๏ฟฝ๏ฟฝ็บบ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝสน๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝาปืน
เมษายน 20, 2024, 12:05:19 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เว็บบอร์ด อวป. สามารถเข้าได้ทั้งสองทาง คือ www.gunsandgames.com และ www.gunsandgames.net ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: บทความ "พระอาจารย์.....อยู่ช่วยหม่อมฉันก่อน"  (อ่าน 2141 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Colt Rampant
Full Member
***

คะแนน 21
ออฟไลน์

กระทู้: 435



« เมื่อ: ตุลาคม 04, 2006, 05:40:44 PM »

เก็บมาฝากจาก เวป.ผจก.ครับ
คิดว่ามีพี่ๆและเพื่อนๆหลายคนใน อวป.นี้ถ้าได้อ่านแล้วคงจะมีทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย
ท่านที่เห็นด้วยผมคิดว่าพอเข้าใจ

แต่ท่านที่ไม่เห็นด้วยกับบทความนี้ อยากให้ช่วยแสดงความคิดเห็นครับ ว่าทำไมถึงไม่เห็นด้วย



"พระอาจารย์.....อยู่ช่วยหม่อมฉันก่อน"

วันที่ 3 ตุลาคม 2549 เป็นวันครบรอบวันประสูติ 93 พรรษาแห่งสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ประมุขสงฆ์ไทย พระผู้ซึ่งสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้าทรงเรียกขานว่าพระอาจารย์
       
       นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของราชอาณาจักรไทย ตลอดจนผู้คนทั้งปวงได้พากันไปเฝ้าเพื่อถวายพระพรเนื่องในมงคลสมัยอันสำคัญนี้
       
       ทรงมีน้ำพระทัยอันเปี่ยมด้วยพระเมตตาคุณดุจดังห้วงมหรรณพ ในมหามงคลสมัยนี้พระองค์ทรงประทานพระพุทธรูปสำคัญให้แก่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ได้เข้าไปกราบถวายพระพรเกือบจะพร้อมกับนายกรัฐมนตรี
       
       เราจึงขอบอกกล่าวมายังพี่น้องประชาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตยทั้งมวลว่าพระพรและของขวัญซึ่งทรงประทานนั้นย่อมแผ่ไพศาลไปยังพี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่าด้วยเช่นเดียวกัน
       
       ย่อมเป็นที่ประจักษ์แก่ตาของประชาชนชาวไทยทั่วประเทศแล้วว่าพระสุขภาพพระพลานามัยขององค์พระประมุขสงฆ์ไทยในวันนี้ทรงมีความสมบูรณ์สมกับความที่ทรงพระชนมพรรษาถึง 93 พรรษา
       
       หากจะเทียบกับผู้มีอายุขนาดนี้รายอื่นแล้ว พระองค์ก็ยังทรงมีพระสุขภาพและพระพลานามัยที่แข็งแรงดีกว่าคนจำนวนมาก
       
       พี่น้องประชาชนคงจะจำกันได้ว่าในเดือนสิงหาคม ปี 2547 องค์พระประมุขสงฆ์ไทยทรงประชวร มีพระอาการมาก มีข่าวลือหนาหูเป็นระยะ ๆ ว่าจะทรงสิ้นพระชนม์เพราะการประชวรในครั้งนั้น
       
       แล้วต่อมาสื่อมวลชนก็ได้รายงานข่าวว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมพระอาการ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
       
       และมีรายงานข่าวเล็ก ๆ จากการให้ข่าวของแพทย์หรือพยาบาลซึ่งอยู่ในที่เฝ้าว่าก่อนเสด็จกลับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคุกเข่าลงข้างเตียงที่ประทับ และทรงตรัสว่า
       
       “พระอาจารย์ พระอาจารย์ หม่อมฉันขออาราธนาว่าอย่าเพิ่งละสังขาร ขอให้อยู่ช่วยหม่อมฉันก่อน”
       
       สื่อมวลชนได้รายงานข่าวว่าสิ้นพระสุรเสียงที่รับสั่ง บรรดาผู้ที่อยู่ในที่นั้นพากันร่ำไห้ระงมด้วยความซาบซึ้งและสะเทือนใจที่องค์พระประมุขของชาติทรงมีความเคารพ มีความผูกพันต่อพระสังฆราชา ซึ่งเป็นพระอาจารย์ถึงเพียงนี้
       
       ข่าวดังกล่าวได้ทำให้ผู้อ่านจำนวนมากพากันน้ำตาไหลด้วยความเคารพ ความรัก ความศรัทธา ความบูชาสูงสุดที่มีต่อพระองค์ท่าน และทำให้ได้เห็นคุณค่าตลอดจนน้ำพระทัยแห่งความกตัญญู ความเคารพบูชาศรัทธามั่นในพระพุทธศาสนา
       
       หลังจากวันนั้นแล้วพระอาการประชวรของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ก็พ้นจากระยะวิกฤต ทุเลาลงโดยลำดับ จนวันเวลาล่วงมาสองปีกว่าแล้ว
       
       สำหรับชาวพุทธแล้วย่อมมีความยินดี ย่อมมีความอิ่มเอิบเบิกบานใจเพราะย่อมรู้และเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่าการที่เป็นไปเช่นนี้เป็นผลมาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงไว้ซึ่งภูมิธรรมขั้นสูงในพระพุทธศาสนา ทรงสามารถอาราธนาเพื่อขยายอายุขัยของผู้ทรงธรรมได้ ดังที่ทรงอาราธนาท่านพุทธทาสภิกขุว่าอย่าเพิ่งดับขันธ์มาหนหนึ่งแล้ว
       
       และย่อมเป็นผลมาจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงบรรลุภูมิธรรมขั้นสูง ถึงขั้นที่สามารถเจริญอิทธิบาท ขยายเวลาอายุสังขารได้ดังปรารถนา ดังปรากฏความอันมีมาในพระสูตรนั้นแล้ว
       
       ในปีนี้ก็เห็นกันได้ชัด ๆ ว่าทรงมีพระสุขภาพพลานามัยที่ดียิ่ง ทรงปฏิบัติพระราชสมณกิจได้อย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าการลงปาติโมกข์ การฟังธรรม การรับการเยี่ยมถวายสักการะต่าง ๆ ซึ่งเหล่านี้คือการปฏิบัติภาระหน้าที่ขององค์พระประมุขแห่งคณะสงฆ์ไทย
       
       เมื่อเป็นเช่นนี้คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชจึงสมควรจะได้พิจารณาว่าถึงเวลาอันพึงยุติการปฏิบัติหน้าที่แทนแล้วหรือไม่ เพราะเมื่อทรงปฏิบัติหน้าที่ได้แล้วก็ต้องถือว่าภารกิจของคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนเป็นอันสิ้นสุดลง
       
       พิจารณากันเสียเองจะดีกว่าที่จะให้ใครมาเรียกร้องหรือท้วงติงเพราะจะเป็นการไม่งาม อนึ่งเล่าการพิจารณาความจริงเสียเองจะดำรงรักษาความเป็นที่เคารพศรัทธาเอาไว้ได้ดีกว่า ทั้งจะเป็นสิริมงคลแก่วงการคณะสงฆ์ไทย ตลอดจนชาวพุทธทั้งมวลด้วย
       
       ใน 4-5 ปีมานี้มีคนคิดการใหญ่ หวังยึดครองเอาพระพุทธศาสนามาใช้เป็นเครื่องมือของพรรคการเมือง วางแผนคิดการจะตั้งสังฆราชของตนเองแทนที่สมเด็จพระสังฆราชซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนา
       
       แล้วสมคบกันยึดอำนาจของพระสังฆราชาอย่างหน้าด้าน ๆ จำกัดและข่มเหงย่ำยีพระองค์ท่านอย่างอุบาทว์ชาติชั่ว แม้จะทรงพระกรณียกิจใด หรือแม้สื่อมวลชนจะถ่ายทอดพระกรณียกิจ ก็ต้องขออนุญาตจากผู้ถืออำนาจเถื่อน
       
       เราขอฟ้องต่อพี่น้องชาวพุทธทั้งประเทศให้ได้รู้ทั่วกันว่าการกระทำที่อุบาทว์ชาติชั่วเช่นนี้กระทบกระเทือนน้ำพระราชหฤทัยสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าถึงเพียงไหน
       
       บัดนี้เงาอสูรร้ายผ่านพ้นไปแล้ว ฟ้าเบิกอรุณอันแจ่มใสแล้ว นิยายเรื่องสังฆราชวังจันทร์ส่องหล้าต้องถึงบทสุดท้ายแล้ว จึงเป็นเรื่องที่พุทธบริษัททั้งปวงจะต้องร่วมกันทำความถูกต้องดีงามให้เกิดขึ้น เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของราชอาณาจักรและพุทธบริษัททั้งหลาย
       
       เราเห็นว่าอาเพศวิปริตทั้งหลายที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเกิดจากความคิดชั่ว ก่อ อนัตริยกรรมขึ้นในพระพุทธศาสนา ก่ออนัตริยกรรมแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ นับเป็นบาปฉกรรจ์อันแม้พระแม่ธรณีก็จะไม่ยอมรองรับซากศพ
       
       จึงเป็นเหตุให้เกิดเภทภัยที่ไม่เคยเกิดก็มาบังเกิด เป็นเหตุให้บังเกิดโรคที่ไม่เคยเกิดก็มาบังเกิด ทำให้คนไทยเป็นทุกข์เข็ญ และเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า
       
       ฝนฟ้าก็ไม่ตกต้องตามฤดูกาล เดือนดาวก็อาเพศวิปริต ราชการบ้านเมืองก็วิปริตผันแปรไป ไก่ตัวเมียก็ขันได้กลายเป็นไก่ตัวผู้ จนในที่สุดพระสยามเทวาธิราชก็ไม่อาจอดรนทนอยู่ต่อไปได้ จึงต้องแผ่พระบารมีดลจิตดลใจให้นายทหารผู้ภักดีต่อชาติราชบัลลังก์เข้ายึดอำนาจการปกครอง
       
       วิกฤตที่สุดในโลกหยุดลงแล้ว แต่นี้ไปจะเป็นเรื่องของการกอบกู้ฟื้นฟูชาติให้เป็นปกติสุข ซึ่งเราขอเสนอสองประการ คือ
       
       ประการแรก ขอเสนอต่อคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชได้พิจารณายุติบทบาทและถวายพระอำนาจคืน ซึ่งอาจรวมถึงการแก้ไขกฎหมายคณะสงฆ์ในเรื่องที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกันด้วย
       
       ประการที่สอง ขอเสนอต่อท่านนายกรัฐมนตรีได้กำหนดการทำบุญประเทศครั้งใหญ่ ล้างซวยที่คนกาลีเมืองเข้าไปทำพิธีไสยในโบสถ์วัดพระแก้วด้วยการเจริญมหาราชปริตรเพื่อขจัดปัดเป่าสรรพทุกข์ สรรพโรค สรรพภัย และเพื่อปกป้องราชอาณาจักร ตลอดจนประชาชนไทยทั้งประเทศให้มีความปลอดภัย มีความสงบสุขและรุ่งเรืองดังเดิม
       
       ทำเสียก่อนวันที่ 22 ตุลาคม ศกนี้ ก็จะเป็นการดียิ่ง!

เครดิต.....ผู้จัดการ
บันทึกการเข้า

ถ้าใจไม่สู้เสียแล้ว ร้อยปืนพันปืนที่มีอยู่ในมือก็ไร้ประโยชน์
 
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.18 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.052 วินาที กับ 21 คำสั่ง