http://www.isranews.org/investigative/investigate-private-crime/item/49660-report_49660.html เปิดคำพิพากษาศาล ปค.สูงสุด โฉนดบ้านหรูบนเขา 18 ไร่นักวิชาการดังใช้ส.ค.1 บิน
ชัดๆ!เปิดคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คำสั่งอธิบดีกรมที่ดินเพิกถอนโฉนดบนเขา 18 ไร่ 2 งาน
อ่าวทุ่งทราย อ.ปะทิว จ.ชุมพร ของนักวิชาการสกุลดัง ทำโดยชอบ หลักฐานมัดแน่น ใช้ ส.ค.1 บิน
หลังเจ้าตัวฟ้องถอนคำสั่ง อ้างซื้อมาโดยสุจริต ไม่ย้ายออกจากพื้นที่
กรณีปัญหาบ้านพักตากอากาศของนักวิชาการชื่อดังบนเชิงเขา อ่าวทุ่งทราย หมู่ 3 ต.ปากคลอง อ.ปะทิว จ.ชุมพร
มูลค่านับร้อยล้านบาทของนักวิชาการชื่อดังซึ่งถูกกรมที่ดินมีคำสั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ตั้งแต่ 2548
หรือเป็นเวลากว่าสิบปี แต่ทว่าเจ้าของบ้านยังครอบครองที่ดินเรื่อยมาและยังไม่ได้รื้อถอนบ้านแต่อย่า
กระทั่งเจ้าหน้าที่ทหารบก.ควบคุม มทบ.44 เข้าไปตรวจสอบและผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร
มีคำสั่งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงซึ่งขณะนี้ยังไม่ปรากฎผลสรุปนั้น
สำนักข่าวอิศรา
www.isranews.org สรุปข้อมูลเกี่ยวข้องกับที่ดินแปลงนี้ดังนี้
เจ้าของที่ดินคือนายพิริยะ ไกรฤกษ์ นักวิชาการ มีเอกสารสิทธิ์เป็นโฉนดเลขที่ 16128 ต.ปากคลอง อ.ปะทิว จ.ชุมพร
เนื้อที่ 18-2-50 ไร่ ออกมาจาก น.ส.3 ก. 2 แปลง เลขที่ 1472 และ เลขที่ 1473
น.ส.3 ก. แปลงแรก เลขที่ 1472 ออกมาจาก ส.ค.1 จำนวน 2 ใบ เลขที่ 13 และ เลขที่ 125
น.ส.3 ก. แปลงที่สองเลขที่ 1473 ออกมาจาก ส.ค.1 เลขที่ 124
กรมที่ดินมีคำสั่งเพิกถอนโฉนด เมื่อวันที่ 26 ก.ค.2548 ต่อมาวันที่ 23 ม.ค. 2549
นายพิริยะ ไกรฤกษ์ ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นคดีหมายเลขดำที่ 22/2549
โดยมีอธิบดีกรมที่ดินเป็นผู้ถูกฟ้อง เพื่อให้เพิกถอนคำสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดิน เลขที่ 16128
วันที่ 11 ส.ค.2552 ศาลปกครองจังหวัดนครศรีธรรมราชตัดสินยกฟ้อง เห็นว่าคำสั่งเพิกถอนโฉนด
ของกรมที่ดินเลขที่ดังกล่าวกระทำโดยชอบ เนื่องจาก คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของกรมที่ดิน
สรุปสอบชัดเจนว่า กระบวนการให้ได้มาซึ่งเอกสารสิทธิ์ ผู้ขอออกเอกสารสิทธิ์ใช้หลักฐาน ส.ค.1 ของที่ดินแปลงอื่น
มาขอออกเอกสารสิทธิ์ (ส.ค.1บิน) แม้อ้างว่าซื้อมาโดยสุจริต
หลังจากทางการได้ออกเอกสารสิทธิ์แล้วก็ตาม (คดีหมายเลขแดงที่ 110/2552)
ต่อมา 30 ก.ย. 2552 นายพิริยะ ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปครองสูงสุด กระทั่งวันที่ 16 พ.ค.2555
ศาลปกครองสูงสุด พิพากษายืนตามศาลปกครองจังหวัดนครศรีธรรมราช (คดีหมายเลขแแดงที่ อ.176/2555)
สำนักข่าวอิศราสืบค้นคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุด
และ เรียบเรียงคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดมาเสนอ
ปัญหาที่ต้องพิจารณาว่าคำสั่งของผู้ถูกฟ้องที่ 2110/2548 ลงวันที่ 26 ก.ค.2548
เรื่องการเพิกถอนโฉนดที่ดิน เลขที่ 16128 ต.ปากคลอง อ.ปะทิว จ.ชุมพร เป็นคำสั่งทางปกครองที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฎว่าโฉนดที่ดินเลขที่ เลขที่ 16128 ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
และผู้ถูกฟ้อง (อธิบดีกรมที่ดิน) ได้มีคำสั่งที่ 1670/2557 ลงวันที่ 22 มิ.ย.2547
เรื่อง ตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามความในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อดำเนินการสอบสวนว่าได้มีการออกโฉนดที่ดิน
หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยคลาดเคลื่อนหรือโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ซึ่งในการสอบสวนคณะกรรมการสอบสวนได้ดำเนินการสอบสวนพยานหลักฐาน
พร้อมทั้งมีหนังสือแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีในฐานะผู้มีส่วนได้เสียทราบ เพื่อให้โอกาสคัดค้านการเพิกถอน
ซึ่งผู้ฟ้องคดี (นายพิริยะ) ได้มีหนังสือลงวันที่ 10 สิงหาคม 2547 คัคค้านการเพิกถอน
โดยอ้างว่าซื้อที่ดินดังกล่าวมาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย
ซึ่งคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาพยานหลักฐานต่างๆแล้วเห็นว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)
เลขที่ 1472 และ เลขที่ 1473 ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากออกโดยอาศัยหลักฐาน
แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) ของที่ดินแปลงอื่น จึงมีผลทำให้โฉนดที่ดิน เลขที่ 16128
ซึ่งออกโดยอาศัยหลักฐาน น.ส.3 ก.ทั้งสองแปลง ไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย
และได้รายงานผลการสอบสวนให้ผู้ถูกฟ้องคดีทราบซึ่งรองอธิบดีกรมที่ดินผู้ได้รับหมายจากผู้ถูกฟ้องคดี
พิจารณาแล้วเห็นด้วยกับความเห็นของคณะกรรมการสอบสวน จึงได้มีคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินที่ 2110/2548
ลงวันที่ 26 ก.ค.2548 เพิกถอนโฉนดที่ดิน เลขที่ 16128 พร้อมทั้งหลักฐานเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง
เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม
โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ 9) พ.ศ.2543
ประกอบกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวีธีการในการตั้งคณะกรรมการสอบสวน
การแจ้งให้ผู้มีส่วนได้เสียเพื่อให้โอกาสคัดค้านฯ แล้ว ดังนั้น คำสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดินลงวันที่ 26 ก.ค.2548
เรื่องการเพิกถอนโฉนดเลขที่ เลขที่ 16128 ต.ปากคลอง อ.ปะทิว และเอกสารที่เกี่ยวข้อง จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
กรณีที่ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์ว่า ผู้ฟ้องได้สิทธิการครอบครองที่ดินจากเจ้าของที่ดินคนเดิมซึ่งเป็นผู้ครอบครองที่ดินที่แท้จริง
แม้เอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องจะเป็นโมฆะใช้บังคับไม่ได้ก็ตาม ย่อมไม่กระทบสิทธิการครอบครองที่ดินที่มีอยู่เดิม
การที่ผู้ฟ้องคดี ขอออกโฉนดที่ดินสำหรับที่พิพาทและทางราชการได้ออกโฉนดที่ดินให้
ย่อมเป็นการรับรองถึงความถูกต้อง และแม้ที่ดินในอำเภอปะทิวจะถูกประกาศเป็นเขตปฏิรูปที่ดิน
ก็ไม่กระทบถึงการครอบครองที่ดินของผู้ฟ้องคดี เพราะที่ดินบริเวณดังกล่าวมิได้เป็นที่สาธารณะหรือที่ดินหวงห้ามของทางราชการนั้น
เห็นว่า ข้อเท็จจริงปรากฎว่าการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1472 และ เลขที่ 1473
เป็นการออกเฉพาะราย ตามมาตรา 59 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งผู้ฟ้องคดีและนางชุบ แสงเดช
ได้ยื่นคำขอโดยอาศัย หลักฐาน แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 13 เลขที่ 125 และเลขที่ 124 ตามลำดับ
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ส.ค.1 ที่ผู้ฟ้องคดีและนางชุบ มิใช่เป็นผู้มีสิทธิครอบรองที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมาย
ที่จะมีสิทธิขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะรายตามมาตรา 59 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินได้
ส่วนการเปลี่ยนแปลงเขตปฏิรูปที่ดินจะมีผลทำให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีอาจออกหนังสือแสดงสิทธิ
ในที่ดินในที่พิพาทให้แก่ผู้ฟ้องคดีได้หรือไม่ ก็ต้องเป็นตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการตามที่ประมวลกฎหมายที่ดิน
บัญญัติไว้ และไม่มีผลทำให้โฉนดที่ดินเลขที่ 16128 เป็นโฉนดที่ดินโดยชอบแต่อย่างใด
ประกอบกับ ผู้ฟ้องคดีมิได้แสดงพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่าแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1)
เลขที่ 13 เลขที่ 125 และเลขที่ 124 เป็นหลักฐานของที่พิพาทที่สามารถนำมาออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)
เลขที่ 1472 และเลขที่ 1473 ตามลำดับ ได้แต่อย่างใด
คำอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีฟังไม่ขึ้น ที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องนั้นศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วยในผล