐานแบบไม่ฟังใคร ตะแบงเอาสีข้างเข้าถู คนพวกนี้ถ้ามากล่าวต่อหน้าผู้พอมีปัญญาก็ไม่ได้รับความเชื่อถือ แต่หากไม่เผยแพร่ความเชื่อนี้ในกลุ่มของผู้ไร้ปัญญา หรือมีปัญญาแต่ถูกฐิถิบด ยังก็จะคล้อยตาม และทำให้คำสอนเหล่านั้นกลายเป็น อวิชา คือการไม่รู้ ย่อมนำไปสู่ทุกข์
บันทึกการเข้า

“A fear of weapons is a sign of retarded sexual and
emotional maturity.”
- Sigmund Freud

“ความกลัวอาวุธคือสัญญาณของความถดถอยทางเพศและวุฒิภาวะทางอารมณ์”
- ซิกมุนด์ ฟรอยด์
โทน73 -รักในหลวง-
มือปืนกาวช้าง
Hero Member
*****

คะแนน 586
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8575


« ตอบ #11 เมื่อ: กันยายน 22, 2009, 12:48:26 PM »

เพี้ยน  ชื่อเมืองต่างๆในภูมิภาคนี้  ได้รับอิทธิพลมาจาก  ฮินดู  รามายณะ  และ พุทธตำนาน เป็นส่วนใหญ่   ว่าไปแล้ว
เราตั้งชื่อตามเขา  ไม่ใช่มาตู่ว่าเป็นของเราเอง  Tongue  แลบลิ้น
บันทึกการเข้า

....ตามล่า...อีตอแหล
Ruk™-รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 643
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4012



« ตอบ #12 เมื่อ: กันยายน 22, 2009, 01:16:40 PM »

   จินตนาการของคนเรา คิดเองเออเอง
บันทึกการเข้า

คุณอาจเผาและทำลายบ้านเมืองเราได้ แต่คุณไม่สามารถทำลายความรักชาติศาสนาและพระมหากษัตริย์ของเราไปได้
HS3JBX ทองพูน นุโยนรัมย์ : (คำขวัญประจำจังหวัด) ราชธานีเก่า อู่ข้าวอู่น้ำ เลิศล้ำกานต์กวี คนดีศรีอยุธยา
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.18 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.194 วินาที กับ 22 คำสั่ง