ทฤษฏีสมคบคิด (conspiracy theory)

<< < (7/25) > >>

SA-KE:
[


   อ่านเนื้อหาที่คุณ Narong นำมาถ่ายทอด โดยเฉพาะภาพถ่ายลูกปืน ข้างต้น และ UFO  ฯลฯ  แล้ว ทำให้ผมนึกถึง วารสารวิทยาศาสตร์ รายเดือนเล่มหนึ่ง ที่ชอบอ่านในช่วงเด็กๆ ถึงขั้นสมัครเป็นสมาชิกที่ชื่อ   " มิติที่  4 " ...จังเลย..

narongt:
อ้างจาก: SA-KE ที่ สิงหาคม 15, 2006, 08:44:14 PM

   อ่านเนื้อหาที่คุณ Narong นำมาถ่ายทอด โดยเฉพาะภาพถ่ายลูกปืน ข้างต้น และ UFO  ฯลฯ  แล้ว ทำให้ผมนึกถึง วารสารวิทยาศาสตร์ รายเดือนเล่มหนึ่ง ที่ชอบอ่านในช่วงเด็กๆ ถึงขั้นสมัครเป็นสมาชิกที่ชื่อ   " มิติที่ 4 " ...จังเลย..


เล่มนี้ไม่ค่อยคุ้นครับ อาจเป็นเพราะผมเรียนที่ต่างจังหวัด
เท่าที่หาได้ก็มี ชัยพฤกษ์วิทยาศาสตร์ กับ ต่วยตูน ครับ
ส่วนที่เกี่ยวกับเครื่องบินก็มี สงคราม กับ สมรภูมิ

SA-KE:
 อ้างจาก: narongt ที่ สิงหาคม 15, 2006, 10:06:46 PM

อ้างจาก: SA-KE ที่ สิงหาคม 15, 2006, 08:44:14 PM

อ่านเนื้อหาที่คุณ Narong นำมาถ่ายทอด โดยเฉพาะภาพถ่ายลูกปืน ข้างต้น และ UFO ฯลฯ แล้ว ทำให้ผมนึกถึง วารสารวิทยาศาสตร์ รายเดือนเล่มหนึ่ง ที่ชอบอ่านในช่วงเด็กๆ ถึงขั้นสมัครเป็นสมาชิกที่ชื่อ " มิติที่ 4 " ...จังเลย..


เล่มนี้ไม่ค่อยคุ้นครับ อาจเป็นเพราะผมเรียนที่ต่างจังหวัด
เท่าที่หาได้ก็มี ชัยพฤกษ์วิทยาศาสตร์ กับ ต่วยตูน ครับ
ส่วนที่เกี่ยวกับเครื่องบินก็มี สงคราม กับ สมรภูมิ


       "มิติที่ 4 "  เป็นวารสารของ สนพ.ซีเอ็ด ผลิตเมื่อปี 2522 -2528 (  http://www.se-ed.com/home/companyProfile/Default.aspx )  จะเป็นแนววิทยาศาสตร์ ที่ต่างกับ " ชัยพฤกษ์วิทยาศาสตร์ "  และ "ต่วยตูน" ครับ
        สำหรับความคิดเห็นผม...
         "ชัยพฤษ์วิทยาศาสตร์ "  จะเป็นวารสารวิทยาศาสตร์แบบความรู้รอบตัวทั่วไปและมีหัวข้อการทดลอง
         " ต่วยตูน "  ผมอ่านเป็นบางครั้ง จำรายละเอียดไม่ค่อยได้
    แต่ " มิติที่ 4 "  ในช่วงนั่น ผมคิดว่า ซี-เอ็ด กล้ามากที่นำเสนอหน้งสือในแนววิทยาศาสตร์ สมัยใหม่ ฉีกแนวจากหนังสือวิทยาศาสตร์ทั่วๆไป  ผมเริ่มเข้าใจและรู้จัก   "  หลุมดำ , UFO  , จักรวาล, ภาพถ่ายความเร็วสูง , ภาพเขียนหลอกตาโดยใช้มิติ ภาพเป็นตัวหลอก , ไอเชค  อาซิมอฟ และอีกท่านหนึ่งผมจำไม่ได้  นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ ชื่อดัง ระดับรางวัล,  นิยายสืบสวนแบบวิทยาศาสตร์ (จำชื่อไม่ได้ครับ แต่ตัวเอกเป็น เด็ก ครับ ) และอีกหลายเรื่อง คล้ายๆกับที่คุณ narong เสนอมาครับ...."
         สำหรับ หนังสือ "สงคราม" และ "สมรภูมิ" ..ช่วงนั่นหาอ่านฟรีที่ สโมสรในค่ายทหาร แต่ชอบดูรูปอย่างเดียวครับ....อย่าว่าอย่างโน้น อย่างนี้เลยครับ..ผมก็ " เด็กต่างจังหวัดเหมือนกันครับ "  ... :D :D

    ป.ล. จะติดตามอ่านข้อมูลของคุณ narong ต่อน่ะครับ... :VOV:

narongt:
อ้างจาก: SA-KE ที่ สิงหาคม 16, 2006, 06:19:42 PM

        สำหรับความคิดเห็นผม...
         "ชัยพฤษ์วิทยาศาสตร์ "  จะเป็นวารสารวิทยาศาสตร์แบบความรู้รอบตัวทั่วไปและมีหัวข้อการทดลอง
         " ต่วยตูน "  ผมอ่านเป็นบางครั้ง จำรายละเอียดไม่ค่อยได้
         สำหรับ หนังสือ "สงคราม" และ "สมรภูมิ" ..ช่วงนั่นหาอ่านฟรีที่ สโมสรในค่ายทหาร แต่ชอบดูรูปอย่างเดียวครับ....อย่าว่าอย่างโน้น อย่างนี้เลยครับ..ผมก็ " เด็กต่างจังหวัดเหมือนกันครับ "  ... :D :D

    ป.ล. จะติดตามอ่านข้อมูลของคุณ narong ต่อน่ะครับ... :VOV:

รับทราบครับ จะพยายามหามาให้อ่านเรื่อยๆ แต่อย่าเชื่อหมดนะครับ ให้หาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อตรวจสอบด้วยครับ
ชัยพฤกษ์ จะมีเรื่องเกี่ยวกับอิเลกทรอนิกส์, อวกาศและนวัตกรรมใหม่พอสมควร
ส่วนต่วยตูน ก็จะมีเรื่องลึกลับแต่ส่วนมากออกไปทางประวัตศาสตร์และมีเรื่องเกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าบ้าง

ส่วนหนังสือสงครามและสมรภูมิก็มีเรื่องเกี่ยวกับอาวุธต่างๆ นอกจากสองเล่มนี้ก็ยังมีหนังสือ
ที่ทำออกมาเป็นการ์ตูนเกี่ยวกับสงครามโลกและสงครามเวียดนามแต่จำชื่อหนังสือไม่ได้แล้ว

narongt:
อาวุธเคมี

มีการทดลองลับๆ มากมาย ที่หน่วยข่าวกรองกลางและสืบราชการลับของสหรัฐ หรือที่เรารู้จักกันดีในนามของ
"ซีไอเอ" พยายามปิดบังซ่อนเร้นไม่ให้ประชาชนรู้ หนึ่งในเรื่องราวการทดลองอันน่าตกใจของ ซีไอเอ คือ
"การควบคุมพฤติกรรมมนุษย์" หรือที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า
"โครงการ เอ็มเคอัลทรา" (Project MKULTRA)


โครงการเอ็มเคอัลทราเป็นการศึกษาและทดลอง การใช้สารเคมีและสารชีวภาพ เพื่อนำมาดัดแปลงใช้ทำอาวุธสงคราม
ที่เรียกว่า อาวุธเคมี (Chemical Weapons)

และอาวุธชีวภาพ (Biological Weapons)

แรกเริ่มเดิมทีนั้น ซีไอเอ ไม่ได้คิดจะสร้างอาวุธชนิดนี้ขึ้นมาหรอกครับ พวกเขาเพียงแต่กลัวว่าประเทศที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสหรัฐ
จะใช้อาวุธเคมีและชีวภาพในการทำสงคราม พวกเขาจึงต้องทำการศึกษาเตรียมไว้ก่อนเพื่อจะได้ป้องกันและแก้ไขได้ทัน
ถ้าหากมีการใช้อาวุธเหล่านั้นขึ้นมาจริงๆ

ทดลองไปทดลองมา ซีไอเอ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าพวกเขาน่าจะนำมันมาใช้เองจะดีกว่า การทดลองเพื่อป้องกันและแก้ไข
ก็เลยกลายเป็นวัตถุประสงค์รองไป ส่วนวัตถุประสงค์หลักกลับกลายมาเป็นเพื่อใช้ในการควบคุมพฤติกรรมมนุษย์

อันที่จริงแล้วได้มีการวิจัยและพัฒนาสารต่างๆ ที่มีผลต่อพฤติกรรมมนุษย์ ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษที่ 1940
จนถึงต้นทศวรรษที่ 1950 การทดลองในตอนนั้นเป็นการทดลองใช้สารเสพติดกับกลุ่มทดลองที่สมัครใจ
แต่ต่อมาได้มีการลอบทดลองกับกลุ่มคนที่ไม่ใช่อาสาสมัครและไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกให้สารเสพติด

มีการพบรายงานฉบับเดือนตุลาคม ค.ศ. 1975 ของจเรสหรัฐ ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบเรื่องราวต่างๆ รายงานผลการสืบสวน
การเสียชีวิตของ ฮาโรลด์ เบลาเออร์ (Harold Blauer) อาสาสมัครคนหนึ่งที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1953
New evidence in Army scientist's death
Evidence builds in CIA-related death
Meet Sidney Gottlieb -- CIA dirty trickster
ยืนยันว่านาย ฮาโรลด์ เสียชีวิตเพราะระบบการทำงานของหัวใจล้มเหลว และสาเหตุที่ทำให้ระบบการทำงานของหัวใจหยุดเต้น
ก็เพราะว่าเขาถูกฉีดสารเสพติดประเภท เมสคาลีน (Mescaline)

ซึ่งเป็นการทดลองอันหนึ่งของ สถาบันโรคจิตแห่งนิวยอร์ก (New York State Psychiatric Institute)
ที่ทำขึ้นภายใต้การบงการของ หน่วยเคมีกองทัพสหรัฐ (U.S. Army Chemical Corps.)

ยุคแรกของการทดลอง

การทดลองนี้ได้เริ่มทำกันเป็นเรื่องเป็นราวก็เมื่อได้รับการอนุมัติเมื่อวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 1953
แต่ก็อย่างว่าแหละครับ บรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลและวุฒิสมาชิกต่างก็พากันปฏิเสธกันให้พัลวันว่าไม่มีการทดลอง
ที่ผิดศีลธรรมและจรรยาดังกล่าว เอกสารหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทดลองนี้ได้ถูกทำลายลงในราวต้นปี ค.ศ. 1973

หน่วยงานที่ทำการทดลองนี้ไม่ใช่เฉพาะ ซีไอเอ เท่านั้นแต่ยังมีหน่วยข่าวกรองของกองทัพและหน่วยข่าวกรองของ
สำนักงานอื่นๆ ของรัฐบาลด้วย พวกเขาจะคอยแลกข้อมูลที่ได้จากการทดลองกัน ซึ่งการทดลองนี้ถือเป็นการทดลองลับสุดยอด
ขนาดเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ ซีไอเอ ยังไม่ทราบเลยว่ามีการทดลองนี้ในหน่วยงานของเขา ผู้ที่ทราบเรื่องก็จะมีแต่นายแพทย์และ
นักวิทยาศาสตร์ที่ร่วมการทดลองเท่านั้น

การทดลองในช่วงแรกนั้นทำขึ้นที่ ศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติด เล็กซิงตัน (Lexington Rehabillitation Center) ซึ่งปัจจุบันก็คือ
สถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติ (National Institute of Mental Health) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นนักโทษอาสาสมัครคดียาเสพติด
นักโทษเหล่านี้จะต้องเซ็นชื่อยินยอม อนุญาติให้นำสารเสพติดเข้าสู่ร่างกายของพวกเขาได้ จากนั้นพวกเขาก็ได้รับสารเสพติด
ชนิดเดียวกับที่พวกเขาแต่ละคนติด


หนึ่งในสารเสพติดที่ใช้ในการทดลองคือ แอลเอสดี (Lysergic acid diethylamide)

ซึ่งสารนี้ต่อมาได้ถูกนำมาใช้ทดสอบกับบุคคลทั่วไปที่ไม่ใช่อาสาสมัครโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวซึ่ง ซีไอเอ กล่าวว่า
บุคคลที่ถูกทดลองนั้นเป็นอาชญากร ซึ่งมีหลายระดับชนชั้นตั้งแต่อาชญากรชั้นต่ำไปจนถึงระดับไฮโซ
มีทั้งคนอเมริกันและคนต่างชาติ

ในการทดลองของหน่วยข่าวกรองกองทัพสหรัฐ ได้แบ่งการทดลองออกเป็น 3 ขั้นตอนใหญ่ๆ เช่นกันคือ

http://www.mindcontrolforums.com/appendixa.htm
http://www.envirosagainstwar.org/know/read.php?itemid=335
http://www.totse.com/en/conspiracy/mind_control/lsd-army.html

ขั้นตอนแรกทำการทดลองให้สารแอลเอสดีกับทหารอาสาสมัครจำนวนกว่า 1,000 นาย
เรียกว่าการทดลองอาวุธเคมี (Chemical Warfare Experiment)

ขั้นตอนที่สองเป็นการทดลองเพื่อหาความเป็นไปได้ในการนำสารแอลเอสดีมาใช้เป็นอาวุธ โดยการให้สารแอลเอสดีกับ
อาสาสมัครจำนวน 95 คน เรียกขั้นตอนนี้ว่า โครงการทดสอบปัจจัย อีเอ1729 (Material Testing Program EA 1729)

ส่วนขั้นตอนสุดท้ายเป็นการนำสารแอลเอสดี มาใช้จริงกับ "เป้าหมาย" ที่ไม่ใช่อาสาสมัครและไม่รู้ตัวมาก่อนว่าถูกลอบให้
สารแอลเอสดี จำนวน 16 คน แล้วเฝ้าดูพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของ "เป้าหมาย" หลังจากที่ได้รับสารแอลเอสดีไปแล้วเรียก
ขั้นตอนนี้ว่า โครงการทางเลือกที่สาม (Project THIRD CHANCE)  และโครงการหมวกสักหลาด (Project DERBY HAT)

ถึงแม้ว่า ซีไอเอ จะรู้ดีถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ถ้าหากข้อมูลการทดลองของโครงการเอ็มเคอัลทรา รั่วไหลออกไปสู่
บุคคลภายนอก แต่พวกเขาก็ยังคงเดินหน้าทำการทดลองต่อไป เนื่องจากว่าถ้าไม่ทำเช่นนั้น สหรัฐจะตกเป็นเบี้ยล่าง
ของประเทศกลุ่มคอมมิวนิสต์ ในการทำสงครามเคมี

ทดลองกันเอง

เรื่องน่าเศร้าที่สุดที่เกิดขึ้นจากการทดลองก็คือ การเสียชีวิตของ ดร. แฟรงค์ ออลสัน (Dr. Frank Olson)

ลูกจ้างฝ่ายพลเรือนของกองทัพสหรัฐ เมื่อเขาดื่มเหล้าที่มีสารแอลเอสดี ปริมาณราว 70 ไมโครกรัมผสมอยู่โดยที่เขาไม่รู้ตัว

(ความเห็นส่วนตัว ข้อความภาษาอังกฤษข้างล่างนี้มีบุคคล 2 คน ที่รู้เรื่องโครงการนี้และมีบทบาทสูง
ในรัฐบาลบุชขณะนี้ ซึ่งตามความเห็นส่วนตัวว่าการระบาดของยาบ้าในเมืองไทยขณะนี้และที่ผ่านมาไม่แน่อาจจะเป็น
กลยุทธ์ของ ซีไอเอ ก็เป็นได้เพราะส่วนมากจะมีที่มาจากชาวเขาโดยที่จะทำผ่านคนที่ไปเผยแพร่ศาสนาให้ชาวเขา
ซึ่งอาจเป็น ซีไอเอ แต่ไม่ได้หมายถึงคนที่เผยแพร่ศาสนาทุกคน, รวมถึงเจ้าหน้าที่ของไทยบางกลุ่มเองด้วย
และสถานการณ์จะคล้ายกับตอนที่จีนทำสงครามฝิ่นกับนักล่าอาณานิคมสมัยก่อน
รวมถึงอีกอย่างหนึ่งที่อยากตั้งข้อสังเกตุคือ กองกำลังที่พิทักษ์ รักษาการผู้นำของไทย ใช้อยู่เป็นใครมาจากไหนหว่า?
His family had no idea of the details of the accident until the Rockefeller Commission
started uncovering some of the CIA's MKULTRA activities. In 1975, the government admitted
that Olson had been unwittingly dosed with LSD. White House staffers Donald Rumsfeld and Dick Cheney
arranged for President Gerald Ford to meet with the Olson family and personally apologize on behalf of
the United States government. The government offered them an out of court settlement,
which they accepted.)

ดร. แฟรงค์ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการฟุ้งกระจายในอากาศของสารชีวภาพ (Aerobiology)
เขาได้รับมอบหมายให้มาทำงานในหน่วยปฏิบัติการพิเศษ (Special Operations Division - SOD) ของกองทัพสหรัฐ
ที่ แคมป์เดทริก รัฐแมรี่แลนด์ ซึ่งหน่วยปฏิบัติการพิเศษนี้เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ร่วมวิจัยในโครการเอ็มเคอัลทรา
http://www.sfgate.com/cgi-bin/article.cgi?file=/c/a/2004/09/12/MNG468MM8N1.DTL

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 1953 นักวิทยาศาสตร์จำนวน 10 คน ได้เข้าร่วมประชุมประจำครึ่งปี
ที่ทะเลสาบดีพครีก รัฐแมรี่แลนด์ นักวิทยาศาสตร์ 3 คนมาจาก หน่วยบริการด้านเทคนิคของ ซีไอเอ
ส่วนที่เหลือมาจากหน่วยปฏิบัติการพิเศษของกองทัพสหรัฐ


วันพฤหัสฯที่ 19 พฤศจิกายน ขณะที่บรรดานักวิทยาศาสตร์ได้ร่วมรับประทานอาหารค่ำกันอยู่
ดร. โรเบิร์ท แลชบรูก (Robert Lashbrook) เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของ ซีไอเอ ได้แอบนำสารแอลเอสดีใส่ลงใน
ขวดเหล้าคอนทรัว (Cointreau) สุรารสกาแฟที่นิยมดื่มหลังอาหารค่ำ ซึ่งมันเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ เอ็มเคอัลทรา
ที่จะทำการทดลองกับกลุ่มเป้าหมายที่ไม่ใช่อาสาสมัครโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว

สุราดังกล่าวได้ถูกเสิร์ฟให้กับนักวิทยาศาสตร์ทุกคนที่มาจากหน่วยปฏิบัติการพิเศษ
ยกเว้นนักวิทยาศาสตร์ 2 คน เนื่องจากคนหนึ่งไม่ดื่มสุรา และอีกคนหนึ่งเป็นโรคหัวใจ

หลังจากที่ทุกคนได้ดื่มสุราผสมสารแอลเอสดีไปได้ราว 20 นาที ดร. ซิดนีย์ กอทเทลบ (D r. Sidney Gottlieb)

หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ของ ซีไอเอ ก็แจ้งให้เหล่านักวิทยาศาสตร์ของหน่วยปฏิบัติการพิเศษทราบว่า
พวกเขาได้รับสารแอลเอสดี ซึ่งตอนนั้นพวกเขาอยู่ในอาการปรกติดีทุกคน

แต่พอสารแอลเอสดีออกฤทธิ์เท่านั้นก็ได้เรื่อง บรรดานักวิทยาศาสตร์ที่ถูกวางยาต่างก็เอะอะส่งเสียงดัง
เอาแต่หัวเราะจนกระทั่งไม่เป็นอันประชุม จนต้องยุติการประชุมในเวลาตีหนึ่ง เช้าวันรุ่งขึ้น ดร. ซิดนีย์
ได้ติดตามสังเกตุอาการของ ดร.แฟรงค์ เขาก็ไม่พบอะไรที่ผิดปรกตินอกเสียจากอาการอ่อนเพลีย
และมือสั่นซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ร้ายแรง

เช้าวันจันทร์ที่ 23 เวลา 7:30 น. ดร.แฟรงค์ ได้มาดักรอพบ พันตรี วินเซนท์ ริวเวท (Colonel Vincent Ruwet)
เพื่อนของเขาที่ ที่ทำงาน ดร. แฟรงค์ มีอาการวิตกกังวลและซึมเศร้า รุ่งขึ้นในเช้าวันอังคาร ดร. แฟรงค์
ก็มาขอพบ ผู้พันวินเซนท์ อีกครั้ง คราวนี้หลังจากที่ผู้พันวินเซนท์ได้พูดคุยกับ ดร. แฟรงค์ เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง
เขาก็รู้สึกถึงพฤติกรรมที่ผิดปรกติของ ดร. แฟรงค์

ผู้พันวินเซนท์ จึงได้รีบโทรไปแจ้ง ดร. โรเบิร์ท โดยบอกว่า ดร. แฟรงค์ กำลังมีปัญหาที่ร้ายแรงและต้องส่งตัว
ไปให้ผู้เชี่ยวชาญบำบัดรักษา ดร. โรเบิร์ท จึงขอให้ ผู้พันวินเซนท์ นำตัว ดร. แฟรงค์ ไปพบเขาที่กรุงวอชิงตันดีซี
หลังจากนั้น ดร. โรเบิร์ท ก็ได้โทรศัพท์ไปนัดหมายกับ ดร. ฮาโรลด์ แอบแรมซัน (Dr. Harold Abramson)
ในมหานครนิวยอร์ก

ดร. ฮาโรลด์ เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน แม้ว่าเขาจะไม่ใช่จิตแพทย์ แต่เขาก็มีส่วนร่วม
วิจัยทางอ้อมกับโครงการเอ็มเคอัลทรา เนื่องจาก ดร.ฮาโรลด์ เป็นนายแพทย์ที่ศึกษาวิจัยเรื่องสารแอลเอสดี
อีกทั้งยังเป็นเจ้าหน้าที่ของ ซีไอเอ และเป็นนายแพทย์ที่อยู่ใกล้กรุงวอชิงตันมากที่สุด เท่าที่ ดร. โรเบิร์ทรู้จัก
เขาจึงได้พาตัว ดร.แฟรงค์ มาให้ ดร. ฮาโรลด์ ทำการวินิจฉัย

เกิดโศกนาฏกรรม

ทั้ง 3 คนได้พักอยู่ที่นิวยอร์กเป็นเวลา 2 วัน จนถึงวันพฤหัสฯที่ 26 พฤศจิการยน ซึ่งตรงกับวันขอบคุณพระเจ้า
(Thanksgiving Day) พวกเขาก็บินกลับกรุงวอชิงตัน เพราะต้องการให้ ดร. แฟรงค์ ได้อยู่กับครอบครัว
ในช่วงเทศกาลที่สำคัญ ในระหว่างที่เดินทางกลับ ดร. แฟรงค์ ก็บอกกับ ผู้พันวินเซนท์ ว่าเขากลัว
ที่จะต้องกลับไปพบกับครอบครัวของเขา หลังจากที่พูดคุยกันอยู่พักใหญ่ ดร. โรเบิร์ท ก็ตัดสินใจนำตัว
ดร. แฟรงค์ บินกลับนิวยอร์กทันที ส่วน ผู้พันวินเซนท์ มีหน้าที่นำข่าวไปแจ้งให้กับภรรยาของ ดร. แฟรงค์

เช้าวันศุกร์ทั้งคู่ก็ได้มาพบ ดร.ฮาโรลด์ ที่สำนักงานของเขาอีกครั้ง คราวนี้ ดร. ฮาโรลด์ แนะนำให้พาตัว
ดร. แฟรงค์ ไปรักษากับจิตแพทย์โดยตรง ที่สถาบันที่อยู่ใกล้กับบ้านของ ดร. แฟรงค์ แต่เนื่องจากวันนั้น
เป็นวันศุกร์ทำให้เที่ยวบินทุกเที่ยวที่จะมากรุงวอชิงตันเต็มหมด ดร. โรเบิร์ท และ ดร. แฟรงค์ จึงต้อง
เช่าห้องพักที่โรงแรมแสตทเลอร์ เพื่อรอเที่ยวบินวันเสาร์

หลังจากที่ได้ห้องพักแล้วทั้งคู่ก็ลงมารับประทานอาหารค่ำร่วมกันและดื่มเหล้ามาร์ตินี่ที่บาร์คนละ 2 แก้ว
ดร. โรเบิร์ท กล่าวว่าคืนนั้น ดร. แฟรงค์ ดูร่าเริงผิดหูผิดตาเหมือนกับว่าสิ่งผิดปรกติในตัวเขาได้หายไป
จนหมดสิ้น ต่อจากนั้นทั้งคู่ก็กลับมาดูโทรทัศน์ที่ห้องพักจนกระทั่งถึงเวลา 5 ทุ่ม ทั้งคู่ก็หลับไป

เวลาตีสองครึ่ง ดร. โรเบิร์ท ก็สะดุ้งตื่นเพราะเสียงกระจกแตก เมื่อลุกขึ้นมาดูเขาก็พบว่า
ดร. แฟรงค์ ได้พุ่งทะลุผ่านหน้าต่างกระจกที่มีมู่ลี่ปิดอยู่จากห้องพักที่พวกเขาพัก
บนชั้น 10 ของโรงแรม ตกลงไปยังพื้นถนนข้างล่าง


การเสียชีวิตของ ดร. แฟรงค์ ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องระมัดระวังการทดลองการใช้สารแอลเอสดี
กับมนุษย์มากขึ้น และยิ่งทำให้พวกเขาพยายามที่จะปกปิดข้อมูลการทดลอง และนี่อาจเป็นสาเหตุให้
ซีไอเอ ต้องทำลายเอกสารที่เกี่ยวข้องกับโครงการเอ็มเคอัลทรา เมื่อมีการสอบสวนเรื่องนี้หนักขึ้น
ซีไอเอ ก็ประกาศล้มเลิกโครงการเอ็มเคอัลทรา ในปีค.ศ. 1963

เลิกไม่จริง
http://demopedia.democraticunderground.com/index.php/Mind_control
http://www.us-government-torture.com/History-of-abuse.html
http://www.mindcontrolforums.com/pro-freedom.co.uk/skeletons_1.html

>>>ดูวิดิโอ เกี่ยวกับการวิเคราะห์โครงการนี้ คลิ๊กที่ข้อความนี้<<<

โครงการทดสอบปัจจัย อีเอ 1729 เป็นการทดลองของกองทัพสหรัฐที่ถอดแบบมาจากโครงการเอ็มเคอัลทรา
การทดลองนี้ได้กระทำขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1955-1958 โดยหน่วยเคมีกองทัพ (Army Chemical Corps.)
เพื่อจะหาความเป็นไปได้ในการนำสารแอลเอสดีมาใช้เป็นอาวุธ การทดลองนี้มีขึ้นที่ ค่ายทหารแบรกจ์ (Fort Bragg)
ภายใต้การควบคุมของสถานีทดลองอาวุธเคมีกองทัพสหรัฐ (Army Chemical Warfare Laboratories)

ที่เมืองเอดจ์วูด รัฐแมรี่แลนด์ หลังจากที่ทดลองกับทหารอาสาสมัครมาได้ระยะหนึ่ง กองทัพก็อนุมัติให้
นำมาทดลองใช้ในภาคสนามในปี ค.ศ. 1960

หน่วยจุดประสงค์พิเศษของกองทัพ (Army Special Purpose Team) ได้รับอนุญาติให้ใช้สารแอลเอสดี
ในการปฏิบัติการในยุโรประหว่างเดือนพฤษภาคม ถึง สิงหาคม ค.ศ. 1961 ภายใต้รหัสโครงการทางเลือกที่ 3
(Project THIRD CHANCE) "เป้าหมาย" จำนวน 10 คนถูกเลือกโดยไม่รู้ตัว หนึ่งในนั้นเป็นทหารสหรัฐ
ที่ถูกระบุว่าเป็นสายลับของต่างชาติที่ลอบโขมยเอกสารลับไปจากกองทัพสหรัฐ และดูเหมือนว่าจะเป็น
กรณีเดียวเท่านั้นที่กองทัพประสบความสำเร็จในการนำสารแอลเอสดีมาใช้ในการสืบสวนสอบสวน

จากนั้นต่อมาอีกหนึ่งปีหน่วยพิเศษของกองทัพ ก็ได้รับอนุญาติให้ใช้สารแอลเอสดีอีกครั้งในการปฏิบัติการ
แถบตะวันออกไกล ระหว่างเดือนสิงหาคม ถึง พฤศจิกายน ค.ศ. 1962 ภายใต้รหัสโครงการหมวกสักหลาด
(Project DERBY HAT) คราวนี้ "เป้าหมาย" จำนวน 7 คนที่ถูกระบุว่าเป็นจารชนได้รับเกียรติคัดเลือกโดยไม่รู้ตัว
การทดลองครั้งนี้มีจุดประสงค์ที่จะเปรียบเทียบความแตกต่างว่า "ชาวเอเชีย" มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารแอลเอสดี
ต่างจากชาวยุโรปหรือไม่

"เป้าหมาย" ได้รับสารแอลเอสดี ในปริมาณ 6 ไมโครกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หลังจากที่ได้รับสารแอลเอสดีไป
เพียงแค่ 28 นาที "เป้าหมาย" ก็ตกอยู่ในสภาพที่เกือบจะหมดสติ นั่งไม่ได้ แสดงอาการเจ็บปวดและร้องครวญคราง
การกระตุ้นด้วยวิธีต่างๆ เพื่อช่วยเหลือให้ "เป้าหมาย" มีสติพอที่จะตอบคำถามได้ดูจะไม่เป็นผล

6 ชั่วโมงต่อมา "เป้าหมาย" เริ่มมีปฏิกิริยาโต้ตอบกับคำถาม จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงนำ "เป้าหมาย" มาที่เครื่องจับเท็จ
การสืบสวนกินเวลาทั้งสิ้น 17 ชั่วโมง 30 นาที นับตั้งแต่ "เป้าหมาย" ได้รับสารแอลเอสดี

การทดลองใช้สารเสพติดนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่นักวิทยาศาสตร์ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของกฏหมายและศีลธรรม แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่จากบันทึกช่วยจำ
ของกองทัพฉบับหนึ่งลงวันที่ 19 กันยายน ค.ศ. 1963 ระบุว่ามีการประชุมระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพ
พวกเขามีมติที่จะล้มเลิกโครงการนี้ชั่วคราว

จากบทความนี้พวกเราคงเห็นแล้วว่าแท้ที่จริงแล้วสารเสพติดก็คือ อาวุธสงครามเราดีๆ นี่เอง
ดังนั้นถ้าหากใครคิดที่จะเสพสารเสพติด ขอโปรดให้พึงระลึกว่าคุณกำลังเอาปืนจ่อหัวตัวเองอยู่
และแย่ยิ่งกว่าก็ตรงที่คุณตายทั้งเป็น

(ความเห็นส่วนตัวเพิ่มเติม คนที่คิดยาเสพติดขึ้นมาก็คือชาติมหาอำนาจ เพราะฉนั้นถ้าคนที่คิดมันขึ้นมา
แล้วจะให้เขาปราบปรามอย่างจริงจังเป็นไปได้หรือ! มันเป็นอาวุธที่ดีที่สุดในการควบคุมคน!

จึงอาจเป็นยุทธวิธีของมหาอำนาจ(แต่ไม่ได้หมายถึงประชาชนในประเทศมหาอำนาจทั้งหมด)
โดยอาศัยความร่วมมือของผู้ที่มีอำนาจในประเทศนั้นๆ เอง เพื่อที่จะทำให้ประชาชนในประเทศนั้นๆ อ่อนแอ
และมัวแต่สนใจหลงไหลในสิ่งบันเทิงโดยใช้ยาเสพติดช่วย ไม่ได้สนใจว่าผู้ที่มีอำนาจจะโกงกินและ
ยกทรัพย์สินของชาติให้ต่างชาติอย่างไร! โดยเห็นได้จากปัจจุบันที่ สังคมเมืองไทยมีแต่เรื่องบันเทิง, ยาเสพติด
และปัญหาของวัยรุ่น ตามสื่อต่างๆ ตลอดเวลา แล้วทำไมปราบเท่าไหร่ก็ไม่หมด?)

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว