๏ฟฝ๏ฟฝ็บบ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝสน๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝาปืน
เมษายน 19, 2024, 04:29:47 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.ยินดีต้อนรับสุภาพชนทุกท่าน กรุณาใช้คำสุภาพด้วยครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1] 2 3
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: กระสุนปืนไรเฟิล ( .375 H&H Mag )  (อ่าน 61943 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
FABBRI
มาเป็นเหยื่อเสียดีๆๆ
Moderator
Sr. Member
*****

คะแนน 249
ออฟไลน์

กระทู้: 885



« เมื่อ: กรกฎาคม 04, 2008, 07:18:31 PM »

ทีนี้เรามาดู กระสุน N. E.  ที่ถามมา ว่า มันไม่รูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไรกัน ภายในมีอะไรบ้าง

      ส่วนกระสุน รุ่นใหม่ ไปหา ดู กันเองนะครับ
    
       แล้วค่อยอ่าน ต้นกำเหนิด ตอนท้าย เอาเอง ครับ

8792-1

8792-2

8796

8800


8801


8806


8807


8810



ข้อความต่อไปนี้ เป็น ของ ท่าน วิจิต ครับ

    ดินปืนลูกซอง

           ดินปืนทุกชนิด  จัดเป็นพวกดินขับ  มิใช่เป็นวัตถุหรือดินระเบิด  ดินลูกซองในสมัยปัจจุบัน  ถึงแม้จะเป็นดินขับพลังสูงแบบเผาไหม้ส่งกำลังได้ทวีคูณ  ( Dense Progressive Burning Powders )  เช่นเดียวกับดินของกระสุนไรเฟิลก็ตาม  แต่ก็เป็นดินประเภทซึ่งมีกำลังน้อยกว่า   และเผาไหม้ได้รวดเร็วกว่าอัตราการเผาไหม้ของดินไรเฟิล  กำเนิดของดินไรเฟิล, ดินปืนสั้นและดินลูกซอง ก็มาจากรากฐานและส่วนผสมประเภทเดียวกัน แต่ดินทั้งสามอย่างนี้  ต่างก็ได้ถูกปรับปรุงให้มีอัตราการเผาไหม้และส่งกำลังได้มากน้อยแตกต่างกันไปตามแต่กรณี

           ดินไรเฟิล

           เป็นดินที่ปรับปรุงขึ้นเพื่อให้มีอัตราการเผาไหม้อย่างดี, อย่างหมดจดเกลี้ยงเกลาในรูลำกล้องเล็กและยาว  การเผาไหม้ที่เกิดขึ้นต้องแปรสภาพเป็นกำลังขับที่ทวีความแรงสูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นลำดับ  เพื่อให้สามารถรักษาอัตราความแรงแห่งกำลังขับดันให้เป็นระดับเดียวกันเสมอตลอดๆ ทุกระยะที่กระสุนอยู่ในลำกล้องปืนและจนกระทั่งกระสุนหลุดพ้นออกไป

           ดินปืนสั้น

           ได้ถูกปรับปรุงขึ้นเพื่อความมุ่งหมายให้เผาไหม้ในอัตรารวดเร็วกว่า  แต่ส่งพลังขับดันได้ต่ำกว่า  เพราะเนื่องจากมีลำกล้องสั้นกว่า,   บอบบางกว่า  และไม่ ปรารถนา ให้มีแรงสะท้อนถอยหลังสูง

           ดินลูกซอง

         เป็นดินซึ่งได้ถูกปรับปรุงขึ้นเพื่อใช้ได้ผลดีสำหรับปืนลูกซองเท่านั้น   อันเป็นอีกกรณีหนึ่งซึ่งแตกต่างกับดินไรเฟิลและดินปืนสั้น  การแปรสภาพเป็นกำลังขับของดินลุกซองมีกำลังทวีแรงมากและสูงขึ้นเป็นลำดับ  เข่นเดียวกับดินไรเฟิล  แต่การแปรสภาพเป็นกำลังขับดันจำจะต้องให้อ่อนกำลังลง  ก่อนที่หมอนและกระสุนจะหลุดพ้นจากปากลำกล้อง   เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงมิให้กำลังขับดัน   กลายเป็นกำลังซึ่งทำให้เม็ดลูกปลายกระจัดกระจายแตกออกจากการรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนเสียแต่ในระยะใกล้ๆ  เพื่อรักษาไว้ซึ่งความแน่นสม่ำเสมอของม่านกระสุนและก็เพื่อหลีกเลี่ยงป้องกันมิให้ปืนมีเสียงดังรุนแรงมากเกินไป  เพราะในด้านการกีฬานั้น  การยิงลูกซองแต่ละคราวเป็นจำนวนมากนัดกว่าการยิงปืนไรเฟิล  หลักการทำให้กระสุนลูกซองส่งเสียงไม่ดังมากเกินไปนัก  ช่วยให้ผู้ให้สามารถยิงลูกซองติดๆ กันหลายๆนัดได้โดยไม่รู้สึกเวียนศีรษะ   อันมีสมุฎฐานเนื่องมาจากเสียงดังของปืน.

           ดินของกระสุนไรเฟิล  แต่ละแบบ  แต่ละขนาด  ต่างก็มีหลักการปรุงแต่งให้เหมาะสมเพื่อการใช้ในการขับหัวกระสุนแต่ละขนาดแต่ละน้ำหนักเป็นพิเศษโดยเฉพาะ  และเล่ห์เหลี่ยมหรือศิลปะในการปรุงดินปืนเหล่านี้ได้พยายามปกปิดกันเป็นความลับอย่างสูง  ดินบางแบบสร้างขึ้นเพื่อให้เหมาะแก่การขับหัวกระสุนขนาดเบาให้มีอัตราความเร็วพอประมาณ    ดินบางแบบสร้างขึ้นเพื่อให้ขับหัวกระสุนขนาดเบาให้มีอัตราการวิ่งแหวกสูง  และบางแบบก็ปรับปรุงขึ้นในอัตรากำลังต่ำ   เพื่อใช้บรรจุแทนดินดำในกระสุนรุ่นเก่า ๆ

           นอกจากดังกล่าว  ยังมีดินพิเศษอีกประเภทหนึ่งซึ่งสร้างขึ้นเป็นกระสุนสัญญาณเพื่อให้ส่งเสียงได้ดัง ๆ

   สำหรับใช้เป็นกระสุนสัญญาณในการกีฬาหรือในราชพิธีการต่างๆ  ดินพวกนี้มีอัตราการเผาไหม้ไวและรุนแรง เกือบจะเท่าดินระเบิด  ซึ่งสามารถส่งเสียงได้โดยมิต้องใช้หัวกระสุนอุดอัดแก็สไว้   ดินประเภทนี้ห้ามใช้เป็นดินขับหัวกระสุนโดยเด็ดขาด  เพราะ อาจทำให้ลำกล้องปืนระเบิดแตกทันทีได้

           ดินซึ่งใช้เป็นดินขับกระสุนลูกซองกันเป็นเช่นเดียวกันจำต้องปรับปรุงให้เหมาะสมจนกระทั่งสามารถสร้างอัตราความไวให้แก่ลูกปรายแต่ละน้ำหนัก  แต่ละขนาด  ให้ได้มาตรฐานในการวิ่งแหวกเสมอกัน   ถ้าส่งกำลังแรงเกินไปก็จะทำให้ปืนมีแรงสะท้อนถอยหลังมาก  และทำให้กลุ่มลูกปรายแตกกระเจิงกระจายส่งม่านกระสุนไม่สวยงาม  และถ้าส่งกำลังอ่อนเกินไปก็จะทำให้อานุภาพเจาะผ่านและอานุภาพประหัตประหารมีน้อย  ดินลูกซองแบบหนึ่งมีปริมาณอย่างหนึ่ง  ขับลูกปรายหมายเลขใด  ขนาดใดขนาดหนึ่งได้ผลดี  จะนำดินแบบนี้และปริมาณเดียวกันนี้ไปขับลูกปรายหมายเลขอื่นซึ่งมีขนาดและน้ำหนักแตกต่างไปให้ได้ผลดีเช่นเดียวกันไม่ได้  ดินลูกซองจะมีพฤติขีปนะเป็นอย่างเดียวเช่นเดียวกับดินไรเฟิลไม่ได้  เพราะลำกล้องไรเฟิลหนาแข็งแรงกว่า  และเพราะหัวกระสุนของไรเฟิลเป็นก้อนโลหะอันเดียว  แน่นและแข็งแรง   สามารถปิดรูลำกล้องได้แน่นสนิท  สร้างความฝืดให้เป็นอุปสรรคในการต่อต้านกำลังของแก็สได้มากกว่าหมอนและกลุ่มลูกปลายของกลุ่มลูกซอง  หมอนและกลุ่มเม็ดลูกปรายทั้งหลายต่างก็เป็นชิ้นส่วนย่อยๆ อันมิได้เชื่อมต่อติดกัน  รวมกันอยู่ได้ในสถานะอันไม่มั่นคง  ขวางทางเดินของแก็สเพื่อให้แก็สขับออกไปได้เท่านั้นถ้ากำลังของแก็สสูงเกินไป   สายแก็สก็อาจพุ่งทะลุหมอนเข้าไปตีกลุ่มลูกปรายข้างหน้าหมอนจนแตกกระจายออกจากกันในขณะที่ยังอยู่ในลำกล้อง

           โดยทั่วไปได้จัดว่า  ดินลูกซองเป็นดินประเภทพลังขับต่ำจำพวกดิน  “ตวง”   ซึ่งต้องใช้ประมาณของดินเป็นจำนวนมากจึงจะได้กำลังขับสูง   เป็นมาตรฐานในการผลิต   นั่นได้แก่ทำการอัดกระสุนโดยการตักตวงเป็นมาตรฐาน มิใช่การชั่งน้ำหนักของดินเพื่อให้ได้ปริมาณแน่นอน

           ดินของกระสุนไรเฟิลและดินปืนสั้น  เป็นดินแบบใข้การชั่งน้ำหนักเป็นสำคัญเพื่อการบรรจุ ดินไรเฟิลเป็นดินที่ใช้ปริมาณน้อยเพื่อการแปรสภาพเป็นกำลังขับดันได้อย่างแรง  ดังนั้นจึงจัดเป็นจำพวกดิน  “ชั่ง”

           การรักษาวิถีของกระสุนปืนไรเฟิลแต่ละนัดให้เหมือนกันเป็นแบบเดียวกัน   จึงต้องใช้ความประณีตเป็นอย่างมากในการบรรจุดิน  ถ้ามีการแตกต่างในน้ำหนักของดินเพียงนิดเดียว  ผลแตกต่างทางกำลังขับจะมีมากและวิถีกระสุนก็ย่อมแตกต่างกันมากเป็นเหตุให้การใช้ปืนได้ผลไม่แน่นอน  คุณประโยชน์อันดีของดินไรเฟิล  เมื่อเทียบกับดินลูกซองก็ได้แก่ดินไรเฟิลต้องการที่อยู่น้อย   ทำการขนย้ายแต่ละครั้งได้กระสุนเป็นจำนวนมากๆ นัดในขนาดน้ำหนักบรรทุกเท่าๆกัน

           แต่ในด้านกระสุนลูกซอง  การใช้  “ดินชั่ง”  บรรจุเพื่อปราถนาจะให้เปลืองเนื้อที่ในการขนย้ายน้อยดังกระสุนไรเฟิลก็มิได้เกิดประโยชน์มากเท่าไรนัก  เพราะหมอนและมวลลูกปรายของกระสุนลูกซอง   อันเป็นสิ่งสำคัญส่วนใหญ่และซึ่งจะลดขนาดให้เล็กลงไม่ได้  เป็นสิ่งซึ่งสิ้นเปลืองเนื้อที่มากที่สุด  ตามความจริงนั้นดินลูกซองก็ไม่ต้องการเนื้อที่มากเท่าไรเลย

           การใช้   “ดินตวง”  กลับเป็นประโยชน์ต่อการบรรจุกระสุนลูกซองเสียอีกด้วยซ้ำ  เพราะช่วยให้การบรรจุกระสุนโดยเครื่องจักรเป็นไปได้อย่างสะดวกสบาย  ถ้วยตวงสำหรับตักดินของเครื่องจักร,  สามารถปรับให้ได้อัตราส่วนในการตวงดินได้เต็มถ้วยตวง  เพื่อการบรรจุดินลงในกระสุนแต่ละนัด

           ถ้าเป็นดินแบบชั่งน้ำหนักแล้วก็ต้องใช้ถ้วยตวงขนาดเล็กซึ่งตามธรรมดาในการตักตวงทั่วไป  ย่อมจะมีการผลิตพลาดคลาดเคลื่อนได้บ้างเล็กน้อยเป็นประจำ  การผิดพลาดเล็กน้อยที่เกิดขึ้นดังกล่าวในด้านดิน  “ชั่ง”
นั้น  ยังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวิถีและทางด้านพฤติขีปนะของกระสุนไปอย่างมาก

           การผิดพลาดอันเล็กน้อยสำหรับดินลูกซองซึ่งเป็นดินตวงไม่มีผลกระทบกระเทือนแก่การยิงเท่าไร  ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วก็ไม่ต้องคำนึงถึงกันเลยให้เสียเวลา

           ในด้านการใช้งานทางปฏิบัติ  ขนาดของกระสุนลูกซองเท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันก็นับว่าสะดวดสบายดีแล้ว  ปืนลูกซองซึ่งสร้างขึ้นใช้กันเรื่อยๆมาก็จัดได้ว่าเป็นแบบมาตราฐานดีอยู่แล้วถ้าคิดจะเปลี่ยนขนาดของกระสุนให้เล็กลงแล้ว ก็จะก่อให้เกิดความยุ่งยากนานาประการ

           การวิวัฒนาการของดินลูกซองตั้งแต่เริ่มแรกจวบจนปัจจุบันก็เป็นเช่นเดียวกันกับดินประเภทอื่นๆเดิมใช้ดินดำ  ( Black   Powder )  เป็นดินขัน  ต่อมาก็ใช้ดินควันน้อยพลังต่ำ  ( Bulk  Smokeless  Powder ) ทำหน้าที่แทน และแล้วก็ดัดแปลงให้เป็นดินควันน้อยพลังสูง  (  Dense  Smokeless  Powder  )  และในขั้นสุดท้าย,  ในระหว่างปัจจุบันกำลังนิยมใช้ดินควันน้อยพลังสูงแบบเผาไหม้ได้กำลังทวีคูณ  (  Dense  Progressive  Burning  Powder )  กันอย่างแพร่หลาย

          ดินดำ

          ในสมัยก่อน, ดินประเภทนี้เป็นดินประเภทเดียวซึ่งความสามารถของมนุษย์จะบันดาลให้มีได้   เพื่อใช้เป็นดินขับกระสุนของปืนทุกๆชนิดโดยทั่วไป,   ส่วนประกอบของดินซึ่งได้คิดปรับปรุงกันมีหลายอย่างต่างๆนานา แต่ในขั้นสุดท้ายก็สรุปกันว่าใช้ดินประสิว ( Saltpeter )  75 ส่วน, กำมะถัน ( Sulphur )  10 ส่วนและถ่าน 15 ส่วน  เป็นหลักสูตรในการผสมที่ดีที่สุด.

            สารผสมซึ่งเกิดขึ้นระหว่างกำมะถันและถ่านเมื่อถูกจุดด้วยไฟ  จะเกิดการเผาไหม้ได้ดีถ้ามีอากาศเพียงพอแก่การเผาไหม้แต่ถ้าบรรจุอยู่ในที่อับอากาศ  ดังเข่นในลำกล้องปืน  ก็จะไม่มีการลุกไหม้จนระเบิดเป็นกำลังขับ เพราะไม่มี   “อ๊อคซิเจน”  เป็นตัวช่วยในการเผาไหม้และในการสร้างแก็ส  แต่ดินประสิวเป็นสารซึ่งมี  “อ๊อคซิเจน”  เป็นจำนวนมากในตัวของมันเอง  และก็จะคลาย  “อ๊อคซิเจน”  ออกเมื่อได้รับความร้อน  และก็จะคลาย “ ออ๊คซิเจน”  ออกได้อย่างรวดเร็วเมื่อความร้อนได้เพิ่มทวีขึ้นนี่จะเห็นได้ว่าหลักการของดินดำอาศัย  “อ๊อคซิเจน”  จากดินประสิวซึ่งเป็นส่วนผสมของดินดำเองเป็นสำคัญเพื่อการแปรสภาพเป็นแก็สส่งกำลังขับ  “อ๊อคซิเจน”  เป็นแก็สประเภทหนึ่ง  ซึ่งย่อมทรงไว้ซึ่งคุณสมบัติของแก็ส  นั่นคือทำการขยายตัวและหาทางออกอยู่เสมอ  และก็จะขยายตัวโดยรวดเร็วและในอัตราความไวมากขึ้นเมื่อได้รับความร้อนเพิ่มทวีขึ้น


ไนโตร-กลีเซอรีน

           สารระเบิดซึ่งมีชื่อว่า  “ไนโตร-กลีเซอรีน”  ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปได้ถูกค้นพบขึ้นในราวปี ค.ศ. 1846  สารนี้ได้ถือกำเนิดจากการเปลี่ยนแปลงทางเคมีระหว่างส่วนผสมของ  กลีเซอรีน  (Glycerine)  และกรดดินประสิว  (Nitric  Acid) ในทางปฏิบัติได้พบว่า ถ้าใช้กรดดินประสิวผสมแต่อย่างเดียว  ผลที่ได้จะเป็นวัตถุระเบิดอย่างอ่อน  เพราะมีน้ำซึ่งเกิดจากการเปลื่ยนแปลงทางเคมีรวมอยู่ในวัตถุที่ได้นี้ด้วย   ต้องใช้กรดกำมะถัน(Sulphuric  Acids)  เข้าช่วยในการเปลี่ยนแปลง  จึงจะได้วัตถุระเบิดที่มีกำลังแรงดี  เพราะกรดกำมะถันเป็นตัวทำลายน้ำที่เกิดขึ้นในระหว่างการเปลี่ยนแปลงให้บรรเทาปริมาณลง

           ไนโตร-กลีเซอรีน  เป็นน้ำมันปราศจากสี,  ไวต่อการกระทบกระเทือน ได้พยายามที่จะนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในด้านเป็นวัตถุระเบิดกันมาก  แต่ไม่สำเร็จผล,

  จนกระทั่งในปี 1862 โนเบิลจึงเริ่มทำการผลิตขึ้นในประเทศสวีเดน  ออกจำหน่ายทั่วไปเป็นครั้งแรก   แต่ปรากฏว่าผู้นำไปใช้มักได้รับอันตรายอย่างร้ายแรงกันทั่วไป  จึงจัดว่าเป็นวัตถุผิดกฎหมายของทุกประเทศต่อมาโนเบิลได้ค้นพบวิธีบรรเทาความร้ายแรงของสารนี้ลงได้อีกโดยใช้ดินผง ( A powdery  earth ) ผสมลงไป. ดินผงนี้ก็เป็นดินบนพื้นดินธรรมดานี้เอง   ผงดินสามารถดูดน้ำมันนี้ไว้ได้เป็นจำนวนมากโดยไม่ปรากฏการเปียกชื้น.  ดินที่ได้นี้เป็นวัตถุระเบิดซึ่งมีชื่อเรียกกันทั่วไปว่า  “ไดนาไมท์”  (Dynamite) 
บางคราวก็ใช้ปุยฝ้ายดูดน้ำมันนี้ไว้   ซึ่งปุยฝ้ายที่ใช้ดูดน้ำมันนี้ก็นิยมเรียกกันว่า “Gun  Cotton”

           ในระหว่างวัตถุระเบิดทั้งหลายที่มีไนโตร-กลีเซอรีนผสมนั้นมี  Tri-Nitro-Toluene   ซึ่งมีขื่อย่อว่า  T.N.T.  นับว่ามีรสนิยมแพร่หลายมาก

           ในปี ค.ศ. 1875  โนเบิลได้ค้นพบหลักการใหม่ซึ่งเป็นการเริ่มต้นอันใหญ่หลวงในด้านการผลิตวัตถุระเบิดทั่วไป  การค้นพบนี้เป็นการพบอย่างบังเอิญเกิดขึ้นโดยแท้.  คือมือของเขาเกิดเป็นบาดแผลขึ้น  เขาใช้ “โคลโลเดียน”  ( Collodion  Solution )  ทาลงบนแผลนั้นเพื่อเป็นการรักษาและป้องกันเชื้อโรค.  และในวันเดียวกันหลังจากนั้นเขาได้ไปทำการค้นคว้าพิจารณาหาวิธีทำไนโตร-กลีเซอรีนให้เกิดประโยชน์แพร่หลายในทางปลอดภัยให้มากขึ้นต่อไป.  ในระหว่างที่ทำการค้นคว้านั้น  เขาได้สังเกตเห็นว่า “โคลโลเดียน”  ( Collodion )  ซึ่งทาทับแผลบนมือไว้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็น  “วู้น”  อย่างหนึ่งขึ้นเมื่อได้สัมผัสกับไนโตร-กลีเซอรีน.  การค้นพบนี้เป็นเหตุทำให้เกิดการผลิต  “วุ้นระเบิด”  ซึ่งเป็นวัตถุระเบิดประเภทหนึ่งขึ้น.  โดยการใข้ Collldion ใส่ลงไปในปุยฝ้าย  (Cotton)  แล้วไปผสมกับไนโตร-กลีเซอรีนใช้ไนโตร-กลีเซอรีน  92% และ Collodion Cotton 8%  สิ่งที่ได้กลายเป็นดินขับจำพวด “วุ้นเผ่น”  (Blasting  Gelatine)  ประเภทหนึ่ง.  แต่ถึงอย่างไรก็ยังใช้ทำเป็นดินปืนไม่ได้  เพราะมีอำนาจระเบิดรุนแรงเกินไป  จวบจนปี ค.ศ. 1887   โนเบิลจึงพบวิธีควบคุมดินขับนี้จนสามารถบรรเทาอำนาจระเบิดอย่างรุนแรงให้ลดลง  และนำมาปรับปรุงเป็นดินขับหรือดินปืนได้.


ดินขับ  บอลลีสไทท์ ( Ballistite )
 
           นับได้ว่าเป็นดินเคมีสมัยใหม่ ซึ่งเป็นดินขับกระสุนได้, ตำรับแรก, โนเบิลใช้ Nitro-Glycerine  กับ  Collodion Cotton  กวนเข้าด้วยกันโดยอาศัยน้ำและกำลังขับของอากาศเข้าข่วยในการกวนผสม  แล้วนำสารเหลวที่ได้ไปรีดเป็นแผ่นและใช้ความร้อนไล่น้ำไห้กลายเป็นไอระเหยออกจนแห้งแล้วตัดเป็นแผ่นเล็กๆในลักษณะต่างๆ ออกจำหน่ายเป็นดินปืน.  การควบคุมในการเผาไหม้อาศัยการประดิษฐ  ขนาดเล็ก-ใหญ่-หนา-บาง  ของเกล็ดดินเป็นสำคัญ  ดินบอลลิสไทท์ได้ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นมาเรื่อยๆจนถึงในราวปี ค.ศ. 1920-1939   จนนับได้ว่าเป็นดินขับเข้าชั้นมาตรฐาน


ดินขับ  คอร์ไดท์ ( Cordite )

           เป็นดินขับกระสุนไรเฟิลของอังกฤษ  ประกอบด้วย  Nitro-Glycerine, Gun Cotton  และ  Mineral  Jelly  ความมุ่งหมายในการใช้  Mineral  Jelly  ก็เพื่อให้เป็นตัวช่วยบรรเทาความร้อนของแก็สที่เกิดขึ้นให้เบาลง  และก็เพื่อบรรเทาการเป็นสนิมในลำกล้องให้น้อยลง

           การค้นพบหลักสูตรสร้างดินคอร์ไดท์ก็เป็นการบังเอิญอีกเช่นกัน  ในขณะที่นักค้นคว้าหลักการผสมดินผู้หนึ่งได้กำลังทดลองค้นหาวิธีสร้างดินบอลลิสไทท์อยู่ในโรงงานช่างแสงของอังกฤษที่  Waltham  Abbey  นั้นบังเอิญหา  Collodion Cotton  มาทำการผสมไม่ได้จึงใช้  Gun Cotton ผสมกับ  Nitro-Glycerine  แทนลงไปผลที่ได้กลับกลายเป็นดินขับอีกประเภทหนึ่ง  ซึ่งมีส่วนผสมดังนี้ ;-

                             Nitro-Glycerine            30%     
                             Gun   Cotton               65% 
             Mineral  Jelly                   5%

           ดินซึ่งได้ตามหลักสูตรดังกล่าวมีชื่อทราบกันทั่วไปว่าดิน  Cordite  M.D.  (M D.=Modified)  ซึ่งแตกต่างกับดิน  Cordite  Mark  I  ตรงที่ดิน  Cordite  Mark  I  มีส่วนผสมของ  Nitro-Glycerine  สูงถึง  58%

ไนโตร-เซลลูโลส  ( Nitro-Cellulose )

           เป็นวัตถุระเบิดอีกประเภทหนึ่ง   ซึ่งเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางเคยมีระหว่างปุยฝ้ายธรรมดาหรือ   “Cellulose” กับกรดดินประสิว  ซึ่งในทางปฏิบัติในทางประกอบนั้นก็จำต้องอาศัยกรดกำมะถันเข้าช่วยให้เป็นตัวทำลายน้ำออกเช่นกัน

           นี่จะเห็นได้ชัดถึงการแตกต่างระหว่างไนโตร-กลีเซอรีนและไนโตร-เซลลูโลสได้แล้วอย่างชัดเจน  ไนโตร-กลีเซอรีนใช้กลีเซอรีน  ส่วนไนโตร-เซลลูโลสใช้ปุยฝ้าย  ไนโตร-กลีเซอรีนมีสภาพเป็นน้ำมัน  ส่วนไนโตร-เซลลูโลสเป็นสารแข็งเป็นเส้นเหมือนเส้นปุยฝ้าย  และบางครั้งก็นิยมเรียกว่า  “Gun  Cotton” เช่นกัน

           ดินไนโตร-เซลลูโลส  ถูกนำขึ้นมาปรากฏสู่สายตาโลกโดย Schultze  ในปี ค.ศ. 1865  ดินนี้ประกอบด้วยส่วนประกอบทางเคมีระหว่างเกล็ดเล็กๆของไม้และกรดดินประสิวแล้วนำไปผสมให้ฟักตัวใหม่กับ  Barium  Nitrate  ไม้นับว่าเป็นสารประเภทเซลลูโลสอย่างหนึ่งด้วยเข่นกัน  เมื่อไม้กับกรดดินประสิวผสมกันเข้าก็เปลี่ยนแปลงทางเคมีเป็น  “ไนโตร-เซลลูโลส”  ดังนั้นดินซึ่ง  Schultze  ได้ประดิษฐ์ขึ้นจึงเป็นดินซึ่งประกอบด้วยไนโตร-เซลลูโลสและ  Barium  Nitrate

           ในปี ค.ศ.  1870   Volkmann  ได้พบวิธีทำ  “ไนโตร-เซลลูโลส”  ซึ่งเป็นสารแข็งให้เป็นสารอ่อนนิ่มคล้าย “วุ้น”  ได้โดยนำไนโตร-เซลลูโลสไปผสมกับตัวยาอีกอย่างหนี่งแล้วปล่อยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีขึ้นใหม่  ตัวยานี้ได้แก่ส่วนผสมของแอลกอฮอล์และอีเทอร์  การพบนี้นับได้ว่าเป็นบ่อเกิดในการผลิตดินไนโตร-เซลลูโลสซึ่งมีเนื้อนิ่มคล้ายวุ้น  ซึ่งนับว่าเป็นดินสมัยใหม่จวบมาจนถึงปัจจุบัน

ดินสองสมุฎฐาน  ( Double  Base  Pawders )

           ดินบางชนิดเป็นสารประกอบ  ซึ่งเกิดขึ้นโดยการรวมไนโตร-กลีเซอรีนและไนโตร-เซลลูโลสเข้าด้วยกัน,ดินประเภทนี้จึงจัดเป็นดินประเภท  “สองสมุฎฐาน”  หรืออาจจะเรียกตามภาษาสามัญทั่วไปเพื่อเข้าใจง่ายๆว่า  ดินผสม  หรือ  ดิน  “ลูกผสม”  ดังเช่นนำไนโตร-เซลลูโลสซึ่งเกิดจากปุยฝ้ายกับกรดดินประสิวไปร่วมกับไนโตร-กลีเซอรีนแล้วปล่อยให้เปลี่ยนแปลงทางเคมีอีกครั้งหนึ่ง  แล้วก็นำสารที่เกิดขึ้น  (Colloid)  ไปทำเป็นเม็ดเป็นเกล็ดเป็นหลอดและเป็นลักษณะอื่นๆ  ดินประเภทนี้บางตำราก็เรียกว่า  ดินไนโตร-กลีเซอรีนเช่นกัน

ดินสมุฏฐานเดียว  ( Single Brse  Powder )

           หรือซึ่งข้าพเจ้าตั้งชื่อให้เรียกง่ายๆว่า  “ดินโทน”  นั้นโดยทั่วไปมักเป็นการนำไนโตร-เซลลูโลสไปผสมกับแอลกอฮอล์และอีเทอร์แทนที่จะไปผสมกับไนโตร-กลีเซอรีน  ดังเช่นดินของ  Volkmann  ดังได้กล่าวมานั้นเป็นต้น

           ดินเคมีสมัยใหม่หรือดินควันน้อยมีอุปนิสัยอันแตกต่างกับดินดำเห็นได้ขัดคือ  เมื่อนำดินดำและดินควันน้อยในปริมาณเท่าๆกันมากองไว้ในที่กลางแจ้งแล้วเอาไฟจุด ก็จะพบว่าดินดำลุกพรึบโดยไวและส่งควันให้คล้องออกมากมาย แต่ดินควันน้อยนั้นลุกไหม้เรื่อยๆไปในอัตราไวซึ่งต่ำกว่าการเผาไหม้ของดินดำและจะปรากฏมีควันออกมาบ้างเล็กน้อย  นี่แสดงให้เห็นว่าในที่กลางแจ้งซึ่งอากาศถ่ายเทไปมาได้โดยสะดวกนั้นดินควันน้อยไม่มีพิษสงน่ากลัวแต่อย่างไร  แต่ถ้านำดินนี้ไปอัดในที่จำกัดเช่นในลำกล้องปืน  ดินนี้จะกลับกลายเป็นดินซึ่งลุกไหม้และแปรสภาพเป็นแก็สได้โดยว่องไว  ส่งกำลังได้สูงกว่าดินดำหลายเท่า

           ดังได้กล่าวมาก็จะทำให้เกิดการเข้าใจได้แจ่มแจ้งแล้วว่าดินดำนั้นถือกำเนิดมาจากสมุฏฐานอันต่ำ  เพียงแต่ใช้ความร้อนและการเผาไหม้ขับไล่  เร่งและอุ่นแก็ส  “อ๊อคซิเจน”  จากดินประสิวให้ขยายตัวเป็นกำลังขับดันกระสุนเพียงแต่เท่านั้นส่วนดินควันน้อยมีสมุฏฐานอันสูงซึ่งถือกำเนิดจากวัตถุระเบิดโดยตรงเลยทีเดียว  ดังนั้นขอบข่ายในการค้นหาศิลปมาทำการปรับปรุงดินเพื่อมาใช้ให้เหมาะสมกับกรณีแวดล้อม และเหตุการณ์ในด้านดินดำจึงมีขอบเขตอันจำกัด  ไม่กว้างขวางเหมือนในด้านดินควันน้อย  ศิลปในการค้นคิดและปรับปรุงดินควันน้อยเพื่อให้ได้ผลประโยชน์อันแท้จริงอย่างหมดจดเพื่อการใช้ในต่างกรณีตั้งแต่เริ่มแรกจวบจนถึงปัจจุบัน  มีอาณาเขตอย่างกว้างขวางและยังไม่มีการจบสิ้น  ซึ่งศิลปทั้งหลายเหล่านี้ได้ถูกปกปิดเป็นความลับอย่างยิ่ง

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 08, 2008, 08:16:21 AM โดย FABBRI » บันทึกการเข้า

หลงรัก  สินค้าต่างๆที่กระผมเสียเงินเสียเวลาเสียพลังงานนำเข้ามานั้นเพื่อเป็นพยานหลักฐานอันเป็นที่แน่ชัดในการคุยโม้คุยโตประกอบการคุยฟุ้งทั่วเวป มิได้แอบแฝงขายสินค้าแต่อย่างไร และไม่รับสั่งหรือช่วยนำเข้าแต่อย่างใด โปรดเข้าใจ  งอน
FABBRI
มาเป็นเหยื่อเสียดีๆๆ
Moderator
Sr. Member
*****

คะแนน 249
ออฟไลน์

กระทู้: 885



« ตอบ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 04, 2008, 07:26:29 PM »

จากภาพที่ 8800 ไม่ทราบว่ากระสุน .476 NE ผ่านการเก็บไว้กี่ปีจึงเกิดสนิมครับ...

แล้วยาทาเล็บที่ทาไว้ช่วยป้องกันบริเวณจอกแก็ปไว้ได้ใช่ไหมครับ...

อีกนิดครับ แล้วกระสุนที่พี่เอาออกจากกล่องตะกั่วบัดกรีสูญญากาศนั่นสมควรเก็บรักษาอย่างไรครับ...Cheesy


จากภาพ 8800  กระสุน ทีเป็น สนิม  ไม่สามารถกำหนดอายุได้ว่านานเท่าไรจึงเกิดสนิม เพราะ อยู่ที่ปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความชื้น มลพิษ ของ สถานที่เก็บ เป็น ต้น  แต่กระสุนในภาพ มีอายุ ประมาณ 50 ปี ครับ

ส่วนยาทาเล็บ ก็มักจะพบเห็น กระสุนที่คนสมัยก่อน  ทาทิ้งไว้  ทั้งที่ แก็ป และ  ปลายปลอกกระสุน เพื่อกันความชื้น  เพราะบางครั้งการเดินป่านานๆ  ก็ต้อง พบ กับ  สายฝน ที่ตกหนัก หรือ น้ำป่า เก็นของไม่ทัน ยาทาเล็บ ช่วยได้
  มันคงจะได้ผล ไม่เช่นนั้น พวกท่านเหล่านั้นคงไม่ทำกัน

  เมื่อยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้ ก็ไม่ควรเปิดออกจาก กล่องครับ เมื่อเปิดแล้วก็ต้องใช้  ไม่เช่นนั้นจะเป็นดังภาพ 8800

ที่เขาต้องใส่กล่อง ส่งมายังเมืองไทยหรือ อัฟริกา อินเดีย  เพราะการเดินทาง ต้องส่งทางเรือเดินทะเล มีแต่ลังไม้ วางใต้ท้องเรือ และไม่มีตู้ คอนเทนเนอร์ การเดินทางใช้เวลาหลายเดือน  และ  ถ้า ไป Safari ที่ต้องใช้เวลา เป็นเดือน ในการท่องเที่ยว ล่าสัตว์  จึงจำเป็นต้องรักษากระสุนให้มีคุณภาพ ดีที่สุด เพราะถ้ากระสุน มีปัญหาแล้วอาจเกิด อันตรายแก่ชีวิต ได้

 อีกอย่าง กระสุนเหล่านี้ มักใช้กับปืนไรเฟิลแฝด ที่ถูก ทำขึ้นมา จึงจำเป็นที่ จะต้อง รักษา สภาพ ของกระสุนให้คงที่เท่าที่จะทำได้ แม้น มีการเปลี่ยนแปลง อันเกิดจากความชื้นมาก หรือ  แห้ง มากเกินไป แล้ว จะทำให้  กระสุนที่ยิงออกมา จากลำกล้อง ทั้งสอง  นั้นจะไม่ได้ กลุ่มกระสุน ที่ดี เท่าทีควร  การล่าก็ไร้ประโยชน์   

ผมเห็นสนิมลักษณะนี้เกิดกับกระสุน LAWMAN แต่ไม่เค่อยเห็นกับยี่ห้ออื่น

ไม่ทราบว่าเกิดจาก%เนื้อทองเหลืองที่ทำปลอกหรือเปล่าครับพี่ FABBRI


ผมไม่ เคยใช้ กระสุนยี่ห้อ Lawman      นี้ ครับ
แต่ ที่พบ สนิมเขียวบนปลอกกระสุน มักพบในปลอกกระสุนที่เป็นทองเหลือง มักไม่พบเห็นในกระสุนที่ชุบโคเมียม  หรือ อาจเป็นว่า กระสุนที่ชุบโคเมียม ยังใหม่อยู่ และ กระสุนทองเหลืองนั้น นั้นเท่าที่สังเกต จะพบว่า สนิมมักจะเกิด บริเวณ ด้านที่ ทับบนกล่องกระดาษ  ด้านตรงข้ามมักไม่พบเห็น การเป็นสนิม  ไม่ว่าจะเป็นด้านข้างหรือ จานท้าย  เข้าใจว่า กล่องกระดาษดูด ความชื้นไว้ แล้วทำปฏิกิริยา กับ ทองเหลือง ทำให้เกิดสนิม ครับ
และที่พบอีกอย่างก็คือ ปลอกร้าว แต่บางนัดก็ยิงได้ดีครับ( สำหรับดิน  Cordite ก็ไอ้ดินเส้นบะหมีนะ)

8827


197


รูปที่ลงนี้เป็นแบบ ของกระสุนต่างๆที่มีการผลิตออกมา มีที่น่าสนใจอยู่ 2 แบบ ที่ท่านคงจะไม่มีโอกาสพบเห็นก็เลยนำมาให้ดูกัน

1 Rebated  คือกระสุนที่ มีจานท้ายกระสุน เล็กกว่า ตัวปลอก เข้าใจว่าคนออกแบบ คงจะ ประหยัดในการสร้างชุดกลไก เพียงแต่ ทำรังเพลิงและลำกล้องเท่านั้น ส่วนชุดกลไก ก็ใช้แบบ ปืน เมาเซอร์ 98 ขนาด 8 มม  ไม่ต้องเสียเวลาดัดแปลงหน้าลูกเลื่อน

8818


8824


2 Berdan Type Primer   คือ บริเวณปลอกกระสุนจะมี 2 รู  และ ข้าง 2รูนั้นจะมีเดือย ยื่นออกมา เมื่อนำจอกบรรจุแก็ป ครอบลงไป เมื่อเรายิงปืน เข็มแทงชนวนจะตีจอกให้แก็ปไปกระทบกับเดือยนี้ก็จะเกิดประกายไฟไปยังดินปืน ลองนึกถึงสมัยเด็ก ก็เหมือน ปืนแก็ป เด็กเล่นที่ แก็ปเป็นวงพลาสติก

8830


8833


8834


แต่ ถ้าเป็นกระสุนสมัยใหม่ แล้วมักจะใช้ แก็ป แบบ Boxer คือปลอกกระสุนที่มีรูเดียวโตๆ  แล้ว จอกแก็ป ก็จะมีแก็ป และ  เดือยรับแรงกระทบในจอก  ถ้านึกไม่ออกก็ลองเอา ปลอกกระสุนที่ยิงแล้ว มาตอกเอาแก็ปออกมาดู  คงไม่ต้องลงภาพให้ดู เพราะ ท่านที่เข้ามาอ่านคงมีปืนและกระสุนแล้ว
   

 

   




  ทั้ง 3 ภาพ  เป็นรูปตัด  ของ ปลอกกระสุน และ แก็ป แบบ  Berdan Type Primer   ครับ


  คู่มืออาวุธปืนทุกชนิด และ ศิลปการล่าสัตว์
 
      เมื่อท่านได้อ่าน เรื่องที่ข้าพเจ้า ได้เล่ามาแล้ว และ  ที่จะเล่าต่อไป นั้น  ข้าพเจ้ามักจะอ้างบทความ จากหนังสือ  คู่มืออาวุธปืนทุกชนิดและศิลปการล่าสัตว์ ของท่านวิจิตต์  ศิริเธียร (อดีต ทำป่าไม้ พ่อค้าปืน และ ตัวแทนจำหน่ายปืน วอลเธอร์  อันเป็นที่เคารพรัก อย่างยิ่ง และ เป็นผู้ประสิทธ์ และประสาท เรื่องปืนให้ข้าพเจ้า) ตลอดมา ที่เป็นเช่นนั้น เพราะ ข้าพเจ้ายังไม่พบ หนังสือที่ดีกว่านี้

    หนังสือเล่มนี้ เริ่มพิมพ์ ครั้งแรก  ประมาณ พ.ศ. 2502  ครั้งที่2 พ.ศ. 2504และ พิมพ์  ต่อมาอีก 1-2 ครั้ง จากนั้นก็ไม่ได้พิมพ์อีก  ข้าพเจ้าได้มีโอกาสถามท่านถึงการพิมพ์  ครั้งใหม่ ท่านก็บอกว่า แก่แล้ว ไม่ทำอีกแล้ว  ถ้าผมอยากจะพิมพ์  ท่านก็จะ เขียน อนุญาต ให้ พิมพ์  จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่มีโอกาส จนท่านเสียชีวิตไป  นอกจาก ไม่ได้พิมพ์ใหม่แล้ว  หนังสือเก่า ก็ยังหายากอีกต่างหาก  จึงต้องมานั่งพิมพ์ ให้ท่านได้อ่าน เป็นบางช่วงบางเวลา ในการอ้างอิง

   หนังสือเล่มนี้ ถึงแม้นจะเขียนมานานมากเก่าแก่มาก แต่ก็ไม่ล้าสมัยเสียที่เดียว เป็นหนังสือ เล่มพื้นฐานสำหรับท่านที่จะก้าวเข้ามาในวงการปืน เมื่อท่านมีพื้นฐานที่แน่นแล้ว การที่จะก้าวให้สูงขึ้นไปก็จะมั่นคง  ต่อไป                     

             เมื่อพูดถึงปืน และ ดินปืน แล้ว คงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่กล่าวถึงกระสุนปืน

   ตั้งแต่มีการผลิตอาวุธปืน จวบจนถึงปัจจุบัน  ได้มีการออกแบบกระสุนปืน มากกว่า1500 แบบ สมัยก่อน เล็กที่สุดน่าจะ ขนาด 2.7mm Kolibri Auto หัวกระสุนหนัก 3 Grains และ ใหญ่สุด น่าจะ เป็น 4 G  หัวกระสุนหนัก  ¼  pound หรือ 1750 Grains 
  ในขณะปัจจุบัน  .10 Eichelberger หัวกระสุนหนัก  7.2 Grains น่าจะเล็กที่สุด และ ใหญ่สุด  น่าจะเป็นขนาด  .950 JDJ หัวกระสุน หนัก 3600 Grains
198


199





 กระสุนนั้นบางแบบ อายุยืนยาว  บ้าง (บางแบบ อายุเกิน 100 ปี )  ตายช้าก็มี ตายเร็วก็มีมาก หรือ ไม่ทันได้เกิดก็ตายเสียแล้ว  และ บางแบบ ก็ตายไปแล้ว แต่ได้หมอดีปลุกให้กลับฟื้นขึ้นมาได้อีก

  แต่สำหรับเมืองไทยแล้ว มีกระสุนไม่มากแบบนัก ให้เลือก ที่นิยมสูงสุด  ก็คงเป็น  ลูกกรด .22 LR และ  กระสุนลูกซอง  12 G  ส่วนกระสุนปืนพกและปืนไรเฟิล  นั้น มักจะนิยม ในขนาดที่  ทางราชการ  รับเข้าประจำการ ( .308 win หรือ 7.62 นาโต้ และ  .38  Special  .45 Acp (11 ม.ม.)  )  เพราะ ง่ายต่อการหากระสุน  ซึ่งกระผมจะไม่ขอกล่าวถึง

    กระผม จะขอเล่า หรือ  หาบทความ เรื่องกระสุน ที่ ข้าพเจ้าชอบเป็นพิเศษ เท่านั้น
 
   กระสุนลูกซอง 12 G   และ ลูกกรด   .22 LR  คงไม่ต้องพูดถึง  เพราะ มีการพูดถึงกันมากแล้ว

     กระสุนปืนพก ที่ ข้าพเจ้าชอบใช้  ก็ เป็นขนาด .38 Super และ  .44 Win Mag  กระสุนทั้ง สองขนาด ก็มีการพูดถึง กันอยู่บ่อยครั้ง
   แล้วกระสุนปืนไรเฟิล ละ  อะไรที่ ชอบ  มา เข้ามาอ่านกัน

                กระสุนไรเฟิลชนวนกลาง ที่ข้าพเจ้าชอบ
8854




 



                                              6.5x55 Swedish Mauser


    ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าหยิบกระสุนนี้ขึ้นมา ก็ทำให้หวนคิดคำนึง ถึงหนังสือนิยายเข้าป่าล่าสัตว์  เรื่อง  ล่องไพร  ของ น้อย  อินทนนท์ ( ครู มาลัย  ชูพินิจ) ที่ได้อ่านเมื่อครั้งยังเป็นเด็กๆและ ฝันว่าจะต้องมีปืนขนาด 6.5 X 54mm  Mannlicher-Schoenauer ( อ่านบทวิจารณ์ ของท่านวิจิตต์ในตอนท้าย )ไว้ท่องป่า ล่าสัตว์  ยิงได้แม่นยำดังจับวาง เหมือน ตาเกิ้น  พรานป่าคู่ใจ ของ พระเอก  ศักดิ์  สุริยัน  แต่จนแล้วจนรอดเวลาผ่านไปรวดเร็วเหมือนโกหก  ก็ไม่อาจหามาเชยชม สนองตันหา ให้เสพสมอารมณ์หมายได้  ที่พานพบบ้างก็เป็นแม่หม้ายกินหมากแก่หงำเหงือก  ไอ้ชนิด แม่หม้ายทรงเครื่อง ไม่มีชายตามองเลย  หรือ ที่ยังสดใส คุณสามี ก็สุดแสนหวง เหลือบ ยุง ริ้น ไรไม่ให้ไต่ ไม่ให้ตอม ยังกับจงอาง หวงไข่

  เมื่อ หา 6.5x54 MS   ไม่ได้ก็เลยเลือกสูงยาวเข่าดี เป็น   6.5x55 Sw ก็แล้วกัน

ตัวเลข 6.5  นั้นไซร้ ก็คือ ขนาด หน้าตัด ของกระสุน 6.5 มม


ตัวเลข 54 หรือ 55  นั้นเล่า ก็คือ ขนาดความยาว ของปลอกกระสุน  54 หรือ 55 มม นั่นเอง

        6.5x55 Swedish Mauser นี้ ถือกำเนิด ในปี 1894 โดยความร่วมมือ ของกองทัพ นอรเว(Norway ) และ สวีเดน ( Sweden )  โดย สวีเดน นำปืน Spanish Mauser –1893 มาดัดแปลงให้เป็น ปืน  Mauser  รุ่น 94-96-38 และ คาร์ไบล ส่วน นอรเว ก็นำไปใช้ กับปืน Krag-Jorgensen รุ่น 1894และ 1912

    ในปี 1990 ได้เปลี่ยน ชื่อเป็น 6.5 x55 SKAN  โดย ความร่วมมือกับของ สมาคมยิงปืน Denmark Norway  Swedish มันจึงกลายเป็น กระสุน สแกนดิเนเวีย ไปโดยปริยาย แต่ ก็ยังคงเรียก 6.5x55 Swedish ตามเดิมด้วยความเคยชิน  กระสุน นี้นอกจากใช้ในราชการทหารแล้ว ยังเป็นที่นิยมใช้ในการล่าสัตว์  และ  ยิงเป้า ไรเฟิลชนวนกลาง มาตรฐาน ระยะ 300 เมตร ในโอลิมปิกอีกด้วย  ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1950 ปืนที่เหลือใช้จากสงคราม ก็ทะลักเข้าไป ใน แคนนาดา ก่อน แล้วก็ลามเป็นเชื้อไวรัส เข้าสู่ อเมริกา จึงทำให้ อเมริกันชน รู้จักกระสุนขนาดนี้  นอกจากปืน เหลือใช้ของทหารแล้ว ในปี 1960-1970-1980 ก็มีปืนพานิชจาก สแกนดิเนเวีย ถูกส่ง ไปขาย จนปี 1990 Ruger จึงได้ ทำปืนขนาดนี้ออกมาในรุ่น M77 แต่ ขนาด 6.5x54 MS กลับไม่ได้รับความนิยมในอเมริกันชน แต่ ในอัฟริกาแล้ว เป็นที่นิยมของนักล่าสัตว์  กระสุนที่ มีขายใน อเมริกานั้นจะ สั่งนำเข้าจากโรงงาน Norma  ประเทศ  สวีเดน ทั้งสิ้น จนในปี 1991-1992 Federal จึงได้ ผลิต กระสุนชนิดนี้ออกมา น้ำหนัก หัวกระสุน 140 Grains

  กระสุนขนาดนี้ 6.5x55 Sw ทางโรงงาน Norma จะใช้ หัวกระสุนหนัก 139 Grains  จะได้ความเร็ว 2790 ฟุต/วินาที แรงปะทะ 2395 ฟุต/ปอนด์  หัวกระสุน 6.5x55 Swจะเบากว่า 6.5x54 Ms เล็กน้อย คือ 6.5x54ms จากโรงงาน RWS จะหนัก 159 Grains ความเร็ว 2330 ฟุต/วินาที แรงปะทะ  1740 ฟุต/ปอนด์  ในปัจจุบัน  ถ้าดูกระสุนขนาดนี้ จะเห็นว่าหัวกระสุนจะเล็กและยาวมาก จนน่าจะเป็นที่มาของคำว่า ปืนเล็กยาว

    แม้นว่ากระสุนทั้งสองขนาด  จะ เล็ก ใหญ่  สั้น ยาว  ต่างกัน เล็กน้อย ก็ไม่เป็นปัญหาในการใช้งาน ที่จะทำให้บรรลุถึงจุดสุดยอดพร้อมกัน  มัน อยู่ที่เทคนิค ของแต่ละคน  อย่าคิดมาก  หมายถึง ผู้ใช้ ยิงให้ตรงจุดตาย คนยิงก็มีความสุข สัตว์ก็ตายโดยสงบไม่ทรมาน การามาโจ้ เบล นักล่าช้างที่มีชื่อที่สุดในโลก ก็ใช้ปืน ขนาด 6.5x52 mm Mannlicher-Carcano [Italian]

     เท่าที่ข้าพเจ้าเคยใช้มา มันเป็นกระสุนที่ ยิงได้นิ่มนวล และ แม่นยำอย่างที่คลาดไม่ถึง
 
                                          จึงเป็นกระสุนที่ ข้าพเจ้าหลงใหล

ลองมาอ่านบทความของท่าน วิจิตต์ ดู ว่าท่าน มีความคิดเห็นอย่างไรกับกระสุน ขนาดหน้าตัด 6.5มม นี้ 
 

กระสุนขนาด 6.5 ม.ม. มานลิคเคอร์

           ผู้ชำนาญอาวุธปืนแทบทุกท่าน  ศาสตราจารย์ปืนแทบทุกคน  จะเลือกปืนมานลิคเคอร์ซึ่งใช้กระสุน  6.5  มานลิคเคอร์เป็นอาวุธประจำตัวในการล่าสัตว์ เพราะการใช้ปืนและการยิงปืนของทุกๆท่าน  เป็นการใช้และการยิงอย่างปราชญ์
           กระสุนและปืนขนาด 6.5 ม.ม.    เป็นสัญลักษณ์ของมานลิคเคอร์  ผู้ใดรุ้จักมานลิคเคอร์ผู้นั้นต้องรู้จักปืนและกระสุนขนาด 6.5 ม.ม.  ที่ผลิตขึ้นจากมานลิคเคอร์ด้วย  จึงจะเป็นการรู้จักอย่างบริบูรณ์แท้จริง
           ปืนขนาด 6.5 ม.ม.  มานลิคเคอร์  ที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายทั่วโลกก็คือ  ปืนแบบ  1903  ซึ่งได้ผลิตขึ้นจำหน่ายทั่วไปในปี  ค.ศ. 1903 มีลำกล้องยาว 18 นิ้วเท่านั้น  พานท้ายของปืนยาวเต็มตลอดจรดถึงปลายลำกล้อง
           แท้จริงแล้ว  ดินขับของปืนไม่แรงเท่าไรนัก กระสุนปืนมีอัตราความเร็วต้น 2,160 ฟุตต่อวินาที  มีแรงปะทะต้น 1,660 ฟุตปาวด์เท่านั้น
           แต่ศิลปการออกแบบและการประดิษฐ์ของหัวกระสุนนี้เป็นสิ่งสำคัญ  เป็นตัวอย่างอันสำคัญยิ่งในการออกแบบและการประดิษฐ์หัวกระสุนทั้งหลาย
           กระสุนของ 6.5  ม.ม. มานลิคเคอร์  น้ำหนัก 160 เกรนเท่านั้น  แต่ศิลปในการประดิษฐ์และในการสร้างสามารถบันดาลให้กระสุนหัวแข็งมีอานุภาพทะลุทะลวงสูง   สามารถเจาะกระดูกหนาๆตอนศีรษะของช้างได้ด้วยการยิงอย่างนัดเดียวอยู่  ส่วนกระสุนหัวอ่อนซึ่งหนัก 160 เกรนเท่ากันก็ได้รับความสำเร็จจนขึ้นชื่อลือชาในการสังหารสิงโตใหญ่ๆนัดเดียวจอดทั้งนั้น
           ระยะยิงหวังผลของกระสุนได้ไกลเพียง 200 หลาเท่านั้นแต่สำหรับผีมือขั้นปราชญ์แล้วก็จัดว่าเป็นระยะที่ไกลเกินไปและจะไม่ทำการยิงสัตว์ในระยะนี้   เพราะการยิงในระยะไกลเช่นนี้ทำให้การล่าสัตว์ไม่สนุก  ไม่มีรสชาติ
           ด้วยการหยิบกระสุนนี้ขึ้นมาพิจารณา ท่านก็ควรจะเข้าใจอย่างถ่องแท้และแจ่มแจ้งทีเดียวว่า  ชั้นปราชญ์นั้นเขายิงปืนกันด้วยฝีมือในระยะใกล้ๆ   อาศัยศิลปในการใช้หัวกระสุนและศิลปการเลือกจุดตำแหน่งที่จะวางกระสุนเพื่อการยิงนัดเดียวเป็นสำคัญ
           การยิงสัตว์ในระยะไกล  ง่ายกว่าการยิงในระยะใกล้ๆมากทีเดียว  เพราะในระยะไกลๆสัตว์ไม่รู้ตัว  จะเป็นเป้านึ่งให้ท่านเล็งได้สะดวกและยิงได้สบาย  แต่การเข้าไปใกล้ๆสัตว์ได้โดยสัตว์ไม่ตื่นเสียก่อนนี้เป็นการเข้าหาสัตว์อย่างปราชญ์
           ถ้าจะพูดถึงการยิงปืนอย่างปราชญ์แล้ว  ข้าพเจ้ายังได้พบวิธีใช้ไรเฟิลยิงช้างทำการล่ากระรอกตัวเล็กๆได้โดยมิต้องเสียเนื้อเลย  นั่นก็คือโดยการยิงไปยังเปลือกไม้ใต้ศีรษะของกระรอกเปลือกไม้ที่แตกกระเด็นจะตีหัวกระรอกโดยแรงถึงความตายตกมาเป็นอาหารแน่นอน  การใช้ปืนยิงวิธีนี้นักล่าสัตว์ใหญ่ที่ชำนาญนิยมใช้เป็นวิธีหาอาหารในเมื่อล่าสัตว์ใหญ่ไม่ได้  และปืนที่จะใช้ยิงสัตว์เล็กก็ไม่มี   ในเมื่อต้องรอนแรมอยู่ในป่าด้วยปืนขนาดใหญ่เพียงกระบอกเดียว  ถ้าท่านใช้ปืนยิงช้างยิงถูกกระรอกโดยตรงแล้วเชื่อว่าแหลกหมดไม่มีเหลือเลย.   




                                               





บันทึกการเข้า

หลงรัก  สินค้าต่างๆที่กระผมเสียเงินเสียเวลาเสียพลังงานนำเข้ามานั้นเพื่อเป็นพยานหลักฐานอันเป็นที่แน่ชัดในการคุยโม้คุยโตประกอบการคุยฟุ้งทั่วเวป มิได้แอบแฝงขายสินค้าแต่อย่างไร และไม่รับสั่งหรือช่วยนำเข้าแต่อย่างใด โปรดเข้าใจ  งอน
FABBRI
มาเป็นเหยื่อเสียดีๆๆ
Moderator
Sr. Member
*****

คะแนน 249
ออฟไลน์

กระทู้: 885



« ตอบ #2 เมื่อ: กรกฎาคม 04, 2008, 07:34:37 PM »



                      บางท่าน ส่ง PM มา บอกว่า รูปน้อย และ ไม่มี กระสุน .308 ให้เปรียบเทียบ จึงไม่รู้ว่า มัน สูงยาว ขาว หมวย ฮ้อเจาะ ฮ้อ เจี๊ยะ แค่ไหน  ไม่ใช่  ต้องสูงยาว เข่าดี น่าจะเป็นนักร้อง แค่ไหน
 เลย เอา .22Lr ที่ทุกท่านคงจะมี เอามา เปรียบเทียบ 

                         แต่  แต่  เป็นกระสุน ธรรมดา ธรรมดา ไม่ แปลก อะไร  เสียงดังฟังชัด  ไม่เชื่องช้า เหมือนท่านหลบหลีกกลัวคนได้ยิน   วิ่งเร็ว ปานกลาง ไม่จี๊ดจาด 3 เดือน หย่า   เวลานางถีบ ก็แค่หยอกล้อ นุ่มๆนิ่มๆ เท่านั้นครับ



   โอ้โฮ   โอ้โฮ  ไอ้หย่า ฮาตึม  แต่ละท่าน  ตาสอดส่าย ทุกกระเบียด พิกเซล ไม่ใช่ ป้า เป็กกี้   เลยนะท่าน
 
    ถ้าท่าน จำได้บ้าง ไม่ได้ บ้างก็แล้วไป  ผมเคยเล่าแล้วเกี่ยวกับปืนกระบอกนี้ 
เมื่อนานมาแล้ว  ที่ให้อีเจิ้ง  ไปตามล่ามาแต่ไม่ได้ผล

  เอาเล่าใหม่ก็ได้  กาลครั้งหนึ่ง นานมากแล้ว

       Once upon a time หรือ   a longtime ago น่าจะเกิน  15-20 ปี 
สงสัยนาย จอนนี่ เล่นงานแล้ว

  หลังจากที่ เดินดูตลาดปืนในช่วงเช้า ไม่เห็น อีตัวใหม่ๆ มายืนข้างเสา ให้ล้างหน้าไก่  เป็นที่ สำราญ  ก็ ต้องเดินคอตก เป็นไก่ ติดเชื้อ ไข้หวัด  เข้าคอกทำมาหากิน ตาม ประสา

  พอตกเย็น แดดร่มลมตก  หลังจากเลิกงาน ไก่คอตก ติดโรค ไม่สมหวัง เมื่อช่วงเช้า  ก็เริ่ม สู้ อีกครั้ง  ไปเดินหาสนาม หลังวัง  ไม่ใช่ สนามหลวง  บรรดา เจ้าสำนักทั้งหลาย  ไม่ว่าจะเป็น  เจ้าของร้านปืน ร้านซ่อมปืน  ตัวแทนจำหน่ายปืน  นักเขียนเรื่องปืน  เด็กเดินกองทะเบียน (หลายท่าน จนหลักสูตร ตับแข็งไปแล้ว )  ก็มาสุมหัวก๊งชนแก้ว มีนายจอนนี่เป็นพยาน คุยกัน จะฟันอีเด็กๆ  เช็ดกระจก หน้าร้าน  และแล้ว ก็มี  นาย ยอด  สำนัก ซ่อมปืน  บอกว่ามี คนเอาปืนมาให้ อาบน้ำ  (รมดำ) แต่ดูแล้ว ยังไม่สกปรก ขนาดต้อง ขัดสีฉวีรรณ
เราก็ว่า แล้วมัน สัญชาติ อะไร  ทรวดทรงองค์เอว  ขนาดไหน  พรุ่งนี้ จะตามไปล้าง หน้าไก่ 

เจ้าสำนักยอดก็ บอกว่า  ขนาดสัก 6.5x55  ผิว สวีเดน  สัญชาติ  สวิส 

   อะไรนะ  นาย เมาได้เข้าขั้น  สัญชาติ สวิส  มีแต่ พวก ปืนจุดจู๋ ยิงช้า อย่างกับกินไวอาก้ามา  หรือ  ยิงเร็ว ขนาด นกกระจอกไม่ทันกินน้ำ  มันจะเป็น ไอ้ปืน ยาว  หาเก้ง หากวางกินได้อย่างไร

  พอเช้า ก็ไปดู  มันมีจริงๆ  นาย ยอด   ช่วย ถามที่ เขาจะ ปลดปล่อย นางโลม นี้ไหม และค่าตัวเท่าไร แต่ที่แน่ๆ อย่าได้ จับอานน้ำ เด็ด ขาด
 
   เวลา วิ่งเร็วเหมือนโกหก พกลม  ผ่านไป3 เดือน  เจ้าของก็ สุดจะอดกลั้น บอกว่าไม่ขายก็ไม่ขาย ถ้าไม่ อาบน้ำก็จะ เอาไปหา โรงนวดใหม่แล้ว  นายยอด จึงจำใจต้องทำ  แล้ว เจ้าของก็พาหนีหายไปหลายปี  จนมีคนมาส่งข่าวว่า อีตัวนั้น มันไป อยู่ ที่ สำนัก ปืนทอง ชลบุรี  แต่ เจ้าสำนัก เก็บแอบไว้ในห้องลับ ไม่ให้ออกรับแขก  ท่าน จะเล่นเอง
 
   เราก็ส่ง  อีเจิงไปเลย  พกอาวุธ เต็ม อัตราศึก  ต้องแตกหัก  ชิงนางมาให้ได้  งบประมาณ ไม่ อั้น
อีเจิง พลาดท่าเสียที่  ขนงบประมาณ กลับ  ตีไม่แตก
 
 โอ้เรานี้ คงไม่มี โอกาส แล้วเป็นแน่แท้ 

อยู่มาวันหนึ่ง  สหาย ร่วม  ถือศีล ( บวชพระรุ่นเดียวกัน)  ถามว่ามีอะไร ไม่สบายใจ  ก็เล่าให้ฟัง เรื่อง  อี สวีเดน 6.5X55 สัญชาติ  สวิส อยู่ที่  สำนัก  ปืน ทอง  สหาย ก็บอกว่าใจเย็น ไม่เกิน 7 วัน10วัน ได้ แอ้มแน่ๆ  งบประมาณไม่อั้นนะ
 
      อีก 7 วันต่อมา  เราก็ เสพสมอารมณ์ หมาย และ ที่ผิดคลาดอย่างมาก เนื่องจาก  เสียงบประมาณ น้อย กว่าที่ให้อีเจิง ไปตี มากกว่า ครึ่ง เสียอีก 

นวลนางก็เลย ได้มา อยู่ ในที่ ที่ ควรจะอยู่  มาแต่บัดนั้น
 
ทรวดทรงนาง ก็ ไม่มีอะไรมาก  ต้นกำเนิด โครงสร้าง ก็ Mauser  98 ธรรมดา ชุด กระสันมี 2  จุด ถ้าชอบซาดิส ก็ข่มขืนไกหน้า แต่ถ้าชอบนุ่มนวล ก็เล้าโลมไกหลังก่อน ให้เกือบถึง แล้วแตะไกหน้า ก็จะ ถึงเลย  ตัวยาว 25 นิ้ว ช่างทำพานท้าย มีไม้เหลือมาก  ก็เลย ทำให้ เต็มถึงปลายลำกล้อง

แถมมือบอน ดัน ตอกๆขุดๆ ให้เป็น ลายเถา  ตาม ที่ มือจับทั้งมือซ้าย และมือ ขวา แทนที่ จะเป็น ขีดๆ 24 เส้น ต่อนิ้ว อย่าง อีหนูชั้น ดีดี ทั่วไป


พี่ใหญ่ครับ    ไม่ได้เห็นรูปเปรียบเทียบระหว่าง

กระสุน  .๒๒  ชอร์ท  ลอง    ลองไรเฟิล   ชัด ๆ  มานานแล้วครับ

พี่ช่วยอนุเคราะห์เป็นบุญตาหน่อยครับ

                ท่านป้อม วันหน้า กรุณา ตั้ง คำถามที่ ง่ายๆ หน่อยๆ นะครับ
                      กระสุน .22 L กับ .22 Lr นั้น ทุก ขนาดสัดส่วน มันเท่ากันหมด  เพียงแต่ว่า น้ำหนัก หัวกระสุน  มันแค่ 29 Grains เท่านั้น ส่วน .22Lr น้ำหนัก หัวกระสุน  มัน 29-42 Grains จึงเป็นการยากที่ จะหาและจำได้  ท่าน ต้อง บอก สมาชิก ใน อเมริกา  ลงให้ดูแล้วครับ
แต่ผมมีของแถม ครับ เป็นกระสุน ขนาด .22 winchester Rimfire  ที่สั้น กว่า .22 Win mag ครับ  .22 L ที่ลง เป็นรูปแทนนะครับ
8953
                       
    

 

        ดังที่ได้ บอกแล้วว่า กระสุนมีมากกว่า 1500 แบบ ที่ออก มาทุกวัน ได้เกิดบ้าง ไม่ได้เกิด  ไม่ ทันเกิดก็ ถูก เบลโล่ ถีบกระเด็นตกคอห่านก็มีมากหลาย  บางที่ หัวแข็ง หลุดออกมา มารดา ก็ ตก สวรรค์ เสีย รางวัด เจ้าหญิง จอแก้ว เสียนี่   ส่วนมาก กระสุนเหล่า นี้ มักจะแอบๆซ่อนๆ ลูกนอกคอก เกิด ในโรงรถ ของพวกแยงกี้ ดัง ที่เคยเล่า เรื่อง ปืนแยงกี้  เมื่อ 2 ปีมาแล้ว

        เราไม่จำเป็นที่จะต้อง รู้ไปหมดทุกแบบทุกขนาด  เพราะ  รากเหง้า ของกระสุนเหล่านี้  มีอยู่ไม่มากนัก  เหมือนต้นไม้ใหญ่ ที่มีรากแก้ว  เจริญเติมโตเป็นต้นไม้ใหญ่แตกกิ่งก้านสาขา  ผลิตดอกออกผล ให้ร่มเงา กว้างใหญ่  และ ทุกวันก็จะมี ยอดอ่อน งอกออกมา  เจริญเติบโต เป็น กิ่งที่แข็งแรง ทนแรงลม และ ความแห้งแล้ง หรือ เพิ่งงอก ก็ถูกแมลง เจาะ ถูกนก จิกกิน  หรือขาดน้ำขาดอาหาร เหี่ยวเฉา ตายไป 

    บรรดาต้นไม้ใหญ่ๆ เหล่านั้น มีไม่ น่าถึง 20 ต้นด้วยซ้ำ แต่ ได้ แตกกิ่งก้านออกไป  หลาย ร้อยหลายพัน กิ่งและใบ  ยกตัว อย่าง  เช่น ..32 S&W   9 mm Luger  .38 S&W .45 S&W   .30-06  8mm Mauser  .375 H&H Magnum .404 Jeffery .416 Rigby    .500NE  .50 BMG  เป็นต้น  ท่านลอง สืบรากเหง้า  ของกระสุนที่ ท่านอยากรู้  ให้ลึกลงไป ซิครับ ก็จะพบว่ามันมาจากต้นตระกูล ที่ ถูกออกแบบมา กว่า ร้อยปี หรือ เกือบ ร้อยปีแล้วทั้งนั้น

                 แล้วทำไมเราไม่ศึกษาประวัติ ต้นตระกูล  ที่ให้กำเนิด  กระสุนใหม่ๆ ในปัจจุบัน นี้เล่า ครับ

                                              ]



 


                             
 

                             
   
      .270  Win นี่เป็นกระสุนอีกขนาดที่ข้าพเจ้าหลงใหล  มันไม่เคยทำให้ข้าพเจ้าผิดหวังในการใช้งานเลย  ไม่ว่าจะเป็นความแม่นยำในสนาม บนกระดาษ  และ  การทำลาย ในสนามกลางทุ่ง  มันถูกออกแบบมาให้  รูปทรง ของ หน้าตัด และ ความยาว ของ หัวกระสุนได้ลงตัวที่สุด ดีที่สุดก็ว่าได้  ไม่ใช่แต่ข้าพเจ้าเท่านั้นที่ชื่นชอบมัน  แต่มันยังเป็นกระสุนที่ชื่นชอบของนักเขียนและนักล่าสัตว์ ที่ชื่อว่า Jack O’Connor ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง และอีกหลายๆท่านที่ไม่ได้เอ่ยนาม อีกด้วย
เรามาอ่านบทความของท่านวิจิตต์ ดีกว่า

                                       กระสุนขนาด .270Win

   ในทัศนะของบุคคล ซึ่งชอบปืนลำกล้องใหญ่ๆ รูโตๆ กระสุนหนักๆ ก็มักจะพูดว่า ปืนขนาด .270 เป็นชั้นเด็กชั้นลูกชั้นหลานของปืน พร้อมกันนั้นก็จะพรรณนาถึงความผิดหวังและความไม่สมหวังต่างๆนานาในการนำไปใช้ล่าสัตว์ แล้วก็จะสรุปว่า นอกจากจะใช้ไม่ได้ผล ยังจะไปทำให้สัตว์พิการและได้รับการทรมานโดยใช่เหตุ ซึ่งจัดว่าเป็นการล่าเนื้อให้เสือกินเปล่าๆ

   สมัยนี้เป็นสมัยจรวด สมัยเครื่องบินไอพ่น นั่นก็หมายความว่าเป็นสมัยของความเร็วสูง กระสุนซึ่งมีอัตราความเร็วสูงกำลังเป็นที่นิยมและใช้กันอย่างแพร่หลายและมากขึ้นเป็นลำดับ

   กระสุนขนาด .270 เป็นกระสุนซึ่งจัดอยู่ในประเภทความเร็วสูง ดังนั้นรสนิยมในกระสุนนี้จึงทวีแพร่หลายกว้างขวางขึ้นได้ในเร็ววัน จนเข้าขั้นไม่น้อยหน้าหรือยิ่งหย่อนไปกว่ากัน กระสุนขนาด .30-60 ขนาด .375 และขนาด .300 Magnum หรือ 9 ม.ม. เมาเซอร์ จึงได้จัดว่าเป็นกระสุนมาตรฐานของโลกในการใช้ล่าสัตว์

   อาวุธปืนซึ่งผลิตขึ้นมาใช้กับกระสุนนี้ก็มีประมาณทวีมากขึ้นจนอาจกล่าวได้ว่า โรงงานผลิตอาวุธปืนไรเฟิลทุกๆโรงงานในโลกรู้จักและคุ้นเคยกับการผลิตปืนเพื่อกระสุนขนาดนี้ได้อย่างดี และยิ่งกว่านั้นนักยิงปืนหลายท่านยังหันมาดัดแปลงแก้ไขและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงขนาดปืนแบบเก่าๆมาเป็นปืนใช้กระสุนขนาดนี้กันมาก

   ในปี ค.ศ.1925 ซึ่งบริษัทวินเชสเตอร์ต้นตำรับได้ผลิตปืนและกระสุนขนาดนี้ออกมาขายในท้องตลาดโลกนั้น ก็ได้มีการพิสูจน์ทดลองกันเป็นพิเศษ สรุปแล้วก็มีมติเห็นพ้องต้องกันว่า เป็ฯกระสุนปืนสำหรับล่าสัตว์ใหญ่ ซึ่งมีวิถีกระสุนราบมากที่สุดในจำพวกกระสุนปืนล่าสัตว์ทั้งหลายที่ได้ผลิตกันขึ้นในสมัยแล้วๆมา

   ด้วยหัวกระสุนหนัก 130 เกรน ก็สามารถใช้ยิงสัตว์ขนาดเก้งและกวางได้ผลแน่นอน ถ้าจะใช้ในการล่าสัตว์เล็กแล้วก็ใช้กระสุนขนาด 100 เกรน ก็เพียงพอและยังมีกำลังเหลืออีกถมไป

   เพราะว่ากระสุนมีอัตราความเร็วสูง มีวิถีราบเรียบมากมีความแม่นยำมาก และทั้งยังมีแรงสะท้อนถอยหลังน้อยด้วย ดังนั้นจึงเป็นกระสุนที่นิยมกันมาก สำหรับใช้ในการล่าสัตว์ที่ระยะไกลๆ เช่นการล่าสัตว์ในทุ่งกว้าง บนไหล่เขา และยอดเขาเป็นต้น

   ในการยิงกวางที่ระยะไกลๆ ก็มักจะนิยมใช้ศูนย์กล้องและกระสุนขนาด 130 เกรนกัน เมื่อตั้งศูนย์ปล่อยให้กระสุนสูงจากเป้า 3 นิ้วที่ระยะ 100 หลาแล้ว กระสุนจะวิ่งสูง 4 นิ้วที่ 200 หลา และจะวิ่งลงตรงเป้าพอดีที่ในระยะราวๆ 275 หลา ที่ระยะ 300 หลา กระสุนต่ำจากแนวเล็งประมาณ 2 นิ้ว ถ้าจะอาศัยหลักการวางปืนเล็งตรงทุกระยะอันเป็นศิลปในการตั้งศูนย์ เพื่อการล่าสัตว์แล้ว นั่นก็คือวิถีสูง 4 นิ้วและต่ำกว่า 4 นิ้ว ก็จะได้ระยะไกลถึง 350 หลา ถ้าสัตว์อยู่ไกลเกิน 350 หลาาขึ้นไปแล้ว ผู้ยิงก็ยกปืนเผื่อวิถีซึ่งต่ำของกระสุนไว้ โดยการหมายเป้าระดับสันหลัง ด้วยวิธีการดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ถ้าจะยิงกวางที่ระยะ 400 หลาแล้วดูเหมือนว่าจะไม่พลาดแน่ หวังผลได้เลยทีเดียวก็ว่าได้

   แต่เมื่อเปรียบเทียบกระสุนหนัก 150 เกรนของขนาด .270 กับกระสุนหนัก 150 เกรนของขนาด .30-06 ดูแล้ว ก็มักจะมีการเข้าใจผิดกันเสมอว่า กระสุนขนาด 150 เกรนของ.30-06 ดีกว่า เพราะมีอัตราความเร็วสูงถึง 2,970 ฟุตต่อวินาที ส่วนของ.270 เพียง 2,770 เท่านั้น ด้วยประการฉะนี้จึงมีการถกเถียงกันผิดๆกันเสมอ โดยมิได้คำนึงถึงความจริงหรือเหตุผลอันแท้จริง

   จุดมุ่งหมายอันแท้จริงซึ่งทางโรงงานผลิตกระสุนได้ผลิตกระสุนขนาด 150 เกรนของ .270 ขึ้นมา ทั้งนี้ก็เพื่อประสงค์ให้เป็นกระสุนสำหรับล่าสัตว์ในป่าทึบ กระสุนจึงมีหัวกลมมนทู่ป้องกันและบรรเทาการแฉลบซึ่งอาจมีขึ้นในเมื่อกระสุนปะทะกับกิ่งไม้ ดังนั้นกระสุนหัวกลมทู่จะรักษากำลังหรืออัตราความเร็วไว้ได้อย่างหัวแหลมของ .30-06 อย่างไรได้ และยิ่งกว่านั้นเมื่อ พิจารณา ถึงเนื้อของสัตว์ซึ่งจะต้องสูญเสียไปโดยใช่เหตุในการใช้กระสุนความเร็วสูงยิงในระยะใกล้ๆแล้ว ทางโรงงานาจึงได้ตัดกำลังของกระสุนให้ต่ำลงอีกมากกว่าที่ควรจะเป็นอย่างแท้จริง ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ในสมุดคู่มือของกระสุนจึงแสดงให้เห็นว่าอัตราความเร็วจึงต่ำกว่ากระสุนหนัก 150 เกรนของ .30-06

   ถ้าจะเปรียบเทียบในศิลปของการออกแบบและการประดิษฐ์กระสุนกันด้วยแล้วก็จะพบว่า กระสุนหนัก 150 เกรน ของขนาด .30-06 จะไม่มีทางสู้หรือมีอานุภาพเทียบเท่ากับ 150 เกรนของขนาด .270 เลย เพราะความแน่นของเนื้อกระสุนของ .270 นั้นมีมากกว่า ดังนั้นจึงมีอานุภาพทะลุทะลวงมากกว่า ถ้าจะเปรียบเทียบอานุภาพอันเป็นมาตรฐานกันแล้วก็อาจจัดได้ว่า อานุภาพของกระสุนหนัก 150 เกรน ของขนาด .30-06 ก็เท่ากับกระสุนหนัก 120 เกรนของ .270 และ220 เกรนของ .30-06 ก็เท่ากับของขนาด .30-06 ในอัตรา 160 เกรน

   การสร้างกระสุนขนาด .270 ซึ่งเป็นการดัดแปลงขึ้นมาจากการบีบคอปลอกกระสุนขนาด .30-06 ให้เล็กลงเพื่อคาบหัวกระสุนขนาด .270 มิได้เป็นการสร้างอย่างไม่มีหลักการ ไม่มีเหตุผล ก่อนจะผลิตกระสุนนี้ขึ้นมาก็ได้ทำการทดลองกันดูแล้วต่างๆนานาหลายแบบ จนกว่าจะลงมติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันว่าทำเป็นขนาด .270 ดีที่สุดกว่าจะทำเป็นขนาดใดอื่นๆ

   ในการยิงปืน ผู้ใช้ปืนจำจะต้องคำนึงถึงแรงสะท้อนถอยหลังของปืนด้วย เพราะความแม่นยำของปืนก็ขึ้นอยู่กับกำลังแรงของแรงสะท้อนถอยหลังด้วยอีกประการหนึ่งเหมือนกัน รายเฉลี่ยของความสามารถในการอดทนของมนุษย์ทั่วๆไป เหมาะที่สุดกับแรงสะท้อนถอยหลังของปืนไรเฟิลขนาด .30-06 และขนาด .270



      .270 Win  ที่  Mr BEEN  อยากพบเห็น





                     

บันทึกการเข้า

หลงรัก  สินค้าต่างๆที่กระผมเสียเงินเสียเวลาเสียพลังงานนำเข้ามานั้นเพื่อเป็นพยานหลักฐานอันเป็นที่แน่ชัดในการคุยโม้คุยโตประกอบการคุยฟุ้งทั่วเวป มิได้แอบแฝงขายสินค้าแต่อย่างไร และไม่รับสั่งหรือช่วยนำเข้าแต่อย่างใด โปรดเข้าใจ  งอน
FABBRI
มาเป็นเหยื่อเสียดีๆๆ
Moderator
Sr. Member
*****

คะแนน 249
ออฟไลน์

กระทู้: 885



« ตอบ #3 เมื่อ: กรกฎาคม 04, 2008, 07:38:03 PM »

   .30-06 Springfield [ 7.62x63 mm]




E205


8876


8872


8938




                                กระสุน .30-06  นั้น เป็นกระสุนที่ ชาว แยงกี้  มีความภาคภูมิใจ อย่างมาก ที่ได้ออกแบบกระสุน นี้ เมื่อ กว่า 100 ปี มาแล้ว (ก็อาศัย รูป แบบและ จานท้าย จาก Mauser ต้นตำหรับ )  มันสามารถ ใช้ เป็นทั้ง กระสุน สังหาร มนุษย์  และ  สัตว์ ได้เป็นอย่างดี อันหาที่ติ มิได้ เลย

   ในสมัยก่อน ถ้าท่าน อยาก เป็น นักเล่น ปืนไรเฟิล แล้ว ปืน ไรเฟิลขนาด .30-06 จะเป็น อันดับแรก ที่ มันแวบเข้ามาในสมอง ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ต้อง .223  หรือ  .308  ที่เป็นเช่นนั้น เพราะ  กระสุนหาง่ายราคาไม่แพง เนื่องจาก เป็นกระสุนที่ใช้ในทางราชการ แม้น กระสุนเชิงพานิช ก็มีมากมาย อันเนื่องจากความนิยม ในกระสุนขนาดนี้  ไม่ว่าจะเป็น ยี่ห้อ อะไร เช่น Win  Rem  Norma เป็นต้น  ก็จะอยู่ที่ประมาณ 12  บาท ในขณะ ที่  กระสุนลูกซอง นัดละ 2.50 บาท- 3 บาท  แต่ ถ้าซื้อ กระสุน ขนาด .30-06 ยี่ห้อ RTA แบบ เป็นสาย  มีหัวทาสีดำ หัวทาสีแดง สลับ หรือ  แบบเป็นซองเหล็ก บรรจุ 8 นัด  ก็จะ ราคาแค่  1 บาท -1.50 บาท เท่านั้น

       แต่ท่านเอ๋ย ปืน ขนาดนี้ ที่พบส่วนใหญ่ ภายนอกจะดู สวย อย่าง นางงามตู้กระจก  ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง จนถึง ผี มะขาม สนามหลวง   แต่ ภายในลำกล้อง ของปืนเหล่านั้น  กว่า 70 % -80%  จะเสียหาย หมด อันเนื่องมาจากกระสุนนัดละ 1 บาท ไม่ใช่ยิงมากจนเสีย เพราะ  เกลียว และ  คอรังเพลิงสึก แต่มันเกิดจาก สนิมกินจนเสีย อันเนื่องจากการ ใช้งานแล้วไม่ชำระ ให้ สะอาด  หรือ  สะอาดแล้ว แต่หลงลืม ตรวจดูบ่อยๆ จึงทำให้ กุดถัง เกาะกิน แต่ก็มีที่ ใช้แล้ว ล้างทำความสะอาด ให้ถูกต้อง และ หมั่นตรวจดู บ่อยๆ  ก็จะไม่มีปัญหานี้

       และ ในสมัยก่อนยังมีการล่าสัตว์ กันอยู่  กระสุนขนาดนี้ จัดว่าเหมาะ สำหรับ เมืองไทย เป็นอย่างยิ่ง เพราะ  จะมีแต่ สัตว์ขนาด เล็ก ถึงกลาง ให้ล่า ในดงทึบ หรือ ส่องไฟ จากรถระยะไกล แต่ถ้าเป็น สัตว์ใหญ่นั้นเล่า ที่มักจะพบเห็นได้ยาก แต่ก็ไม่มีปัญหา สำหรับพราน  ที่ชำนาญ ที่จะใช้มัน ทำงาน ให้ได้ผล

   พวกที่ ชอบเที่ยวป่า มักจะคุยกัน ว่า  ถ้าจะมีปืน  เพื่อ เที่ยวป่าแล้ว  จำเป็นต้องมี ปืน ขนาด ดังต่อไปนี้  เพื่อ ครอบครู  ไม่ใช่ ต้อง ครอบคลุม คือ ลูกกรด .22  ลูกซอง ขนาด 12  .30-06  .375 H&H Mag  และ ใหญ่ กว่า .400 ขึ้นไป  ถ้า มีปืน เหล่านี้  ใน คณะท่องป่า แล้ว  พบเห็นอะไรก็ จัดการ ได้หมด  ยกเว้น ไดโนเสาร์  หรือ เจ้าพญา อนาคอนด้า ต้อง ใช้  ธนูติด TNT
 
     เรื่องความแม่ยำ คงไม่ต้อง พูดถึง เพราะ มันเคยถูกใช้ การแข่งขัน ยิงปืน หรือ ยิงคน ในระยะไกล มาก่อน  ที่จะมีกระสุนแบบแปลกๆ ใหม่ ในปัจจุบัน

    นอกจากนี้ ปลอกกระสุน ขนาด .30-06  ยังถูกนำไปดัดแปลง  ไปทำให้เกิดกระสุน แบบใหม่ๆ  ขึ้นมา อีกมาก โดยเฉพาะ  Western Caetridge [ Winchester]  เช่น.243 win .270 win .308win .358 win  .35 whelen เป็นต้น

                   เรา มาอ่าน บท วิจารณ์  ของ ท่าน วิจิตต์ กันดีกว่า  ถึงแม้ จะเขียนมา กว่า 50 ปี แล้วก็ตาม และขอมูลบางอย่างเปลี่ยนไป บ้างแล้ว แต่ก็ไม่ล้าสมัยเสียที่เดียว 

                  กระสุนขนาด .30-06

   กระสุนขนาด .30-06 นี้ จัดได้ทีเดียวว่าเป็นกระสุนอันยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์ในด้านอาวุธปืนขนาด .30-06 เท่ากับ 7.62x63 ม.ม.
   ชีวิตของมนุษย์จำนวนแสนๆจำนวนล้านๆ ได้มอดม้วยสิ้นสุดลงเพราะกระสุนนี้ ปืนไม่น้อยกว่า 20 ล้านกระในโลกปัจจุบัน เป็นปืนที่ใช้กระสุนนี้ทั้งนั้น กองทัพบกของอเมริกาทั้งกองทัพใช้ปืนยาวไรเฟิลขนาดนี้ในการรณชัยเมื่อคราวสงครามโลกครั้งที่ 2 และเดี๋ยวนี้ก็ยังใช้อยู่

   คู่แข่งขันน่า สพึงกลัวก็คือ กระสุนขนาด .308 ซึ่งในด้านขีปนวิทยานั้น มีวิถีกระสุนเป็นแบบเดียวและอย่างเดียวกัน แต่อาวุธปืนสำหรับกระสุนนี้มีใช้ไม่มากนัก ถึงแม้ว่ากองทัพของสหประชาชาติในด้านยุโรปจะใช้เป็นอาวุธประจำของทหารราบทั้งหมดก็ตาม

   ในประวัติศาสตร์ของการล่าสัตว์ของปืนไรเฟิลแล้ว กระสุนขนาด .30-06 ก็ได้ทำเกียรติประวัติอันงามที่สุด ซึ่งจัดว่าเป็นเกียรติอันงามของประวัติการล่าสัตว์ของโลกด้วยอันหนึ่ง นั้นก็คือ

   เมื่อในฤดูร้อนของปี ค.ศ.1909 ณ ป่าแห่งหนึ่งในมณฑลภาคตะวันออกของประเทศแอฟริกา มีบุรุษหนวดงาม คางสี่เหลี่ยม รูปร่างแข็งแรงผู้หนึ่ง กำลังแกะรอยล่าสิงโตอยู่ ถึงแม้ว่าจะพยายามสอดส่ายสายตาด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งก็ตาม แต่ก็หาสังเกตเห็นเจ้าสิงโตตัวนั้นซึ่งอยู่ในระยะใกล้ๆข้างหน้าไม่

   ทันใดนั้นเอง สิงโตก็เผ่นลุกขึ้นตั้งท่ากระโจนตะครุบด้วยสัญชาตญาณของนักสู้ เขาก็ยกปืนไรเฟิลขนาด 30 แบบ 1903 สปริงฟิลขึ้นยิงถูกสิงโตตัวนั้นตรงหน้าอก ทำให้มันผงะหงายกลิ้งและดิ้นสิ้นชีวิตลงต่อหน้าเขาในขณะนั้น จากการตรวจบาดแผลดูก็ปรากฏว่า ปอดของมันเต็มไปด้วยเลือดอันเกิดจากการช็อคทางระบบน้ำนั่นเอง

   ชายผู้นั้น เมื่อกลับบ้านเกิดเมืองนอนของเขาแล้ว ก็ได้ประพันธ์สารคดีชิ้นหนึ่ง ยกย่องปืนขนาดนี้เป็นอย่างยิ่ง ในวรรณกรรมนั้นได้บรรยายว่า ปืนขนาดนี้เป็นปืนซึ่งเขารักและชอบมากที่สุดในจำพวกปืนทั้งหลายทั้งหมดที่เขามีอยู่

   ชายผู้นั้นคือ ท่านประธานาธิบดี “รูสเวลท์” ของประเทศ อเมริกานั่นเอง

   ท่านประธานาธิบดี “รูสเวลท์” จัดว่าเป็นบุคคลแรกผู้หนึ่งซึ่งใช้กระสุนขนาด .30-06 ในการล่าสัตว์ใหญ่

         นักล่าสัตว์ผู้ยิ่งใหญ่หลายท่าน นอกจากท่านประธานาธิบดีก็ได้ค้นพบอานุภาพอันมหัศจรรย์ของกระสุนขนาดนี้  และก็พอใจและชอบใจมันเป็นอย่างยิ่ง

            ในปัจจุบัน  กระสุนขนาด .30-06 จัดเป็นกระสุนสำคัญที่สุดของโลก  เสียงของมันดังกังวานและคำรามตลอดระยะเวลาของสงครามโลกครั้งที่ 2 และถ้าสงครามโลกครั้งที่ 3 มี  มันก็จะคำรามต่อไป  จะเป็นเช่นนั้นหรือไม่คอยดู

            หัวกระสุนของกระสุนขนาด .30-06  ก็มีหลายแบบหลายอย่าง และน้ำหนักก็ต่างๆกัน เพื่อใช้ในการล่าสัตว์ให้ได้มากโอกาสมากสถานการณ์  ในจำพวกกระสุนปืนด้วยกันแล้ว แบบและศิลปในการสร้างของกระสุนขนาดนี้มีมากที่สุด  ดังนั้นปืนขนาดนี้จึงเป็นปืนที่นิยมใช้กันมากที่สุด

            น้ำหนักของหัวกระสุนมีตั้งแต่ 110,  145,  150,  160,  172,  180,  190,  200,  220, และ  225 เกรน แต่หัวกระสุนหนัก   110,  150,  180, และ 220 เกรน   เป็นหัวซึ่งนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายมาก
             ในระหว่างหัวกระสุนทั้ง 4 น้ำหนักที่กล่าวถึงนี้  กระสุนขนาด 110 เกรน  นิยมใช้กันมากในการล่าสัตว์เล็กๆในทุ่งกว้างมีอัตราความเร็วต้นถึง 3,420 ฟุตต่อวินาที

             แต่ในการล่ากวางในทุ่งกว้างนั้น   มักนิยมใช้กระสุนขนาด 150 และ 180 เกรน   ซึ่งได้ผลแน่นอนกว่าขนาด 110 เกรน
             สำหรับการล่าสัตว์ในประเทศไทย  ในทัศนะของข้าพเจ้าแล้ว  ข้าพเจ้าชอบกระสุนขนาดหนัก 220 เกรนมากที่สุด
             จากการที่เคยผ่านชีวิตในการทำป่าไม้   และการล่าสัตว์ของข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าได้พิจารณาเห็นแล้วว่า   ถ้าไม่ต้องการจะทำการล่าช้างและยิงช้างกันแล้ว  ข้าพเจ้าจะสามารถเดินท่องเที่ยวไปในป่าของประเทศไทยทุกแห่งทุกตำบลด้วยความอุ่นใจด้วยปืนและกระสุนขนาดนี้  ที่กล่าวนี้ใช่ว่าข้าพเจ้ารักและชอบปืนขนาดนี้ปืนไรเฟิลที่ข้าพเจ้าชอบและรักมากที่สุด  และได้ใช้ยิงมากที่สุดคือปืนไรเฟิล อัดลม  ขนาด .22


  แล้วปืนที่ใช้กับ กระสุน ขนาดนี้ละครับ

           ปืนกระบอกนี้  เป็น ของท่าน วิจิตต์  ที่ เขียนถึง ใน เรื่อง  จงอ่าน รอดตายเพราะศูนย์ กล้อง

   เป็นปืนที่ไม่ธรรมดา เพราะ  มันคือ ปืน win Mod  70  Pre 64 Super Grade Featherweight ที่มีจำนวนการ ผลิต 321 กระบอก และ กระบอกนี้ ก็เป็น 1 ใน 321 นั้น มาดูซิหน้าตามันเป็น อย่างไร  สภาพ ภายนอก ก็ พอไปวัดไปวาได้ตอนสายๆๆ  แต่ ภายใน  นั้นเล่า ก็ ขนาด ผีมะขาม สนามหลวง  ทำงานแล้วไม่ค่อยจะยอมล้าง ก็ เลย อมโรค   จากปืนที่ไม่ธรรมดา ก็เลย เป็น ปืนอมโรค ธรรมดา ๆ 
   













ฝาปิด ซองกระสุน ก็ เป็น อัลลอย ครับ



 ถ้าจะบอกว่ากระสุนขนาด  .45 LC และ  .44 WCF [ .44-40 Winchester] เป็นกระสุนที่ สร้างชาติอเมริกา แล้วละก็กระสุนขนาด   .45 ACP และ  .30-06  ก็คง ต้องเป็นกระสุนที่ สร้าง ประเทศ มหาอำนาจ ให้อเมริกา  หลังจาก  สิ้น สงครามโลก ครั้งที่ 2 แล้ว ก็เกิดอาการ  เสร็จศึก ฆ่าอาชา เสร็จนา ฆ่า โคถึก  ( ผิดหรือเปล่า ถ้าผิดกรุณาช่วยท้วงติงด้วยครับ) คือ  ประมาณในปี 1950 ทางกองทัพแยงกี้ เห็นว่า กระสุน .30-06  มีขนาดความยาว และหนักมากเกินไป จึงได้มีโครงการ หากระสุนที่  มีอนุภาพ การทำลายที่ไม่ต่างจาก กระสุนขนาด .30-06 แต่ มีขนาดกระทัดลัด ลง เพื่อการขนส่งกำลังบำรุง จึง เกิด โครงการ T-65 ขึ้น และในขณะนั้น ก็มี องค์การสนธิสัญญา นาโต้ ขึ้น  เพื่อ ให้เป็นอันหนึ่ง ตัวเดียวกัน  ก็เลยตกลง กันว่า จะให้ใช้ กระสุน ขนาดเดียวกัน เพื่อ ใช้ร่วมกัน ในการช่วยเหลือ ทำให้เกิด  กระสุนขนาด    7.62 x51 mm NATO หรือ.308 win ส่วนตัวปืนนั้น  ประเทศใครประเทศมัน  บริษัทปืนประเทศไหน ยัดเงินอุดหนุนได้มากกว่า ก็ ซื้อจากเขาก็แล้วกัน ไม่ว่ากัน  กว่าที่ แยงกี้จะรับ 7.62X 51  เข้าประจำการ ก็ล่วงเลย เอาจนปี 1957  ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะ ต้องระบาย ไอ้เจ้า  M 1 หรือ  ปลยบ 88  ออกจาก ประเทศให้มากที่สุด เพราะ ช่วงสงครามโลก ทำไว้มาก  เก็บไว้ก็หนักประเทศ  จึง  แต่งตัวเป็น คราบ นักสังคมสงเคราะห์  เอา ไป จำหน่าย จ่ายแจก  ให้กับประเทศ ด้อยพัฒนา ได้ทั้ง เงิน ทั้งหน้า และ  ระบายขยะออกไป จากประเทศ  เพื่อ ที่จะรับ เจ้า M -14  กับ  M 60  เข้าคอก แต่ก็เป็นช่วงสั้นๆเท่านั้น เพราะ  มี กระสุน .223 ที่มาแรง ในสงคราม อเมริกาใต้และ เวียดนาม จวบจนถึงปัจจุบัน และเป็นกระสุนที่ ข้าพเจ้าไม่ชอบ เลยไม่เล่า
  เจ้า 7.62 NATO [.308 win]  นี้ รูปทรง องค์เอว จะเหมือน หรือเกือบเหมือน กับเจ้าโคเฒ่า .30-06 ไม่ว่าจะเป็น น้ำหนัก (หัวกระสุน) ความเร็ว และ การสังหารในระยะต่างๆ ตามที่ กองทัพต้องการ แต่ที่ ต่างกันกับ .30-06 ก็ เป็นเพียง ขนาดความยาวเท่านั้น ที่ .30-06 ถูกตัดให้สั้น เพื่อ การขนย้าย ให้ได้มากขึ้น  นั่นในแง่ ของทางการทหาร  แต่ที่จริงแล้ว กระสุนขนาดนี้  ถูกออกแบบโดย โรงงาน  Winchtester  เมื่อปี 1952  และ บังเอิญ  ดันไปเข้า ตา กรรมการ ของโครงการ T-65 เข้าก็เลย ไปโลด  เพราะ ผลประโยชน์  ร่วมกัน  ขอใช้วาทะของนักการเมือง หน่อย ว่า  มันโยงใย เหมือนกัน จาก ประท้วงจุดนี้ หรือ ด่ากันจุดนั้น   ไม่ว่า สูงต่ำซ้ายขวา  ถ้าผลประโยชน์ร่วมกันแล้ว ไซ้  จูบปากกันได้ตลอดเวลา  หน้าจอ ด่ากัน หลังจอ จูบปากกัน  รักกันปานจะ แหก-----ดม  เอาตายละหว่า กำลังคุยเรื่อง .308 อยู่ดี  หาเรื่อง ให้ถูก ลบ ชื่อ แล กระทู้เสียนี่  ท่านประธาน ที่เคารพ  ผมขอ พูดน้ำลาย ฟูมปากต่อนะ ขอรับ  และ ปืนกระบอกแรก หรือ กลไกการ ยิงกระสุน ขนาดนี้ ก็หนีไม่พ้น Win Mod  70 Pre 64 และ  Mod 88  Lever Action  จนในปี1954  ก็ เข้าสู่โครงการ T-65 กว่า ปืน M 14 จะ บรรลุ จุด สุดยอดก็ เข้าไปปี 1957 ช้าจังนะเธอ 
 แต่ ใน หมู่ นักล่า  แล้วมันไม่เป็นที่ถูกใจนัก มีอย่างเดียวเท่านั้น ที่ถูกใจ ก็ คือ มีของ ฟรี หรือ  ราคา ถูกไว้ยิงเล่น  สาเหตุที่ไม่ถูกใจนักล่า เพราะ  มันเป็นกระสุนที่ ถีบ แบบไม่มีสกุล รุนชาติ เอาเสียเลย ที่เป็นเช่นนั้น เพราะ  ปลอกกระสุนถูกตัดให้สั้น ทำให้ห้องเผาไหม้ดินปืนแคบลง จึงจำเป็น ให้ ต้องรีบ ๆทำให้เกิดการเผาไหม้ที่เร็วขึ้น เขื่อนก็พังถล่มทะลาย  นกกระจอกไม่ทันกินน้ำ แทนที่จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ช้าๆได้พร้าเล่มงาม ไหนๆก็เสียเงินแล้ว รีบไปทำไม ไม่เหมือนกับ  .30-06 ที่มีห้อง เผาไหม้ที่กว้าง กว่า  จึงทำให้เกิดอาการช้า ดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่ .308นั้น เธอ ทั้งตบและถีบที่ ด้วย อารมณ์ ขุ่นมัว   เพราะ รวดเร็วเกิน ไป มิใช่มีแต่ .308 win เท่านั้นยัง มี กระสุนชนิดนี้ อีกหลายแบบ เช่น  .300 win .458 win   เป็นต้น 

และคำถามต่อมา ว่า .308  ชายเอเชียร่างเล็ก มะขามข้อเดียว นั้น จะไปฟัดกับ แหม่ม .30-06 ร่างสูงยาวเข่าดี  ดั่ง พระอภัยกับนางผีเสื้อสมุทร ได้ไหม โปรดติดตามตอนต่อไป  หลังจาก จบเรื่องกระสุนที่ ข้าพเจ้าชอบ  ถ้าไม่ทวงถามก็ ตัวใครตัวมันนะ ขอรับ 




บันทึกการเข้า

หลงรัก  สินค้าต่างๆที่กระผมเสียเงินเสียเวลาเสียพลังงานนำเข้ามานั้นเพื่อเป็นพยานหลักฐานอันเป็นที่แน่ชัดในการคุยโม้คุยโตประกอบการคุยฟุ้งทั่วเวป มิได้แอบแฝงขายสินค้าแต่อย่างไร และไม่รับสั่งหรือช่วยนำเข้าแต่อย่างใด โปรดเข้าใจ  งอน
FABBRI
มาเป็นเหยื่อเสียดีๆๆ
Moderator
Sr. Member
*****

คะแนน 249
ออฟไลน์

กระทู้: 885



« ตอบ #4 เมื่อ: กรกฎาคม 04, 2008, 07:39:01 PM »

     .300 H&H Magnum














              ในปัจจุบัน มีกระสุน ขนาด หน้าตัด .300  นิ้ว นี้ออกมามากมาย หลายขนาน ส่วนมาก จะเป็นพวก ตัวใหญ่  หัวล่างจะเล็ก เพื่อ การวิ่งเร็ว ประเภท นกกระจอก ยังไม่ทันจิบ ก็ตายเสียแล้ว คือ พวกนี้จะวิ่งเร็วมาก เป้าหมาย ที่กระสุนตกกระทบ ตายก่อน ที่จะได้ยินเสียงปืน เสียด้วยซ้ำ  บางที่ผู้ ถูกกระสุนกระทบ รู้สึกว่ามีอะไร มาผ่านหัวใจ เลยตกใจ  วิ่งไปตั้งไกล จึงรู้ว่า ตูข้าถูกยิงนี่หว่า เอาตายก็ตาย
 กระสุน ขนาด  .300 นิ้วที่ ข้าพเจ้าชอบนี้  บรรจงสร้างสรรค์ โดย บริษัท  ที่ทำเศษ เหล็กให้เป็น ทอง ที่มีค่า คือ  H&H  เอาชื่อ เต็มๆ ก็ได้ เพราะ  เวลาคุยกับบางท่าน  ท่านนึกไปถึง ทีมฟุตบอล ไปเสีย นี่  ชื่อ ของ เขาคือ Holland & Holland  เลขที่  33 Bruton street กลาง มหานคร London   ซึ่งเป็นแหล่ง จับจ่าย ซื้อของ  ของผู้มีอันจะกิน จาก ทั่วทุกมุมโลก รวมทั้ง คนไทย  มันจึงมีชื่อ ว่า   “Holland’s  Super 30 ’’ เมื่อ ปี ค.ศ. 1925 แล้วก็ เปลี่ยนจาก Super เป็น Magnum ในภายหลัง  ในปี 1935 นาย Ben Comfort  ได้ใช้กระสุน นี้ ยิง เป้าระยะไกล คือ ระยะ 1000 หลา ที่ สนาม wimbledon ไม่ใช่ ยิงหัวนักเทนนิส นาดาว หรือ โรเจอร์  ที่กำลังแข่งกันอยู่ในขณะนี้นะครับ  เพียงแต่ว่าเป็นสนามยิงปืน อยู่ไม่ไกลกันนัก เขาก็ได้ ครองถ้วย รางวัล  และในชั่ว ข้ามคืน (คืนของพวกฝรั่งนานมาก เพราะมันใช้เวลา 2 ปี)  ในปี 1937 โรงงานปืน ต่างๆของ แยงกี้ ก็เริ่ม ทำปืน ขนาด .300H&H Magnum  ออกมาจำหน่าย   

       มีเรื่องเล่า จากการ เดินป่า หาสัตว์กิน เพราะ  ถ้าหายิงไม่ได้ ก็คงไม่เป็นไร  มันเพียง แต่อดคงไม่ถึงกับตาย  แต่มันก็หิวนะ ขอรับ  ท้องมันร้อง จอกๆ มีแต่น้ำเติม ลงไปไม่เต็มสักกะที   
     นายคนจ่ายกับข้าว ก็ ถือ เจ้า .300 H&H Magnum  ด้วยความมั่นใจว่ามีเงินเต็มกระเป๋า จับจ่ายสบายแน่ๆ  ก็ออกเดินด้วยความ ระมัดระวัง ยิ่งนัก  สอดสายตาหาอาหาร  ด้วยความมั่นอกมั่นใจ
  ฮั่นแน่พบแล้ว เนื้อ ที่ต้องการ จัดการซื้อมันเสียเลยด้วยราคา .300 H&H Mag  เสียงดังสนั่นหวั่นไหว  ตลาดแตกหมด  ผู้ สัตว์ วิ่งกัน กระเจิง ด้วยเสียง แหลมและกังวาน  ปรากฏว่า ไม่มีอะไรในกอไผ่  เป็นอันว่า วันนี้ต้องกิน น้ำต้ม หน่อไม้ ตามเคย
   แล้วเจ้านักจ่ายตลาด  มานั่งคุย ขณะที่กินหน่อไม้ต้ม แถมยังโม้อีกว่า  เห็น เงิน 180 บาท วิ่งข้าม หลังเนื้อ  สูงไปคืบกว่าๆ  นายนี้โม้ มโหฬาร  เพราะ  หัว 180 นะ มันวิ่ง 2880 ฟุต ต่อ วินาที่  มันยังเห็นลูกปืนวิ่ง ได้  นี่เป็นเรื่องขำๆ  ที่ได้ประสบ มาด้วยตนเองนะครับ   


                                                 กระสุนขนาด .300 แม็กนั่ม   ในบทความของท่าน วิจิตต์


            ในจำพวกกระสุนขนาด .30 นิ้ว   ทั้งหลายในปัจจุบันนี้กระสุนซึ่งเหมาะที่สุดสำหรับการล่าสัตว์ใหญ่ในระยะไกลๆ  ก็คือกระสุนขนาด .300 แม็กนั่ม
            กระสุนขนาด .30-60 ซึ่งนับว่าดีแล้วเมื่อเปรียบเทียบกันในด้านอานุภาพและประสิทธิภาพก็นับว่าแพ้กระสุนขนาดนี้อย่างเด็ดขาด  ยิ่งในการยิงเป้าในระยะไกลเช่นเป้าที่ระยะ 1,000 หลาแล้ว  ก็จะไม่มีหวังสู้กระสุนนี้ได้เลยทุกกรณี
             กระสุนขนาด .300 แม็กนั่ม   เป็นกระสุนที่มีอัตราความเร็วสูงที่สุด   และมีวิถีราบที่สุดในจำนวนกระสุนขนาด .30 นิ้วด้วยกัน  และก็เหมาะที่สุดในการยิงเป้าแข่งขันชั้นสูง
             การยิงเป้าแข่งขันชั้นสูง   มิใช่การยิงเป้าซึ่งยึดถือเอาแต่เพียงความแม่นยำของปืนและฝีมือของผู้ยิงเท่านั้น   การยิงเป้าแข่งขันชั้นสูงเป็นการยิงเป้าในระยะไกลๆตั้งแต่  800 หลาขึ้นไปในขณะที่มีแสงแดดกล้ากลางวันและขณะมีลมพัดแรง  ผู้ยิงซึ่งนอกจากจะเป็นผู้มีฝีมือดีแล้วยังจะต้องใช้สมองได้ดีด้วย รู้จักการแก้ไขการเล็งเป้าหมายอันผิดพลาดผิดที่ผิดตำแหน่งซึ่งมี สมุฎ ฐานมาจากการปรากฏเป็นภาพลวงตาตามธรรมชาติ     ในการตั้งเป้าในระยะไกล ๆ การปรากฏของภาพลวงตาจะเกิดมีขึ้น  นั่นก็คือภาพเป้าที่ท่านเห็นมิใช่เป็นตำแหน่งที่ตั้งของเป้าหมายอันแท้จริงเป้าหมายตั้งอยู่ที่ตำแหน่งหนึ่ง   แต่ภาพที่ท่านเห็นเป็นอีกที่หนึ่งต่างหาก  และถ้าท่านยิงปืนไปตรงภาพนั้นก็หมายความว่าท่านยิงไม่ถูกเป้าเลย
             กระสุน .300 แม็กนั่มในปัจจุบันมี 2 แบบ  คือ
1.   แบบของ  ฮอลแลนด์  แอนด์  ฮอลแลนด์ .300  H. &  H.  Magnum
2.   แบบของเวเธอร์บี้  .300  WM.  (Wetherby Magnum)
             หัวกระสุนขนาด  .300  แม็กนั่มเป็นอย่างเดียวและแบบเดียวกันกับหัวกระสุนของกระสุนขนาด  .30-60  ซึ่งจะนำมาใช้กันและกันได้  เพราะหลักการสร้างเหมือนกัน  และก็เป็นขนาด .30 นิ้วเช่นกัน
             แบบของเวเธอร์บี้   มีปลอกกระสุนใหญ่กว่าของฮอลแลนด์ฮอลแลนด์  ท่านจะนำกระสุนของแบบเวเธอร์บี้ไปบรรจุยิงในปืนซึ่งสร้างขึ้นเพื่อใช้แบบของฮอลแลนด์ไม่ได้  แต่จะนำเอากระสุนแบบของฮอลแลนด์ไปใช้ยิงในปืนแบบเวเธอร์บี้ได้อย่างปลอดภัย   แต่อัตราความเร็วที่ได้จะตกต่ำกว่านำไปยิงในปืนแบบฮอลแลนด์เอง   เมื่อนำกระสุนแบบฮอลแลนด์ไปยิงในปืนแบบเวเธอร์บี้แล้ว
ปลอกกระสุนจะขยายตัวให้โตขึ้นและใช้ต่างเป็นปลอกของเวเธอร์บี้ได้ในการบรรจุกระสุนหรืออัดกระสุนใหม่
             กระสุนแบบ .300 แม็กนั่มของเวเธอร์บี้   มีกำลังและความเร็วสูงกว่ากว่าแบบ .300 แม็กนั่มของฮอลแลนด์ และก็อาจจะกล่าวไว้ได้ว่า  อานุภาพและกำลังของกระสุน .300 แม็กนั่มของเวเธอร์บี้ เทียบเท่าหรือจัดอยู่ในอัตราเดียวและชั้นเดียวกันกับกระสุนขนาด .375 แม็กนั่มของฮอลแลนด์  และยิ่งกว่านั้นกระสุน .300 แม็กนั่มยังมีวิถีราบเรียบกว่า  และมีอานุภาพประหัตประหารที่ระยะไกลๆ ได้ดีกว่ากระสุนขนาด .375 แม็กนั่ม ของฮอลแลนด์ แอนด์ ฮอลแลนด์อีกด้วย

บันทึกการเข้า

หลงรัก  สินค้าต่างๆที่กระผมเสียเงินเสียเวลาเสียพลังงานนำเข้ามานั้นเพื่อเป็นพยานหลักฐานอันเป็นที่แน่ชัดในการคุยโม้คุยโตประกอบการคุยฟุ้งทั่วเวป มิได้แอบแฝงขายสินค้าแต่อย่างไร และไม่รับสั่งหรือช่วยนำเข้าแต่อย่างใด โปรดเข้าใจ  งอน
Beer Hunter
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 14
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 150



« ตอบ #5 เมื่อ: กรกฎาคม 04, 2008, 08:20:54 PM »

ชอบมากครับ มาต่อเรื่อยๆนะครับ  เยี่ยม เยี่ยม
บันทึกการเข้า
witthaya *รักในหลวง*
หวังเหวิดทุกคน
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 7
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 222



« ตอบ #6 เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2008, 06:43:58 AM »

มาเก็บความรู้ครับ

ขอบคุณครับ
บันทึกการเข้า

ผมลูกครึ่ง  สุราษฎร์ + กระบี่ ครับ
ruchi
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 59
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 396


« ตอบ #7 เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2008, 10:18:51 AM »

 ไหว้
บันทึกการเข้า

ในใจอยากได้สิบ
FABBRI
มาเป็นเหยื่อเสียดีๆๆ
Moderator
Sr. Member
*****

คะแนน 249
ออฟไลน์

กระทู้: 885



« ตอบ #8 เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2008, 07:35:19 PM »


                                                               .375  H&H Magnum










                             

                      เรากำลังคุยกันถึง .375 แม็ก ใหญ่ๆยาวๆ  นะครับ  ไม่ใช่ .357 แม็ก จุดจู๋
 
    ถ้าเอ่ยถึง ไรเฟิล .375 แม็ก แล้วละก็  ทุกท่านจะพูดเป็นเสียงเดียว กัน ว่า ไอ้หมอนี้ มันจะเอาไปยิงช้าง ที่ใกล้จะหมด จาก ป่าไม้  ป่าไผ่  เป็นแน่ๆ  นั่นมัน ยุคก่อน 1960  และ ป่า สับปะรด ที่กุยบุรี  ยุค มิเลเนี่ยม แต่ไม่ยักกะหมดจาก หนอง RCA หรือ หนอง พัฒพงษ์  ใน ป่าคอนกรีต ยุค 2006  อย่าคิดมาก ทุกคนมีสิทธิ์  นึก มี สิทธิ์ คิด   แต่  แต่  มีสิทธิ์ทำ มีสิทธิ์ยับยั้ง   หรือไม่นั้น  ก็อีกเรื่อง
เอ้าถึงไหนแล้ว อ้อ ถึงว่า  ทำไมปืน ขนาดนี้ จึง เป็นปืน ที่มีอยู่ในตู้ ปืน ของ พราน ทุกท่าน ที่มีปืน มากกว่า  1  กระบอก ที่เป็นเช่นนั้น เพราะ  มัน สามารถ ล่าสัตว์ ได้ทุกชนิด ในโลก  ดั่ง พระอภัย ยิงนางเงือก จนท้อง หรือ นางผีเสื้อสมุทรจนพุงใหญ่กว่าเก่า    มันไม่ใหญ่เกินไปสำหรับสัตว์ ขนาดเล็ก   และ ไม่เล็กเกินไปสำหรับ สัตว์ ขนาด ใหญ่  ถึง ใหญ่มาก มันแล้วแต่ ลีลาและชั้นเชิง ใช่ไหมท่าน
 มันถือกำเนิด  ที่ เกาะ อังกฤษ เมื่อปี  1912 โดย โรงงานปืน Holland  &  Holland  มันเป็นหนึ่งในกระสุน ต้นแบบ ที่  มีเข็มขัด  ไม่มีขอบ และ  แถมเป็นกระสุน แม็กนั่ม อีกต่างหาก ปรมาจารย์  นักล่าหลายท่าน ไม่ว่า จะเป็นรุ่นเก่าเฉกเช่น  John Taylor  James Mellon    หรือ รุ่นใหม่ อย่าง Craig Boddington  Peter  Capstick   ทุกท่านกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า  กระสุนขนาดนี้ เป็น All –round   Cartridges  คือมีขนาดเดียว ท่องทั่งโลก

     มันเป็นกระสุนที่เล็กที่สุดที่ ทางการ ทวีปอัฟริกา อนุญาต ให้ใช้ล่า Big Five ได้  นอกจากนี้  มันยังเป็นปลอกต้นแบบ (ปลอกขนาดเดียวกับ .300 H&H Mag แต่.300จะเรียวกว่า) ที่ถูกนำไป ทำกระสุน ขนาดอื่นๆ อีกมาก มาย เช่น 7 mm Rem Mag  8mm Rem Mag .416 Rem Mag   .458 Lott และเมื่อ นำปลอก .375 H&H Mag นี้  มาตัดคอออก ให้เหลือความยาว 2.5นิ้ว  มันก็จะเป็น .458  Win Mag แล้วถ้าลด บ่า บีบหัว ลงก็จะได้ขนาดต่อมา .338 Win Mag  .300 Win Mag  .264 Win Mag เป็นต้น


ปืนขนาดนี้ที่พบในเมืองไทย มักมี 2 ลักษณะ

    รูปลักษณ์ ภายนอก

1  สุดสวยใหม่เอี่ยม แม้นจะอายุมากแค่ไหน เพราะ  ได้แต่ตั้ง และนอน อยู่ในตู้  เอาไว้คุย
2  สุดโทรม จนหาที่ติมิได้ เพราะ ใช้ลากถูลู่ถูกัง  ในป่าดงพงไพร นอนกลางดินกลางน้ำ



  แต่ที่เหมือนกัน อยู่อย่าง  คือ อู่เครื่องใน จะใหม่มาก เป็นสาว เอาะๆๆ  เพราะ  ได้แต่พาออกงาน แต่ไม่ค่อยได้ใช้งาน
 
    ยี่ห้อนั้น มีพบมากหลาย ชนิดที่ไม่น่าจะมีก็มี  พวก Winchester ,  Remington ,  CZ ,  Sako , Ruger เป็นเรื่อง ธรรมดา  ยากขึ้นไปหน่อย ก็  FN , Anschutz  , Colt- Sauer, Anton Sodia Ferlach , Dakota ,   Mannlicher-Schoenauer M72  Heym ,   นอกจากนี้ก็มีที่หายากมากๆก็   H&H  Westley Richards  Rigby   เป็นต้น




 
             กระสุนขนาด  .375  แม็กนั่ม  ในความเห็น ของท่าน วิจิตต์

             ถ้าใครพูดว่าปืนไรเฟิลซึ่งใช้กระสุนขนาด .375 แม็กนั่ม มีแรงสะท้อนถอยหลังไม่มากหรือไม่แรง  ท่านอย่าไปเชื่อเขา
              มีนักล่าสัตว์ชาวตะวันตกผู้หนึ่งกล่าวว่า  “ความสะเทือนในการยิงกระสุนขนาด .375 แม็กนั่มนั้นทำให้ของ 4 สิ่งตกถึงพื้นดินในเวลาเดียวกัน”   เขาได้อธิบายว่าในฤดูหิมะตกฤดูหนึ่ง  เขาใช้กระสุนนี้ยิงกวางตัวหนึ่ง   เมื่อเขาลั่นปืนไปแล้วปรากฏว่าตัวเขาเองหงายท้องเพราะแรงถีบของปืน   ปืนของเขากระเด็นหลุดจากมือไปทางหนึ่ง  กวางซึ่งถูกกระสุนก็หงายท้องนอนตายทันที 
และหิมะซึ่งเกาะตามกิ่งไม้และใบไม้ของต้นไม้ซึ่งเขายืนยิงอยู่ใกล้ก็ล่วงกราวลงมายังพื้นดินหมด เพราะแรงสะเทือนของปืน

              ถ้าท่านปรารถนาจะใช้ไรเฟิลเพื่อการล่าสัตว์อย่างจริงๆ และในกรณีที่ท่านมีโอกาสหาปืนประจำตัวได้เพียงกระบอกเดียวท่านควรพิจารณาใช้ปืนขนาด .375 แม็กนั่มของฮอลแลนด์แอนด์ฮอลแลนด์เถิด  การเลือกปืนใช้ของท่านจะไม่ผิดเลย  และจะจัดได้ว่าเป็นการเลือกที่ดีที่สุด

              ถ้าท่านมีโอกาสหาปืนได้หลายกระบอกแล้วควรจะพิจารณาใช้ขนาดอื่นๆ  ซึ่งเล็กกว่าและเหมาะกว่าก่อนแล้วจึงจะมาหาขนาด .375 แม็กนั่มที่หลังสุด   เมื่อท่านใช้ปืนไปนานๆท่านจะพบว่าโอกาสที่จะใช้กระสุนขนาดนี้มีน้อยมาก และปืนขนาดนี้จะเป็นปืนซึ่งท่านใช้ยิงน้อยที่สุด

             จากการใช้อาวุธของข้าพเจ้าแล้วข้าพเจ้าขอกล่าวว่า  แรงสะท้อนถอยหลังหรือแรงถีบของ .375 แม็กนั่มนี้น่าดูทีเดียว ถ้าจะเทียบในความรู้สึกของข้าพเจ้าแล้ว   แรงถีบของมันก็มากกว่าลูกซองเดียวขนาด 12 ไม่เท่าไรนัก   แต่ร่างกายของข้าพเจ้าดูเหมือนว่าจะสู้ไม่ไหว   ข้าพเจ้าเคยใช้ปืนนี้ยิงเป้าในท่านั่งยิงเพียง 10 นัดติดๆกันเท่านั้น  ก็รู้สึกปวดไหล่และคร้ามการยิงปืนนี้ไปอีกหลายวัน  ในนัดแรกๆนัดที่ 1 นัดที่ 2 และนัดที่ 3 พอทนได้ พอนัดที่ 6 ถึงที่ 8 รู้สึกเต็มกลืนหน่อย ส่วนนัดที่ 9 และที่ 10 แล้วก็ดูเหมือนว่าฝืนใจยิงเลยทีเดียง
               
                กระสุนขนาด .375 ในปัจจุบันมี  2  แบบคือ

1.   แบบของฮอลแลนด์ แอนด์ ฮอลแลนด์  .375 H.& H. Magnum
2.   แบบของเวเธอร์บี้ .375  W.M.   ( Weatherby Magnum )
แบบของเวเธอร์บี้แรงกว่าของฮอลแลนด์ก็จริง  แต่มีผู้นิยมใช้แบบของฮอลแลนด์มากกว่า
ขนาด .375 นี้  เป็นชื่อที่นิยมหรือแต่งตั้งขึ้นมาใข้เรียกแบบของกระสุนเท่านั้น  ขนาดอัน
แท้จริงของกระสุนคือขนาด 9.5 มิลลิเมตรซึ่งใหญ่กว่าขนาด .38 เสียอีก ขนาด .38 เท่ากับ 9 ม.ม.

                 ปืนและกระสุนขนาด .375 แม็กนั่มนี้  บริษัทฮอลแลนด์ แอนด์ ฮอลแลนด์จำกัด แห่งกรุงอังกฤษเป็นผู้คิดประดิษฐ์ขึ้นก่อนในขั้นแรกนั้นมิได้เป็นกระสุนชนิดไม่มีขอบแบบซึ่งได้เห็นและได้ใช้กันทุกวันนี้  แต่เดิมนั้นเป็นกระสุนชนิดมีขอบหรือมีริม   ซึ่งเหมาะแก่การใช้ยิงในปืนไรเฟิลแฝด  เนื่องจากปรากฏว่ามีผู้นิยมใช้กันมาก ดังนั้นบริษัทฮอลแลนด์จึงคิดประดิษฐ์ดัดแปลงขึ้นใหม่ซึ่งเป็นกระสุนไม่มีริมดังปัจจุบัน  สำหรับใช้กับปืนไรเพิ่ลที่ต้องใช้แม็กกาซิน   ดังนั้นพึงจำไว้ว่ากระสุนขนาด .375 แม็กนั่มของฮอลแลนด์ แอนด์ ฮอลแลนด์มี 2  แบบ  อย่านำไปใข้ยิงแทนกันเข้า  แต่แท้จริงก็ใช้แทนกันไม่ได้  เมื่อเปรียบเทียบอานุภาพและกำลังแรงของดินกันในระหว่างแบบมีขอบรุ่นเก่าและแบบไม่มีขอบรุ่นใหม่แล้ว  อานุภาพของกระสุนรุ่นใหม่ชนิดไม่มีขอบดีกว่าและมีกำลังแรงมากกว่า

                  ในด้านรสนิยมในทางล่าสัตว์  ถ้าจะเปรียบกระสุนแบบนี้กับกระสุนขนาด .30-06 แล้วก็มีผู้กล่าวว่า   ปืนขนาด .30-06 เหมาะแก่การล่าสัตว์ทั่วไปในประเทศอเมริกาเท่านั้น  ส่วนปืนขนาด .375 เหมาะกับการล่าสัตว์ทั่วไปในโลกเลยทีเดียว

                   กระสุนที่นิยมใช้กันมี  3  แบบคือ

1.   กระสุนหัวอ่อน  ( Soft  Point )
2.   กระสุนหัวเงิน    ( Silver-tip )
3.   กระสุนหัวแข็ง    ( Full Patch )
 ในทัศนะหรือในการใช้ของข้าพเจ้า   ข้าพเจ้าชอบใช้กระสุนหัวอ่อนขนาด 270 เกรน   
เป็นประจำอยู่สำหรับในการบรรจุกระสุนเพื่อการล่าสัตว์  ส่วนกระสุนหัวเงินหนัก 300 เกรนนั้นใช้บ้างบางครั้งบางคราวเท่านั้น  ในการยิงกระทิง  แต่กระสุนหัวแข็งขนาด 300 เกรนยังไม่เคยใช้ยิงในการล่าสัตว์เลย  เพราะหาโอกาสใช้ได้อยากและยังไม่คิดจะใช้  กระสุนหัวอ่อนขนาด 270 เกรน
มีแรงสะท้อนถอยหลัง หรือแรงถีบน้อยกว่ากระสุนหัวเงินขนาด 300 เกรน  และน้อยกว่ากระสุนหัวแข็งขนาด 300 เกรน กระสุนหัวเงินและกระสุนหัวแข็งมีแรงถีบเท่ากัน  เพราะน้ำหนักของหัวกระสุนเท่ากับ 300 เกรน  เหมือนกัน
บันทึกการเข้า

หลงรัก  สินค้าต่างๆที่กระผมเสียเงินเสียเวลาเสียพลังงานนำเข้ามานั้นเพื่อเป็นพยานหลักฐานอันเป็นที่แน่ชัดในการคุยโม้คุยโตประกอบการคุยฟุ้งทั่วเวป มิได้แอบแฝงขายสินค้าแต่อย่างไร และไม่รับสั่งหรือช่วยนำเข้าแต่อย่างใด โปรดเข้าใจ  งอน
หลวงริน - รักในหลวง
ถ้าวันนี้ทำดี...เรื่องพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องกังวล
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 688
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8829


อยู่คนเดียวให้ระวังความคิดอยู่กับมิตรให้ระวังวาจา


« ตอบ #9 เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2008, 08:26:02 PM »

ขอบคุณครับพี่ ไหว้
บันทึกการเข้า
glock19
มีศีล ... มีสมาธิ ... มีสติ ... จะมีปัญญา
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 39
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1441


glock19


« ตอบ #10 เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2008, 09:10:19 PM »

คุณ FABBRI ครับอยากขอความรู้ของกระสุน .460 Weatherby ครับว่าออกแบบมาเพื่ออะไร  ใช้กับปืนอะไรบ้าง ในเมืองไทยมีไหมครับ  ดูขนาดกระสุนแล้วสวยสะใจมากครับ  เทียบกับ .22 แล้ว ยิ่งกว่าพ่อกับลูก  หัวกระสุนหนัก 500 เกรน แบบหัวอ่อนครับ  ขอบคุณมากครับ





บันทึกการเข้า

Glock19
FABBRI
มาเป็นเหยื่อเสียดีๆๆ
Moderator
Sr. Member
*****

คะแนน 249
ออฟไลน์

กระทู้: 885



« ตอบ #11 เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2008, 09:24:36 PM »

เมืองไทยมีครับ ประเภท  ใบป4 ถูกต้อง  แต่ปืนไป ต่อ เมืองนอก

 และ  ปืน อยู่เมืองไทย  แต่ ป4 ตกชั้นถูกลดขั้น เป็น 450

เอาไว้ยิงอะไร  ก็ ยิงทุกอย่างทั้ง เคลื่อนไหวได้และไม่ได้   แต่ที่แน่ๆ  คนยิงถูกถีบ หน้าหงาย ก่อน ผู้โดนยิงครับ
บันทึกการเข้า

หลงรัก  สินค้าต่างๆที่กระผมเสียเงินเสียเวลาเสียพลังงานนำเข้ามานั้นเพื่อเป็นพยานหลักฐานอันเป็นที่แน่ชัดในการคุยโม้คุยโตประกอบการคุยฟุ้งทั่วเวป มิได้แอบแฝงขายสินค้าแต่อย่างไร และไม่รับสั่งหรือช่วยนำเข้าแต่อย่างใด โปรดเข้าใจ  งอน
rute - รักในหลวง
Forgive , But not Forget .
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1990
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 22741


"ผลิดอกงามแตกกิ่งใบ..."


« ตอบ #12 เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2008, 11:44:36 PM »

ท่านพี่ FABBRI พอมีภาพกระสุน Soft point กับ Silver-tip ขนาด .375 H.&H. Magnum เทียบกันให้ชมไหมครับ...

ไม่ต้องเคาะหัว ผ่าปลอกอย่างครั้งก่อนก็ได้ครับพี่...คิก คิก
บันทึกการเข้า
นายต้นงิ้ว
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 479
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4867



« ตอบ #13 เมื่อ: กรกฎาคม 08, 2008, 12:01:58 AM »

ขอบคุณครับ ได้ความรู้มากเลย รอรับความรู้ต่อครับ
บันทึกการเข้า

พิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์
FABBRI
มาเป็นเหยื่อเสียดีๆๆ
Moderator
Sr. Member
*****

คะแนน 249
ออฟไลน์

กระทู้: 885



« ตอบ #14 เมื่อ: กรกฎาคม 08, 2008, 08:32:57 PM »



ต้องขออภัยท่าน Rute ด้วยครับ  ที่หา กระสุนขนาด .375 H&H Mag  Silver Tip  ไม่พบ แต่มันจะเหมือน กับ  .300H&H Mag ข้างๆละ ท่าน  และ  ได้นำ กระสุนที่เกิด จากปลอก (ไม่ใช่ถุงมีชัยนะยะ)  .375 H&H Mag  มาให้ดู เป็นบางส่วน ที่หา พบครับ   ท่าน ชลทุกทิศ  ห้ามถาม นะครับ มีกระสุนผิด กม. หรือเปล่าว
บันทึกการเข้า

หลงรัก  สินค้าต่างๆที่กระผมเสียเงินเสียเวลาเสียพลังงานนำเข้ามานั้นเพื่อเป็นพยานหลักฐานอันเป็นที่แน่ชัดในการคุยโม้คุยโตประกอบการคุยฟุ้งทั่วเวป มิได้แอบแฝงขายสินค้าแต่อย่างไร และไม่รับสั่งหรือช่วยนำเข้าแต่อย่างใด โปรดเข้าใจ  งอน
หน้า: [1] 2 3
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.18 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.287 วินาที กับ 24 คำสั่ง