๏ฟฝ๏ฟฝ็บบ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝสน๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝาปืน
มีนาคม 19, 2024, 10:00:56 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.เป็นเพียงสื่อกลางช่วยให้ผู้ซื้อ และผู้ขาย ได้ติดต่อกันเท่านั้นและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับประโยชน์หรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น
ประกาศหรือแบนเนอร์ในเวบไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าสินค้านั้นมีคุณภาพหรือไม่
โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจซื้อด้วยตัวเอง
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 3 4 5 [6]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ปีนี้ปีแพะป่าว  (อ่าน 20464 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ค..ควาย...ใส่ชฎา
Hero Member
*****

คะแนน -15861
ออฟไลน์

กระทู้: 13583


No justice No peace


« ตอบ #75 เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2017, 05:20:47 PM »



http://news.sanook.com/3987810/

กรณีนี้แหละครับ ดูช่องเนชั่นว่าพ่อเค้าแอบส่งศพให้รพ.อื่นตรวจซ้ำ

เลยรู้ว่าอวัยวะภายในหายหมด

หรือว่า รพ.แรกเอาออกแล้วไม่ได้ใส่คืนครับ

ถ้าไม่ใส่คืนแล้วเอาไปไหนเอาไปทำไม Huh Huh


สงสัยบอบช้ำเลยทำลายหลักฐานสะเลย ยี๊




5555  เป็นทหาร  ได้อะไรมากกว่า ที่คิด  ค่ะ ฮา 55555  ขำก๊าก ขำก๊าก ขำก๊าก ขำก๊าก
บันทึกการเข้า

หัว...ฆรวย

หัวโขนมิวางออก              เจ้าหลงครอบไปทุกที่
อ่าองค์ว่าโสภี                  นฤดีปริ่มเปรมใจ
ลืมไปว่าที่ครอบ                ต้องวางออกนหทัย
สวมครอบตัวตนไว้             ก็แค่ควายใส่ชฎา
รัชต์
Full Member
***

คะแนน 77
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 176



« ตอบ #76 เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2017, 05:24:16 PM »

สงสัยต้องทำพิธีจับปอบ  Grin
บันทึกการเข้า
ค..ควาย...ใส่ชฎา
Hero Member
*****

คะแนน -15861
ออฟไลน์

กระทู้: 13583


No justice No peace


« ตอบ #77 เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2017, 05:47:39 PM »



http://news.sanook.com/3987810/

กรณีนี้แหละครับ ดูช่องเนชั่นว่าพ่อเค้าแอบส่งศพให้รพ.อื่นตรวจซ้ำ

เลยรู้ว่าอวัยวะภายในหายหมด

หรือว่า รพ.แรกเอาออกแล้วไม่ได้ใส่คืนครับ

ถ้าไม่ใส่คืนแล้วเอาไปไหนเอาไปทำไม Huh Huh


สงสัยบอบช้ำเลยทำลายหลักฐานสะเลย ยี๊




5555  เป็นทหาร  ได้อะไรมากกว่า ที่คิด  ค่ะ ฮา 55555  ขำก๊าก ขำก๊าก ขำก๊าก ขำก๊าก






5555  งบกลาโหม  ในรอบสิบปี   " โต  ร้อยกว่าเปอร์เซ็นต์ " ค่ะ ฮา  5555

สมัยแม้ว  แค่ แสน ล้าน นิดๆ   สมัยตู่  เกือบทะลุ  " สองแสน ห้าหมื่น ล้านบาท " ค่ะ ฮา  ขำก๊าก ขำก๊าก ขำก๊าก

งบโต  ใหญ่  บวม  อ้วนอุฉุ  ทั้งๆ ไม่มีศึก และ สงคราม นะคะ ฮา

" ทหารเกณฑ์ "  ปีละ  สองแสนเศษ  ฮา

5555   " คาร์เวียร์  "  ดีๆ นี่เอง  อ่ะค่ะ ฮา 5555 ขำก๊าก ขำก๊าก ขำก๊าก
บันทึกการเข้า

หัว...ฆรวย

หัวโขนมิวางออก              เจ้าหลงครอบไปทุกที่
อ่าองค์ว่าโสภี                  นฤดีปริ่มเปรมใจ
ลืมไปว่าที่ครอบ                ต้องวางออกนหทัย
สวมครอบตัวตนไว้             ก็แค่ควายใส่ชฎา
ค..ควาย...ใส่ชฎา
Hero Member
*****

คะแนน -15861
ออฟไลน์

กระทู้: 13583


No justice No peace


« ตอบ #78 เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2017, 01:38:44 PM »


5555  แล้วลูกชาวบ้านตาย  ทำงัยดีคะ ฮา 5555


https://www.matichon.co.th/news/738952


แจ้งความ ทหารยศนายพล อาละวาด-ยึดปืนหน่วยรีคอน
เผย คนเดียวกับที่ล่ามโซ่พลทหาร
บันทึกการเข้า

หัว...ฆรวย

หัวโขนมิวางออก              เจ้าหลงครอบไปทุกที่
อ่าองค์ว่าโสภี                  นฤดีปริ่มเปรมใจ
ลืมไปว่าที่ครอบ                ต้องวางออกนหทัย
สวมครอบตัวตนไว้             ก็แค่ควายใส่ชฎา
ค..ควาย...ใส่ชฎา
Hero Member
*****

คะแนน -15861
ออฟไลน์

กระทู้: 13583


No justice No peace


« ตอบ #79 เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2017, 01:44:28 PM »


555  งานงอก แล้วค่ะ ฮา 5555 ขำก๊าก ขำก๊าก ขำก๊าก


https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_640774



ร้อง “ปลัด ยธ.”ตั้งกก.สอบข้อเท็จจริงปมรื้อ “คดีครูจอมทรัพย์”
หอบหลักฐานแฉผลตรวจรถกระบะ!


เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 21 พ.ย. ที่ศูนย์บริการร่วม กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์
ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เดินทางเข้าพบนายวิศิษฐ์ วิศิษฐ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เพื่อร้องเรียนขอความเป็นธรรมในคดีของนางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อดีตข้าราชการครู
ที่ออกมาร้องขอความเป็นธรรมว่าตนเองแพะในคดีขับรถชนคนเสียชีวิตโดยประมาท

นายอัจฉริยะ กล่าวว่า สำหรับคดีครูจอมทรัพย์นั้น มีหลักฐานชัดแจ้งว่าคดีนี้มีทั้งกระบวนการรับจ้างติดคุก รับจ้างรื้อฟื้นคดี
โดยนำกระบวนการยุติธรรมไปเป็นเครื่องมือทำมาหากิน ซึ่งมีกลุ่มบุคคลในหน่วยงานราชการรู้มาตั้งแต่ต้นว่ามีการว่าจ้างเกิดขึ้น
แต่ทางหน่วยงานดังกล่าวไม่หยุดช่วยเหลือ และยังดำเนินการช่วยเหลือโดยนำงบประมาณแผ่นดินไปใช้จ่ายจำนวนมาก
วันนี้ตนจึงนำหลักฐานทั้งหมดมาให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้ง

นายอัจฉริยะ กล่าวต่อว่า ตนนำเอกสารจากการตรวจสอบข้อเท็จจริงของสถาบันพระจอมเกล้าธนบุรี กรมการขนส่งทางบก
และบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ซึ่งเป็นการตรวจพิสูจน์รถกระบะ ทะเบียน บค 56 สกลนคร คันก่อเหตุ
โดยผลตรวจแผ่นป้ายทะเบียนของสถาบันเทคโนโลยีนั้น ไม่มีร่องรอยการเฉี่ยวชน ซึ่งเมื่อนำภาพป้ายทะเบียนจาก 12 ปีที่แล้ว
บอกว่าเป็นไปได้ว่าจะมีการชนเนื่องจากมีรอยแตกของสีตรงเลข 5 และรูน็อตบนแผ่นป้ายทะเบียนที่กระทรวงยุติธรรม
นำไปให้ตรวจสอบ กับภาพจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เมื่อ 12 ปีที่แล้วไม่ตรงกัน สอดคล้องกับกรมการขนส่งทางบก
ว่านางจอมทรัพย์ ได้ไปแจ้งป้ายทะเบียนหายและขอป้ายทะเบียนใหม่

ส่วนทางโตโยต้าแถลงผลการตรวจสอบว่า มีการเปลี่ยนชิ้นส่วนรถในจุดที่มีรอยชน คือบริเวณมุมซ้ายด้านหน้าของรถยนต์
และทั้ง 3 หน่วยงานสรุปมาว่า ไม่สามารถตรวจพบรอยเฉี่ยวชน ซึ่งขัดกับการแถลงข่าวของรองปลัดกระทรวงยุติธรรมว่า
ตรวจไม่พบรอยเฉี่ยวชน ดังนั้น รถกระบะคันที่พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ ส่งไปให้ทั้ง 3 หน่วยงานทดสอบนั้น
มีการสวมทะเบียนและเปลี่ยนชิ้นส่วนของรถ

นายอัจฉริยะ กล่าวด้วยว่า ตนขอเรียกร้องให้กระทรวงยุติธรรมตรวจสอบ คือ

1. ตรวจสอบการใช้งบประมาณในการใช้ตรวจพิสูจน์หลักฐานเพื่อรื้อฟื้นคดีให้ครูจอมทรัพย์
2. มีการทำหลักฐานเท็จให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเซ็นชื่อ
3. ตรวจสอบว่ามีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องกี่คน และที่สำคัญทนายความที่ใช้ในคดีนั้นไม่ใช่ของกระทรวงยุติธรรม
   แต่พบว่ามีสัญญาจ้าง ดังนั้น จึงขอให้ปลัดกระทรวงยุติธรรมตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่
   ของ พ.ต.อ.ดุษฎี เพื่อเรียกเงินที่นำไปใช้ในคดีช่วยเหลือครูจอมทรัพย์ กลับคืนเนื่องจากการทำหน้าที่ดังกล่าวสร้างความเสียหายแก่รัฐ

ด้าน นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า เรื่องของการรื้อฟื้นคดีอยู่ในกระบวนการยุติธรรมขอความเป็นธรรม
 ทางกระทรวงได้ดำเนินการตั้งคณะกรรมการแล้วเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะฉะนั้นกระทรวง
จะไม่ตั้งเป็นว่าใครผิดหรือไม่ผิด เราจะต้องการความจริงให้ปรากฏ ซึ่งคำสั่งในการตั้งกรรมการมีก่อนหน้านี้แล้ว

นายวิศิษฐ์ กล่าวต่อว่า อีกเรื่องที่มีข้อกังวลใจคือ การทำงานในด้านการรื้อฟื้นคดีมีมาก่อนหน้านี้แล้ว
และมีระเบียบในการจัดการ มีความชัดเจน ซึ่งระเบียบในส่วนนี้คาดว่าจะออกมาได้ไม่เกิน 1 สัปดาห์
จนกว่าผลการสอบสวนจะออกมาจากคณะกรรมการ ตนยังไม่สามารถระบุอะไรชัดเจนได้
ไม่สามารถออกความเห็นใดใดกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ คาดว่าเป็นระยะเวลาประมาณ 30 วัน
บันทึกการเข้า

หัว...ฆรวย

หัวโขนมิวางออก              เจ้าหลงครอบไปทุกที่
อ่าองค์ว่าโสภี                  นฤดีปริ่มเปรมใจ
ลืมไปว่าที่ครอบ                ต้องวางออกนหทัย
สวมครอบตัวตนไว้             ก็แค่ควายใส่ชฎา
แปจีหล่อ คนสันขวาน
Hero Member
*****

คะแนน 6335
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8369



« ตอบ #80 เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2017, 08:32:50 PM »

ทนายคนนี้เคยโดนลูกเพจด่าเพราะคดีนีเยอะเหมือนกันนะครับ เมื่อก่อนผมเคยติดตามอพจเค้าเหมือนกันแต่พักหลังเริ่มรู้สึกไม่ชอบเลยเลิกติดตามไป
กัยเรื่องคดีนี้ผมว่าการสู้คดีในศาลมันมีแพ้และชนะส่วนตัวผมเชื่อในความบริสุทธิ์ใจของท่านรองปลัด และเป็นห่วงว่าถ้าเกิดมีการตั้งกรรมการสอบจริงต่อไปใครจะกล้าให้การช่วยเหลือประชาชนตาดำๆอีก เพราะถ้าแพ้คดีต้องโดนสอบแบบนี้ 
บันทึกการเข้า

สีกากีเป็นสีของดิน ข้าราชการควรต้องติดดิน ออกพื้นที่รับฟังปัญหาของชาวบ้าน ข้าราชการคือ ข้าที่ทำกิจการต่างๆให้กับพระราชา เครื่องแบบข้าราชการสีกากีคือสีแห่งข้ารับใช้แผ่นดิน
ค..ควาย...ใส่ชฎา
Hero Member
*****

คะแนน -15861
ออฟไลน์

กระทู้: 13583


No justice No peace


« ตอบ #81 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2017, 12:52:17 PM »



http://www.komchadluek.net/news/scoop/303018

เปิด 8 ประเด็น ศาลฎีกาไม่เชื่อ“ครูจอมทรัพย์ ” แพะ


“ คมชัดลึกออนไลน์” ตรวจสอบคำพิพากษาฉบับเต็ม
ในคดีขอรื้อฟื้นคดีของ "ครูจอมทรัพย์" พบว่ามี 8 ประเด็นสำคัญที่ทำให้ศาลฎีกายกคำร้อง

          ศาลฎีกายกคำร้องขอรื้อฟื้นคดีของนางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร  อดีตครูโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.สกลนคร
ไปเรียบร้อยแล้วเมื่อ 17 พ.ย.ที่ผ่านมา ทำให้การรื้อฟื้นคดีต้องปิดฉากลงทันที ข้อหาขับรถชนคนตายโดยประมาท
ที่เธอเคยต้องโทษจำคุก ไม่สามารถลบออกไปได้ตามที่วาดหวัง

       “คมชัดลึกออนไลน์”  ตรวจสอบคำพิพากษาฉบับเต็มในคดีขอรื้อฟื้นฯ พบว่ามี 8 ประเด็นสำคัญที่ทำให้ศาลฎีกายกคำร้อง ดังนี้

          1. ไม่นำนายสับ วาปี  มาเบิกความเป็นพยานในชั้นพิจารณาคดีในคดีที่ นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร หรือ “ครูจอมทรัพย์”
ร้องขอรื้อฟื้นคดี ทั้งที่ในคำร้อง “ครูจอมทรัพย์” อ้างว่า เพิ่งทราบในภายหลังว่า ผู้กระทำที่แท้จริงคือนายสับ
ซึ่งเป็นคนขับรถกระบะ หมายเลขทะเบียน บค 56 มุกดาหาร ไปเฉี่ยวชนนายเหลือ พ่อบำรุง ถึงแก่ความตาย

         อีกทั้งในชั้นไต่สวนคำร้องขอรื้อฟื้นคดีของศาล ว่าคำร้องพอมีมูลที่จะรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่หรือไม่
นางจอมทรัพย์ ก็นำนายสับ มาให้ศาลชั้นต้นไต่สวน ่ทำให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำสั่งให้รับคำร้องขอรื้อฟื้นคดีของนางจอมทรัพย์
ไว้พิจารณาและให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาคดีที่ขอรื้อฟื้น แต่พอถึงชั้นพิจารณาคดีในคดีขอรื้อฟื้นฯ นางจอมทรัพย์
กลับไม่นำนายสับ มาเบิกความ ศาลฎีกาเห็นว่า ส่อแสดงว่าผู้ร้องอาจต้องการหลีกเลี่ยง
ไม่ให้นายสับ ถูกตรวจสอบโดยการถามค้านของผู้คัดค้าน

    

         2.ในชั้นพิจารณาคดีในคดีขอรื้อฟื้นฯ นางจอมทรัพย์ อ้างว่า มีพยานหลักฐานใหม่
จากผลการตรวจสอบรถกระบะ หมายเลขทะเบียน บค 56 สกลนคร  โดยผู้เชี่ยวชาญระบุว่า
ไม่ปรากฏร่องรอยการเฉี่ยวชน รวมทั้งสีของรถกระบะเป็นสีเดิมที่มาจากโรงงานผู้ผลิต  

        แต่ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงเหล่านี้ศาลเคยวินิจฉัยไว้แล้วในคดีเดิมที่พิพากษาจำคุกนางจอมทรัพย์  
ในข้อหาขับรถโดยประมาทชนนายเหลือ ถึงแก่ความตาย  จึงไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่
ศาลฎีกาจึงไม่รับพยานหลักฐานดังกล่าวไว้พิจารณาในคดีขอรื้อฟื้น

       3. การนำนางจอมทรัพย์ ,นายประพัฒน์ แสนเมืองโคตร  และนางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์  เข้าเบิกความเป็นพยาน
ในคดีขอรื้อฟื้นคดีนั้น คนทั้งสามเคยเป็นพยานเข้าเบิกความในคดีเดิมที่ศาลมีคำพิพากษาว่านางจอมทรัพย์
กระทำผิดขับรถประมาทชนคนตาย คำเบิกความของพยานทั้ง 3 คนดังกล่าวในคคีขอรื้อฟื้นคดีขึ้นมาพิจารณาพิพากษาใหม่
จึงเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ศาลได้วินิจฉัยมาแล้วในคดีเดิม จึงไม่ถือเป็นพยานหลักฐานใหม่ที่จะนำมารื้อฟื้นคดีได้

          4.นางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์  พยานสำคัญที่เห็นเหตุการณ์ ซึ่งนางทัศนีย์ ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวน
และเบิกความในคดีเดิม ยืนยันว่า เห็นและจำหมายเลขทะเบียนรถกระบะที่ขับเฉี่ยวชนรถจักรยานของผู้ตายว่า
มีหมายเลขทะเบียน บค.56 สกลนคร ซึ่งเป็นหมายเลขทะเบียนรถกระบะที่นางจอมทรัพย์ ครอบครองอยู่ในขณะเกิดเหตุ
นำมาสู่การแจ้งข้อกล่าวหาและดำเนินคดีกับนางจอมทรัพย์

         และนางทัศนีย์  ยังเป็นพยานโจทก์เบิกความในคดีเดิมว่า หลังเกิดเหตุเฉี่ยวชนแล้ว รถกระบะหยุดรถ
และคนขับเป็นชายเปิดประตูรถเดินลงไปดูผู้ตาย นางทัศนีย์ เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วก็รีบขับรถจักรยานยนต์ออกไป
โดยไม่ได้สังเกตว่ารถกระบะจะขับออกไปเมื่อใด ศาลฎีกาเห็นว่าแสดงว่านางทัศนีย์ ขับรถออกไปก่อนที่รถกระบะคันเกิดเหตุจะขับหลบหนีไป

         แต่เมื่อนางจอมทรัพย์ได้นำนางทัศนีย์  มาสืบเป็นพยานของนางจอมทรัพย์ในชั้นไต่สวนคำร้องขอรื้อฟื้นคดี นางทัศนีย์
กลับเบิิกความว่า หลังเฉี่ยวชนกันแล้ว  รถกระบะคันดังกล่าวได้หยุดรถ ชายคนขับรถคันเกิดเหตุลงมานั่งยองๆดูผู้ตายสักพัก
แล้วกลับขึ้นรถขับออกไป ศาลฎีกาเห็นว่าแสดงว่านางทัศนีย์ จอดรถจักรยานยนต์ดูจนคนร้ายขับรถกระบะขับหลบหนีไป
 นางทัศนีย์จึงขับรถออกจากที่เกิดเหตุไป  

         ศาลฎีกา จึงเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ว่า นางทัศนีย์ ขับรถออกไปจากที่เกิดเหตุก่อนที่คนขับรถกระบะจะขับหลบหนีหรือไม่นั้น
 เป็นข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญ ที่ผู้ประสบเหตุการณ์จริง ควรจะจำได้โดยไม่ผิดพลาด
การที่นางทัศนีย์ เบิกความถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวแตกต่างกันย่อมเป็นพิรุธ

         นอกจากนี้นางทัศนีย์ ยังได้เบิกความในชั้นพิจารณาคำร้องขอรื้อฟื้นคดีของนางจอมทรัพย์  
โดยไม่ยืนยันถึงหมายเลขทะเบียนรถกระบะคันเกิดเหตุ (ทั้งที่ในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาคดีเดิม
นางทัศนีย์ ให้การและเบิกความยืนยันว่า ไฟรถจักรยานยนต์ของนางทัศนีย์ ส่องไปยังป้ายทะเบียนรถยนต์คันเกิดเหตุ
มีหมายเลขทะเบียน บค 56 สกลนคร ) โดยนางทัศนีย์ อ้างว่า ความจริง รถจักรยานยนต์ของนางทัศนีย์มีสภาพเก่า
ไฟส่องไม่สว่างเท่าใดนัก มองเห็นหมายเลขทะเบียนรถไม่ชัดเจนในหมวดอักษรและจังหวัด แต่แน่ใจว่าหมายเลข 56  แน่นอน
ซึ่งเป็นการกลับคำให้การและคำเบิกความในคดีเดิม ซึ่งย่อมเป็นประโยชน์แก่รูปคดีของนางจอมทรัพย์ ผู้ร้อง  
ศาลฎีกาจึงเห็นว่า คำเบิิกความของนางทัศนีย์ในชั้นพิจารณาคำร้องขอรื้อฟื้นคดี จึงไม่น่าเชื่อถือ


         5.พยานผู้ร้อง  คือ นางทองเรศ วงศ์ศรีชา, นางสุเทพ วงศ์ศรีชา และนางบุญเลิศ วงศ์ศรีชา ไม่น่าเชื่อถือ  

         นางทองเรศ อ้างว่า ตนนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของนางทัศนีย์ แต่ในคดีเดิมนางทัศนีย์ ไม่ได้เบิกความว่า
 นางทองเรศนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มาด้วย

         นอกจากนี้ นางทองเรศ  ยังเบิกความเกี่ยวกับจุดที่นายเหลือ ผู้ตาย ถูกรถกระบะชนและกระเด็นไปว่า
ผู้ตายนอนอยู่บนถนนด้านหลังรถกระบะ แต่นางทองเรศกลับไปให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ ว่า ผู้ตายนอนอยู่ที่ด้านหน้ารถกระบะคันเกิดเหตุ

          ศาลฎีกา เห็นว่า เหตุการณ์ที่ผู้ตายถูกรถกระบะชนแล้วกระเด็นไปอยู่บริเวณใดของรถกระบะ นับเป็นข้อสาระสำคัญ
หากนางทองเรศอยู่ในเหตุการณ์ด้วยจริง น่าจะจดจำได้เป็นอย่างดี  การที่นางทองเรศ เบิกความและให้สัมภาษณ์แก่ส่ื่อมวลชนกลับไปกลับมา
ยิ่งก่อให้เกิดข้อสงสัยว่านางทองเรศ จะมีส่วนรับรู้เหตุการณ์ในวันเกิดเหตุจริงหรือไม่

         ส่วนนางสุเทพ เบิกความเป็นพยานในชั้นไต่สวนคำร้องขอรื้อฟื้นคดีอ้างว่า ตนนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของนายถวิล พรหมคนซื่อ
แต่ในชั้นสอบสวนนางทัศนีย์ ให้การว่า นางทัศนีย์กับพวกขับรถจักรยานยนต์มาคนละคันจำนวน 4 คัน ศาลฎีกา เห็นว่า
กรณีจึงมีข้อพิรุธ ทำให้เกิดความสงสัยว่า นางทองเรศและนางสุเทพ นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปในวันเกิดเหตุด้วยจริงหรือไม่

         ส่วนนางบุญเลิศ เบิกความในชั้นไต่สวนคำร้องขอรื้อฟื้นคดีว่า  เห็นผู้ตายถูกชนนอนอยู่บริเวณกึ่งกลางถนน
อยู่ทางด้านหน้ารถกระบะ ซึ่งขัดแย้งกับที่นางทัศนีย์และนางทองเรศ เบิกความในชั้นไต่สวนและชั้นพิจารณาคำร้องขอรื้อฟื้นคดีว่า
ผู้ตายนอนอยู่ทางด้านหลังรถกระบะ ศาลฎีกาจึงเห็นว่า ทำให้เกิดความสงสัยว่า นางบุญเลิศ จะมีส่วนรับรู้เหตุการณ์ในวันเกิดเหตุจริงหรือไม่

        นอกจากนี้ศาลฎีกา ยังห็นว่า ทั้งนางทองเรศ นางสุเทพ และนางบุญเลิศ หลังเกิดเหตุ ไม่เคยไปให้การต่อพนักงานสอบสวน
และไม่เคยแสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาก่อน บ่งชี้ให้เห็นถึงความไม่น่าเชื่อถือของพยานทั้ง 3 คน ตั้งแต่แรก

          

       6. คำเบิกความของนายสับ วาปี ในชั้นไต่สวนคำร้องขอรื้อฟื้นคดี ที่อ้างว่าในวันเกิดเหตุนายสับได้ขับรถกระบะ
หมายเลขทะเบียน บค56 มุกดาหาร ออกจากบ้านในตอนเช้าเพื่อตระเวณหาซื้อไม้ยูคาลิปตัส
ก็ไม่ปรากฏรายละเอียดจะไปหาซื้ออย่างไร ที่ไหน จากใคร ไม่ปรากฏรายชื่อบุคคลหรือสถานที่ที่สามารถตรวจสอบได้
ศาลฎีกาเห็นว่าจึงดูเลื่อนลอย อีกทั้งเมื่อหาซื้อไม้ทั้งวันไม่ได้ก็น่าจะขับรถกลับบ้านก่อนค่ำ
การที่นายสับ ยังคงขับรถตระเวนหาซื้อไม้จนมืดค่ำ จึงขับรถกลับและเกิดอุบัติเหตุเมื่อเวลา 2 ทุ่ม ที่ อ.เรณูนคร จังหวัดนครพนม  
ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านพักของนายสับที่ อ.เมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร อีกไม่น้อยกว่า 60 กม. จึงดูไม่สมเหตุผล

         ส่วนการที่นายสับนำเงิน 170,000 บาท ไปชดใช้ให้กับบุตรผู้ตายในคดีแพ่งที่บุตรผู้ตายเป็นโจทก์ฟ้องนางจอมทรัพย์ เป็นจำเลย
เรียกค่าสินไหมทดแทนนั้น ศาลฎีกา เห็นว่า ก็ยังมีข้อน่าสงสัยว่า เงินที่นายสับนำไปชดใช้ให้กับบุตรผู้ตาย เป็นเงินของนายสับหรือไม่
จึงไม่ใช่หลักฐานสำคัญที่บ่งชี้ว่านายสับเป็นผู้กระทำความผิดขับรถชนนายเหลือ ผู้ตาย

        7.ทางอัยการผู้คัดค้าน มีนายลัน โทนแก้ว ซึ่งเป็นพี่ภรรยาของนายสับ มาเป็นพยานเบิกความว่า
นายสับ ขายรถกระบะ ทะเบียน 56 มุกดาหาร ให้กับตน ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุในคดีที่มีรถชนนายเหลือ ผู้ตาย
 นายสับ จึงไม่ได้เป็นผู้ครอบครองรถกระบะหมายเลขทะเบียน บค 56 มุกดาหาร ในขณะเกิดเหตุ

        8.ศาลฎีกาเห็นว่า จากการสืบพยานของฝ่ายผู้คัดค้านหลายปาก มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า
มีขบวนการว่าจ้างให้นายสับ รับสมอ้างว่า เป็นคนขับรถกระบะ หมายเลขทะเบียน 56 มุกดาหาร
ไปเฉี่ยวชนรถจักรยานของนายเหลือ ผู้ตาย โดยเสนอค่าตอบแทนให้นายสับ 4 แสนบาท
แต่นายสับ เปลี่ยนใจไม่กระทำตามที่ตกลง จึงมีการไปติดต่อนายเสริฐ รูปสอาด
ให้มารับสมอ้างเป็นคนขับรถกระบะคันดังกล่าวแทนนายสับ โดยเสนอเงินให้นายเสริฐ 200,000บาท
แต่อาจเป็นเพราะนายเสริฐ ขับรถยนต์ไม่เป็น หรือนายสับ เปลี่ยนใจกลับมารับสมอ้างอีกครั้ง
จึงมีการดำเนินการให้นายสับมารับสมอ้างว่า เป็นคนขับรถกระบะ หมายเลขทะเบียน56  มุกดาหาร
ไปเฉี่ยวชนรถจักรยานของนายเหลือ ผู้ตาย ในที่สุด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 23, 2017, 12:55:21 PM โดย babara. » บันทึกการเข้า

หัว...ฆรวย

หัวโขนมิวางออก              เจ้าหลงครอบไปทุกที่
อ่าองค์ว่าโสภี                  นฤดีปริ่มเปรมใจ
ลืมไปว่าที่ครอบ                ต้องวางออกนหทัย
สวมครอบตัวตนไว้             ก็แค่ควายใส่ชฎา
หน้า: 1 ... 3 4 5 [6]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.18 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.182 วินาที กับ 22 คำสั่ง