๏ฟฝ๏ฟฝ็บบ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝสน๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝาปืน
เมษายน 30, 2024, 02:37:16 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เว็บบอร์ด อวป. สามารถเข้าได้ทั้งสองทาง คือ www.gunsandgames.com และ www.gunsandgames.net ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1] 2
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: อยากรู้ครับ  (อ่าน 5040 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
FUFUFUFU
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: กันยายน 26, 2006, 10:18:50 PM »

               คือว่าอยากจะรู้ครับว่า "ผงชูรส"
         มันทำมาจากอะไรครับ ทำไมถึงกินมากๆไม่ดี กินมากๆแล้วหัวจะล้านจริงไหมครับ
     ถ้ามันทำมาจาก มันสำปะหลังจริง ( ฟังเค้าว่ามา ) ทำไมถึงกินมากๆไม่ได้ครับ กินมากๆก็ยิ่งดีสิครับ
   เพราะหัวมัน มีแต่สารอาหารที่เป็นประโยธต่อร่างกาย หรือว่ามันคือสารเคมีชนิดหนึ่งครับ เจ้าผงชูรส เนี้ย
   ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบกิน ผงชูรส มากๆ แต่ไม่รู้ว่าทำมาจากอะไร และ ทำไมกินมากๆไม่ได้
     ขอบคุณครับ
บันทึกการเข้า
☆ *~PLOY~* ☆
Hero Member
*****

คะแนน 62
ออฟไลน์

กระทู้: 4191



« ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 26, 2006, 10:27:11 PM »

              ลองอ่านดูครับเรื่องผงชูรส อะไรที่มันมากเกินไปก็ไม่ดีน้อยเกินไปก็ไม่ดีครับ เรื่องกินเเล้วหัวล้านเรื่องนี้ไม่ยืนยันครับเเต่ผมเองชอบกินอาหารใส่ผงชูรส ตอนนี้ปาไปห้าเเสนเเล้วอีกห้าเเสนครบล้าน.................... หัวเราะร่าน้ำตาริน ตกใจ น้ำลายหก
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9C%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B8%AA
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 26, 2006, 10:29:56 PM โดย PLOY » บันทึกการเข้า

[URL=h
Sig228-kolok
KU47 AGGIE / SOTUS HS9VOL
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2947
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 40236



« ตอบ #2 เมื่อ: กันยายน 26, 2006, 10:32:31 PM »

ด้วยความเคารพครับ...

ลองอ่านตามลิงค์ดูครับ...http://www.thaihealth.info/nutrition32.asp

ขอบคุณครับ..............
บันทึกการเข้า

ขายที่ดิน 20 ไร่ บริเวณคลอง 8 อ.ธัญบุรี จ.ปทุมฯ ไร่ละ 1.8 ล้าน โทร 086-2859988
กดที่นี่ >>http://www.wikimapia.org/#lat=14.0499777&lon=100.7824481&z=17&l=0&m=b
M 60 - 7 รักในหลวง
๗๗๖๙ "จับตาทุกความเคลื่อนไหว เฝ้าฟังทุกคำพูดของผู้คิดร้ายทำลายชาติ"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1562
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2569



« ตอบ #3 เมื่อ: กันยายน 26, 2006, 10:47:33 PM »

เคยได้ยินว่าผงชูรสใช้ห้ามเลือดได้ด้วย ไม่ทราบว่าจริงเท็จแค่ไหนครับ
บันทึกการเข้า
นายต้นงิ้ว
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 479
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4867



« ตอบ #4 เมื่อ: กันยายน 26, 2006, 10:56:42 PM »

เคยได้ยินว่าผงชูรสใช้ห้ามเลือดได้ด้วย ไม่ทราบว่าจริงเท็จแค่ไหนครับ
เป็นตราชฎานะครับถ้าจำไม่ผิด
บันทึกการเข้า

พิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์
AR15
Full Member
***

คะแนน 3
ออฟไลน์

กระทู้: 292


« ตอบ #5 เมื่อ: กันยายน 26, 2006, 11:48:50 PM »

เห็นว่าเมื่อก่อนเอาไปสกัดทำสารตั้งต้นยาเสพติดได้ด้วยนะครับ ไม่แน่ใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ
บันทึกการเข้า
วัฒน์
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4114
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 17223


เนรเทศยกโคตรดีกว่านิรโทษยกเข่ง


เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: กันยายน 27, 2006, 12:02:14 AM »

 Smiley เอามาฝากคุณ.ฟูฟู และเพื่อนๆครับ

งานวิจัยชิ้นล่าสุดกินผงชูรสมากอาจทำให้ตาบอด?
วารสาร นิว ไซเอินทิสต์ ฉบับวันเสาร์ที่ 26 ตุลาคมตีพิมพ์ผลวิจัยของนักวิจัยญี่ปุ่นที่เตือนให้ระวังอย่าบริโภคโมโนโซเดียมกลูตาเมทหรือผงชูรสมากเกินไป เพราะอาจทำให้ตาบอดได้

เนื่องจากทีมนักวิจัยนำโดยนายฮิโรชิ โอกูโระ แห่งมหาวิทยาลัยฮิโรซากิในญี่ปุ่นทดลองแบ่งหนูออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกให้กินอาหารที่ใส่ผงชูรสมาก ๆ ส่วนอีกกลุ่มกินอาหารใส่ผงชูรสปานกลาง และกลุ่มที่สามกินอาหารที่ไม่ใส่ผงชูรสเลย

ปรากฎว่าหนูกลุ่มแรกที่กินอาหารใส่ผงชูรสมากที่สุดมีปัญหาตามองไม่เห็น และเยื่อเรตินาหรือเยื่อชั้นในสุดของส่วนหลังลูกตาที่มีหน้าที่รับภาพจากแก้วตานั้นบางลงไปถึง 75% และผลทดสอบการทำปฏิกิริยากับแสงปรากฏว่าหนูมองไม่เห็นเลย

ส่วนหนูกลุ่มที่กินอาหารปนผงชูรสปานกลางก็ได้รับความเสียหายเช่นกัน แต่ไม่มากเท่ากลุ่มแรก


ทั้งนี้ผงชูรสคือกรดอะมิโนที่ทำหน้าที่เป็นสารเคมีที่ช่วยส่งสัญญานสื่อสารในหมู่เซลสมอง และคนเอเชียนิยมใช้ปรุงอาหารหรือใช้เป็นส่วนผสมของขนมขบเคี้ยว

ผลการศึกษาหลายรายการก่อนหน้านี้พบว่า เมื่อฉีดผงชูรสเข้าไปในตาโดยตรง มันจะไปทำลายประสาทเสียหาย แต่วารสารนิว ไซเอินทิสต์ ระบุว่า ผลวิจัยล่าสุดของนายโอกูโระนับเป็นงานวิจัยชิ้นแรกที่แสดงให้เห็นว่า อาหารที่ใส่ผงชูรสก็อาจทำให้ตาบอดได้เช่นกัน โดยนักวิจัยพบผงชูรสในปริมาณเข้มข้นสูงอยู่ในของเหลวใสที่เป็นน้ำหล่อเลี้ยงเยื่อเรตินา จึงสรุปว่าผงชูรสจะเกาะอยู่ที่เซลเยื่อเรตินาบางส่วน และจะทำลายมันในที่สุด อีกทั้งจะเข้าไปก่อกวนการทำงานของเซลที่ยังเหลืออยู่ในการส่งสัญญานไปยังสมอง

นักวิจัยกลุ่มนี้ระบุว่า อาหารที่มีผงชูรสเป็นส่วนประกอบในปริมาณ 20% ถือว่าเป็นสัดส่วนสูง แม้ยังไม่ทราบแน่ชัดว่ากินผงชูรสในปริมาณเท่าใดจึงจะไม่เป็นอันตราย แต่ถึงกินในปริมาณน้อย มันก็อาจจะสะสมไว้นานเป็นสิบ ๆ ปี ก่อนออกฤทธิ์ในภายหลัง นายโอกูโระกล่าวว่า ผลวิจัยชิ้นนี้อาจอธิบายได้ว่าทำไมคนในแถบเอเชียตะวันออกถึงเป็นโรคต้อหินในอัตราสูง โดยเฉพาะเมื่อวัยขึ้นต้นด้วยเลขสี่

การตอบโต้จากอย.
พลันที่มีข่าวจากนักวิจัยญี่ปุ่นดังกล่าวออกมา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)ของไทยก็ได้ออกมาตอบโต้ทันทีว่า การวิจัยของนักวิจัยญี่ปุ่นทีมดังกล่าวมีการใช้ผงชูรสในอาหาร 20 กรัมต่อน้ำหนักอาหาร 100 กรัม ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงคิดเทียบได้กับอาหารที่เป็นก๋วยเตี๋ยว 1 ชามในปริมาณน้ำหนัก 300 กรัม ใช้ผงชูรสถึง 60 กรัม หรือเทียบเท่าผงชูรส 12 ช้อนชา ต่อการบริโภค 1 ครั้ง ซึ่งไม่ใช่วิธีของการปรุงอาหารตามปกติอยู่แล้ว

พร้อมกันนั้นก็ได้รับรองว่าการบริโภคจะไม่เกิดอันตรายกับผู้บริโภค โดยอ้างการประเมินค่าความปลอดภัยของผงชูรสที่คณะผู้เชี่ยวชาญทางด้านอาหารระดับนานาชาติ คือ JECFA (joint FAO/WHO Expert Committee on Food Additives) ทำอยู่แล้ว โดยมีการทดสอบทางด้านความเป็นพิษแบบพิษเฉียบพลัน พิษเรื้อรัง ผลระบุว่าผงชูรสมีความเป็นพิษต่ำมากจนไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงอันตรายต่อผู้บริโภค ด้วยข้อมูลดังกล่าวทำให้อย.ไม่ได้มีมาตรการกำหนดให้มีการแสดงคำเตือนใด ๆ บนฉลาก และออกมารับรองทุกครั้งว่าผงชูรสสามารถกินได้โดยปลอดภัย ตามวิธีการกินโดยปกติ

แต่ขณะเดียวกันอย.ก็ยอมรับเช่นกันว่า มีคนเคยต้องพิษจากการบริโภคผงชูรสไปหลายรายแล้ว แต่อย.จะใช้คำว่า คนกลุ่มนั้นบริโภคผงชูรสโดยวิธีการที่ไม่ปกติ เช่น กินขนมครกจิ้มผงชูรส หรือผงชูรสผสมพริกกับเกลือ เป็นต้น รวมไปถึงกลุ่มคนที่แพ้ผงชูรสโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แต่อันตรายที่เกิดขึ้นอย.มักเน้นเสมอมาว่าเป็นอันตรายเพียงเล็กน้อยที่เกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงแล้วจะหายไปเอง เช่น อาการชาที่ปาก ลิ้น ปวดกล้ามเนื้อบริเวณโหนกแก้ม ต้นคอ หน้าอก หัวใจเต้นช้า ปวดท้อง คลื่นไส้ กระหายน้ำ วูบวาบ เป็นต้น แต่อย.ก็ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่ากลุ่มอาการเหล่านี้ใช่กลุ่มอาการ “ภัตราคารจีน” หรือ “Chinese Restaurant Syndrome” หรือไม่

ความกังขาของผู้บริโภคและนักวิชาการ
พลันที่ อย.ได้เสนอข่าวการันตีความปลอดภัยให้กับผงชูรสโดยไม่มีงานวิจัยของตัวเองอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน ซึ่งเกิดขึ้นอยู่หลายครั้ง ทำให้เกิดความสับสนขึ้นในหมู่ผู้บริโภคและนักวิชาการบางส่วนที่เห็นว่าผงชูรสมีอันตราย

รศ.ดร.พิชัย โตวิวิชญ์ หนึ่งในนักวิชาการที่ติดตามข้อมูลพิษภัยของผงชูรสมาอย่างยาวนานได้รายงานไว้ในเอกสารชิ้นหนึ่งว่า ทุกครั้งที่มีข่าวเกี่ยวกับพิษภัยของผงชูรสออกมามักจะมี “ข่าวแจก” ออกมาสู่สื่อมวลชนอย่างทันทีทันใด โดยมักจะอ้างว่าเป็นข่าวจาก อย. มีหัวจดหมายของ อย. อย่างดี เนื้อหาสาระใน “ข่าวแจก” มักจะซ้ำ ๆ ซาก ๆ ดังเช่นการท่องจำแบบนกแก้วนกขุนทอง ยกตัวอย่างเช่น

-- อ.ย.ระบุผู้บริโภคอย่าหวั่นวิตกอันตรายจากผงชูรส

- อ้าง “ผลงานนานาชาติมีการตรวจสอบแล้วว่าผงชูรสมีความเป็นพิษต่ำมาก” โดยไม่วิเคราะห์ผลงานนานาชาติเหล่านั้นว่ามาจากนักวิชาการระหว่างประเทศที่รับเงินจากบริษัทผุ้ผลิตผงชูรสหรือไม่ และมีความไม่ถูกต้องในการวิจัยอย่างไร

- อ้าง “คณะผู้เชี่ยวชาญ JECFA ระบุว่าผงชูรสมีความเป็นพิษต่ำมากจนไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงอันตรายต่อผู้บริโภค และสามารถกินได้โดยปลอดภัยตามวิธีการกินโดยปกติ” ข้อนี้ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงการซ่อนเร้นข้อมูลของ JECFA อย่างไรก็ตาม JECFA ก็ไม่เคยแนะนำให้ใช้ผงชูรสกับเด็กทารก และกลับแนะนำว่า ผงชูรสจะปลอดภัยได้เฉพาะตามวิธีการกินปกติ ซึ่งพฤติกรรมการกินผงชูรสของคนไทยในปัจจุบันไม่ปกติเหมือนประเทศอื่น ๆ เช่น มีการใส่ผงชูรสในอาหารประเภทปิ้ง ย่าง เผา ซึ่งผงชูรสจะแปรเปลี่ยนเป็นสารก่อมะเร็งได้ หรือการกินข้าวเหนียวจิ้มผงชูรส ส้มตำ น้ำจิ้ม ฯลฯ ล้วนแต่ใส่ผงชูรสกันอย่างมากมายเกินความจำเป็นทั้งนั้น

รศ.ดร.พิชัยระบุเพิ่มเติมว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะการที่ผู้ผลิตผงชูรสมีอิทธิพลต่อหน่วยงานของรัฐ และนักวิชาการที่เกี่ยวข้องกับโภชนาการในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นในหลาย ๆ ประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และรวมถึงประเทศไทย แม้แต่ในประเทศสหรัฐอเมริกาเอง ผู้ผลิตผงชูรสถึงกับให้เงินสนับสนุนการจัดตั้ง คณะกรรมการวิชาการระหว่างประเทศเกี่ยวกับเรื่องกลูตาเมตหรือผงชูรสที่เรียกว่า International Glutamate Technical Committee หรือ IGTC จ้างนักวิชาการที่มีชื่อเสียงให้ทำการทดลอง เพื่อหักล้างผลการทดลองของนักวิชาการอิสระที่ได้พิสูจน์แล้วว่า ผงชูรสมีพิษภัย โดยใช้เล่ห์กลในการทดลองหรือซ่อนเร้นอำพรางข้อความจริง รวมทั้งใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้อง เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่าผงชูรส “ปลอดภัย”

สำหรับประเทศไทย รศ.ดร.พิชัยระบุว่า มีเอกสารชิ้นหนึ่งที่ยืนยันว่าอย.มีความเกี่ยวพันกับบริษัทผู้ผลิตผงชูรสในลักษณะของการรับจ้างทำงานวิจัย เอกสารชิ้นนี้พิมพ์เผยแพร่อย่างกว้างขวางในช่วงปี 2526 และพิมพ์แจกต่อ ๆ มาอีกหลายปี เอกสารดังกล่าวเป็นผลงานของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุขเรื่อง “การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการเกิดการตอบรับต่อกลุ่มอาการ “ภัตราคารจีน” กับการบริโภคโมโนโซเดียมกลูตาเมต”

โดยหลักฐานที่ชี้ชัดว่า โครงการนี้ได้รับเงินจากบริษัทผู้ผลิตผงชูรสก็ตรงที่กิติกรรมประกาศซึ่งผู้ทำวิจัยจะต้องประกาศขอบคุณผู้มีอุปการะคุณที่ทำให้ผู้วิจัยทำงานได้สำเร็จลุล่วงลงด้วยดี และผู้ที่ให้อุดหนุนสำหรับการวิจัยในครั้งนี้ทั้งหมด ได้แก่ คณะกรรมการวิชาการระหว่างประเทศเกี่ยวกับเรื่องกลูตาเมตหรือผงชูรส หรือ IGTC นั่นเอง ซึ่งรศ.ดร.พิชัยระบุว่าผู้ผลิตผงชูรสเป็นผู้ให้การสนับสนุน

ขณะเดียวกัน IGTC ยังเป็นที่ปรึกษาของโครงการนี้อีกด้วย รศ.ดร.พิชัยจึงเห็นว่า ไม่แปลกใจที่ผลงานวิจัยชิ้นนี้จะสรุปออกมาว่า “ผลการวิจัยครั้งนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า ลักษณะการใช้และการบริโภคโมโนโซเดียมกลูตาเมต (หรือผงชูรส) ของคนไทยในปัจจุบันนี้ ไม่น่าเป็นที่ห่วงกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มในการบริโภคในปริมาณที่มากจนเกินไป และไม่มีหลักฐานแสดงถึงความเชื่อมโยงกันในระหว่างการเกิดอาการผิดปกติบางอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับการไวรับที่สูงมากผิดปกติต่อการใช้โมโนโซเดียมกลูตาเมตแต่อย่างใด”

พูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือ ไม่น่าห่วงใยในการใช้ผงชูรสในปริมาณที่ไม่มากจนเกินไป และกลุ่มอาการ “ภัตราคารจีน” หรือ “Chinese Restaurant Syndrome” ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผงชูรสแต่อย่างใด

รศ.ดร.พิชัยเห็นว่าผลสรุปดังกล่าวไม่ตรงกับความเป็นจริง ทั้งนี้เพราะทั่วโลกทราบกันเป็นอย่างดีแล้วว่า กลุ่มอาการ “ภัตราคารจีน” ซึ่งจะมีอาการชาที่ลิ้น ริมฝีปาก แก้ม หรือต้นคอ บางคนหายใจไม่ปกติคล้ายหืดหอบ วิงเวียนศีรษะ และบางคนมีอาการคล้ายโรคหัวใจ หรือมีจ้ำสีดำขึ้นตามตัวอาการเหล่านี้เกิดมาจากผงชูรสอันเนื่องจากฝรั่งไปรับประทานอาหารจีนซึ่งมักจะใส่ผงชูรสแล้วเกิดอาการต่าง ๆ ขึ้น จึงได้ขนานนามของกลุ่มอาการนี้ว่า “Chinese Restaurant Syndrome” หรือกลุ่มอาการ “ภัตราคารจีน” นั่นเอง

ที่มา : มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
บันทึกการเข้า

ฟ้าและดินไม่เห็นไม่เป็นไร ไม่ได้หวังให้ใครจดจำ
แม้ยากเย็นแค่ไหน ไม่เคยบ่นสักคำ ไม่มีใครจดจำ แต่เราก็ยังภูมิใจ

จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา จะยอมรับโชคชะตาไม่ว่าดีร้าย
ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ถึงเวลาก็ต้องไป เหลือไว้แต่คุณงามความดี
วัฒน์
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4114
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 17223


เนรเทศยกโคตรดีกว่านิรโทษยกเข่ง


เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: กันยายน 27, 2006, 12:05:10 AM »

เพิ่มเติม

ได้มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผงชูรสกันมากและพบว่าสารเคมีตัวนี้มีพิษภัยต่อคนและสัตว์ทดลองมากมาย อย่างไรก็ดีข้อมูลเหล่านี้ก็มักจะถูกตอบโต้จากฝ่ายสนับสนุน(ผู้ผลิตและหน่วยงานรัฐ)ผงชูรสอยู่เสมอมา ในขณะที่ทุกวันนี้คาดกันว่ามีผงชูรสใช้อยู่ในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 60 ล้านกิโลกรัมต่อปี



 
17 ธันวาคม 2545


ผงชูรสแท้ไม่อันตราย ผงชูรสปลอมอันตราย
ประเด็นนี้ รศ.ดร.พิชัย เห็นว่าอย.แสดงการสนับสนุนธุรกิจของบริษัทผงชูรสอย่างเห็นได้ชัด ทุกครั้งที่ผ่านมาเมื่อมีข่าวเกี่ยวกับพิษภัยของผงชูรสออกมาครั้งใด อย.มักจะออกมาแก้ต่างแทนผู้ผลิตผงชูรสอยู่เสมอ ๆ และมักจะเน้นย้ำว่า “ผงชูรสแท้ไม่อันตราย แต่ให้ระวังผงชูรสปลอมจะเกิดอันตรายได้” ตบท้ายข่าวด้วยแนะนำวิธีทดสอบผงชูรสปลอมด้วยกระบวนการทดสอบบอแรกซ์และโซเดียมเมตาฟอสเฟต

ความจริงที่ผู้บริโภคควรทราบในประเด็นนี้คือ สมัยก่อนผงชูรสจะมีราคาแพง พ่อค้ามักจะปลอมปนด้วยสารเคมีที่มีลักษณะคล้ายคลึงผงชูรส ได้แก่ บอแรกซ์ หรือเกลือโซเดียมเมตาฟอสเฟต ซึ่งมีราคาถูกกว่าแต่มีพิษภัยมากกว่าผงชูรส

อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังเมื่อผงชูรสมีราคาถูกลงมาก และถูกกว่าราคาของบอแรกซ์และโซเดียมเมตาฟอสเฟต จึงไม่มีการปลอมปนด้วยสารเคมีทั้ง 2 ตัวนี้แล้ว หากจะมีสารอื่นปลอมปนอยู่ในผงชูรสก็มักใช้น้ำตาลทรายหรือเกลือแกงแทน ซึ่งกลายเป็นว่าผงชูรสมีอันตรายน้อยกว่าผงชูรสแท้เสียด้วยซ้ำ

พิษภัยของผงชูรส
ได้มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผงชูรสกันมากและพบว่าสารเคมีตัวนี้มีพิษภัยต่อคนและสัตว์ทดลองมากมาย อย่างไรก็ดีข้อมูลเหล่านี้ก็มักจะถูกตอบโต้จากฝ่ายสนับสนุน(ผู้ผลิตและหน่วยงานรัฐ)ผงชูรสอยู่เสมอมา ในขณะที่ทุกวันนี้คาดกันว่ามีผงชูรสใช้อยู่ในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 60 ล้านกิโลกรัมต่อปี

ในที่นี้จะขอกล่าวพิษภัยของผงชูรสที่มีผลกระทบต่อคน 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ กลุ่มคนที่แพ้ผงชูรส กลุ่มคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับไต และกลุ่มทารกและหญิงมีครรภ์ ซึ่งมีการเรียกร้องมาโดยตลอดว่า ผงชูรสหรืออาหารที่ใช้ผงชูรสควรมีคำเตือนว่า “ไม่ควรใช้ผสมอาหารสำหรับทารกหรือหญิงมีครรภ์หรือคนป่วยและผู้ที่แพ้ผงชูรส”

การแพ้ผงชูรส
มีข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่งยืนยันว่าการกินอาหารที่มีผงชูรสผสมอยู่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือ Chinese Restaurant Syndrome ได้ซึ่งจะมีอาการชา และร้อนวูบวาบที่ ปาก ลิ้น ใบหน้า โหนกแก้ม ต้นคือ หน้าอก บางคนมีผื่นแดงเกิดขึ้นตามตัว แน่นหน้า อก หายใจไม่สะดวก เป็นต้น

น.พ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล เลขาธิการชมรมอยู่ร้อยปี-ชีวีเป็นสุข ได้กล่าวว่า ความจริงแล้วไม่น่าจะเรียกว่าเป็นอาการแพ้ เพราะหลายคนที่มีข้อมูลว่าเคยแพ้ผงชูรสแต่เมื่อไปกินอาหารที่มีผงชูรสอยู่แต่ในปริมาณไม่มากก็ไม่เกิดอาการแพ้แต่อย่างใด ดังนั้นจึงน่าจะเรียกว่าเป็น อาการการต้องพิษผงชูรส อันเนื่องจากการบริโภคในปริมาณที่สูงจะเหมาะสมกว่า เพราะจะมีอาการเมื่อได้รับผงชูรสในปริมาณสูง ซึ่งร่างกายของแต่ละคนจะมีจุดที่ต้องพิษจากผงชูรสในปริมาณที่แตกต่างกันไป

น.พ.บรรจบได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า มีการเก็บข้อมูลจากองค์การนานาชาติที่ว่าด้วยการไม่บริโภคผงชูรสพบว่า เมื่อ 3 ปีที่แล้ว มีข้อมูลแสดงว่ามีคนต้องพิษผงชูรสประมาณ 15% แต่มา ณ ปัจจุบันพบว่ามีคนต้องพิษผงชูรสสูงขึ้นถึง 30% โดยอาการต้องพิษที่พบมีหลายลักษณะ เช่น หน้าชา มือสั่น หัวใจเต้นเร็ว หัวใจเต้นช้า ปวดหัวไมเกรน และขอยืนยันว่าอาการเหล่านี้ไม่ใช่อาการแพ้ผงชูรส แต่เป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับผงชูรสในปริมาณที่มากเกินไปจนทำให้การทำงานของร่างกายผิดปกติ

กินผงชูรสมากอาจตายเพราะไตวาย
เป็นที่รู้กันว่าการกินเค็มสัมพันธ์กับโรคความดันเลือดสูง เรื่องนี้เป็นคำยืนยันจากการศึกษางานวิจัยใน 24 ประเทศทั่วโลกในผู้คนถึง 47,000 คน ว่าถ้าลดปริมาณการบริโภคโซเดียมได้จะลดระดับความดันเลือดได้ และแน่นอนว่าความดันเลือดสูงนาน ๆ ทำให้เกิดภาวะไตวายด้วย กินโซเดียมมากจึงเพิ่มไตวาย ถ้าลดโซเดียมได้ก็ลดไตวายด้วย

ผงชูรส เป็นสารที่มีโซเดียมสูงแต่ไม่เค็ม ดังนั้นผงชูรสจึงยิ่งมีอันตรายสูงเพราะถ้ามีความเค็มผู้บริโภคจะยับยั้งตัวเองได้ แต่โซเดียมในผงชูรสไม่มีรสเค็ม เพียงหวาน ๆ คาว ๆ ล่อลิ้นคนกิน ยิ่งเติมยิ่งติดใจ กว่าจะรู้ตัวว่าโดนโซเดียมจากผงชูรสเข้าไปเยอะก็เมื่อกินอาหารมื้อนั้นอิ่มแล้ว เกิดอาการกระหายน้ำอย่างหนักนั่นแหละ

ปกติในวันหนึ่ง ๆ ร่างกายของเราควรกินโซเดียมไม่เกินวันละ 2,300 –2400 มิลลิกรัม หรือเท่ากับเกลือราว ๆ 6 กรัม หรือ 1 ช้อนชากว่า ๆ ผงชูรส 1 ช้อนชา มีโซเดียม 492 มิลลิกรัม แล้วคุณตอบได้ไหมว่า วันหนึ่งคุณได้รับผงชูรสจากทางไหนบ้าง และรับไปมากน้อยแค่ไหน

อาหารที่คุณอาจเจอผงชูรส

ประเภทปิ้งย่างทอด หมูปิ้ง,ไก่ทอด,ไส้กรอกย่าง,ทอดมัน,ปาท่องโก๋,หนังปลาทอด,ลูกชิ้นปิ้ง,แคบหมู,หมูสะเต๊ะ


ประเภทอาหารเนื้อ หมูยอ,แหนม,ไส้อั่ว


ประเภทอาหารสำเร็จรูป บะหมี่ซอง,โจ๊กสำเร็จรูป,ขนมกรุบกรอบ,สาหร่ายสำเร็จรูป


ประเภทเครื่องปรุงรสอาหาร ซีอิ๊วหลายยี่ห้อ,น้ำปลาหลายยี่ห้อ,น้ำมันหอยหลายยี่ห้อ,ซุปก้อนหลายยี่ห้อ,ซอสมะเขือเทศหลายยี่ห้อ,ประเภทอาหารตามร้าน,น้ำแกงสุกี้,น้ำแกงก๋วยเตี๋ยว,น้ำแกงจุ่มแซป,อาหารจีนทุกชนิด,ส้มตำ,ซุปหน่อไม้และอาหารอีสานหลายชนิด


ประเภทพิศดาร พริกกับเกลือสำหรับจิ้มผลไม้วัยรุ่นใช้ใส่น้ำอัดลม เชื่อว่าเพิ่มความต้องการทางเพศ


เด็กและสตรีมีครรภ์ต้องห่างไกลผงชูรส
มีข้อมูลทางวิชาการมากมายที่สะท้อนให้เห็นว่ามีอันตรายมากมายที่อาจเกิดขึ้นจากการบริโภคผงชูรสดังที่ล้อมกรอบเอาไว้ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีเหตุผลไหนที่ผงชูรสจะถูกยกเว้นให้ไม่ต้องแสดงข้อห้ามสำหรับกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงค่อนข้างสูงอย่างเด็กและสตรีมีครรภ์

เมืองไทยได้เคยมีประกาศของกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 8(2515) ลงวันที่ 18 มีนาคม 2515 กำหนดให้ฉลากผงชูรสต้องแสดงข้อความว่า “ไม่ควรใช้ผสมอาหารสำหรับทารกหรือหญิงมีครรภ์”

แต่ต่อมากระทรวงสาธารณสุขก็ได้มีประกาศฉบับที่ 62(2521) ยกเลิกข้อความดังกล่าวทิ้งไป ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจว่า ผงชูรสมีความปลอดภัยใช้ผสมอาหารสำหรับทารกได้หรือหญิงมีครรภ์ก็รับประทานได้โดยไม่มีข้อจำกัดแต่อย่างใด ทำให้ตลาดผงชูรสเติบโตในเมืองไทยได้อย่างรวดเร็ว จนกระทั่งทุกวันนี้ประชาชนทั่วไปก็ไม่ได้สนใจว่าผงชูรสจะมีอันตรายต่อร่างกายของตนเองมากน้อยแค่ไหน ต่างใช้ผงชูรสในการประกอบอาหารกันแทบทุกร้านทุกครัวเรือน



พิษภัยและอันตรายที่เกิดจากผงชูรส
- ทำให้เกิดอาการแพ้ผงชูรส ซึ่งจะมีอาการชา และร้อนวูบวาบที่ ปาก ลิ้น ใบหน้า โหนกแก้ม ต้นคือ หน้าอก บางคนมีผื่นแดงเกิดขึ้นตามตัว แน่นหน้า อก หายใจไม่สะดวก เป็นต้น จนเป็นที่รู้จักและขนานนามอาการแพ้ผงชูรสว่ากลุ่มอาการโรคภัตราคารจีน หรือ Chinese Restaurant Syndrome ประชากรทั่วโลกมีอาการแพ้ผงชูรสด้วยอาการอย่างใดอย่างหนึ่งถึง 25%

- ทำลายสมองส่วนหน้าที่เรียกว่า ไฮโปทาลามัส (HYPOTHALAMUS) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมการเจริญเติบโต และระบบสืบพันธุ์ของร่างกาย ทำให้การเจริญเติบโตช้า ปัญญาอ่อน ระบบสืบพันธุ์ผิดปกติ เป็นหมัน อวัยวะสืบพันธุ์เล็กลงทั้งในเรื่องขนาดและน้ำหนัก ฯลฯ

- ทำลายระบบประสาทตา สายตาเสียหรือเกิดตาบอดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสัตว์ทดลอง ยิ่งอายุน้อยจะยิ่งเกิดผลร้ายมาก

- ทำลายกระดูกและไขกระดูก ซึ่งเป็นส่วนที่ผลิตเม็ดเลือดแดงในร่างกาย อาจทำให้เกิดโรคโลหิตจางได้ นอกเหนือจากโรคทรัพย์จางเพราะต้องใช้เงินซื้อผงชูรสโดยไม่จำเป็น

- ทำให้ไวตามินในร่างกายลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไวตามินบี-6 ทำให้ร่างกายผิดปกติและเป็นโรคผิวหนังได้ง่าย (การค้นพบนี้ทำให้ไวตามินบี-6 แก้โรคภูมิแพ้ผงชูรสได้)

- เกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะ อย่างยิ่งผงชูรสที่ผ่านความร้อนสูงๆ ผงชูรสที่ถูกความร้อนสูงจัด เช่น การ ปิ้ง ย่าง เผา จะเปลี่ยนโครงสร้างทางเคมีเป็นสารก่อมะเร็ง กลูพี 1 และกลูพี 2 อาจเกิดอันตรายต่ออวัยวะภายในได้หลายแห่ง เช่น ลำไส้ใหญ่ ตับ และสมอง เป็นต้น

- ทำลายระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System) ทำให้เป็นโรคประสาทได้ง่ายขึ้น ในปัจจุบันมีผู้ป่วยด้วยโรคประสาทกันมากขึ้นเรื่อยๆ น่าศึกษาว่าเกิดจากผงชูรสหรือไม่

- เปลี่ยนแปลงโครโมโซม ทำให้ร่างกายเกิดวิรูปหรือผิดปกติ ปากแหว่ง หูแหว่ง จมูกวิ่น แขนขาพิการ เป็นต้น

- ถ้ากินมากจะผ่านเยื่อกั้นระหว่างรกภายในร่างกายของผู้เป็นมารดากับทารกในครรภ์ได้ ทำให้ทารกในครรภ์ได้รับผลกระทบจากผงชูรส

- ผู้บริโภคได้รับโซเดียมมากเกินความจำเป็น เพิ่มภาระแก่ไต อาจทำให้ไตวายตายได้

ข้ออ้างและข้อโต้แย้งที่ฉลากผงชูรสควรจะมีหรือไม่มีข้อห้ามในการบริโภค

ข้ออ้างในการยกเลิกข้อห้ามใช้ผงชูรสในอาหาร อ้างองค์การอนามัยโลกยืนยันว่าผงชูรสปลอดภัยยอมให้ใช้รับประทานได้ทุกวัน โดยไม่ได้กำหนดปริมาณจำกัดของการใช้
ข้อโต้แย้งที่เห็นว่าควรมีข้อห้ามใช้ในฉลากผงชูรส การอ้างองค์การอนามัยโลกในธุรกิจการค้าเป็นการกระทำที่ผิดระเบียบข้อบังคับขององค์การอนามัยโลก ซึ่งองค์การอนามัยโลกเคยเตือนผู้ผลิตผงชูรสในเรื่องนี้ทั้งในมาเลเซียและประเทศไทยมาแล้ว

ข้ออ้างในการยกเลิกข้อห้ามใช้ผงชูรสในอาหาร อ้างว่าผงชูรสไม่ซึมผ่านรกจึงไม่มีผลต่อทารกในครรภ์
ข้อโต้แย้งที่เห็นว่าควรมีข้อห้ามใช้ในฉลากผงชูรสไม่จริงเสมอไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณผงชูรสที่ได้รับ ถ้าแม่ที่ตั้งครรภ์ได้รับผงชูรสมากก็สามารถซึมผ่านรกเข้าไปในกระแสเลือดของทารกในครรภ์ได้ อีกประการตัวอนุมูลโซเดียมที่มีอยู่ในผงชูรสย่อมซึมผ่านรกได้อย่างแน่นอน ซึ่งแพทย์มักจะเตือนหญิงมีครรภ์ไม่ควรรับประทานอาหารเค็ม อันหมายถึงเกลือโซเดียมนั่นเอง

ข้ออ้างในการยกเลิกข้อห้ามใช้ผงชูรสในอาหาร คำอ้างอิงอื่น ๆ เกี่ยวกับทดลองว่าผงชูรสปลอดภัย
ข้อโต้แย้งที่เห็นว่าควรมีข้อห้ามใช้ในฉลากผงชูรส มีข้อน่าสังเกตว่า ในบรรดาผลงานหรือนักวิชาการที่เสนอผลงานยืนยันความปลอดภัยของผงชูรสจะเป็นนักวิชาการที่ได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากผู้ผลิตผงชูรสทั้งในระดับนานาชาติและในประเทศไทยหรือเป็นการทดลองครั้งเดียวไม่มีการทำซ้ำหรือยืนยันให้แน่นอนหรือเป็นผลการทดลองวิจัยจากบริษัทผู้ผลิตผงชูรสเองหรือเป็นผลงานที่มีการอำพรางข้อเท็จจริงและจงใจแปลผลการทดลองให้เป็นไปในทางที่ไม่เป็นพิษเป็นภัย

ข้ออ้างในการยกเลิกข้อห้ามใช้ผงชูรสในอาหาร อ้างว่าไม่มีประเทศใดในโลกที่มีคำแนะนำหรือข้อควรห้ามใช้บนฉลากผงชูรส
ข้อโต้แย้งที่เห็นว่าควรมีข้อห้ามใช้ในฉลากผงชูรส กฎหมายของแต่ละประเทศก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเหมือนกัน แต่ที่สำคัญควรพิจารณาในจุดที่ว่าการมีหรือไม่มีข้อมูลอย่างใดอย่างหนึ่งจะทำให้สิทธิผู้บริโภคเสียไปหรือไม่น่าจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

ที่มา : มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
 
บันทึกการเข้า

ฟ้าและดินไม่เห็นไม่เป็นไร ไม่ได้หวังให้ใครจดจำ
แม้ยากเย็นแค่ไหน ไม่เคยบ่นสักคำ ไม่มีใครจดจำ แต่เราก็ยังภูมิใจ

จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา จะยอมรับโชคชะตาไม่ว่าดีร้าย
ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ถึงเวลาก็ต้องไป เหลือไว้แต่คุณงามความดี
วัฒน์
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4114
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 17223


เนรเทศยกโคตรดีกว่านิรโทษยกเข่ง


เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: กันยายน 27, 2006, 12:07:11 AM »

 หลงรัก สุดท้ายครับ

ข้อเรียกร้องจากกลุ่มผู้บริโภคและนักวิชาการหลายท่านที่ต้องการให้ฉลากผงชูรสแสดงข้อความว่า “ไม่ควรใช้ผสมอาหารสำหรับทารกหือหญิงมีครรภ์หรือคนป่วยและผู้ที่แพ้ผงชูรส” ได้รับการปฏิเสธจากอ ย.มาโดยตลอด


 
17 ธันวาคม 2545


ข้อเรียกร้องจากกลุ่มผู้บริโภคและนักวิชาการหลายท่านที่ต้องการให้ฉลากผงชูรสแสดงข้อความว่า “ไม่ควรใช้ผสมอาหารสำหรับทารกหือหญิงมีครรภ์หรือคนป่วยและผู้ที่แพ้ผงชูรส” ได้รับการปฏิเสธจากอ ย.มาโดยตลอด เมื่อผู้บริหารระดับสูงของอย. ยืนยันที่จะเดินตามคณะผู้เชี่ยวชาญทางด้านอาหารระดับนานาชาติ คือ JECFA (joint FAO/WHO Expert Committee on Food Additives)ที่ว่าผงชูรสมีความเป็นพิษต่ำมากจนไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงอันตรายต่อผู้บริโภคอย.จึงไม่ได้กำหนดให้มีการแสดงคำเตือนใด ๆ บนฉลาก และสามารถกินได้โดยปลอดภัยตามวิธีการกินโดยปกติ

ข้อสำคัญ อย.เห็นว่าทุกวันนี้การแสดงฉลากของผงชูรสที่ยืนตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 194) พ.ศ.2543 ที่กำหนดให้ผู้ผลิตอาหารทุกชนิดที่มีผงชูรสเป็นส่วนผสม ต้องแสดงข้อความระบุในฉลากว่า "ใช้โมโนโซเดียม กลูตาเมต เป็นวัตถุปรุงแต่งอาหาร" (โดยไม่มีคำว่าผงชูรสไว้ในวงเล็บต่อท้าย)นั้นเพียงพอแล้วสำหรับการคุ้มครองผู้บริโภค

- อย.คาดหวังว่าคนไทยที่เป็นคนจนและส่วนใหญ่มีระดับการศึกษาที่ไม่สูงจะเข้าใจได้ดีว่าโมโนโซเดียม กลูตาเมตคือผงชูรส
- อย.คาดหวังว่าข้อความนี้ จะหมายถึงคนที่แพ้ผงชูรสไม่ควรบริโภค
- อย.คาดหวังว่าเด็กและสตรีมีครรภ์รวมไปถึงผู้ป่วยเมื่อเห็นข้อความนี้ จะลดละเลิกทำตัวให้ห่างไกลจากผงชูรส
- และอย.คาดหวังว่าข้อความเดียวกันนี้จะทำให้ผู้คนมีวิธีการบริโภคผงชูรสโดยวิธีการปกติ

คำแถลงของผู้บริหารระดับสูงจากคณะกรรมการอาหารและยา ที่ปรากฏในข่าวแจกจากกองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค ของอย. เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาว่า “ขอให้ผู้บริโภคโดยเฉพาะผู้ที่มีความไวต่อสารโมโนโซเดียม กลูตาเมท หรือผงชูรส ได้พิจารณาฉลากของอาหารให้ถี่ถ้วนก่อนซื้ออาหารไปบริโภคทุกครั้ง…”

ยิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า อย. ท่านคาดหวังกับข้อความซึ่งปรากฏบนฉลากผงชูรสที่ว่า "ใช้โมโนโซเดียม กลูตาเมต เป็นวัตถุปรุงแต่งอาหาร"มันจะทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคได้อย่างสมบูรณ์แบบทุกประการ ความคาดหวังดังกล่าวดูเป็นเรื่องตลกแต่ก็เกิดขึ้นจริง ๆ แล้วในการคุ้มครองผู้บริโภคของเมืองไทยเรา

พฤติกรรมของอย.ที่ออกมาดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการปกป้องธุรกิจผงชูรสมากจนเกินเหตุจนกลายเป็นชนวนเหตุให้ กลุ่มองค์กรผู้บริโภคนำโดยสหพันธ์ผู้บริโภค เข้าร้องเรียนต่อนางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 6 พ.ย. ที่ผ่านมา เพื่อขอให้ทบทวนการคุ้มครองผู้บริโภคด้านผงชูรสทั้งในด้านความปลอดภัย การโฆษณา และการติดฉลาก ที่อาจสร้างความเข้าใจผิดต่อผู้บริโภค ซึ่งนางสุดารัตน์ ได้รับข้อเสนอจัดตั้งคณะทำงานพิจารณาแก้ไขปัญหากรณีผงชูรสอย่างจริงจังไปแล้ว

ทุกวันนี้มีอาหารมากมายหลายชนิดที่มีผงชูรสผสมอยู่และก็ไม่ใช่ปริมาณน้อย ๆ เสียด้วย โดยเฉพาะอาหารนอกบ้าน การทำความรู้ความเข้าใจกับประชาชนให้เข้าใจในพิษภัยของผงชูรสจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก ซึ่งถ้าใครตีโจทย์การทำอาหารได้แตกว่าความอร่อยของอาหารนั้นไม่เกี่ยวกับผงชูรสเลย ความปลอดภัยของชีวิตก็คงจะใกล้ชิดขึ้นมากอีกเยอะ และก็ไม่ต้องกังวลสับสนกับข้อมูลของพ่อค้าคนขายผงชูรสกันอีกต่อไป.(จบ)

“ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ” แค่ความจริงเพียงครึ่ง
การที่ผงชูรสแสดงข้อความว่า “ผลิตจากวัตถุดิบจากธรรมชาติ” หรือ “ผลิตจากแป้งมันสำปะหลังและอ้อยซึ่งเป็นวัตถุดิบธรรมชาติ” นั้นถือว่าเป็นการบอกความจริงเพียงบางส่วนเท่านั้น ในขณะเดียวกันก็เป็นการจงใจที่จะปิดบังข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญของผงชูรสอีกทางหนึ่ง ทั้งนี้เพราะเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า เพียงแป้งมันสำปะหลังและอ้อย ไม่สามารถผลิตผงชูรสได้อย่างแน่นอน แต่ต้องใช้สารเคมีหลายตัวนับตั้งแต่กรดกำมะถันในการย่อยสลายแป้งมันสำปะหลังและอ้อยให้เป็นน้ำเชื่อม และที่สำคัญจะต้องเติมยูเรียเพื่อให้เป็นที่มาของธาตุไนโตรเจนในผงชูรส ก่อนที่จะนำไปหมักกับเชื้อจุลินทรีย์ เสร็จแล้วยังต้องใช้กรดเกลือและตามด้วยโซดาไฟ ซึ่งเป็นที่มาของธาตุโซเดียม จึงจะได้ผงชูรสในที่สุด ซึ่งมีชื่อทางเคมีว่า โมโนโซเดียมกลูตาเมต (Monosodium glutamate) หรือเรียกย่อว่า MSG.

จะเห็นได้ว่าวัตถุดิบในการผลิตผงชูรสนั้นไม่ได้มีเพียงแป้งมันสำปะหลังและอ้อยเท่านั้น หากแต่จะต้องใช้วัตถุดิบทางเคมีหลายตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งยูเรียและโซดาไฟซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการผลิตผงชูรส ดังนั้นการใช้ข้อความโฆษณาที่ว่า “ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ” นักวิชาการบางท่านจึงเห็นว่าการแสดงข้อความในลักษณะดังกล่าวเป็นการหลอกลวงผู้บริโภค ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาควรจะต้องเร่งพิจารณาโดยด่วน

ที่มา : มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
 
บันทึกการเข้า

ฟ้าและดินไม่เห็นไม่เป็นไร ไม่ได้หวังให้ใครจดจำ
แม้ยากเย็นแค่ไหน ไม่เคยบ่นสักคำ ไม่มีใครจดจำ แต่เราก็ยังภูมิใจ

จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา จะยอมรับโชคชะตาไม่ว่าดีร้าย
ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ถึงเวลาก็ต้องไป เหลือไว้แต่คุณงามความดี
werasak
Hero Member
*****

คะแนน 74
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2230



« ตอบ #9 เมื่อ: กันยายน 27, 2006, 12:50:52 AM »

ทุกวันนี้เรากินยาพิษแบบผ่อนส่งกันอยู่แล้วครับ อาหารแทบทุกอย่างมีสารพิษ สารเคมีเจือปนกันอยู่แล้ว  Tongue
บันทึกการเข้า
FUFUFUFU
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #10 เมื่อ: กันยายน 27, 2006, 02:52:17 AM »

    โอ๊ยยยยยยยยยยยยยย  ทำไมมันน่ากลัวแบบนี้ครับ
  ไม่ใส่อีกแล้วเวลาทำอาหารกินเองแล้ว
 ขอบคุณครับ สำหรับทุก  คห
       แล้วพวก น้ำอัดลมละครับ พวกนี้ อันตรายมากน้อย ขนาดไหนครับ ผมละชอบจริงๆ พวกเครื่องดื่มน้ำดำ
   อยากจะรู้เรื่องพวก น้ำอัดลมด้วยครับ
บันทึกการเข้า
น้าพงษ์...รักในหลวง
1911ต้อง.โค้ลท์.ที่เหลือคือก๊อปปี้.ลอกพี่.มะขิ่นครับ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 508
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9922


« ตอบ #11 เมื่อ: กันยายน 27, 2006, 07:07:36 AM »

ทุกวันนี้เรากินยาพิษแบบผ่อนส่งกันอยู่แล้วครับ อาหารแทบทุกอย่างมีสารพิษ สารเคมีเจือปนกันอยู่แล้ว Tongue
เห็นด้วยครับ หลงรัก
บันทึกการเข้า

...ประเทศไทย.ไม่ใช่ที่สำหรับใครที่จะมา.ฝึกงาน...
PU45™
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3692
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 62457



« ตอบ #12 เมื่อ: กันยายน 27, 2006, 07:19:58 AM »

แล้วพวก รสดี  คนอร์  กับสารพัดยี่ห้อที่โฆษณาว่าสกัดจากไก่มั่ง หมูมั่ง สินค้ากลุ่มนี้ถือเป็นผงชูรสด้วยหรือเปล่า
บันทึกการเข้า

                
วัฒน์
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4114
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 17223


เนรเทศยกโคตรดีกว่านิรโทษยกเข่ง


เว็บไซต์
« ตอบ #13 เมื่อ: กันยายน 27, 2006, 07:27:05 AM »

โอ๊ยยยยยยยยยยยยยย ทำไมมันน่ากลัวแบบนี้ครับ
 ไม่ใส่อีกแล้วเวลาทำอาหารกินเองแล้ว
 ขอบคุณครับ สำหรับทุก คห
 แล้วพวก น้ำอัดลมละครับ พวกนี้ อันตรายมากน้อย ขนาดไหนครับ ผมละชอบจริงๆ พวกเครื่องดื่มน้ำดำ
 อยากจะรู้เรื่องพวก น้ำอัดลมด้วยครับ

 หลงรัก รู้ไว้ใช่ว่า: น้ำอัดลม : มิตรหรือศัตรู
 
- แม้ความฟู่ ซู่ซ่าของน้ำอัดลมจะช่วยทำให้คุณรู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้ แต่มันก็เป็นชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นแหละ เพราะในระยะยาวกรดฟอสฟอริกที่มีอยู่ในน้ำอัดลมจะส่งผลต่อกระดูก ทำให้กระดูกเปราะและหักได้ง่ายเมื่อคุณอายุมากขึ้น หรืออย่างดีหน่อยก็กลายเป็นคนหลังโกง


 
บันทึกการเข้า

ฟ้าและดินไม่เห็นไม่เป็นไร ไม่ได้หวังให้ใครจดจำ
แม้ยากเย็นแค่ไหน ไม่เคยบ่นสักคำ ไม่มีใครจดจำ แต่เราก็ยังภูมิใจ

จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา จะยอมรับโชคชะตาไม่ว่าดีร้าย
ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ถึงเวลาก็ต้องไป เหลือไว้แต่คุณงามความดี
ลานดาว
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 327
ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 2420


เขาเสียคนที่รักเขามากที่สุด เราเสียคนที่ไม่รักเรา


« ตอบ #14 เมื่อ: กันยายน 27, 2006, 07:56:27 AM »

แล้วพวก รสดี คนอร์ กับสารพัดยี่ห้อที่โฆษณาว่าสกัดจากไก่มั่ง หมูมั่ง สินค้ากลุ่มนี้ถือเป็นผงชูรสด้วยหรือเปล่า

ผงชูรสผสมเนื้อไก่  เนื้อหมูค่ะ..
มีการประกาศว่าผงชูรสแท้ๆ ไม่ทำให้เกิดมะเร็ง ถ้ารับประทานไม่มากเกินควร
ในประกาศนี้ ไม่ได้นึกถึงการสะสมของร่างกายและกรรมวิธีการผลิต
ผงชูรสไหม้ไฟ อันเกิดจากกระบวนการทำอาหาร เช่น หมูปิ้ง ไส้กรอกย่าง ทอดมัน หนังปลาทอด
ผงชูรสที่ถูกความร้อนจัดๆ จะกลายรูปเป็นสาร Glu-P-1 และ Glu-P-2 เป็นสารก่อมะเร็ง
คนซื้อคนขาย ต่างคนต่างไม่รู้..เพราะไม่มีใครมาชี้แจงขนาดนี้
บันทึกการเข้า

ถ้าตกอยู่ใต้อำนาจกิเลส ตัญหา  สติปัญญาและความรู้ความสามารถที่มีก็ไร้ค่า  ความคิดอ่านทั้งหมดจะถูกนำมาใช้สนับสนุนความหลงผิด หน้ามืด ตามัว  ถ้าตั้งใจให้สัตย์ปฏิญาณกับตนเองอย่างแข็งแรงไว้ คือเป็นตายอย่างไรจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์  เราก็จะไม่มีวันสร้างเหตุแห่งความเดือดร้อนทั้งแก่ตนเองและผู้อื่นในภายหลัง
หน้า: [1] 2
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.18 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.109 วินาที กับ 21 คำสั่ง