"ปองพล"เผยเขมรอาจยื่นเรื่องขอยูเอ็นช่วยดูแลพระวิหารนายปองพล อดิเรกสาร ประธานคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก กล่าวว่า จากกรณีที่เกิดปัญหาพิพาทบริวเณพื้นที่มรดกโลกปราสาทพระวิหารนั้น ที่ผ่านมาเคยมีแนวทางปฏิบัติอยู่บ้าง เช่น ในพื้นที่ประเทศคองโก หรือกรุงเยรูซาเล็ม ที่มีการยื่นเรื่องต่อองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เพื่อขอให้เป็นพื้นที่เสี่ยง เพื่อให้ยูเอ็นเข้ามาช่วยเหลืออย่างเป็นทางการ ส่วนกรณีปราสาทพระวิหารนั้น เป็นไปได้ว่ากัมพูชาอาจยื่นเรื่องเพื่อขอให้ยูเอ็นเข้ามาช่วยเหลืออย่างเป็นทางการ โดยการขอให้คณะกรรมการมรดกโลกพิจารณาให้เป็นพื้นที่เสี่ยง แต่ตนมองว่ากัมพูชายังคงต้องพิจารณาก่อนว่า ตนเองจะได้ประโยชน์แค่ไหนจากการยื่นเรื่องขอเป็นพื้นที่เสี่ยง
นายปองพล กล่าวว่า กัมพูชาพยายามใช้ปราสาทพระวิหารเป็นประเด็นทางการเมือง ทั้งนี้ ปราสาทมีอายุพันกว่าปี ทำให้มีสภาพทรุดโทรมมาก และมีโอกาสพังเสียหายได้ตลอดเวลา ในอนาคตอาจเกิดพังเสียหายขึ้นอาจกล่าวหาว่าไทยเป็นผู้ทำให้ตัวปราสาทเสียหาย เพื่อสร้างกระแสรักชาติ และผลทางการเมืองต่อด้วย
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1225075459&grpid=03&catid=01กต.บอกโลกเริ่มจับทางเขมรได้ ไทยพร้อมแจงทุกเวที นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวทีเอ็นเอ็นว่า กระทรวงการต่างประเทศประเมินท่าทีของกัมพูชาแล้ว เชื่อว่าชาวโลกเริ่มจับทางกัมพูชาได้แล้วว่า มักจะมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้น หลังจากทางกัมพูชาแสดงท่าทีที่ดีออกมา 1 วัน แล้วจะเป็นอย่างนี้ออกมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการอ้างว่าจับทหารไทยไว้ ทหารไทยเปิดฉากยิงก่อน หรือแม้กระทั่งเรื่องกับระเบิด แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ฝ่ายไทยมีหลักฐานพร้อมชี้แจงทุกอย่าง จะเป็นเวทีใดก็ได้
"ต้องเข้าใจก่อนว่า ยูเนสโกไม่ใช่องค์การทางการเมือง แต่จะไปถึงไหนก็ตาม ผมคิดว่าหลักฐานของเรามีความชัดเจน ถ้าย้อนไปดูวันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา เราพบของจริง เป็นทุ่นระเบิดซึ่งยืนยันว่าเป็นทุ่นระเบิดใหม่ จนทำให้ทหารพรานของเรา 2 นายขาขาด อันนี้ของจริง และมีหลักฐานด้วย ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ในระดับสากล" นายธฤต กล่าว
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวต่อว่า หากติดตามดูโดยตลอดจะเห็นว่า ล่าสุดสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ได้แสดงท่าทีระหว่างการประชุมอาเซมว่า ต้องการให้ทั้ง 2 ฝ่ายใช้ความอดทนที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดการปะทะกันอีก และให้ใช้แนวทางทวิภาคี หวังว่า 2 ประเทศจะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกันต่อไป ซึ่งจะเห็นว่า ทั้งหมดนี้เป็นแนวทางของประเทศไทย ที่ได้ยืนยันและเรียกร้องตลอด คือ การหารือแบบทวิภาคี
"เราไม่ต้องการทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ นี่เป็นแนวทางของประเทศไทยมาโดยตลอด และคำนึงถึงความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศเป็นหลัก และอยากให้ทางฝั่งนั้นคำนึงด้วย เราไม่อยากให้ประชากรของทั้ง 2 ประเทศได้รับความเดือดร้อนไปด้วย" นายธฤต กล่าว
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1225076024&grpid=03&catid=01ผมไม่เชื่อ ฝีมือ สองคนนี้ ครับ... ::006::
