วินทร์ เลียววาริณ
9 กุมภาพันธ์ 2551
เครื่องมือชิ้นหนึ่ง..ไม่นานเกินลืมมานี้ เพื่อนชาวต่างประเทศบางคนถามผมเมื่อเห็นข่าวผู้คนชุมนุมขับไล่รัฐบาลว่า "ทำไมพวกคุณจึงต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และมีความชอบธรรมที่จะปกครอง?"
คำถามนี้ตั้งขึ้นจากข้อสรุปว่า การเลือกตั้งคือประชาธิปไตย
เอ๊ะ! แล้วมิใช่หรือ?
แทบทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง ไม่เฉพาะแต่ในสยามประเทศ ประโยคหนึ่งที่ได้ยินบ่อยๆ ก็คือ "เรามีความชอบธรรมที่จะจัดตั้งรัฐบาล เพราะเราได้จำนวน ส.ส. สูงที่สุด"
ยุติธรรมดี เพราะตรงกับหลักการที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
แต่หากลองตรองดูก็พบว่า ในตรรกแห่งความยุติธรรมนี้ มีบางสิ่งที่ไม่เป็นตรรกแฝงอยู่
เป็นไปได้หรือไม่ที่คะแนนเสียงที่ได้มาเป็นคะแนนเสียงจัดตั้ง? เป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้ออกเสียงส่วนใหญ่ขายเสียง?
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง คำว่า 'ความชอบธรรม' ก็ไม่ชอบธรรมอีกต่อไป อย่างที่ท่านพุทธทาสภิกขุเคยบอกว่า แม้ประชาธิปไตยคือเสียงข้างมาก แต่ถ้าเสียงข้างมากไม่ดี ก็เป็นเสียงเลวๆ
การปกครองระบอบประชาธิปไตยริเริ่มโดยพวกกรีกก็จริง แต่แนวคิดนี้มีมาตั้งแต่สมัยอินเดียโบราณ ราวหนึ่งศตวรรษก่อนพุทธกาล บันทึกประวัติศาสตร์ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันบอกเราว่า รัฐบาลจำนวนมากมายในโลก (รวมทั้งรัฐบาลในประเทศประชาธิปไตยเต็มใบในโลกตะวันตก) มีสิทธิ์ครองเมืองร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ไม่ชอบธรรม!
ทว่าเนื่องจากความชอบธรรมเป็นสิ่งที่วัดยากกว่าคะแนนเสียง กลุ่มที่ได้คะแนนเสียงสูงสุด ส.ส. มากที่สุด จึงได้รับสิทธิการปกครองนั้น
ที่น่าขันขื่นก็คือ ระบอบเผด็จการหลายแห่งในโลกล้วนมาจากการเลือกตั้ง!
อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย อานันท์ ปันยารชุน กล่าวว่า "คำว่า 'ประชาธิปไตย' นั้นได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์เพื่อประโยชน์ของตนเอง สังเกตได้จากประเทศที่เป็นคอมมิวนิสต์ต่างๆ ล้วนใช้คำนำหน้าประเทศว่า 'ประชาธิปไตย' เช่น จีน หรือโรมาเนีย... ผู้นำหลายประเทศในโลกนี้ใช้ประชาธิปไตยเพื่อประโยชน์ของตัวเอง เช่น ฮิตเลอร์ ผ่านระบบการเลือกตั้งมาตลอด ไม่เคยทำรัฐประหาร หรือ เปรอง ของอาร์เจนตินา มาร์กอส ของฟิลิปปินส์ หรือ มูชาราฟ ของปากีสถาน ก็อยู่ในอำนาจ 7-8 ปี จากการเลือกตั้ง...
"เป็นเรื่องตลกมากที่ทุกประเทศเป็นประชาธิปไตยกันหมด แต่ไม่เคยมีใครพูดถึงสาระของประชาธิปไตยที่มีความชอบธรรม ใสสะอาดบริสุทธิ์ แม้แต่ประเทศอย่างสหรัฐฯ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ประธานาธิบดี บอกว่าอิรักเป็นประชาธิปไตยแล้ว เพราะมีรัฐธรรมนูญที่ตัวเองร่างเอง และมีการเลือกตั้งแล้ว เห็นได้ชัดว่าสหรัฐฯทุ่มเทการสร้างประชาธิปไตยในประเทศที่พวกตนมีอำนาจและ ให้ประโยชน์กับตัวเองได้ทั้งการทหารและการค้าเท่านั้น" *
การสรุปว่า "ประเทศของฉันเป็นประชาธิปไตยเพราะเรามีการเลือกตั้ง" จึงเป็นการมองโลกด้านเดียว เพราะประชาธิปไตยยังหมายถึงสิทธิมนุษยชน สิทธิในการร้องขอความเป็นธรรม สิทธิในการเห็นแย้ง เสรีภาพในการรวมกลุ่ม ฯลฯ
กติกาทำให้สังคมมีหลักการและแนวทางก็จริง แต่การเกาะยึดกับกติกาอย่างแน่นเหนียวเกินไป อาจทำให้เราติดบ่วงกติกาที่เราสร้างขึ้นเอง
ท้ายที่สุดแล้ว มาตรวัดความชอบธรรมน่าจะอยู่ที่เป้าหมายสูงสุดของสังคมนั้นๆ มากกว่ากติกา เพราะกฎหมายหนึ่งๆ เขียนขึ้นมาตามความเหมาะสมของแต่ละช่วงเวลา และเปลี่ยนแปลงได้เสมอ แต่จุดมุ่งหมายที่จะให้ชนในชาติมีความสุข สันติ ปรองดองกัน สำคัญกว่ากฎหมายทุกฉบับที่เขียนขึ้น
ในป่าลึกแห่งทะเลทรายกาลาฮารี แอฟริกา ชาวป่าบุชแมนไม่มีผู้นำ พวกเขามักรวมกลุ่มกันอยู่ราวหลายสิบคน และตัดสินใจเรื่องต่างๆ ด้วยการใช้เสียงส่วนใหญ่จนได้ข้อตกลงร่วมกัน (consensus) สตรีบุชแมนยังมีสิทธิเท่าเทียมบุรุษ
พูดง่ายๆ คือ 'เจตนารมณ์' น่าจะสำคัญกว่า 'กระบวนการ'
พุทธทาสภิกขุเคยบอกว่า ธรรมกับการเมืองเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ แยกกันเมื่อไร การเมืองก็กลายเป็นการทำลายโลกขึ้นมาทันที
การแสวงหาสิทธิในการปกครองแผ่นดินจึงมีมากกว่าแค่คะแนนเสียง และการเลือกตั้ง ต้องมีธรรมในการปกครองด้วย นั่นคือ 'ธรรมาธิปไตย'
ปกครองด้วยธรรม คนปกครองมีธรรม
หนึ่งในปัญหาสังคมบ้านเราก็คือ ความแตกแยกของคนกรุงกับคนชนบทถ่างกว้างจากกันมากขึ้นทุกที จนมีคำกล่าวที่น่าขมขื่นยิ่งว่า "คนต่างจังหวัดตั้งรัฐบาล คนกรุงล้มรัฐบาล" (คนละเรื่องกับหลักการ 'หนึ่งประเทศ สองระบบ' ของเมืองจีน)
จะโทษว่าชาวชนบทโง่ที่ยอมขายเสียง ก็ย่อมไม่เป็นธรรมต่อคนชนบทนัก อย่างที่ อานันท์ ปันยารชุน วิเคราะห์สาเหตุของความแตกต่างนี้ว่า "เนื่องจากมีการปกปิดข่าวสารข้อมูล ข้อเท็จจริงที่คนในเมืองได้รับสูงกว่าชาวบ้านชาวไร่ชาวนา มีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร... ไม่ใช่ว่าคนในเมืองหรือคนในชนบทคิดถูกหรือคิดผิด แต่เป็นเพราะขนาดข้อมูลที่ได้รับไม่พร้อม ไม่เท่าเทียมกัน เป็นความอยุติธรรมในสังคมอย่างหนึ่ง"
ความจริงก็คือ ประชาธิปไตยเป็นเพียงเครื่องมือชิ้นหนึ่งในการนำทางไปสู่ความสันติสุขของ ประชาชน แต่ก็อาจใช้เป็นช่องทางการทำธุรกิจได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้มันอย่างไร
คำโบราณกล่าวว่า "ปล้นบ้านเป็นโจร ปล้นแผ่นดินเป็นจักรพรรดิ"
มาถึงในยุคสมัยนี้ การปล้นแผ่นดินกระทำได้ง่ายดายกว่าเดิม ไม่ต้องถือดาบ แบกง้าว สะพายธนู ควงทวนออกไปรบพุ่งให้เมื่อยอีกต่อไป แต่สามารถใช้กติกาที่ถูกต้องตามกฎหมายนี่แหละปล้นแผ่นดิน
ใช่! ทุกอย่างสามารถทำให้ถูกกฎหมายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชาวบ้านได้รับข้อมูลเพียงด้านเดียว และบ่อยครั้งข้อมูลนั้นแนบมากับผลประโยชน์ส่วนตัวในคืนหมาหอน
ระบอบประชาธิปไตยของเราจึงเป็นเพียงหลักการสวยหรูที่มีแต่คนพูด ไม่มีใครปฏิบัติ จนอาจกล่าวได้ว่า เรามีประชาธิปไตยก็ต่อเมื่อคนมีอำนาจบอกว่าเรามีประชาธิปไตยแล้ว!
จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ นักเขียนรางวัลโนเบล ปี ค.ศ. 1925 กล่าวว่า "Democracy is a device that ensures we shall be governed no better than we deserve." (ประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือที่ทำให้แน่ใจว่า เราจะได้รัฐบาลที่ไม่ดีไปกว่าที่เราสมควรได้รับ)
จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ อาจชอบประชดประเทียดเสียดสีตามสันดานนักเขียนที่มองโลกในแง่ร้าย แต่คำกล่าวนี้ก็ตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยเรามาหลายยุคหลายสมัย นั่นคือใบหน้าของผู้นำสะท้อนใบหน้าของประชาชน
ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาบอกเราอย่างชัดเจนว่า ผู้ครองอำนาจทั่วโลกนิยมประชาชนที่โง่เขลา เพราะปกครองคนโง่นั้นง่าย...
และปกครองคนโง่ที่โลภ ยิ่งง่ายเข้าไปอีก
คำถามคือ แล้วเราจะทำอย่างไร ในเมื่อมองไปทางไหนก็ไม่เห็นเงาของ 'ธรรมาธิปไตย' ?
บางที 'ธรรมาธิปไตย' อาจมิใช่เพียงแค่การปกครองด้วยธรรม และคนปกครองมีธรรม หากรวมไปถึงประชาชนต้องมีธรรมด้วย ต้องตาสว่าง แยกให้ออกระหว่างความดีกับความชั่ว แจงให้ออกว่า ใครเป็นโจรปล้นบ้าน ใครเป็นโจรปล้นแผ่นดิน
ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การไปเยือนคูหาเลือกตั้งทุกสี่ปี ไม่ใช่การยืนตรงเคารพธงชาติวันละสองเวลา แต่ผู้คนต้องมีหน้าที่แสวงหาความรู้ สร้างจิตสำนึก และจริยธรรม
มิเช่นนั้นก็อายพวกบุชแมนเปล่าๆ