๏ฟฝ๏ฟฝ็บบ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝสน๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝาปืน

สงสัยมานานแล้วค่ะว่าทำไมความนิยมในปืนcoltถึงไม่เสื่อมคลาย
เลยอยากทราบเหตุผลและความรู้สึกว่าทำไมท่านๆถึงจึงชอบยี่ห้อนี้กันค่ะ ;D

ผมคิดว่า ด้วยองศาของด้าม ทำให้การจับถือ เป็นตามธรรมชาติ ไม่ต้องฝืนข้อมือ
วาดปืนขึ้นมา ลำกล้องก็ตรงไปยังเป้า เสมือนเราชี้นิ้ว
ระบบการลั่นไก ที่เฉียบคม   ระบบเซฟ ที่ให้มา  รวมถึงเซฟตี้หลังอ่อน
และ บรรดาหนัง ทั้งหลาย ก็มักจะนิยมใช้ รวมถึงบรรดามือปืน
ก็เลย ทำให้ ต้องหยิบจับถือ แล้วก็มีครอบครอง
ด้วยเสน่ห์ ในตัว ดำขรม .....

ถ้าเจ๊โออายุ70ปีแล้วยังมีสาวๆชวนไปเฮ มีหนุ่มๆชวนไปฮาเหมือนตอนนี้ เจ๊ก็จะได้เป็นเจ๊โอในตำนาน

ถ้าตอนอายุ90ปีแล้วยังมีสาวๆมาชวนเที่ยว หนุ่มๆมาชวนกิน ยังเป็นเจ๊โอที่ฮากลิ้งได้เหมือนเดิม เจ๊ก็จะได้ฉายาว่าเป็นอมตะเหมือนกันครับ  ;D

เข้าใจว่าน้องโอหมายถึงโคลท์ 1911 นะคับ...

ผมว่า...

1.เพราะออกแบบมาได้ดี สวยงาม ขนาดพอเหมาะ พกพาสะดวก การใช้งานไม่ยาก  มีกลไกควบคุมความปลอดภัย ทนทาน การถอดประกอบทำได้ง่าย...

2.ผ่านการพิสูจน์โดยกองทัพอเมริกา และผ่านศึกมานับไม่ถ้วน...

3.ขนาดกระสุนที่เลือกใช้มีอานุภาพสูง และไว้วางใจได้ดี...

4.สามารถปรับแต่งได้โดยช่างสมัครเล่น และสามารถหาอะหลั่ยมาเปลี่ยน/แต่งได้เพียบ...

5.นอกสงครามก็ได้รับการพิสูจน์จากสนามแข่งประเภทต่างๆมากมาย...

สุดท้าย...เพราะมีม้าคับ...;D

นอกจากที่เพื่อนๆว่ามาแล้วอีกอย่างคือการ  บอกต่อๆ  ครับ ;D

โค้ลท์ใช้ดี จบพ ครับ

ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับเจ๊ไม่ได้ตามกระแสความนิยมด้วย แต่ความรู้สึกส่วนตัวแล้ว รูปทรงลงตัวและชื่อเสียงที่มีมานานทำให้มันมีเสน่ห์น่าดึงดูดครับ แบบว่าอยากมีบ้างแบบเดิมๆซักกระบอกครับ  ;D

ถ้าพี่โอหมายถึง colt 1911
สำหรับผมเป็นปืนที่จับถนัดมือมากที่สุด ยิงง่ายไม่ว่าลำกล้องสั้นหรือยาว
ด้วยความเคารพครับ

ก็เพราะมันเป็นตราเสือ อิอิ....ล้อเล่น

เพราะ Colt โดยเฉพาะ1911 มันมีตำนานมาจะร่วมร้อยปีแล้วนี่ครับมันจึงเป็นอมตะ...โดยเฉพาะผมตั้งแต่เกิดมาได้เห็นและรู้จักปืนจริงๆกระบอกแรกก็เจ้าม้าชาญศึกนี่แหละครับ...

ผมว่าที่รูปทรงน๊ะ  ที่เป็นความนิยม+กับความอมตะ ;D

                Colt  คือตำนานครับผม............................ :) :) :)

รอฟังความเห็น พี่ เต๋า 1911 ณ บางเขน ครับ ;D ;D ;D

อืมมมมมม... อม ตะ   จริงๆ ปืน colt นี่  อืมมมมม...

สูงสุดสู่สามัญครับ โครงพลาสติก อัลลอย พาราเดียม ไททาเนียม ผมก็กลับมาหา1911 ;D

ก็คิดดูสิครับ...พี่บังรีบไปเที่ยวบ้านหาน้องโอแต่เช้าเลย.... :D :D :D

มารอคำตอบ

ทำไมปืนCOLTถึงอมตะ  คงต้องขอตอบว่ารูปทรง กลไก และขนาด.45ตั้งแต่คิดออกแบบมาครับ

เพิ่งรู้ว่าเจ๊โอของผมเป็นอมตะแล้ว

.
:)  ตำนานของ Colt เป็นตำนานของนักสู้ .. พิสูจน์ทราบโดยผู้ใช้ด้วยตนเอง.
    ท่านผู้หนึ่ง จะเป็นผู้ได้รับรู้ด้วยความภูมิใจ และเชื่อมั่น ที่จะได้สานต่อในตำนาน Colt
    ด้วยอีกผู้หนึ่ง  ..

    ผมก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น..  แต่ เป็น ๑๙๑๑ a ๑ ในแบบ Colt super ครับ.   :)

คุณเต๋าอยู่ไหน   ว 2....

ถึงเวลานั้นหัวเราะทีคงฟันปลอมร่วงอ่ะสิจ๊ะ :~)


 ;D :VOV:


โอไม่ใช่คุณยายวรนารถนะคะ :~)

legendary......

  เข้ามาหาเหตุผลให้ตัวเองเหมือนกัน...ว่าทำไมถึงชอบโคล์จังเลย..

มันมีเสน่ห์   ตรง  ม้านี่แหละ

รถสปอร์ต  ยอดนิยมของอิตาลี   ก็ใช้  ม้าเป็นโลโก (น้องเฟอร์)

รถสปอร์ต  อมตะของอเมริกา      ก็ใช้  ม้าเป็นโลโก  (มัสแตง)

   ปืนยี่ห้อ Colt เป็นต้นกำเนิดตำนานหลายเรื่องครับ..............

   แซมมวล โคลท์ คิดค้นระบบปืนลูกโม่(ปืนแบบรังเพลิงหมุน) ได้เป็นคนแรก..............ในช่วงที่เป็นกลาสีเรือ.............มองเห็นการหมุนของพังงาเรือ(พวงมาลัย)................เลยเกิดความคิดออกแบบปืนลูกโม่ขึ้นมา......... Colt เป็นปืนยี่ห้อแรกที่คิดค้นและผลิตปืนลูกโม่

   ต่อมา Colt ได้รับการว่าจ้างให้ผลิตปืนลูกโม่ Single Action ในรุ่น  Single Action ARMY (SAA) ขนาด .45 Colt ...................เข้าประจำการในกองทัพสหรัฐ หลังจากปืนยุคดินดำบรรจุปากหมดยุคไป...............ปืนรุ่นนี้เป็นปืนประจำกายหลักของทหารม้าสหรัฐ............ใช้ต่อสู้กับชนเผ่าดินเดียนแดง..............สร้างบ้านแปงเมือง จนเป็นประเทศมหาอำนาจในทุกวันนี้.............และเป็นต้นกำเนิดของสัญญาลักษณ์ ลูกม้าตัวผู้หักหอกอินเดียนแดง ( Colt แปลว่าลูกม้าตัวผู้)..................ปืน SAA ถือว่าเป็นปืนในตำนานรุ่นหนึ่งของ Colt

   หลังจากที่ทหารสหรัฐเจอนักรบเกาะมอนโรที่ถือดาบใบใหญ่วิ่งเข้ามาฟันถึงตัว............กองทัพสหรัฐจึงกำหนดให้มีการออกแบบปืนพกในกองทัพใหม่ทดแทนขนาด .38 เดิม โดยกำหนดให้เป็นปืนพกกึ่งออโต ที่มีขนาดกระสุนที่มีพลังอำนาจหยุดมนุษย์อย่างได้ผล........จอห์น โมเสส บราวนิ่ง ก็ออกแบบปืน 1911 ใช้กระสุนขนาด .45 ACP ( Automatic Colt Pistol).............โดยใช้แผนแบบปืนออโตขนาด .38 Colt มาเป็นต้นแบบดัดแปลง และดัดแปลงกระสุน .45 Colt เป็น .45 ACP สำหรับใช้กับ 1911 ............ส่งเข้าประกวด และได้รับการคัดเลือก...........โดยบ.Colt ก็ได้ใบสั่งการผลิตและเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์..............

   ปืน 1911 จึงเข้าสู่สงครามตั้งแต่นั้นมา...........และเป็นปืนอีกรุ่นหนึ่งของ Colt ที่กลายเป็นตำนาน................

   ถ้าหากคิดว่า Colt มีตำนานที่น่าศึกษา สำหรับเมืองไทยนั้นมากกว่ายี่ห้ออื่นๆ............ถูกต้องครับ

   แต่หากคิดว่าปืนที่เป็นตำนานในสหรัฐมีอะไรบ้าง Colt ก็เป็นหนึ่งในนั้น.............เพราะยี่ห้ออื่นก็มีครับ เช่น Winchester เป็นตำนานปืนคานเหวี่ยงหลังม้า.................ปืน Springfeild ยี่ห้อนี้เป็นตำนานของกองทัพสหรัฐมานาน ผลิตตั้งแต่ปืนคาบศิลายุคดินดำบรรจุปาก จนมาถึงปัจจุบัน......

   ปืน colt รุ่นอื่นๆ นอกจาก 1911 นั้น ...............น่าเก็บสะสมแทบทั้งสิ้น เพราะมักจะมีที่มาที่ไป เป็นประวัติน่าศึกษาทั้งนั้น............และแปลกที่ บริษัทนี้ มักจะผลิตปืนแต่ละรุ่น(นอกเหนือจาก 1911) ไม่นานเท่าไหร่................ทำมาจำนวนหนึ่งพักหนึ่งก็เลิกผลิต............นักนิยมปืน Colt เลยตามหากันเสมอๆ ราคาเลยนับวันจะแพงขึ้น...........

ผมมีความเห็นแค่นี้..............

   

   

ผมชอบที่.ท่านผู้การ.มะขิ่น.โพส..1911ต้อง.โคลท์.ที่เหลือคือ.ก๊อปปี๊.... :VOV:

สุดยอดความรู้ล้วนๆครับพี่...ขออนุญาติเก็บข้อมูลครับ..

รูปทรงของปืนโคลท์ มันมีเสน่ห์ความงามในตัวของมันเอง ซึ่งออกแบบมาได้อย่างลงตัว และผิวที่รมดำ Royal Blue เมื่อสะท้อนกับแสงแดดสีออกมาไม่เหมือนใครและยากที่จะเลียนแบบ ส่วนความยอดนิยมนั้น.......เห็นได้จากปืนที่ทำเลียนแบบออกมาหลายสำนักไม่ว่าจะเป็น Kimber, Les Bear, STI แม้กระทั่ง S&W ยังผลิตออกมาป้อนตลาด
ดังนั้น....นี่คือเสน่ห์ของปืนโคลท์ 1911 Model

ปล. ด้านประวัติความเป็นมาและเทคโนโลยีของปืน โปรดอ่านจากคุณมะขิ่นครับ

มันสุดยอดเลยครับ

หมายถึงอะไร

ตั้งแต่เด็กเด็ก ถ้ามีการพูดถึงปืนก็ได้ยิน Colt เป็นชื่อแรกครับ
โตพอจะหาข้อมูลเองได้ เลยเริ่มที่ Colt ก่อนปืนอื่นอื่น
มันเลยซึมซับไปโดยไม่รู้ตัว เหมือนรักแรกน่ะครับ   ;D

เพราะโคลท์ 1911 เป็นต้นแบบที่ดี
ถึงแม้จะมีผู้เลียนแบบและทำได้ดีกว่า
แต่ผู้ที่ต้องการจะมีไว้ในครอบครอง
ทุกคนจึงใฝ่ฝันหาต้นแบบที่ดีเท่านั้น

       Coltเสียอยู่ 2 เรื่อง ;D
 1. บ้านเราขายราคาสูงเวอร์ไป
 2. เนื้องานค่อนข้างหยาบ
เท่าที่เห็นและได้สัมผัสนะครับ

ที่เป็นอมตะเพราะยังไม่ตาย ;D

ส่วนตัว เห็นว่าเป็นปืนที่มีเรื่องราว เรื่องเล่าที่กล่าวขานกันมามากสุด
คุณภาพการใช้ก็บอกผ่านสมรภูมิต่างๆอย่างมากมาย  และยังเป็นต้นตำรับฉบับโคลท์ ที่ใครๆต่างก็เอาไปก็อปปี้กันซะเพียบ แถมทำได้ดีกว่าซะอีก
แต่ยังๆก็โคลท์  ร่วมสืบสานตำนานโคลท์ครับ

ผมว่ารูปทรงลงตัว  เหมือนเทพวีนัสแขนด้วนมีครึ่งตัวก็สวย     และการใช้งานก็ยอดราคาก็ไม่ตกทุกอย่างมีอยู่ครบครับ

ถ้าโคลท์ลูกโม่ผมก็เฉยๆ......

ผมชอบระบบ 1911 มากกว่ายี่ห้อโคลท์ครับ

ผมว่าน่าจะเป็นที่มีม้าเป็นเอกลักษณ์เด่น จำง่าย เท่ห์กว่าสัญลักษณ์อื่น
รูปทรงสวยอมตะ    มีประวัติในทางที่ดี มายาวนาน  คนนิยมใช้เยอะ
และบอกต่อๆกัน  .  ;D :D :D

ขนาดเมืองไทย  ยังต้องมี

"โคลท์ตราควาย"   หรือ "ค้อนตราควาย"

สมัยเด็ก เห็น โพลิส โพซิทีฟ กลไกเสียเยอะมาก  ใจก็ไม่ชอบ โคลท์สักเท่าไหร่ 
พอมีโอกาสได้ยิง  โคลท์เน่าๆเก่าคร่ำคร่า หลายรุ่น รู้สึกว่ามันทำกลุ่มได้ดี กระสุนจริงแรงๆ ก็ทำกลุ่มแคบ   :OO แม้ระบบไก จะสัมผัสไม่เฉียบคนสักเท่าไหร่  ตัวปืนแข็ง เป็นรอยยาก กว่าเจ้าอื่น

สำหรับผม ชอบ โคลท์  นิดหน่อยครับ  ที่ชอบจริง คือแบบแผนการผลิตมากกว่า ยี่ห้อ  เช่น 1911 ถ้าเจ้าไหนทำออกมาเรียบๆ ยิงดี ผมก็ชอบ ไม่จำเป็นต้องโคลท์

ผมคิดว่าเพราะรูปลักษณ์ของปืนยี่ห้อโคลท์ โดยเฉพาะ1911
และเครื่องหมายการค้าที่เป็นรูปม้า ซึ่งรูปม้าเป็นแบบถือว่าเป็นเซ็กส์แอพพีล
ม.ม้ามันคึกคักดีครับ จะสังเกตุได้ว่าตราสินค้าที่เป็นรูปม้าจะค่อนข้างได้รับความนิยม
เช่น ปืนโคล์ท รถเฟอรารี่ รถฟอร์ดมัสแตง เป็นต้นครับ

 ;)

ผมชอบคล้ายๆกับครูดำครับ เลยขออนุญาตลอกคำตอบแล้วกัน  ;D

...ไม่รู้สิ...คนรุ่นเก่า ๆ มือปืนคุมถางป่าแถวบ้านผม ร้อยละ 100 ใช้ Colt 1911 ...

ขออนุญาติลอกท่านสารวัตครับ  ก็ชอบม้านะครับ  :VOV: :VOV:
บังเอิญที่บ้านก็เกิดปีม้าเสียด้วย ;D ;D

นิยมใช้ และทนทานครับ อีกอย่างแบบ สวยครับ

ว.2.....ว.8.......เปลี่ยน ......พอๆ...ๆ.เลิกๆ.....เลิก...ใช้รหัส วิทยุเสียทีเถอะครับ....หนีชีวิตจริงแล้วยังมาได้ยินในเวปอีก ......มันมีความรู้สึกเหมือนยังไม่ได้มาพักผ่อนเลยครับ คุณมายีส วันหลัง...ขอร้อง...อย่า..ว.2  อีกนะครับ....มันเหมือนโดนเจ้านายเรียกให้ไปทำงานเปี๊ยบเลยครับ...(ล้อเล่นครับ...อย่าโกรธ)
......
ก็เพราะไอ้ ว.2   ว.8 พวกนี้แหละครับ....จึงไม่มีเวลามาตอบกระทู้นี้เลย ....
กระทู้นี้น่าตอบมาก เป็นคำถามที่สามารถตอบอธิบายได้ถึง  ความขลัง ความยิ่งใหญ่ของโคลท์ ได้อย่างดีทีเดียว ....แต่ถ้าจะตอบ ต้องตอบเหมือนกระทู้ถอดปืนโคลท์แบบละเอียดนั่นแหละครับ...ต้องมาเป็นตอนๆ แล้วกันนะ เอาอ๊ะเปล่าละ????  ถ้าจะเอา ตอบส่งกลิ่นธูปมาให้หน่อยแล้วจะปลีกเวลาตอบให้ .....

ดอกไม้ ธูป เทียน พร้อมค่ะ ;D ;D ;D

เป็นจิตวินญานของคนรักcolt คนมีcolt และคนอยากมีcoltไปเสียแล้ว

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

สุดยอดของcoltก็คือcoltเดิมๆๆ ไม่แต่ง ไม่รมใหม่ แค่ชะโลมนำมันก็พอแล้ว อมตะจริงๆๆ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

มันเป็นอาวุธของผู้ชนะสงครามเลยเป็นอมตะมั๊งครับ

เมื่อก่อนก็เฉยๆ ไปเจอที่ไหนก็เก็บไว้ แต่เดี๋ยวนี้เริ่มออกตามหามั่งแล้ว  ;)

(http://img517.imageshack.us/img517/8540/old1911lh8.jpg) (http://imageshack.us)

(http://img110.imageshack.us/img110/8150/1911a1hu4.jpg) (http://imageshack.us)

(http://img187.imageshack.us/img187/7113/colt2478sn2.jpg) (http://imageshack.us)

(http://img258.imageshack.us/img258/1618/1998a1xn0.jpg) (http://imageshack.us)

(http://img258.imageshack.us/img258/8601/answerwjhookww8.jpg) (http://imageshack.us)

(http://img258.imageshack.us/img258/3379/1911proleftre8.jpg) (http://imageshack.us)

ปืนในฝันของผมเลยครับ.....ได้แต่ฝันนะครับผมยังไม่มีโอกาศได้ครอบครองสักครั้งเลย.....

ขนาดคุณโอยังสงสัย ผมว่าต้องปล่อยโคลท์ 1911 ที่มีอยู่ออกมาก่อนแล้วละครับ

ธูปเทียนก็มี พร้อมดอกไม้บูชา.......(พี่แอ็ด คาราบาว เขาร้องให้ฟังในเพลง "มหาลัย")
ของผม ก็คล้ายๆ กับพี่มะขิ่นนะครับ ...เพราะหนังมันเรื่องเดียวกัน นิยาย เรื่องเดียวกัน แต่คนละผู้กำกับการสร้างเท่านั้นเอง เหมือนนิยายเรื่อง บ้านทรายทอง นั่นแหละครับ เปลี่ยนผู้กำกับที ก็เปลี่ยนแนวไปบ้าง แต่ยังไง ๆ ก็ พี่ พจมาน ...ชายน้อย ชายกลาง ชายใหญ่ เหมือนเดิม ตบตบ ตีตี อิจฉา ตาร้อนกัน เหมือนเดิม
.....
เอาแง่ประวัติศาสตร์ก่อนแล้วกัน
ประวัติศาสตร์อาวุธปืนพก
.......ในสมัยกรุงศรีอยุธยา หรือสมัยฝรั่งเศส เรืองอำนาจ ท่านจะได้เห็นจากอาวุธปืนพก ของพวกเขา เช่น ปืนคาบศิลา จะเห็นได้ว่า เป็นปืนที่มึลำกล้องเดียว บรรจุปากกระบอก ยิงได้ ทีละนัด เท่านั้น
.....ให้ท่านสังเกตว่า ในปืนของบางประเทศ เช่น สเปน ในยุคเดียวกับ กรุงศรีอยุธยา นั้น ที่ปลายปากกระบอกปืนพก
มักจะมีมีดปลายปืน เล็กๆ ติดอยู่ด้วย แสดงว่าให้เห็นว่า ปืนพกนั้น เมื่อยิงเสร็จแล้ว จะยิงถูกหรือไม่ถูกก็ตาม ผู้ยิง ไม่มีโอกาสได้ยิงซ้ำสอง เพราะ มันต้อง ทะลวง ลำกล้องทีละลูก ดังนั้น สมมุติว่า ยิงไม่ถูก ปืนที่ถืออยู่ในมือ ก็จะกลายสภาพ เป็นมีด เป็นดาบ ใช้แทงฟัน คู่ต่อสู้ต่อไป ในทวีปอเมริกา ก็เช่นกัน ในช่วงนั้น ยังไม่มีการประกาศเอกราช รัฐต่างๆ ยังรวมตัวกันแบบหลวมๆ เป็นสมาพันธ์รัฐ ก็ยังใช้ปืนแบบนี้อยู่เหมือนที่เราเห็นจากฝรั่งเศส หรือ สเปน นั่นแหละครับ
.......ต่อมา ทวีปอเมริกา ได้จัดงานเลี้ยงน้ำชา ที่ชายฝั่งตะวันออกของทวีป มีการเทใบชาทิ้งลงในทะเล ประกาศเอกราชแยกตัวจากการเป็นอาณานิคม ของประเทศอังกฤษ เลิกดื่มน้ำชาตามแบบอังกฤษ  หันมาดื่มกาแฟแทน เพื่อประกาศเอกราช อเมริกา ไม่ขึ้นกับอังกฤษอีกต่อไป
กองทัพทหารเสื้อแดง ก็ยกพลบุก อเมริกา ใช้ปืนพก ลำกล้องยาวใหญ่ ยัดลูกทางปากกระบอกต่อสู้กัน ฝรั่งฆ่ากันเอง เผ่าพันธ์เดียวกันแท้ๆ  ตายกันไปเยอะเหมือนกัน ( จำลองภาพโดยภาพยนต์ เรื่อง เดอะ แพรททริออด....นำแสดงโดย มิล กิปสัน ถ้าจำไม่ผิด)
......ต่อมา ก่อนปี ค.ศ.1836 เด็กชาย แซมมวล โคลท์ ถือกำเนิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา เขาไม่ค่อยเรียนหนังสือ หรือไม่ชอบเรียนก็ไม่รู้ ...(ประวัติไม่ค่อยแน่ชัด) รู้แต่ว่า เขาชอบทดลองเรื่องดินปืน ปืนผาหน้าไม้อะไรทำนองนี้แหละครับ
ทำไปทำมา ไปทำงานเป็นกะลาสีเรือ ล่องเรือมาถึงกัลกัสต้า (แถวประเทศอินเดีย กระมัง ถ้าผิดพลาดขออภัย)
ได้มาเห็นปืนที่บรรจุทางปากลำกล้องนี่แหละ แต่เป็นปืนกระบอกใหญ่ๆ เอามันรวมกันเป็นพวง วงกลม ๆ เวลายิง ก็หมุนไป ยิงไปด้วยมือคน ไม่มีเครื่องบังคับ กลไก .....ระหว่างเดินกลางกลับสหรัฐ สมัยนั้นผมว่า เวลาจากเอเชีย กว่าจะไปอ้อมทวีปอาฟริกาใต้ .........(ไม่รู้ตอนนั้น มีคลองสุเอด หรือยัง) กว่าจะเดินเรือกลับถึงอเมริกา ก็นานโขอยู่ ทะเลอ้างว้าง  เด็กหนุ่มแซมมวล ก็ได้คิดว่า แล้วถ้า ให้ลำกล้องเพียงอันเดียว แล้วแยกรังเพลิงออกเป็นหักรู แล้วให้รังเพลิงหมุนมาหาลำกล้องที่อยู่กับที่ เพียงลำกล้องเดียว แล้วเอาการง้างนกปืนต่อกลไกไปบังคับการหมุนของลูกโม่ มันจะเป็นการดีหรือไม่ ระหว่างอยู่บนเรือในทะเล อ้างว้าง เด็กหนุ่มแซมมวล ได้ออกแบบลูกโม่ของเขาด้วยไม้ ออกแบบนกปืนตามจินตนาการของเขาด้วยไม้ โดยเอามีด มาเฉือนๆ แต่งๆ เข้าให้เป็นรูปทรง
พอกลับถึงแผ่นดินอเมริกา เขาก็ได้เอาแบบของเขา ไปปรึกษากับช่างโลหะ ให้ทำตามแบบที่เขาคิด
ในปี ค.ศ.1836 .........อาวุธปืนพก ที่มีอานุภาพร้ายแรงที่สุดในโลก ได้อุบัติขึ้นในโลกนี้
มันเป็นปืนวิเศษสุด ......ที่ทำให้มนุษย์คนเดียว สามารถสังหาร มนุษย์เดินดินด้วยกันได้คราวละ 6 ศพเลยทีเดียว โดยไม่ต้องยิงไป ที ทะลวงลำกล้องที อีกต่อไป 
ปืนลูกโม่ กระสุนหัวกลม แล้วมีดินดำ (ดินปืนโบราณ) บรรจุกระสุนทางหน้าลูกโม่ ได้บังเกิดขึ้น
ทำให้ปืนพกลูกโม่ ไม่ต้องมีมีดปลายปืน ติดอยู่เหมือนปืนแก็ป โบราณ ลำกล้องเดี่ยว อีกต่อไป เพราะถ้ายิงไม่ถูก ก็ยังเหลือลูกให้อีก 5 นัด แน่ะครับ
........จากประวัติศาสตร์แค่นี้ ก็ทำให้เห็นว่า โคลท์ มีประวัติศาสตร์ที่มา น่าชื่นชมกว่าปืนยี่ห้ออื่นๆ ในโลกนี้แล้วครับ เพราะก่อนจะเกิดปืนลูกโม่ 6 นัดขึ้นมา มันแสดงให้เห็นวิวัฒนาการของความคิดมนุษย์ ที่พยายามจะคิดค้นหาวิธีมาประหัตประหารกันให้รุนแรง มากยิ่งขึ้น ตลอดมา และตลอดไป จนกว่าเผ่าพันธ์ ของมนุษย์จะสิ้นไปเท่านั้นแหละครับ
......ส่วนยี่ห้อหลังๆ ที่ตามมา ได้แก่ นาย สมิธ กับนายแดเนียล เวสสัน นั้น ก็ได้แนวทางปืนลูกโม่มาจากโคลท์ นี่แหละ เขาไม่ได้คิดเองซะหน่อย เลยไม่มีตำนาน เหมือนเด็กชายแซมมวล หนวดเครารุงรัง นั่นแหละครับ
ยิ่งลูกโม่ รูเกอร์ ยิ่งแล้วใหญ่ มาทีหลังเพื่อน เลยไม่มีตำนานครับ......
เมื่อไม่มีตำนาน มันก็ไม่ค่อยจะมีเรื่องราวให้มาเล่าสู่กันฟังให้เป็นอมตะ ซักเท่าไหร่

....ในสมัยที่ปืนลูกโม่ดินดำโคลท์ออกมาใหม่ๆ ก็ได้มีโอกาส เข้าสร้างความวิบัติให้แก่แผ่นดินเกิดของชาวอเมริกัน
ก็คือ เกิดสงครามเลิกทาส ระหว่าง ทหารฝ่ายเหนือ (เสื้อน้ำเงิน ) และทหารฝ่ายใต้ (เสื้อสีน้ำตาล) ทหารฝ่ายเหนือ เท่าที่เคยเห็นใช้ โคลท์ ดินดำนี่แหละ ประหัตประหารกันเอง ...........ทำให้คุณทวด ...ของคุณทวด.....อเมริกัน
ก็เริ่มรู้จักปืนยี่ห้อนี้ มาแล้วครับ ............ถ้าครอบครับอเมริกัน ครอบครัวใด รับราชการทหารมาตั้งแต่ คุณทวด ของคุณทวด ......ครอบครัวนั้น ย่อมผูกพันเป็นอมตะ กับตำนาน เจ้าม้าคาบศร หักหอก เป็นอย่างดี
........แสดงให้เห็นว่า กองทัพสหรัฐอเมริกา ได้ยอมรับ นับถือปืนโคลท์ เข้าเป็นปืนพกประจำการทหารกองทัพสหรัฐ ตั้งแต่ เริ่มคลอดออกมาได้ ได้ข่าวว่า เท็กซัส เรนเจอร์ (หน่วยอาวุธปืนพิเศษ คุ้มกัน มลรัฐเท็กซัส ) เป็นหน่วยที่มีชื่อเสียงในการใช้อาวุธต่อสู้กับ ชาวเม็กซิโก ตามแนวชายแดนสหรัฐ ได้สั่งซื้อปืนโคลท์ ดินดำ ไปใช้ในการปราบปรามพวกนอกกฎหมาย ตามแนวชายแดน ทำให้บริษัทโคลท์ ซึ่งกำลังจะล้มละลายในตอนนั้น ได้โครงการซื้อปืนจากเท็กซัสเรนเจอร์นี่แหละ ทำให้มีกะตังค์ ทำปืนต่อไป และต่อมาจนพวกเราได้เห็นปืนโคลท์ถึงทุกวันนี้

หลังจากโคลท์ได้ออกสู่ตลาดสักพักหนึ่ง สมิธแอนด์เวสสัน ก็สร้างวิวัฒนาการ การฆ่าแกงกันของมนุษย์ ให้รุนแรงกว่าเดิม กล่าวคือ ปืนโคลท์ดินดำ ตะกั่วหัวกลม ยัดดินปืนทางปากลูกโม่ ที่ท้ายลูกโม่ ตัน ต้องใส่นมหนู เป็นตัวจุดระเบิดกระสุน (ไม่ใช่ปากลำกล้องนะจ๊ะ) เวลาจะยิงที ต้องบรรจุให้ครบ 6 นัด เสียก่อน แล้วยิงให้หมด พอยิงหมดยังไม่เลิกสู้กัน ก็ต้องควักมีดโบวี่ มีดโบ้วอี้......  แล้วแต่จะออกเสียง .....ตามสำเนียง ภาษาอังกฤษ -อเมริกัน ....ออกมาจ้วงแทงฟันกันต่อไป เพราะกว่าจะบรรจุให้ครบหกนัด โดยยัดดินปืนทางปากลำกล้อง ก็พอดี โดนฝ่ายตรงข้ามเอามีด เสียบพุงตายพอดี ทำให้บางครั้ง ทหารอเมริกัน ที่ใช้โคลท์ ดินดำ ต้องพกปืน โคลท์ 2 กระบอก ก็จะได้ 12 ศพ  หมด 12 ศพ ก็ขว้างปืนทิ้ง ใช้ดาบทหารม้า แทงฟันกันต่อก็แล้วกัน .............................
............แล้วจะมาต่อให้นะขอรับ ..............สำหรับนิยายขี้โม้นี้ ..........

ต่อให้อีกหน่อยดีกว่า เดี๋ยวขาดตอน กินไม่อร่อยเหมือนก๋วยเตี๋ยว
.....สมิธ ฯ ได้คิดกระสุนปืนที่เป็นปลอกโลหะ แยกออกจากตัวปืนได้เป็นครั้งแรก (เป็นต้นกำเนิดปลอกกระสุนปืน มาถึงปัจจุบันนี่แหละ)  ทำให้การบรรจุง่ายขึ้น สมิธ มีการผลิตปืนลูกโม่ ที่หักลำกล้องแล้วใส่กระสุนทางท้ายลูกโม่ได้
เป็นสมิธแอนด์เวสสัน แบบปืน สโคลฟิลล์ สามารถบรรจุกระสุนได้เร็วกว่าปืนของโคลท์ ในยกนี้ ถือว่าสมิธฯชนะโคลท์ในช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์ปืนโลก ......

ขอตอบครับ    ...ปี 1836 ยังไม่มีคลองสุเอซครับ

colt ใช้รูปโลโก้เป็นม้า ครับจึงเป็นอัมตะ และห้ามถามต่อว่าทำมัยโลโก้ม้าถึงเป็นอัมตะ เพราะผมก็มั่วตอบไป แฮ่ ๆ ไม่มีกับเขาซักตัวเลยไม่รู้ว่ามันอัมตะยังไง
ปล.ต้องม้าตัวเดียวนะครับ ถ้าม้าเกิน 1 ตัวนี่เกรด A

แล้วปืนตราม้านิลมังกรล่ะคุณซีอุส?

ได้ความรู้มากครับ เป็นปืนที่มีแต่ตำนาน มีมนต์ขลังมากครับ COLT.....................

เอ...นี่มันกระทู้ประวัติศาสตร์ของอเมริกานี่นา :D
 มีคำกล่าวว่าคนอเมริกันสร้างชาติด้วยสาม G  หนึ่งในนั้นคือ Gun   ปืน Colt ก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้นก็เลยต้องเป็นตำนานมั้ง ?

มันแยกกันไม่ค่อยออกจริงๆ ครับพี่ โมซิโน เลยต้องยำยำ มาม่า รวมๆ กันไปแบบนี้แหละพี่ ยังมีถึงพฤติกรรม การพัฒนาของอาวุธที่ไม่หยุดยั้งของชาวอเมริกันอีกด้วย จะค่อยๆ ลำดับขั้นตอนไปครับ ......

อิอิ.................ถ้ายังไม่ได้ขุดละก็ อีตา แซมมวล ก็มีเวลาออกแบบปืนโคลท์อีกนานพอสมควรเลยครับ เพราะเรือต้องตีอ้อม ไม่รู้จะอ้อมทางไหนดีละครับ จะอ้อมสิงค์โปร์ หรืออ้อม อาฟริกาใต้ดีครับ กว่าจะถึงอเมริกา ก็นานเอาเรื่องเลยทีเดียว เพราะเรือเดินทะเล สมัยนั้น คงวิ่งไม่เร็วเหมือนเรือเดินสมุทรแบบทุกวันนี้ .....

เราๆท่านๆ รู้จักปืนโคลท์ เพราะรุ่น 1911 มากกว่านะ  เพราะฉะนั้นความอมตะของโคลท์ต้องยกเครดิตให้ยอดอัจฉริยะบุคคลอย่าง จอห์น โมเสส บราวนิ่ง  จริงไหมพี่เต๋า  ;)

เพราะเป็นตำนาน เป็นสิ่งที่มีความสมบูรณ์ในตัว ในชิ้นส่วน ถ้าเป็นคนถือว่ามีความเป็นมาที่ไม่ธรรมดา ผมใช้ปืนยี่ห้ออื่นแต่นับถือในความเป็นโคลล์ครับ

.....จริงครับจริง.....ต้องยกให้หัวขมอง ของท่านปู่ทวด จอนห์ ฯ จริงๆ แหละครับ
แต่พอดี จะเล่าให้ฟังเชื่อมต่อประวัติศาสตร์ถึง ได้ยี่ห้อ ตราม้า เหยียบโลก ที่มันติดตา ติดใจ ทหารจีไอ นะซิครับ
คิดดู รุ่นปู่ทวด ก็ใช้ปืนตราม้า  ลูกโม่ ทั้งดินดำไม่มีปลอก และดินดำมีปลอก มารุ่นปู่ธรรมดา ก็ใช้ปืนพกตราม้า ....ปืนกลธอม์ปสัน  .45 ออโต้ บางรุ่นก็ตราม้า เอาไปใช้ในมหาสงครามเอเซียบูรพามากมาย
พอมารุ่นหลาน สงครามเวียตนาม ก็ เอ็ม 16 ตราม้าอีก ปืนพกก็ตราม้าอีก ......มันก็เลยอมตะนะครับพี่ ..........

ต่อจากตอนที่แล้ว..............
เมื่อสมิธฯ คิดปืนลูกโม่ที่ ลูกโม่ ทะลุถึงกันทั้งหน้าและหลังได้ เป็นลูกโม่ที่ใช้ปลอกกระสุนโลหะ ทำให้โคลท์ ก็ต้องอดรนทนเจ็บช้ำไว้ เนื่องจากฝรั่งเขามีการจดสิทธิบัตรกันตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 แล้วครับ ................ของไทย เพิ่งมามีกฎหมายสิทธิบัตรเมื่อ รัชกาลที่ 9 นี่เอง
.....โคลท์อดใจรอมาจดถึง ปี 1873 โคลท์ก็ดังเป็นพลุแตก อีกครั้งหนึ่ง ด้วยการออกปืนลูกโม่ ซิงเกิลแอ็คชั่น เลียนแบบสมิธฯ ในด้านลักษณะการออกแบบคือ โคลท์ เจาะลูกโม่ของตน ทะลุหน้าหลัง เหมือน สมิธแบบสโคลฟิลล์ แต่ปืนของโคลท์ ไม่หักลำใส่ลูกปลอดโลหะ แต่ใช้เปิดฝาเล็กๆ ข้างนกด้านขวา แล้วค่อยๆ หยอดลูกปืนลงไป
....ปืนรุ่นนี้ ก็คือ เจ้าโคลท์ เอส เอ เอ เหมือนที่พี่มะขิ่นกล่าว นั่นเอง ...........ชื่อเสียงของปืนโคลท์รุ่นนี่โด่งดังมากๆ เป็นอมมะตะหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่เห็นทุกวันนี้ ยังมีผลิตเป็นที่ระลึกออกมาเป็นช่วงๆ แถมยังมีปืนเลียนแบบจากค่ายของอิตาลี  เช่น บริษัท อูเบอร์ตี้ ผลิตมาให้พวกแข่งยิงปืน คาวบอย ใช้ในการแข่งขัน คาวบอย ซู้สติ้ง ในอเมริกามากมายเลยครับ สำหรับ เจ้า โคลท์ เอส เอ เอ ตัวนี้

หลังจาก โมเดล 1873 ออกสู่ตลาดปืน ยูเอสเอ มีตำนานเล่ากันถึงการต่อสู้กันระหว่าง สมิธฯ กับโคลท์เอาไว้ว่า
ในการประมูลแข่งขันกันเข้าเป็นปืนพกประจำกองทัพสหรัฐในช่วงนั้น โคลท์ ส่ง โมเดล 1873 เข้าแข่งขัน
ส่วนสมิธฯ ส่ง ปืนแบบ สโคลฟิลล์ หักลำกล้อง เข้าแข่งขัน
ในการแข่งขันภาคพื้นดิน ทำการยิงบนพื้นดิน โดยบุคคล สมิธกินขาด เพราะ สามารถยิงได้เร็วพอๆ กับโคลท์ แต่พอถึงตอนบรรจุกระสุน ชุดใหม่ สมิธฯ สามารถหักลำกล้อง ปลอกกระสุนที่ยิงแล้ว พุ่งออกมา จากนั้น ทหารบรรจุกระสุนใหม่ หักลำกล้องปิด ใช้เวลาเพียงเล็กน้อย .....ในขณะที่โคลท์ เมื่อยิงเสร็จ ต้องใช้แส้เหล็ก ที่ติดอยู่ใต้ลำกล้องกระทุ้งปลอกที่ยิงแล้ว ออกมาทางด้านท้าย ทีละปลอก ทีละปลอก เสร็จแล้ว ค่อยบรรจง     บรรจุ กระสุนปลอกโลหะเข้าไป ทีละนัด ทีละนัด จนกว่าจะครบ 6 นัด สมิธ ยิงชุดที่ 2-3 จบไปแล้ว
......ต่อไป เป็นการแข่งขันกันในภาค ยิงบนหลังม้า เพราะทหารสหรัฐ ในตอนนั้น ไม่มีรถถัง ยังคงต้องใช้ม้า เป็นพาหนะในการขี่ม้าเข้าโจมตีข้าศึก
.......ในการแข่งขันทดสอบสมรรถณะบนหลังม้า ปรากฎว่า ปืนสมิธฯแบบสโคลฟิลล์ หักลำกล้อง มีกลไกหักลำกล้อง อยู่บริเวณใกล้ๆ นกปืน เมื่อทหารม้าที่ไม่ค่อยมีความชำนาญ ชักปืนอย่างเร็วบนหลังม้าขณะม้ากำลัง ฮ่อ เต็มที่ ปรากฎว่า นิ้วของทหาร ไปโดนกระเดื่องหักลำกล้อง เสียบ่อย ทำให้ เวลาชักปืนออกจากซอง ปืนก็หักลำเรียบร้อย กระสุนที่ไม่ได้ยิง ก็กระเด้งออกหมด เหลือแต่ปืนเปล่า หักลำ เท่านั้นเอง
....แต่สำหรับโคลท์ ในการทดสอบภาคหลังม้า ....โคลท์สามารถยิงได้อย่างเร็ว และแม่นยำ เนื่องจากองศาด้ามของโคลท์ มีลักษระเหมือนเมื่อยื่นมือเข้าหาเป้าหมาย ทำให้ทหารม้ารู้สึกเหมือน ใช้นิ้วชี้เป้า แทบไม่ต้องเล็ง กระสุนก็เข้าเป้าได้ในขณะม้าฮ่อ เต็มที่ เวลาชักเร็ว ก็ไม่มีอุปสรรคเหมือนสมิธ ฯ สามารถยิงนัดแรกได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งการใส่กระสุนทีละนัดบนหลังม้า กลับทำได้สะดวกกว่า การใส่กระสุนทั้งหมดที่เดียวแบบสมิธ ...
โคลท์ 1873 เอส เอ เอ..จึงชนะสมิธฯ ด้วยประการฉะนี้แล.........

 ;D ;D ;D

ภายหลังจากโคลท์ ชนะการประมูลเข้าประจำการกองทัพสหรัฐ ในรอบที่ สอง หลังจากปืนดินดำ บรรจุหน้าลูกโม่ เคยได้รับการอุดหนุนอย่างดี จาก ยูเอส อาร์มมี่ , เท็กซัส เรนเจอร์   
โคลท์ ก็นำปืนของตนเข้าบรรจุในกองทัพสหรัฐ รุ่นลำกล้อง 6 นิ้ว สำหรับ ทหารม้า (คาร์วารี่) ซึ่งลำกล้อง ยาวเอาเรื่อง แต่ทหารม้าพกปืนขี่ม้า พกปืนแล้วปากกระบอก ห้อยลงข้างตัวม้า ต่อให้ ลำกล้อง 8 นิ้ว ก็ บ่ หยั่น
....แต่กองทัพสหรัฐไม่ได้มีหน่วยเดียว มีอีกหลายหน่วย ต้องการ โคลท์ เอส เอ เอ เหมือนกัน จึงต้องผลิต ความยาวลำกล้องออกมาให้เหมาะสมกับหน่วย จนกระทั่ง โคลท์ ผลิต เอ็ม 1873 ความยาวลำกล้อง 4 นิ้ว ฝักคัดปลอกกระสุนยาวเสมอปลายลำกล้อง  ......เท่านั้นแหละครับ พ่อเจ้าประคุณ ได้ขนาด 4 นิ้ว เนี่ย มันช่างพอดิบพอดี กับการพกพาของชาวอเมริกันสมัยนั้น พอดี ชักก็ง่ายกว่า 6 นิ้ว ความแม่น ไม่ต้องไปยิงในทะเลทรายก็ได้ แบบไกลๆ เอาแค่ 30 หลา ลงมาก็เหลือเกินแล้ว....ดังนั้น โคลท์ 1873 ลำกล้อง 4 นิ้ว ฝักคัดปลอกยาวเสมอปากลำกล้อง จึงดังมาก....................
......สมิธฯ ก็ใช่ย่อย แม้ตีตลาดปืนทหาร อเมริกัน ไม่ได้ แต่ก็ตีตลาดประชาชนได้พอสมควร มีประวัติว่า จอมโจรต่างๆ ในอเมริกาในสมัยนั้น ใช้สโคลฟิลล์กับเพียบ แถมยังมีข่าวว่า ขายให้รัสเซียอีกต่างหาก  ส่วนโคลท์แค่รับตลาดปืนทหารในบ้านตัวเอง ก็ไม่ต้องไปขายต่างประเทศแล้วครับ ....รวยไม่รู้เรื่อง

หลังจากปี 1873 เป็นต้นมา โคลท์ ก็แทบจะเป็นอมตะ ในสายตาของมือปืนสหรัฐ ด้วยสโลแกน ง่ายๆ (เหมือนบาเร็ตต้า 92 เอฟเอส ใช้เมื่อปี 1986 นั่นแหละครับ "ปืนของเราคือปืนที่กองทัพสหรัฐ .....มอบความไว้วางใจให้ " )
ใครๆ ก็พยายามที่จะใช้ปืนที่เหมือนกับกองทัพทั้งนั้น (ยกเว้น สยาม เพราะยังไม่รู้เรื่องในสมัยนั้น ไม่มีอินเตอร์เน็ท เลยไม่รู้ว่าอีกซีกโลกหนึ่ง เขาไปกันถึงไหนๆ แล้ว )
.......โคลท์พัฒนา ศักยภาพเกี่ยวกับเทคนิค การออกแบบมากมาย
.......อย่างเช่น หลังจากปี 1873 ปืนโคลท์ เอส เอ เอ ยอดฮิตกระบอกนี้ ถึงจะแจ๋วอย่างไร ก็ตาม
เวลาชักออกจากซอง คนยิง ต้องทำสองขั้นตอน ก่อนปล่อยกระสุนออกไป คือ 1.นกปืนต้องง้าง ด้วยกำลังของคนยิง  2. เหนี่ยวไกปืน ซึ่งก็ยังถือว่า ต้องใช้เวลาเหมือนกัน คิดเป็นวินาที .....................
คำถาม?????............แล้วจะเป็นไปได้ไหม ที่จะพัฒนาปืนลูกโม่ ให้ชักออกมาแล้วยิงได้เลย ???????
วิศวะกร ก็คิดกันว่า แต่เดิม การหมุนของโม่ ตามแบบที่โคลท์คิดไว้ ให้การง้างนก ไปบังคับการหมุนโม่
ทำให้ต้องทั้งง้างนก และเหนี่ยวไก เป็น 2 ขั้นตอน ......
แล้วถ้าเราจะลดขั้นตอนล่ะ ???? ให้เหลือขั้นตอนเดียว คือ เหนี่ยวไก แล้วปืนยิงได้ จะต้องทำอย่างไร ?????
วิศวะกร ในสมัยนั้น จึงออกแบบ ให้ใช้การเคลื่อนไหวของไกปืน โดยเพิ่มพื้นที่ ระยะทางในการเดินไก ....เหนี่ยวไก ยาวกว่าปืน ซิงเกิ้ลแอ็คชั่น  ให้ ไปบังคับการหมุนโม่ด้วย การง้างนก  และการลั่นไกในคราวเดียวกัน .......ก็จะได้ปืนที่ยิงเร็วที่สุดในโลกออกมาอย่างแน่แท้.............เมื่อคิดได้ดังนั้น

....ปี 1877 โคลท์ นิวส์ ดับเบิ้ล แอ็คชั่น ก็อุบัติ ขึ้นในโลก เป็นการพัฒนาเครื่องมือสังหาร ที่ทันสมัยที่สุด สามารถชักออกมาปุ๊บ ไม่ต้องง้างนก เหนี่ยวไกยิงได้เลย 6 ศพ .....เห็นไหมครับ ....ตำนานการเกิดปืนดับเบิ้ลแอ็คชั่น ก็เกิดขึ้นที่โคลท์ นี่เอง  แต่ลูกโม่ ยังเปิดข้างไม่ได้ ยังใช้การใส่กระสุนด้านท้ายลูกโม่เหมือนเดิม โดยลูกโม่ยังติดอยู่ในตัวปืน โม่ยังออกไม่ได้ .........................

....ขึ้นชื่อว่า มนุษย์ แล้วละก็ ไม่เคยมีคำว่า พอเพียง เหมือนพระเจ้าอยู่หัวบอกเลยซักที
เรื่องปืน ก็เหมือนกัน อุตส่าห์ ออกแบบยิงเร็วแบบดับเบิ้ล แอ็คชั่นแล้ว ก็ยังไม่พอใจ .....ถึงมันจะยิงเร็วราวกับสายฟ้า
แต่ว่า มันก็ใส่ลูกช้าอยู่ดี จะทำหักลำเลียนแบบสมิธ ก็เสียฟอร์ม หรือละเมิดสิทธิ์บัตร
......วิวัฒนาการ การใส่ลูกเร็วของโคลท์ จึงบังเกิดขึ้นในโลก
......โคลท์ ออกแบบ การเอาลูกโม่ ไปติดบานพับ แล้วเปิดออกทางด้านซ้ายของปืน โดยมีปุ่มล็อค
....เท่านั้น แหละ วิวัฒนาการปืนลูกโม่ก็สิ้นสุนในปี 1892 ............................
เมื่อโคลท์ ออกปืนรีวอลเวอร์ ขนาด .38 ดับเบิ้ลแอ็คชั่น โมเดล 1892 ออกสู่ตลาด และนำเข้ากองทัพสหรัฐโดยปริยาย .............ปืน เอ็ม 1892 ได้ไปรับใช้กองทัพสหรัฐ ทั้งในการยุติกบฎนักมวย ในจีนแผ่นดินใหญ่ สมัย พระนางซูสีไทเฮา กรณีพิพาทแบ่งแยกดินแดนต่างๆ ในประเทศแถบตะวันออกกลาง ยาวตลอดไปถึงการปราบกบฎ โมโร มุสลิม ผู้หวงแผ่นดิน บนดินแดนชาวตากาล็อค อีกด้วย  ก่อนปี 1910 ...............ถือเป็นการสิ้นสุดตำนานอมตะปืนโคลท์ ในกองทัพสหรัฐ............................

ก่อนจะต่อในช่วงเด็ด ช่วงปี 1910 เป็นต้นมา ขอกล่าวเรื่องปืนอมตะ ตามที่ท่านเจ้าของกระทู้ ได้กล่าวไว้
ความหมายของอมตะ ตามแนวที่ผมเข้าใจคือ
"ปืนที่ไม่มีวันตาย แบบปืนที่ไม่มีวันตาย เหมือนคนที่เกิดเมื่อ 100 -200 ปีที่แล้ว แต่ไม่เคยตาย หรือตายไปแป็บหนึ่งเดี๋ยวก็ฟื้น กลับมาดังกว่าเดิมอีก "
....เช่น โคลท์ 1836 ก็ยังมีแบบ ยังมีการผลิตเลียนแบบ ออกมาถึงทุกวันนี้
....เช่น โคลท์ 1873 เอส เอ เอ  ก็ยังมีการผลิต ทั้งจริง ทั้งเลียนแบบ จากโคลท์ จาก อิตาลี่ ออกมาถึงทุกวันนี้
.....เช่น รีวอลเวอร์ แบบดับเบิ้ล แอ็คชั่น ทุกวันนี้ หลายบริษัท ก็ยังผลิตอยู่อย่างเป็นล่ำเป็นสัน ก็ได้แบบมาจาก เอ็ม 1892 ของโคลท์ ทั้งนั้น ยังไม่มีใครคิดเปิดลูกโม่ออกทางอื่นเลย นอกจากด้านซ้าย ตามแบบของโคลท์
.....เช่นพระเอกของเรา เอ็ม 1911 .....ดังมาตั้งแต่ออกโรง   มาตกม้าขาหัก เอาตอนชราภาพ อายุประมาณ 80 ปี
บาเร็ตต้า เบียดตกม้า ตอนปี 1986 ทีแรก มีนักพยากรณ์ หลายท่าน พยากรณ์ว่า อีกไม่เกิน 10 ปี แบบปืน เอ็ม 1911
ซึ่งเป็นปืนซิงเกิ้ลแอ็คชั่น ออโต้ ชนิดนี้ จะค่อยๆ เหี่ยว เฉา ลงไปเหมือนคนแก่ชราภาพ และเสียชีวิตไปในที่สุด ด้วยเหตุผลเพียงว่า เป็นตาแก่ อายุเยอะ ยิงได้ช้า  ต้องง้างนกก่อน ถ้าลดนกไว้ บรรจุได้น้อย     อ้วน    น้ำหนักตัว   เยอะเกินไป แบบเก่า ผลิตไม่ได้ในแบบอุตสาหกรรมสมัยใหม่
.................แต่ทว่า  อนิจจัง ธรรมมัง ในโลกนี้ อะไรอะไร ล้วนไม่เที่ยงทั้งสิ้น เหตุการณ์โลกนี้ ผันแปร
1. อเมริกัน ออกกฎหมาย จำกัดกระสุนให้..........พอดีมีงานด่วน ขอออกก่อน ..... 

มารออ่านต่อครับ

หนังกำลังสนุก..ฟิล์มไหม้ซะงั้น... :~)  เอ้าจะเข้าห้องน้ำ หรือซื้อของขบเคี้ยวเพิ่มก็ตอนนี้เลย  ;D

เสร็จงานแล้ว มาต่อกัน......
1.ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีการออกกฏหมาย ไม่ให้ประชาชน พกปืนที่มีแม็กกาซีนเกิน 10 นัด
จึงทำให้ พวกที่เคย ซื้อ 9 มม. ลูกดกในอเมริกา จ๋อยๆ กันเป็นแถวๆ
ในเมื่อ ข้าฯ ซื้อปืนลูกเล็กลูกดก ไม่ได้   ถ้างั้น ข้าฯ ก็ซื้อปืน ลูกน้อยก็ได้วะ....แต่เอาลูกโตๆ หน่อย จะได้โดนทีเดียวแล้ว ตายชัวร์ .......45 ออโต จึงกลับมาอีกครั้ง ในฐานะปืนลูกน้อยไม่เกิน 10 นัด หมัดหนัก  ...โป้งเดียวจอด
ถึงแม็กกาซีนจะแถวเดี่ยว ก็ไม่เป็นไร เพราะยังไง ก็ซื้อแถวคู่ ไปก็ไร้ประโยชน์ เช่น กล็อค ก็โดนตอนเหลือแค่ 10
ซิก...ก็โดนตัดเหลือแค่10 นัด ถ้าจะใช้แม็กกาซีนแบบเต็มตัว ต้องเป็น LAW ENFORCEMENT เท่านั้น (เห็นไหมว่า เมืองไทย อิสระเสรีกว่า โจรมีปืนได้ดีกว่าตำรวจ .....แต่บ้านเขา ตำรวจมีปืนได้ดีกว่าโจร).............
.........?????
มองไป ....มองมา ..ปืนที่เป็น .45 ออโต แม็กกาซีนแถวเดียว ไม่เกิน 10 นัด  ก็หนีไม่พ้น 1911 นั่นแหละครับ มีทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดย่อม ให้เลือกตั้ง 3 ขนาด 1911 ก็เลยกลับมาเกิดอย่างเต็มภาคภูมิอีกครั้ง

..2.ในช่วงหลังๆ มีอาชญกรรมเกิดขึ้นมากมาย ตำรวจที่เปลี่ยนไปใช้ 9 มม. เริ่มมีปัญหา ยิงคนร้ายไม่ค่อยจะตาย
ก็เลยหันกลับมาหา ม้าใช้ตัวเก่า ที่คุ้นตากันมาตั้งแต่สมัยคุณปู่ ก็ 1911 นั่นแหละครับ เพียงแต่ หน้าตาอาจจะหล่อกว่าสมัยคุณปู่ใช้ ออฟชั่นอาจจะมากกว่าซักหน่อยเท่านั้นเอง แต่เนื้อแท้แล้ว เปลี่ยนอะไหล่กันได้เกือบหมด

3.ในด้านการกีฬา 1911 ยังคงเป็นเจ้าสนาม ไอพี เอสซี อยู่เหมือนเดิม แต่อาจจะเป็นยี่ห้ออื่นๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ใช่ไหมครับว่า มันมีที่มา หรือ ถิ่นกำเนิดมาจาก ปืนตราม้า พยศ ยกหน้า ปากคาบลูกธนุ ขาหน้าสองขาหักหอก แห่งเมือง ฮาร์ทฟอร์ด  มลรัฐคอนเนคติคัล  ประเทศเสรีแห่งอาวุธปืนที่บุคคลในประเทศไม่เสรีแห่งอาวุธปืนโหยหาที่จะไปเหยียบแผ่นดินนั้น ซักครั้ง ในชีวิต
แสดงให้เห็นว่า แบบของมันไม่เคยตายไปจากโลกนี้เลย แม้เหตุการณ์นับแต่วันเกิดถึงวันนี้ ผ่านไปแล้วเกือบจะครบ 100 ปีแล้ว และมีท่าว่าจะไม่หยุดเสียด้วย มันจึงเป็นอมตะ แม้จะไม่ได้ออกแบบมาจากมันสมองของโคลท์เองก็ตาม
4.นอกจากจะเป็นเจ้าสนามแล้ว ยังทำให้คู่ต่อสู้ ในด้านอุตสาหกรรม เช่น สมิธ    ซิก..... ก็ยังเอาแบบไปเกิดเป็นลูกเป็นหลานเพิ่มอีก แล้วยังมีอีกหลากหลายสารพัดยี่ห้อ จารนัย ไม่หมดแล้วว่ามีกี่บริษัท มีกี่ทวีป ในโลกนี้ ที่เกิด 1911 เป็นดอกเห็ดไปทุกหัวระแหง อย่างนี้ ไม่อมตะ ก็แย่แล้วครับ

ท่านพี่โม ....ขอรับ ....พี่พูดเห็นภาพเลยครับ..........คนเขียนก็ยังไม่ได้เข้าห้องน้ำเลยครับ
วันนี้ ขออนุญาต เลิกโม้แค่นี้ ก่อนนะครับ
..............แล้วจะมาต่อ....
โคลท์ ภาค2 ตอน ม้าแปลงกายเป็น ออโตเมติค โดยมันสมองของยอดอัจฉริยะแห่งลำกล้องกระดกด้านท้ายขัดกลอน
จอนห์ เอ็ม บราวนิง ตะลุยสงคราม สร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่กองทัพที่ไม่เคยรบเพื่อแผ่นดินเกิดของตนเองเลย หลังจากสงครามเลิกทาส   นอกจากผลประโยชน์ เรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น ไม่ว่า เศรษฐกิจ หรือ การเมือง การปกครอง ลัทธิขัดกัน  (ไม่รู้กองทัพประเทศอะไรก็ไม่รู้ )

มีภาค 2 ด้วย..รอชมครับ...

 :Dติดตามอ่าน ท่านอาจารย์เต๋าเล่ามาได้ยอดเยี่ยมมากๆครับ :D

พี่เต๋ายอดเยี่ยมเหมือนเดิม ;D ;D ;D ;D

มารออ่านต่อครับ....ไม่เคยเบื่อเลยครับถ้าเป็นเรื่อง Colt 1911 ม้าแก่สงครามโลกเนี่ย....โดยเฉพาะพี่เต๋าบางเขนเขียนให้อ่านแล้วมันดีครับ....สำนวนอ่านแล้วเหมือนเล่าให้ฟังมากกว่าได้อรรถรสดีครับ....

กราบขอบพระคุณขอรับท่าน.....วิชาการเป็นเรื่องน่าเบื่อครับ
จำสมัยตอนเป็นเด็กๆ กันได้ไหมครับ........เวลาผู้ใหญ่เรียกให้มาเรียนหนังสือ รู้สึกน่าเบื่อจะตาย .....
แต่พอบอกว่า มีนิทานจะเล่าให้ฟัง เรื่องน่าตื่นเต้นด้วยนะ จะฟังไหมละ??? หูผึ่งกันเป็นแถวๆ จริงไหมครับ
.......ผมชอบชวนคุยกัน เล่าสู่กันฟังมากกว่า รู้สึกสบายใจ มีความสุข เหมือนพวกเรา มานั่งล้อมรอบกองไฟ เวลากลางคืน ลมพัดเย็นเย็น ....แล้วก็เล่าเรื่องที่เป็นสิ่งที่พวกเรารัก พวกเราชอบ ...เหมือนๆ กัน ...ผมว่า คุยกันจริงๆ สว่างคาตา มาก็เคยกันแล้วใช่ไหมครับ ท่าน....
ผมอยากเข้ามาต่อให้จบมากๆ เลยครับ แต่เสาร์-อาทิตย์นี้ ไม่ว่างเลย แล้วค่อยเจอกันอีกโอกาศหน้านะครับ ......ขอบพระคุณ

สุดยอดแฟนพันธุ์แท้ Colt รู้ประวัติลึกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆมาก
  ขอคารวะ
 และรออ่านต่อ ??? ??? ??? ???

......... ;D ;D ;D.. ;D ;D  รออ่านครับ.. ;D

ขอบคุณครับ...จะรีบเขียนให้ในเวลากลางวันนะครับ...ดึกๆแบบนี้ วิจารณ์พอไหว แต่ถ้าเล่านิทาน กลัวไม่ละเอียดพอครับ....

มาแล้วครับ .....โคลท์ภาค 2 ตอน ม้าแปลงกายเป็น ออโตเมติก  อมตะนิรันดร์กาล ที่ไม่มีวันตาย จาก 1900-2007 แล้วจ้า
.....ภายหลังจาก อุตสาหกรรมอาวุธปืนในสหรัฐอเมริกา สามารถคิดค้น ปลอกกระสุนโลหะขึ้นมา แทนการให้ดินปืนมาห่อผ้าดิบ แล้ววางแก็ปไว้ที่ตูด แล้วตีแก็ปให้แตก ปืนลั่นออกไป
....ได้เจ้าปลอกโลหะนี่แหละ ทำให้ปืนแก็ป แบบเคนตั๊กกี้ ไรเฟิล (นึกว่าเมืองนี้ มีแต่ไก่ทอดชื่อดัง ที่แท้ก็มีไรเฟิล บรรจุปากระบอกที่แจ๋วด้วย) หรือปืนแก็ปบรรจุท้าย แบบของ ฮอล์ล ที่เคยมีชื่อเสียงในกองทหารม้าสหรัฐ ถึงกับกลายเป็นปืนโบราณไปเลย
....เจ้าปลอกโลหะนี่แหละ ทำให้มีนักคิด นักประดิษฐ์อาวุธปืน หลายรายในสมัยนั้น พยายามคิดค้นวิธี เอาปลอกโลหะ เนี่ย เข้าไปที่ท้ายลำกล้อง เพื่อทำการยิง และทำการเอาออกด้วยความรวดเร็ว จากนั้น บรรจุใหม่ให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะประหัตประหารกันได้รุนแรง รวดเร็ว ฆ่าคนได้จำนวนคราวละมากๆ ขึ้น
.....ในช่วงปี ค.ศ. 1850-1870 ได้มีการพัฒนาการเอาปลอกโลหะออกจากท้ายลำกล้อง หลายวิธี เช่น บรรจุด้วยมือทีละปลอก(หรือเราเรียกว่า ทีละนัดนั่นแหละ)
....ผมจำ ค.ศ.ไม่ได้แล้วว่า อุตสาหกรรมปืนคานเหวี่ยง ในสหรัฐ เริ่มจาก ค.ศ.อะไร และบริษัทใดเริ่มก่อน ไม่รู้ มาลิน
วินเชสเตอร์ หรือบริษัทอื่นก็ไม่รู้ จำไม่ได้ ไปหาเอานะครับ
....แต่ที่ต้องกล่าวถึงปืนคานเหวี่ยง หรือ ปืนยาวพวกนี้ ก็เพื่อเกริ่นให้ทราบถึงความพยายามของชาวอเมริกันที่ พยายาม ที่จะคิดวิธี....... บรรจุ .....ยิง ......สลัดปลอก......บรรจุใหม่ ....แล้ว ..ยิง.....ให้เร็วที่สุด ถือเป็นวิวัฒนาการที่นำมาสู่การคิดประดิษฐ์ปืน กึ่งอัตโนมัติ ในปัจจุบัน
ต่อมา.....ให้ห้วงปี 1890....ถึงช่วง 1900 ได้เริ่มมีการคิดพัฒนา เอาแรงดันของกระสุนที่เกิดจากการยิง มาใช้บริหารกลไก ที่กล่าวมาข้างต้น  คือ
1.ให้สปริงเป็นตัวเริ่มต้นในการบรรจุกระสุนเข้ารังเพลิงด้วยการกระฉากลูกเลื่อนจากแรงของมนุษย์
2.ลั่นไกด้วยแรงของมนุษย์
3.แรงดันกระสุนระเบิด ย้อนกลับไปบริหารกลไก  สลัดปลอก
4.สปริงดันลูกใหม่กลับเข้ารังเพลิงเตรียมลั่นไกต่อไป
..............................ไอ้สี่ขั้นตอนนี่แหละ ที่ทำให้นักออกแบบปืนอเมริกันและฝั่งยุโรป ในช่วง 1890-1900 พยายามคิดค้นกันนักกันหนา

ผมจำไม่ได้อีกเหมือนกันว่า ยี่ห้อไหนออกก่อนออกหลัง จำไม่ได้ แต่ที่แน่แน่ ปรากฎตัวให้โด่งดัง ก็ เมาเซอร์ ด้ามไม้กวาดนั่นแหละ ที่ดูจะดังกว่าเพื่อน ที่เห็นการปฏิบัติการยิงเหมือนปืนออโตในปัจจุบันมากที่สุด

.....มาถึงตอนนี้ถ้า ไม่กล่าวถึง จอน์ห เอ็ม บราวนิง แล้วละก็ ถ้าไม่มีเขาคนนี้ จะไม่มีวันเกิดปืน โคลท์ เอ็ม 1911 เอ1 ปืนอมตะในวันนี้ ได้เลย แม้แต่น้อย ถ้าไม่มีเขาคนนี้ เพราะเขาเป็นเพียงผู้ออกแบบ แต่บริษัท โคลท์ เป็นผุ้ผลิต เท่านั้นเอง
......ในห้วงปี 1900 เราเริ่มได้เห็นต้นกำเนิดของปืนโคลท์ 1911 ลางๆ แล้ว โดยจอนห์ พัฒนาปืนพกออโต หน้าตาคล้าย เอ็ม 1911 ของเราขึ้นมา แต่ผมไม่เคยเห็นตัวจริงมันเลย
......ต้องกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ สุพินท์ อีกครั้ง ด้วยความเคารพ ที่กรุณา มีช่วง ปืนดังในอดีต ......ทำให้คนด้อยโอกาสอย่างผม ได้ศึกษาถึงที่มาที่ไปของการออกแบบ เอ็ม 1911 เพราะท่านอาจารย์ กรุณาแก้ ....(เอ้ย)....ถอดปืนดังในอดีต ในพวกเราดูเสมอๆ ถ้าเราศึกษาดีๆ จะได้ความรู้เพิ่ม และแตกฉานออกไปอีกมากเลยครับ
......ท่านอาจารย์ ได้กรุณา เอา โคลท์ เอ็ม 1903 ชนิดลำกล้อง 2 โตงเตง มาถอดให้ดู ทำให้เราเห็นความเป็นอัจฉริยะของจอน์หฯ

ขอต่อครับ .....ที่ต้องส่งไปทีละท่อน เพราะบางทีเครื่องมันแฮ้งค์ พิมพ์แทบตาย ส่งไม่ได้หายหมดเลย ......
....ตอนท่านอาจารย์ถอดให้ดู ....พวกเราเห็นหลุมของดีสคอนแน็ตเตอร์ ....อะห้า....กลไกแบบนี้ เกิดมาในเอ็ม 1903 แล้วนะครับ...น่าทึ่งมาก
....มองเข้าไปข้างใน เห็นแหนบ สองชาย หรือ สามชายก็ไม่รู้ ...มองไม่ชัด ...อะห้า..แหนบสามชาย ก็เริ่มมีมาแต่ เอ็ม 1903 แล้วด้วย
....ซึ่งกลไกทั้งสองตัวนี้ อาจจะมีมาแต่เอ็ม 1900 แล้วด้วยซ้ำ แต่ผมไม่เคยเห็น นอกจากเอ็ม 1903 ที่อาจารย์ กรุณาถอดให้ดูเป็นวิทยาทาน
.......ถ้าใครเคยเห็นโคลท์ .32 ออโต นกใน เอ็ม 1908 ก็จะเห็นเครื่องใน ที่คล้ายกับ เอ็ม 1911 ของเราเป็นที่สุด
ซึ่งจริงๆ โคลท์ ทั้ง 1903 และ 1908 ถึงปืนจะตีตราโคลท์ ก็จริงอยู่ แต่แบบและแนวคิด ล้วนมาจาก จอห์น เอ็ม บราวนิง คนนี้ ทั้งสิ้น
..................จบเรื่องเกริ่นถึงผู้ออกแบบ แบบปืนอมตะแล้ว ต่อไป ก็มากล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้เกิดแนวคิดให้กำเนิดปืนอมตะ โคลท์ แปลงกายเป็นออโตเมติก กันต่อไป ......

ในห้วงปี ค.ศ. 1892 เป็นต้นมา พวกเราเคยเรียนประวัติศาสตร์ ทราบว่า ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พวกอังกฤษ ฝรั่งเศส ได้มายึดดินแดนในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างบ้านเรา เช่น ฝั่งตะวันออกของไทย เป็นของฝรั่งเศส ฝั่งตะวันตก และทางใต้ของไทยจรด สิงค์โปร์ เป็นของอังกฤษ
.....กระผมก็รู้เพียงแค่ประวัติศาสตร์ขั้นประถม มัธยม แค่นั้นเอง ไม่ได้จบวิชาประวัติศาสตร์โลกเสียด้วย
.....แต่ถ้าจะเล่นปืนเก่า ปืนอมตะ แล้วรู้เรื่องประวัติศาสตร์โลก แค่เลาๆ ก็จะทำให้เข้าใจอะไรได้มากขึ้นนะครับ
...ครับ ......ในช่วง ร.5 เราก็รู้แต่ อังกฤษ และฝรั่งเศส ........แล้ว มะริกันละครับ .....หายไปไหน มีการออกล่าเมืองขึ้น หรือล่าอาณานิคม กับเขาด้วยหรือไม่ ???????เป็นคำถามคาใจอยู่เหมือนกัน

.......ไม่รู้ว่า ล่าเมืองขึ้นกับเขาด้วยหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ  มะริกัน ได้เข้ามามีเอี่ยว เข้ามามีส่วน  ในการปราบ กลุ่มบุคคลผู้รักชาติ รักแผ่นดิน ที่รวมตัวกันลุกฮือต่อต้าน การเข้ามามีอำนาจของชาติตะวันตก ในแผ่นดิน พระนางซูสีไทเฮา
.....อ๋อ ...เพิ่งจะรู้ว่า มะริกัน ....ก็เข้ามาแบ่งเค้ก...แผ่นดินจีน ร่วมกัน อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมัน .....ด้วยหรือนี่
....หรือที่เรียกว่า เข้ามาปราบกฎบ นักมวยนั่นแหละ
(ผมไม่ค่อยชอบ การแปลข้อความจากภาษาอังกฤษที่แปลว่า กฎบ นักมวย  ซักเท่าไหร่ มันเป็นการแปลภาษา มาจากฝ่ายที่ยกพลไปปราบพวกเขา (พวกฝรั่งบันทึกไว้ )  แล้วกล่าวหาว่าคนที่ตนไปปราบเป็นกฎบ กระนั้นหรือ
....แล้วถ้าฝรั่งมันจะมายึดไทย ในสมัย ร.5 หรือมันยึดไทยอยู่แล้ว เกิดมีคนไทยรักชาติซักกลุ่มหนึ่ง ....ลุกขึ้นต่อสู้ แล้วพวกฝรั่งเอาปืน โคลท์ 1892 ขนาด .38 ยิงตายหมดแล้วบันทึกไว้ว่า ได้เข้าร่วมในการปราบกฎบ สยาม......เราจะคิดอย่างไร ฝรั่งเป็นผู้รุกราน แล้วพอชาวพื้นเมืองต่อต้าน ก็ไปเรียกเขาว่า กฎบ อย่างนี้ ผมว่า แปลหรือเรียกกันไปแฟร์เลย  วันหลังน่าจะคำว่า กฎบนักมวยว่า  พวกกู้ชาติที่เป็นชาวบู๊ลิ้ม ...อะไรทำนองนั้น จะดีกว่า .....ขอระบายความในใจซักหน่อย .......
......มาเข้าเรื่องปืนดีกว่า
....ตั้งแต่ในห้วง ปี ค.ค. 1892 เป็นต้นมา .ปืนโคลท์ รีวอลเวอร์ .38 โมเดล 1892 ตลุยติดตัวทหารนาวิกโยธิน สหรัฐ ไปทั่วโลก เข้าไปแทรกแทรงบ้านเมืองของ เจ้าของแผ่นดินเดิมทั่วโลกไปหมด แต่ทำไมผมไม่ได้เรียนก็ไม่รู้
ได้ข่าวว่า ในตะวันออกกลาง ก็ไป ในฟิลิปปินส์ ก็ไป
....โดยเฉพาะในฟิลิปปินส์ กลุ่มผู้รักชาติ ชาวโมโร ....(ไม่เรียกกฎบแล้ว) ......รวมตัวรวมใจกันต่อต้าน การเข้ามาของสหรัฐ ..........โดยทำการรบแบบพลีชีพ ใช้มีดบารอง(ชื่อมีดของชาวโมโร) บุกเข้าไปปาดคอนาวิกโยธินสหรัฐได้
แม้ ทหารสหรัฐ จะได้ใช้กระสุน .38 ยิงโดนไปหลายนัด ก็หยุดนักรบ ที่ทำการรบด้วยจิตวิญญาณไม่ได้
นักรบ โมโร ก่อนทำการรบ หัวหน้ากลุ่มจะทำการปลุกใจ สร้างขวัญกำลังใจ ตามศาสนาพิธี สร้างจิดนักรบให้แข็งแกร่ง
ด้วยวิชาจิตวิทยา นักรบ จะเชื่อพร้อมจะตายเพื่อศาสนา
....ดังนั้น ลำพัง กระสุน .38 ไม่สามารถจะหยุดยั้ง นักรบโมโร ที่สู้อย่างสละชีพได้ ต่างจากทหารอเมริกัน ที่ไปรบด้วยการถูกเกณฑ์ หรือเหตุผลต่างๆ ที่ไม่ใช่การรักชาติ....ดังนั้น ทุนทรัพย์ทางจิตใจของนักรบทั้งสองฝ่าย แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
.....เมื่อไม่สามารถหยุดยั้งจิตใจอันกล้าแข็งของ โมโรได้ ต้องหาวิธีหยุดยั้งด้วย สาเหตุทางกายภาพดีกว่า กระสุนหัวใหญ่โต จึงเข้ามามีบทบาทในการยิง นักรบเหล่านี้ แม้ใจจะเกินร้อย วิ่งเข้ามาหา ทหารอเมริกัน แต่ถ้าโดนกระสุนหัวใหญ่ มากๆ แม้ใจจะวิ่งมาถึงตัวทหารอเมริกันแล้ว แต่กาย ไม่สามารถวิ่งเข้ามาได้ เพราะหยุดอยู่กับที่ด้วยอานุภาพกระสุนหัวใหญ่
.....ในการต่อสู้กับนักรบโมโร บนเกาะฟิลิปปินส์ กระสุนปืน รีวอลเวอร์ .38 จากเอ็ม 1892 ไม่สามารถหยุดยั้ง นักรบโมโรได้ กองทัพสหรัฐ จึงต้องเรียกหา โคลท์ .45 เอส เอ เอ กลับมาใช้อีกครั้งหนึ่ง
ความเชื่อที่ว่า กระสุนหัวใหญ่ วิ่งช้า หยุดคนที่โถมตัวเข้ามาทำร้ายได้ ดีกว่า กระสุนหัวเล็ก
.....ในห้วงปี่ 1900-1910 ก็ได้มีการพัฒนาอาวุธปืนพกระบบกึ่งอัตโนมัติกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
แต่ปืน พกกึ่งอัตโนมัติ สมัยนั้น ส่วนใหญ่ เป็นกระสุนขนาดเล็กได้ ได้แก่ .32 ...หรืออย่างมาก ก็ .38  ตัวอย่างเช่น เอ็ม 1903 ก็เป็น .38   เอ็ม 1908  ก็เป็นแค่ .32  เอ.... ลูเกอร์ พาราเบลลั่ม พี 08 ก็แค่ .38 นิ้ว ( 9 มม.พารา ).แล้วจะเป็นไปได้ไหม ที่จะคิดพัฒนา กระสุนหัวใหญ่ขนาด .45 มาเป็นปืนพกกึ่งอัตโนมัติได้ แล้วมันจะทำได้จริงหรือ แล้วมันจะยิงไหวไหม ลำกล้อง ......สไลด์ จะรับแรงดันถอยหลังที่เกิดจากการระเบิดของกระสุนขนาด..45 ได้หรือไม่
โปรดติดตามตอนต่อไปครับ ...

มาต่อกันครับ
...แน่นอน ในห้วง 1900 สหรัฐ ได้เข้าไปมีบทบาทในทวีปต่างๆ เช่นกัน มีการเข้าไปรบพุ่ง ปะทะกับชนเผ่าที่เป็นเจ้าของแผ่นดิน ซึ่งต้องรบอย่างถวายชีวิต ดังนั้น กระสุนหน้าตัดเล็กๆ เช่น .38 ไม่สามารถใช้งานได้ผล
ต้องเอาโคลท์ เอส เอ เอ กลับมารับใช้อยู่ระยะหนึ่ง
ก็เกิดความคิดอีกว่า โลกก้าวไปไกลแล้ว มีรีวอลเวอร์ ดับเบิ้ลแล้ว มี เซมิออโตแล้ว แล้วจะทำอย่างไร ให้ .45 สามารถยิงเป็นระบบออโตเมติกได้ เหมือน เอ็ม 1903 เอ็ม 1908 ในขณะที่ .45 ลองโคลท์ ปลอกกระสุนยาวมาก ไม่เหมาะที่จะนำมาทำเป็นปืนออโต เพราะกระสุน เป็นแบบปลอกยาว ที่ใช้กับปืนรีวอลเวอร์ ไม่สามารถนำมาผลิตเป็นปืนออโต้ได้
ในช่วงก่อนปี 1911 จอห์น เอ็ม บราวนิง แทบจะแยกตัวเอง ไม่ออกจากโคลท์เลยครับ มั่วกันไปหมด แบบปืนออโตที่จอห์นฯ คิดได้ ก็เสนอขายโคลท์ แทบทุกแบบ เพราะในขณะนั้น โคลท์ ครองอุตสาหกรรมปืนพกทางทหารแบบเบ็ดเสร็จ ตั้งแต่ 1836(รีวอลเวอร์ดินดำ)   1873 (รีวอลเวอร์ ซิงเกิ้ล พีชเมคเกอร์ ปืนผู้สร้างสันติ)   1892 (รีวอลเวอร์ดับเบิ้ลแอ็คชั่น ต้นแบบปืนในปัจจุบัน)   
...คิดดูแล้วกัน เจ้าโคลท์ แฮมเมอร์เลส  ( ไทยแปลว่า นกใน  หรือ นกซ่อนอยู่ในตัวปืน)  เอ็ม 1908  ขนาด .32 จอห์น เอ็ม บราวนนิง เป็นคนคิดกลไกและระบบ
ส่งแบบขายให้โคลท์ ในทวีปอเมริกา  โคลท์ ก็ตอกตราม้า คนก็เข้าใจว่า อ๋อ...ปืนโคลท์ นั่นเอง
แต่แบบปืนนี้ ได้นำไปผลิตที่ฟากทะเลหนึ่ง คือ ฝั่งทวีปยุโรป ในเบลเยี่ยม โดยโรงงาน เอฟเอ็น เขาให้ชื่อว่า ปืนบราวนนิง ......อ๋อ .....ที่แท้ก็คนออกแบบคนเดียวกัน แบบเดียวกัน แต่ทำกันคนละทวีป  คนละบริษัท นั่นเอง

.....เมื่อทางการทหาร สหรัฐ ต้องการ สเป็กปืนใหม่คือ
1.กระสุนหน้าตัดใหญ่ ขนาด .45  เพราะต้องการอานุภาพหยุดยั้ง
2.ทำการยิงแบบออโตเมติก  เพราะต้องการความได้เปรียบในเชิงยุทธวิธี คือ ยิงเร็ว บรรจุใหม่ได้เร็ว กว่า ปืนที่ใช้อยู่ในขณะนั้น ทุกรุ่น
3.บรรจุกระสุนได้คราวละมากๆ พกพากระสุนสำรอง ได้สะดวก
......เมื่อสเป็กซ์ของกองทัพคลอดออกมา  โคลท์ ในฐานะผุ้ครอบครอง สายการผลิตปืนพกทหารแบบเบ็ดเสร็จ
ก็ให้ จอห์น ฯ พัฒนาแบบปืน ตามสเป็คขึ้นมา เพื่อให้สนองความต้องการของกองทัพสหรัฐ
สิ่งที่จอห์นฯ คิดขึ้นได้ และนำมาแก้ไข ในปืนใหม่ ที่จะส่งเข้าประกวดแบบในการแข่งขันประมูลปืนพกประจำกองทัพสหรัฐ ฯดังนี้
1. จอห์นฯ ยกเลิกการใช้ลำกล้องหัวโต เพื่อฟิตกับสไลด์ ตามแบบเอ็ม 1903   และลำกล้องหัว โต เหลี่ยมเหลี่ยม แบบ เอ็ม 1908  มาใช้บูชปลายลำกล้อง

2.จอห์นฯ ยกเลิกการใช้ ห่วงโตงเตง หน้าหลัง ของ เอ็ม 1903 มาใช้โตงเตง ท้ายลำกล้อง เพียงอย่างเดียว
3.การถอดสปริงโยนลำ ใช้ถอดด้วยปลั๊กครอบสปริง ออกทางด้านหน้า (ปัจจุบัน มีผู้แผลงการถอด ใช้ดึงสไลด์ถอยหลังแล้ว ถอดสลักเลย ....ก็ไม่ว่ากัน ครับ ทางใคร ทางมัน แต่คิดว่า จอห์นฯตั้งใจให้ถอดครอบปลั๊ก ออกทางด้านหน้าสไลด์เสียมากกว่า
4.จอห์นฯยกเลิกการปลดแม็กกาซีน จากส้นปืน มาเป็นปุ่มอยู่ด้านหลังโกร่งไก เพื่อให้สะดวกในการปลด
ทำให้เป็นรากฐานของปืนพกแบบนี้ มาถึงทุกวันนี้ แต่ไม่รู้ใครคิดก่อน เพราะ พาราเบลลั่ม พี 08 ก็เป็นปุ่มแบบนี้ เหมือนกัน แต่เอาเป็นว่า ถ้าปืนสไตล์นี้ ละก็ ปุ่มปลดแม็กแบบนี้ ทั้งเพ เลยครับ
มีเพียงซิก-ซาวเออร์ 220  รุ่น แรกๆ ที่ยังปลดตูดอยู่ได้ เชยชะมัดเลย .....แต่เดี๋ยวนี้ ไม่มีแล้ว) 
5. จอห์นฯ คิดเอาเซพปืนจาก เอ็ม 1908 มาดัดแปลงใส่ในเซฟปืนแบบใหม่ ที่เสนอเข้าประมูลกองทัพ ซึ่งในเอ็ม 1909 ขนาด .45 และ เอ็ม 1910 ขนาด .45 ซึ่งเป็นรุ่นพี่ของ พระเอกของเรา ไม่มีเซฟนิ้วโป้งแฮะ

......โอ๊ย...หมดแรงแล้ว....เอางี้ ใครอยากดู เอ็ม 1909 เอ็ม 1910 ไปเปิดเวปโคลท์ดูได้ สาธยาย ไม่หมดแล้ว
....อีกจุดหนึ่งที่ ละเลยไม่กล่าวถึงไม่ได้เลยคือ
ระบบสลัดปลอกกระสุน ....อันนี้ เป็นการวิเคราะห์ในเชิงเทคนิค การผลิต
..เอ็ม 1903  จนถึง เอ็ม 1908 เท่าที่เคยเห็น จากท่านอาจารย์สุพินท์ แก้....เอ้ย.....(ขอโทษครับ...เผลอทุกที)
ถอด เอ็ม 1903 ให้ดู   และเคยย่อย เอ็ม 1908 ด้วยตนเอง ปรากฎว่า
การเริ่ม ปฏิบัติการเตะปลอกกระสุน จะกระทำในขณะที่ปลอกกระสุนที่ยิงแล้ว ถอยหลังมา ยังไม่พ้นแนวแม็กกาซีน ปลอกกระสุนจะเริ่มเงยหัวขึ้นแล้ว
...........แต่ในพระเอกของเรา ..........การเริ่มปฏิบัติการเตะปลอกกระสุน กระทำในขณะที่ปลอกกระสุนถอยมาพ้น แม็กกาซีนแล้ว 
ข้อดีของการเตะปลอกของ เอ็ม 1903 เอ็ม 1908 คือ กระสุนนัดที่อยู่แม็กกาซีน จะไม่ขึ้นมารบกวนการสลัดปลอก
ข้อเสียของการเตะปลอก ของ พระเอกของเรา ....คือ กรณี ที่กระสุนปืน แรงดันต่ำ หรือเผาไหม้ ไม่สมบูรณ์ แล้วทำให้สไลด์ถอยหลังช้า กระสุนนัดที่อยู่ในแม็กฯ จะขึ้นมารบกวนการสลัดปลอก ทำให้เกิดอาการ ปล่องรถไฟ

.......อ้าว แล้ว อยู่ดีๆ ทำไม จอห์นฯ ออกแบบของดีอยู่แล้ว แล้วมาทำให้เสียในพระเอกของเราได้ไง ???
ตอบ...น่าจะมีเหตุผลอย่างอื่น เช่น ทำช่องคายปลอกกระสุนให้อยู่ด้านบน แตกต่างไปจากเอ็ม 1903 และ เอ็ม 1908
เพื่อจุดประสงค์ ให้สไลด์ สามารถอมลำกล้อง ได้อยู่ในแนวเส้นผ่าศูนย์กลางของลำกล้อง เพื่อเวลาทดสอบการโยนบก ในการประมูลฯ ไม่มีทรายเข้าไปในช่วงใต้ลำกล้อง แล้วจะทำให้ปืนติดขัด
......เหตุผลสนับสนุน.....เอ็ม 1911 ปัจจุบันที่มีการปาดช่องคาย ให้ต่ำลงกว่าเส้นผ่าศูนย์กลางลำกล้องแนวราบ
ท่านจะมองเห็นกลไกข้างล่างด้วย เพราะมีการเปลี่ยนเส้นทางการดีดปลอกให้ผิดแผกแตกต่างไปจากผู้ออกแบบเดิมคิด ดังนั้น เอ็ม 1911 แบบปาดช่องคายปลอก เพื่อเตะปลอกออกทางด้านข้าง จะมีช่องโหว่อยู่ใต้ลำกล้อง จอห์นฯจึงต้องออกแบบตัวเตะปลอกแบบใหม่ ไม่เหมือนใครด้วยประการฉะนี้
( เอ็ม 1911 ตัวเตะปลอกของเดิม ขนานแท้ ถือว่า ไม่เหมือนใครจริงๆ ในโลกครับ)
....ขอพอแค่นี้ก่อน ........อาจจะวิชาการไปหน่อย ในช่วงเทคนิคการสลัดปลอก แต่ถ้าท่านเข้าใจ ท่านจะสามารถวิเคราะห์อาการติดขัดของปืนของท่านได้ด้วยตนเองครับ ..........

บทความของพี่เต๋ายอดเยี่ยมมาก ปรบมือให้เลย... ผมสนับสนุนบทความของพี่เต๋าด้วยเวบลิ้งนี้ครับ  www.coltautos.com 
 และมีรูปภาพประกอบให้ด้วยครับ  ;)

 Colt Model 1903 Pocket Hammer .38 ACP

(http://i12.tinypic.com/4hrh212.gif)

Colt Model 1908 Pocket Hammerless .380 ACP

(http://i12.tinypic.com/2q23287.gif)

Colt Model 1905 Military .45 ACP

(http://i14.tinypic.com/2qjzots.gif)

Colt Model 1909  .45 ACP

(http://i3.tinypic.com/352i2hd.gif)

Colt Model 1910  .45 ACP

(http://i14.tinypic.com/2mra9p1.gif)

Colt Model 1911  .45 ACP

(http://i7.tinypic.com/470opzc.gif)

Colt 1911 Government Model  .45 ACP

(http://i3.tinypic.com/3z9y245.gif)

Colt 1911A1 .45 ACP

(http://i7.tinypic.com/42vuvsm.gif)

สำหรับผมใช้มานานพกก็ดี ใช้ก็ดี เปลียนหลายกระบอกแล้ว ด้วยอำนาจทำลาย กับ ความบางเหมาะสม ด้วยปัจจัยหลายอย่างทำให้ชอบครับ

.....กราบขอบพระคุณ...พี่โม มากครับ.....พอเอามาเปรียบกันแบบนี้ มีหลายจุดเลย ที่พอจะสังเกตแล้วเอามาโม้ได้อีกเพียบ
......ระบบเข็มแทงชนวน อัจฉริยะ
...ในช่วง 1900-1908 เข็มแทงชนวน ไม่สามารถถอดออกมาเล่นได้ง่ายๆ ท่านจะต้องเคาะสลักล็อคเข็มแทงชนวนออกเสียก่อน เข็มถึงจะถอยหลังออกมาได้
 ....ตั้งแต่ เอ็ม 1909 เป็นต้นมา จอห์นฯออกแบบใหม่ ให้ใช้การกดเข็มแทงชนวนให้จมลง จากนั้น ออกแบบแผ่นปิดท้ายเข็มแทงชนวนเข้าล็อคเข็มเอาไว้ โดยอาศัยแรงดันสปริงเข็มแทงชนวน ให้ทำงานสองหน้าที่
หน้าที่ที่ 1 ไว้ดันเข็มย้อนกลับเวลาถูกนกตีตูด
หน้าที่ที่ 2 เอาไว้ดันย้อนกลับมาทางท้าย เพือยันแผ่นเหล็กปิดท้ายเข็มแทงชนวนไว้ ไม่ให้หลุด เว้นแต่จะให้มันหลุดโดยเจตนาถอดมันเท่านั้น ....(ไม่เหมือนผู้หญิงสมัยนี้ เจตนาให้มันหลุด โดยบอกว่า ไม่เจตนาอยู่เรื่อยเลย)

....ต่อไปเรื่องคันล็อคสไลด์ สัญญานเตือนภัยเมื่อกระสุนหมด....................
ใน เอ็ม 1903 ไม่ปรากฏว่า ยิงนัดสุดท้ายแล้ว  กระสุนหมด แล้วสไลด์จะค้าง เพราะสังเกตง่ายๆ ที่ขอบสไลด์ด้านซ้าย ไม่มีบากร่อง ล๊อค เหมือนในปัจจุบัน
เอ็ม 1905 สังเกตว่า มีร่องบากที่ขอบสไลด์แล้วครับ แถมมีปุ่มอะไรไม่รู้มาอยู่ที่ตำแหน่งค้างสไลด์ในปัจจุบัน แสดงว่า วิวัฒนาการของการค้างสไลด์ เริ่มที่ เอ็ม 1905 นี่เองครับ แต่คันค้างสไลด์ ยังทำหน้าที่เพียงหน้าที่เดียวโดยลำพังคือ มีหน้าที่แค่ค้างสไลด์เท่านั้น

ต่อมาท่านจะเห็นวิวัฒนาการของปืนก่อนที่จะมาเป็น เอ็ม 1911 ได้อย่างสนุกสนาน เหมือนเรียนวิชาประวัติศาสตร์ มนุษย์โครมันยอง ยุคหิน ยุคหินเก่า ยุคหินใหม่ ยุคสัมฤทธิ์ อะไรทำนองนั้นทีเดียว

....เจ้าคันค้างสไลด์ เคยทำงานเพียงหน้าที่เดียว คือ ค้างสไลด์ ในเอ็ม 1905
....แต่พอมาถึงเอ็ม 1909 เจ้าคันค้างสไลด์ ได้หน้าที่เพิ่มขึ้นมาอีก โดยมีหน้าที่
1...เป็นคันค้างสไลด์ เตือนเมื่อกระสุนหมด
2....ทำหน้าที่เป็นสลักล็อค ห่วงโตงเตงของลำกล้องไว้ด้วย
...เป็นการพัฒนาให้ใช้ ชิ้นส่วนเพียงหนึ่งเดียว แต่ทำหน้าที่ สองอย่างในเวลาเดียวกัน น่าทึ่งในอัจฉริยะภาพของจอห์นฯเป็นที่สุดเลยครับ

....พอคันล็อคสไลด์ เกิดขึ้นในเอ็ม 1909 ท่านก็จะเห็น เจ้าครึ่งวงพระจันทร์ เกิดขึ้นที่ขอบสไลด์ของเอ็ม 1909  ด้านหลังช่องบากล็อคสไลด์ ที่ขอบสไลด์   ในขณะที่เอ็ม 1905 ไม่มีครึ่งวงพระจันทร์  ......โอ้โห พระแม่เจ้า เห็นไหมครับว่า เจ้าครึ่งวงพระจันทร์ ที่ไว้เลื่อนให้ตรง เวลาจะร้อย สลักล็อคห่วงโตงเตง นั้น กำเนิดขึ้นตั้งแต่ เอ็ม 1909 โน่นแน่ ......น่าตื่นเต้นจริง (คนเดียวหรือเปล่านะเนี่ย เรา.....บ้าอยู่คนเดียว)

ต่อไป..........เรื่ององศาของด้ามปืน ................................
เอ็ม 1900- จนถึง เอ็ม 1908 องศาด้ามจะเป็นแนวตั้ง เพื่อสะดวกในการป้อนกระสุน แต่มีข้อเสีย คือ ต้องต้องคอน ข้อมือในการยิง นิดหนึ่ง ไม่งั้น กระสุนลงดินหมด
พอมาถึงเอ็ม 1909 องศาด้ามอัจฉริยะนี้ ได้กำเนิดขึ้น เป็นการชี้ ปืนไปที่เป้าหมายแล้ว เหมือนจะยิงได้เลย ไม่ต้องเล็ง  เป็นการปรับองศาด้ามใหม่ให้ยิงได้ดีขึ้นกว่าเดิม ก็ไม่น่าเชื่อว่าปืนบางยี่ห้อที่เพิ่งผลิตเมื่อเร็วๆนี้ หลายยี่ห้อ  ในปัจจุบัน กลับออกแบบองศาด้ามปืน ย้อนยุค ไปถึง ก่อน เอ็ม 1909 เสียด้วยซ้ำ
....มีปืนดาวรุ่ง ยี่ห้อหนี่ง ลอกองศาด้ามของ เอ็ม 1909-1911 ไปใช้ ทายซิ ยี่ห้ออะไรเอ่ย ...........

รอท่านอาจารย์ตอบอย่างเดียวครับ ;D ;Dกระผมมันสมองไม่ได้เรื่องขอเอาไว้รับอย่างเดียวดีกว่า ;D ;D

ผมเปล่าตอบนะครับ ...เล่าให้ฟังเฉยๆ พี่โม เขาเอารูปมาประกอบให้ ก็พิจารณาดูประกอบไปด้วยก็ดีครับ
ท่านจะได้เข้าใจ ที่มา ที่ไปของเจ้า เอ็ม 1911 เอ1 แปลงกายมาเป็น ปืนที่ท่านมีอยู่ในครอบครองยังไงละครับ
..........................
.หมดมุขแล้วครับ เรื่องเทคนิค ขั้นตอนการพัฒนา เจ้าปืนอมตะกระบอกนี้
ทีนี้ มาว่ากันต่อเรื่องการเข้าประจำการ ในกองทัพสหรัฐ
....ในการประมูลแข่งขันเข้าประจำการในกองทัพ ห้วงระหว่างปี 1910-1911 โคลท์ได้ส่งแบบประมูลเข้าแข่งขัน
ก็คือ เจ้าเอ็ม 1911 ที่พัฒนาสูงสุดแล้วนี่แหละ
....คู่ต่อสู้ในการประมูล ถ้าจำไม่ผิด ก็เป็น ปืน ซาเวจ จำขนาดไม่ได้
ในการแข่งขัน ก็คงไม่ต้องพูด เอ็ม 1911 พระเอกของเรา ก็คงชนะขาด ทั้งในด้านปฏิบัติการ และอานุภาพหยุดยั้ง
และการถอดประกอบด้วยมือ ใช้เครื่องมือในการถอดน้อยที่สุด แม้ในปัจจุบัน บาเร็ตต้า 92 ที่ว่าแน่แน่ ถ้ามาถอดละเอียดแข่งกับ เอ็ม 1911 ละก็  92 เอฟเอส แพ้ลุ้ยเลยแหละจะบอกให้
.....ถามต่อว่า แล้วเราจะมาถอดปืนอมตะกระบอกนี้ เล่นหาตะหวัก ตะบวยอะไร ก็ปืนมันดีๆ ของมันอยู่

....ขอโทษทีเถอะครับ ......การรบในสมัยนี้ ต่างจากการรบในสมัยก่อนอย่างสิ้นเชิง
การรบในสมัยนี้ เป็นยุคไฮเทค กดปุ่มทำลายกันอย่างเดียว จรวด ขีปนาวุธ ปืนกล ก็ล้วนบังคับด้วยระบบไฟฟ้าทั้งสิ้น
กว่าทหารราบจะได้ลงปะทะกันจริงๆ ลุยกันจริงๆ ก็แทบจะราบเป็นหน้ากลองไปหมดแล้ว

....แต่การรบสมัยก่อน เป็นการรบแบบประชิดตัว ทหารราบ ก็คือทหารราบ จริงๆ (ราบไปกับพื้นตลอดเลยมั้ง  ไม่รู้ใครตั้งชื่อคำว่า ทหารราบ  สนใจอยากรู้ที่มาเหมือนกัน คำว่าทหารราบเนี่ย ) การรบ ต้องมีการลุยน้ำ ลุยโคลน ลุยทราย สารพัด ดังนั้น ปืนพก ต้องติดตัวทหารไปตลอด ไม่งั้น จะได้เรียกว่า ปืนบรรทุก ดีไหมครับ ....
ปืนพก ต้องติดตัวทหาร ในการรบจริง ไม่ใช่ค่อยๆ เดินนวยนาด เหมือนรำละครเสียเมื่อไหร่
ต้องกลิ้ง ต้องหมอบ ต้องคลาน หกคะเมน ตีลังกา กลิ้งไป กลิ้งมา อยู่เป็นนิจ   ฝุ่น ทราย น้ำ ย่อมมีโอกาส เข้าไปในปืนพกของทหารราบอย่างแน่นอน
.....แล้วถ้าปืนพก ถอดทำความสะอาดแบบละเอียดด้วยเครื่องมือ ยากๆ แบบ บาเร็ตต้า .....จะทันกินไหม ในสนามรบ
....เอ็ม 1911 เป็นปืนที่สามารถถอดละเอียดได้ในสนามฯ โดยความรวดเร็ว โดยแทบไม่ต้องใช้เครื่องมืออะไรเลย แถมยังเป็นปืนชนิดเดียว ที่สามารถใช้เครื่องใน เครื่องกลไกของตัวเอง ถอดตัวเองได้อีก น่าทึ่งเป็นที่สุด
คุณสมบัติอันนี้ ยังถือว่าเป็นอมตะที่สุด และอมตะยาวนานจาก ปี 1911 มาจนถึง ปี 2007 ชนิดไม่มีใครมาเทียบได้
(ยกเว้น กล็อค ถือว่า สูสีกัน แต่กล็อคก็ลอกเทคนิคมาหลายอย่าง เช่น ระบบเข็มแทง ระบบขอรั้ง )

พอประมูลกองทัพได้ ชื่อว่า เอ็ม 1911  แต่เข้าประจำการ หรือ เคลื่อนย้ายจากโรงงาน เข้าสู่สารบบของกองทัพสหรัฐ ก็ปาเข้าไป ปี 1912 แล้ว  มีกล่าวอ้างไว้ในปืน เอ็ม 1911 กระบอกที่ 53 ล็อตที่ 2 ลงใน อวป. ไว้เป็นความรู้แก่พวกเรา
.....พอประจำการกองทัพสหรัฐ ได้แค่แป๊ปเดียวเอง มหาสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็บังเกิดขึ้นที่ทวีปยุโรป

ฝรั่งเศส ถือเป็นมหามิตรของสหรัฐมาตั้งแต่กำเนิดประเทศ เพราะฝรั่งเศส ชอบจุ้นเรื่องการเมืองของชาวบ้านเขาอยู่แล้ว ตอนสหรัฐ รวมตัวกันต่อสู้กับอังกฤษ เพื่อประกาศเอกราช ก็มีฝรั่งเศสนี่แหละ ที่ยืนอยู่ข้างสหรัฐ ขนาดนักปฏิวัติของไทย คิดจะปฏิวัติประเทศ ในปี 2475 มีบางสาย ยังไปคบคิดตกลงวางแผนกันในฝรั่งเศสเลย

ของขวัญครบ 100 ปี ในการก่อตั้งสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส ยังอุตส่าห์ ผลิตแล้วส่งไปเป็นของกำนัลในโอกาสครบรอบ เลย แสดงให้เห็นสายสัมพันธ์อันลึกซึ้ง ระหว่าง ฝรั่งเศส กับ สหรัฐ ........เทพีเสรีภาพ ไงละครับท่าน ที่เป็นของขวัญที่ว่า......

ฝรั่งเศส เป็นสมรภูมิรบ ยุโรป   ( คุณทวด ของพวกเรา ก็ไปรบกับเขาเหมือนกันนะครับ ไม่ใช่ย่อย สยามประเทศเนี่ย อนุสาวรีย์ของคุณทวด   อยู่แถวๆ สนามหลวง ถ้าจำไม่ผิด )   ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 มีการรบแบบประชิดตัว ตามสนามเพลาะ  สหรัฐ ได้มีโอกาสส่งทหารไปช่วยรบ การรบ ประชิด ปืนพก มีความสำคัญมาก เอ็ม 1911 ก็เป็นพระเอก ตามเคย
มีการเล่าขานถึงอานุภาพการหยุดยั้งของมัน เป็นนิทาน นิยาย ทหารฝรั่ง หลายเรื่อง

พอดี วีรบุรุษ สงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่ได้มีชีวิตมาถึง ปัจจุบัน เลยไม่มีตัวเป็นๆ  มาเล่าให้ฟังถึงอานุภาพ ของปืนอมตะ
เอ็ม 1911 ตัวนี้

....แต่ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 บังเกิดขึ้น ปี 1942-1945  ยังพอมี วีรบุรุษ(ฝรั่ง)  บางท่าน ยังพอมีชีวิต อยู่ พอที่จะมาสาธยายถึงคุณสมบัติที่วิเศษ ของเอ็ม 1911  และ เอ็ม 1911 เอ1 ให้พวกเรา ฟัง

วีรบุรุษ ในสงครามภาคพื้นยุโรป  (ฝรั่งรบฝรั่ง) ไม่เคยเห็นซักราย ผมอาจ อ่านไม่ทั่วถึงก็ได้ ขออภัย
แต่วีรบุรุษ (ฝรั่ง) แปซิฟิค หรือ  สงคราม ฝรั่ง รบ โออิชิ....เอ้ย ..... ญี่ปุ่น  เนี่ย มีชีวิตอยู่ 2 คน พอจะเล่าเรื่องให้เราฟังได้ เกี่ยวกับ เอ็ม 1911 เรียงลำดับดังนี้ 
1. เจฟ  คูเปอร์ ...ถ้าออกเสียงผิด ขออภัย
2.จิม คล้าค......คิดว่าออกเสียงไม่ผิด
.......โอ๊ย ตาลายไปหมดแล้ว  ไว้มาต่อให้อีกซัก สัปดาห์หน้านะครับ ...หลังจากนี้ อีก 5 วัน ไม่ว่างแน่นอน 

ผมยกย่องคุณบราวนิงมากกว่าที่เป็นผู้สร้าง 1911 ขึ้นมา โคลท์เป็นแค่ยี่ห้อแรกที่ผลิต 1911 ขึ้นมา

ขอขอบคุณครับท่านอาจารย์เต๋า :Dแล้วผมจะรออ่านตอนต่อไปนะครับ :D

 :D.. ผม. คนคอ Colt คนหนึ่ง .   
       ขอขอบคุณเพื่อนคอปืน ทุกท่านที่มาให้ความรู้.
       และขอขอบคุณ tao bangkhaen .อย่างมาก. ที่มาช่วยเติมให้ แบบ.
       สื่อความจาก ต้นแหล่ง.. ให้ทราบกัน.อีก. :D

       คงไม่ต้องบอกว่า ผมได้เซฟ กระทู้นี้ไว้ เรียบร้อยทุกหน้าแล้วครับ..  ;D

ชื่นใจจังเลยค่ะ ที่กระทู้ของโอสามารถงอกเงยความรู้ออกมาเพียบเลย
ขอบคุณทุกๆท่านที่ให้ความรู้นะคะ :VOV:

ยินดีรับใช้ ....เซฟเอาไปอ่านเล่นๆ ก็ได้ เป็นนิยายอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ปืนของโลกใบนี้เลยทีเดียว
โคลท์ ถือเป็นหนึ่งในส่วนประกอบของประวัติศาสตร์ปืนบนโลกใบนี้ อย่างมากทีเดียว (คิดเปอร์เซนต์ กะไม่ถูกแฮะ)
พอดีช่วงนี้ งานโครตยุ่งเลย เลยไม่ได้มาต่อให้ขออภัยด้วยครับ ว่างเมื่อไหร่ จะรีบประทับทรงทันทีเลย

ขอบคุณเจ้าขอบกระทู้ที่ให้โอกาส ผมเข้ามาโลดแล่นอยู่ในกระทู้ที่ท่านได้ตั้งเอาไว้ คำถามของท่านเด็ดมาก ตอบอีกเท่าไหร่ก็ไม่หมดครับ

ฝรั่งเศส เป็นสมรภูมิรบ ยุโรป   ( คุณทวด ของพวกเรา ก็ไปรบกับเขาเหมือนกันนะครับ ไม่ใช่ย่อย สยามประเทศเนี่ย อนุสาวรีย์ของคุณทวด   อยู่แถวๆ สนามหลวง ถ้าจำไม่ผิด )   ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 มีการรบแบบประชิดตัว ตามสนามเพลาะ  สหรัฐ ได้มีโอกาสส่งทหารไปช่วยรบ การรบ ประชิด ปืนพก มีความสำคัญมาก เอ็ม 1911 ก็เป็นพระเอก ตามเคย
มีการเล่าขานถึงอานุภาพการหยุดยั้งของมัน เป็นนิทาน นิยาย ทหารฝรั่ง หลายเรื่อง

พอดี วีรบุรุษ สงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่ได้มีชีวิตมาถึง ปัจจุบัน เลยไม่มีตัวเป็นๆ  มาเล่าให้ฟังถึงอานุภาพ ของปืนอมตะ
เอ็ม 1911 ตัวนี้

....แต่ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 บังเกิดขึ้น ปี 1942-1945  ยังพอมี วีรบุรุษ(ฝรั่ง)  บางท่าน ยังพอมีชีวิต อยู่ พอที่จะมาสาธยายถึงคุณสมบัติที่วิเศษ ของเอ็ม 1911  และ เอ็ม 1911 เอ1 ให้พวกเรา ฟัง

วีรบุรุษ ในสงครามภาคพื้นยุโรป  (ฝรั่งรบฝรั่ง) ไม่เคยเห็นซักราย ผมอาจ อ่านไม่ทั่วถึงก็ได้ ขออภัย

*****

โอ้อ่านสนุกมากครับพี่เต๋า ผมขอเติมนิดๆ หน่อยๆ

WWI รบประชิดตัวในสนามเพลาะจริงๆ กองทัพต่างๆ พยายามผลิตปืนพกให้ทหารใช้ให้มากที่สุด ทั้งประทวนและนายทหาร ถึงขั้นมีการผลิตอาวุธสั้นต่างๆ แนวย้อนยุคใช้ เช่น มีดด้ามเป็นสนับมือ ตะลุมพุกพลั่วสนามลับคม  ไม่มีอะไรก็เอาไม้มาตอกตะปูไล่ทุบกัน ฯลฯ

WWII ภาคยุโรป ที่ดังมากๆ ของเมกันก็นาย เออดี้ เมอฟี่ ทหารเมกันที่ได้เหรียญกล้าหาญมากที่สุดในสงคราม WWII ได้เหรียญกล้าหาญชั้นสูงสุด Congressional Medel of Honor 2 เหรียญ ฯลฯ นายคนนี้ตัวเล็กสูงแค่ 5 ฟุต 5 นิ้ว (ประมาณ 165 ซม.) ตอนแรกไปสมัครเป็นนาวิกฯ แล้วเขาไม่รับ เลยไปเป็นทหารบก เท่าที่ผมรู้ ตอนไปรบไม่มีวีรกรรมใช้ 1911 อย่างโดเด่น มีแต่วิ่งไปลุยบังเกอร์เยอรมัน หยิบปืนกลเยอรมันมาไล่ยิง ฯลฯ หลังสงครามเป็นดาราฮอลีวู้ด

*********************

ฝรั่งเศส ถือเป็นมหามิตรของสหรัฐมาตั้งแต่กำเนิดประเทศ เพราะฝรั่งเศส ชอบจุ้นเรื่องการเมืองของชาวบ้านเขาอยู่แล้ว ตอนสหรัฐ รวมตัวกันต่อสู้กับอังกฤษ เพื่อประกาศเอกราช ก็มีฝรั่งเศสนี่แหละ ที่ยืนอยู่ข้างสหรัฐ ขนาดนักปฏิวัติของไทย คิดจะปฏิวัติประเทศ ในปี 2475 มีบางสาย ยังไปคบคิดตกลงวางแผนกันในฝรั่งเศสเลย

*****

เมกันกับฝรั่งเศสนี่แหละครับ คู่รักเตียงหักตัวจริง สงครามระหว่างเมกัน อังกฤษ ปี 1812-1814 ฝรั่งเศสยังช่วยเมกัน หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เดอ โกล ก็ยังรักเมกัน ตอนวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา เคนเนดี้ บอก เดอ โกล เรื่องนี้ขอหยั่งเสียงสนับสนุน เดอ โกล ก็เชื่อ ไม่ขอหลักฐานเพิ่มเติมยังบอกแบบว่า "เชื่อถือคำพูดของรัฐบาลอันยิ่งใหญ่ของท่านได้อยู่แล้ว"

....เลย 5วันแล้วนะท่านพี่....เลยขุดขึ้นมากลัวลืม

ไม่เคยลืมเลยครับ อยากจะมาต่อให้ทุกเวลา แต่มันไม่มีเวลาเลย...เน็ตที่บ้านก็เจ้ง เสียอีก .....
วันนี้ มีเวลาแค่ 1 ชั่วโมง จะใช้ให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุด
.ต่อจากคราวที่แล้ว .................
วีรบุรุษสงครามโลกครั้งที่สอง(ฝรั่ง) ที่ยังมีชีวิตเหลือมาโม้ให้เราฟังเรื่องฝรั่งยิงญี่ปุ่น...จริงๆ แล้วเท่าที่เห็นๆ ก็มีอยู่สามคน (คราวที่แล้ว นึกชื่อไม่ออก เลยเขียนแค่ สองคน แต่ว่าก็ว่า อีกคน เขาไม่ค่อยสนับสนุน 1911 ซักเท่าไหร่ แต่ก็เก็บมาเล่าให้ฟังเล่นๆ ) คือ
1. เจฟ คูเปอร์  คนนี้แหละ ตัวตั้งตัวตี ตัวเชียร์ให้ 1911 เข้ามาใช้ในกิจการตำรวจ.....นอกเหนือจากใช้ได้ดีในทางทหารแล้ว
2. จิม คล้าค คนนี้แหละ เป็นตัวตั้งตัวตี ที่ทำเอ็ม 1911 จากปืน หลวมๆ คลอนๆ ที่ใช้งานในสนามรบ ให้มาเป็นปืนแข่งขัน ที่เน้นกลุ่มและความแม่นยำ
3. บิล จอร์แดน  อีตาคนนี้ ก็เยี่ยมเหมือนกัน มีเทคนิคการรบกับญี่ปุ่นเยอะมากเหมือนกัน แต่ปู่คนนี้ แกนิยมเล่นรีวอลเวอร์ดับเบิ้ลแอ็คชั่นเสียมากกว่า เลยไม่มีเรื่อง 1911 แบบเน้นๆ มาเล่าให้ฟัง
.....
....ต่อไปมาเริ่มของคูเปอร์ก่อน เกี่ยวกับ 1911
...เจฟ คูเบอร์

 :Dติดตามอ่านต่อครับ :D

ขอโทษครับ ....สดุดตลอดเลย ...มีเรื่องด่วนเข้ามาเลยต้องแว็ปไปแป็บหนึ่ง
คูเปอร์ เป็นทหารสหรัฐในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาได้ถูกส่งในไปแนวรบภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก เพื่อรบกับญี่ปุ่น  นักรบที่แสนทารุณโหดร้าย ไม่หล่อ ไม่น่ารัก สุภาพบุรุษ เหมือนโกโบริ ที่นักแต่งนิยายไทย จิตนาการไว้เลยซักนิด
ทั้งทารุณ ทั้งข่มขืน สารพัดละครับท่าน
....คูเปอร์ ในขณะก่อนไปรบ เขาก็คงจะเป็นคนชอบปืน เหมือนพวกเรานี่แหละ พอดี ไปรบ ก็เลยได้ใช้ปืนตามที่ใจรักพอดี
...ก่อนไปรบ เขาก็ยอมรับนับถือ บทความ แนวคิด ของนักเล่นปืนระดับอภิมหาอมตะนิรันดร์กาลแห่งสหรัฐ คือ เอเมอร์ คีธ
เอเมอร์ คีธ บอกว่า ปืนโคลท์ .45 ซิงเกิลแอ็คชั่น เป็นปืนทีสามารถยิงนัดแรกได้เร็วและแม่นยำที่สุด
เมื่อเวลาไปรบจริงในสมรภูมิเอเซียแปซิฟิก คูเปอร์ ก็เอาเจ้าซิงเกิ้ลแอ็คชั่นไปด้วย
.....แต่พอไปรบจริงๆ กับพวกญีปุ่น กลายเป็นความจริงปรากฎแก่คูเปอร์ว่า เจ้า เอ็ม 1911 ที่ทางการสหรัฐ แจกให้เป็นปืนหลวง ติดตัวในการรบ ทำการยิงได้ดีกว่า เจ้า โคลท์ คาวบอย ตามที่เอเมอร์ คีธ บอกไว้ คูเปอร์จึงยอมรับนับถือ เอ็ม 1911 ตั้งแต่นั้น เป็นต้นมา
......แต่เดิมก็เข้าใจว่า เขาเป็นแค่ทหารอเมริกันฯ ธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง แต่จากบทความของลูกสาวของคูเปอร์ เคยเขียนกล่าวถึงคุณพ่อของตน ได้เล่าความแตกออกมาว่า ที่แท้ คูเปอร์ เคยมาทำงานให้กับ ซีไอเอ ในพื้นที่สยามประเทศของเราเสียด้วย เห็นว่า ทางภาคเหนือของเรานี่แหละ (ในช่วงสงครามเย็นรัสเซีย-จีน) แถมเคยมายิงคนตายในภาคเหนือของเราเสียด้วย(คงยิงในภารกิจกระมั้ง เลยไม่เป็นเรื่อง)
......ภายหลังกลับไปมาตุภูมิ .....คูเปอร์ ได้นำประสบการณ์ชีวิตเกียวกับการใช้ปืนไปเปิดโรงเรียนสอนการยิงปืนแนวใหม่ ???????? เป็นอย่างไร การยิงปืน แนวใหม่
........การยิงปืนแนวเก่า ตามที่เราเห็นเห็น ทำ ๆ กันอยู่ทุกวันนี้ ก็คือ เดินเข้าสนาม เอากล่องปืนวาง เดินไปติดเป้า
เดินกลับมา เปิดกล่องปืน หยิบปืน ใส่กระสุน หลับตาซ้าย เล็งตาขวา ยืนนิ่งๆ โป้ง.......โป้ง.....โป้ง.........
สาแก่ใจแล้ว .....กลับบ้าน นั่งล้างปืนด้วยความสุขใจ ......นอนหลับฝันดี ....อา.....วันนี้ ได้ไปที่ชอบที่ชอบ มาแล้ว
(ไปที่ชอบที่ชอบเสียก่อนตอนมีชีวิตอยู่ พอตายแล้ว ญาติมาเคาะโลงบอกไปที่ชอบที่ชอบ ก็ไปไม่ได้เสียแล้ว เพราะยิงปืนไม่ได้แล้ว ไปสนามไม่ได้แล้ว)
......การยิงปืนแนวใหม่ของคูเปอร์คือ วิ่งไปยิงไป  นั่งไปยิงไป นอนไปยิงไป ตีลังกาไป ยิงไป ยิงมือเดียวบ้าง ยิงสองมือบ้าง กระโดดแล้วยิง โหนเชื่อกแล้วยิง (เป็นทาร์ซานหรือไง) ....เปล่า โม้ทั้งเพ ....หมายถึง การฝึกยิงปืนในสถานะการณ์ จริงๆ เหมือนในการรบ ไม่ใช่หลับตาซ้านเล็งตาขวา เหมือนในสนามแบบเก่า

....ทำไปทำมา การยิงปืนแบบของคูเปอร์ ก็วิวัฒนาการมาเป็น การแข่ง ไอพีเอสซี แบบในปัจจุบัน ด้วยประการละฉะนี้

....อ้าว.....เขียนมาตั้งนาน แล้วมันเกี่ยวกับอมตะของโคลท์ ตามที่เจ้าของกระทู้ท่านถามตรงไหนล่ะ

....ตอบ .....อ๋อ....ก็ปืนที่คุณปู่คูเปอร์ ใช้เป็นปืนที่ฝึกสอนในสถาบันของแกนะซิ แกก็ใช้ ปืน แนว เอ็ม 1911 ทั้งสิ้น
แก มีความสามารถแนะนำข้อดี ข้อเด่นให้กับนักเรียน ได้เห็นคุณค่าของเอ็ม 1911 ในขณะทำการฝึกกับแก
ดังนั้น เมื่อฝึกเสร็จ นักเรียน คงไปซื้อปืน สมิธฯ มาใช้กระมั้ง ..(ประชด) ....ก็ต้องซื้อ 1911 ซิครับ ......และแน่นอน ยี่ห้อ ที่เป็นโต้โผใหญ่ ก็โคลท์ ปืนตราม้านั่นแหละครับ

.....ดังนั้น คูเปอร์จึงถือว่าเป็นผู้หนึ่ง ที่สนับสนุน ให้ปืนโคลท์ เอ็ม 1911 เป็นปืนอมตะ เพราะจริงๆ เขาจะใช้ปืนอื่นในการฝึกก็ได้ แต่เมื่อเขาเลือกใช้ปืนเอ็ม 1911 ก็เท่ากับสนับสนุนให้โคลท์ เป็นปืนอมตะในช่วงนั้น เพราะไม่มีบริษัทไหน ผลิตเอ็ม 1911 ได้มากเท่ากับโคลท์ ในห้วงปี 1945-1985 ครับ
....ปืน ที่เป็น โมเดลออฟ 1911 พึ่งจะมาผลิตกันแพร่หลายเมื่อไม่ถึงสิบปีที่ผ่านมานี้เอง ดังนั้น ปืนแบบ 1911 ในอดีต
ร้อยทั้งร้อยเป็นปืนโคลท์ครับ .....เหลือส่วนแบ่งเป็นเรมิงตัน หรืออิธาก้า หรือยี่ห้ออื่นจำนวนไม่มากเลย
แนวทางของคูเปอร์ เป็นการทำให้โคลท์ เป็นอมตะในลักษณะของปืนใช้งาน สมบุกสมบัน แบบสไตล์ ไอพีเอสซี

....แล้วโอกาสหน้า จะมากล่าวถึง จิม  คล้าค ในอีกแง่มุมหนึ่ง ที่ได้มีส่วนสนับสนุนให้โคลท์ เป็นอมตะ

รออ่านอยู่ นะครับ นับถือๆๆ

ขอบพระคุณที่อ่านนิยายปรัมปรา...ฉบับยาวนี้ครับ...คนเขียนจะได้มีแรงเขียนต่อไป .......เพราะเขียนไป ไม่ได้อะไรเลย นอกจาก เล่าให้เพื่อนคอปืนด้วยกันฟัง เท่านั้นเอง ...

colt ไม่ใช่ปืนที่เป็นอมตะนะครับ ต้องถามคนชื่อ บราวน์นิ่งที่ต่อชีวิต ปืนอมตะจริงๆเป็นปืนลูกซองครับ
colt ผลิตปืนลูกซองน้อยมากครับ คนที่ว่า colt เป็นปืนอมตะคือคนที่ยึดติดกับประวัติศาสตร์ของอเมริกาตะหากละครับ
นั้นก็คือ colt เป็นอเมริกา   ประเทศอเมริกาไม่มีวันนี้ถ้าไม่มีปืน colt .....จริงๆนะ
สรุปคือ บราวน์นิ่งคือ อมตะครับ ทุกสิ่งที่เขาคิดค้นไม่ต่างจากไอสไตน์เลย...
แน่จริงหาข้อหักล้างสิครับ

ยังคอยติดตามผลงานอยู่ตลอดครับ

น่าสนใจครับ..........

.

บางเหตุผลในกระทู้นี้. ได้ช่วยอธิบายให้ได้ทราบกัน.  ตามกระทู้ที่ตั้งไว้.
ที่คุณ liverpoo มีความเห็นโต้แย้ง .นั้นเป็นสิทธิ ก็มีเหตุผล

แต่อาจต้องปล่อยให้ เพื่อนได้พิจารณา. มีอิสระในการคิด เชื่อ ด้วยตัวเขาเอง
ไม่ชอบที่ใครจะมาชี้ แบบฟันธงอย่างนั้น.  :)

คุณ tao bangkhaen สุดยอดจริงๆครับ

สุดยอดของสุดยอดเลย
ขนาดคนอ่านยังอ่านกันจนตาแฉะ แล้วคนพิมพ์นี่คงหนักเอาการ 
สำนวนการเขียนก็สุดยอดครับ ผมมารอติดตามชมต่อครับ 

 ;)

คุณ tao ทำฉบับรวมเล่มเลยครับ  คนในเว็บจะช่วยกันอุดหนุน
คุณ tao เป็นทหารหรือเปล่าครับหรือเป็นครูฝึกยิงปืนตามสนาม เพราะเห็นมีความรู้เรื่องปืนเยอะมาก อ่านแล้วศรัทธาน่ะครับ   แล้วก้อขำด้วย

กราบขอบพระคุณท่านมากขอรับ.....คนพิมพ์นี่คงไม่หนักเอาการหรอกครับ....แค่อาการหนัก เท่านั้นเอง แต่ไม่เป็นไรครับ...ถ้าพิมพ์ไปแล้ว ท่านได้อ่านแล้วท่านพอใจ กระผมยินดีจะกระทำต่อไปครับ....แต่โกรธกันนะครับ...ผมเข้ามาไม่ค่อยเป็นเวล่ำเวลา ว่างเมื่อไหร่ก็จะเข้าให้ครับ...ด้วยความเคารพ

เจฟ คูเปอร์ ใช้ สมิธดับเบิลแอ็คชั่นโครง N ตัดลำกล้องครับ น่าจะเป็นตระกูลเดียวกะ 1917   เหตุผลที่เขาใช้ออกในแปซิฟิก คือ หากกระสุนง่าย ใช้ ลูก .45 ACP

ตอบตามข้อที่ท่านถามเลยครับ
1 ผมมิบังอาจทำรวมเล่มครับ...มันเป็นแค่เนื้อหาที่อ่านเจอมาจาก อวป.อันเป็นที่รักของเรานี่เอง แต่ผมเอามายำๆ มาม่าๆ รวมๆ มั่วๆ เข้าไปให้อ่านกันเล่นๆ อันที่จริงทุกท่านที่เข้ามาอ่านก็ล้วนแต่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องปืนกันทั้งนั้น ผมมั่วบ้าง ผิดๆ ถูกๆ บ้าง ท่านผู้รู้ท่านก็ไม่ท้วงติงให้ผมเสียฟอร์ม ก็เป็นพระคุณแล้วขอรับ
2.ผมไม่เคยเป็นทหารอาชีพครับ....เคยแต่ผ่านค่ายบางแห่งมาบ้างเท่านั้นเอง ก็เลยมีความรู้เกี่ยวกับอาวุธปืนทหารราบในภูมิภาคนี้ สามกษัตริย์ คือ เอ็ม 16 อาก้า เอชเค แต่ก็รู้ไม่ถึงขั้นวิชาการหรอกครับ แค่ใช้เป็น เข้าใจกลไก ดูแล รักษาให้ถูกต้องพร้อมใช้งาน เท่านั้นเอง
3.ครับ...ผมเป็นครูฝึกตามสนามครับ ....แต่เป็นครูฝึกที่ปราศจากการรับรองจากสถาบันใดๆ ไม่มีประกาศนียบัตรรับรองความสามารถ จึงมีแต่ประสบการณ์ ที่จะถ่ายทอดให้เท่านั้นแหละครับ
4.กราบขอบพระคุณเรื่องศรัทธา .....อย่าศรัทธาเลยครับ ผมชอบโม้ไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง คิดไปอย่างไร ก็เขียนไปอย่างนั้นแหละครับ ....คนรู้จริงบางท่านอาจจะขำ ข้อความที่ผมเขียนก็เป็นได้
5. และขำด้วย.....กราบขอบพระคุณ ....ผมเจตนาจะเขียนให้ขำ เพื่อจะได้ไม่เครียดกันนะครับ เข้ามาคุยกันแล้วจะได้มีความสุข...จะได้เป็นเพื่อนกันไปนานๆ ครับ

สำหรับชาวอเมริกัน ปืนที่ถือว่าอมตะคือ Colt  SAA
สมาชิกทุกๆท่าน  สามารถออกความเห็นได้เท่าเทียมกัน  เอาเหตุผลและข้อเท็จจริงมาหักล้าง  ทำให้เกิดปัญญา มีประโยชน์กับทุกๆคน  แต่ไม่สมควรใช้  " แน่จริงหาข้อหักล้างสิครับ "

จริงๆ รึ?

- ปี 1492 โคลัมบัสเจอเมกา ก็ไม่มีปืนโคลท์
- ต่อมาคนหลายชาติมาตั้งถิ่นฐานในเมกา ก็ไม่มีปืนโคลท์
- จนรวมตัวกันเป็นรัฐหลายรัฐ ก็ไม่มีปืนโคลท์
- ปี 1776 13 รัฐรวมตัวกันประกาศอิสรภาพรบไล่อังกฤษออกไป ก็ไม่มีปืนโคลท์
- ปี 1789 ตั้งรัฐบาลกลางเมกันตามรัฐธรรมนูญเมกัน ก็ไม่มีปืนโคลท์
- ปี 1803 เมกาซื้อหลุยส์ เซียนา (สมัยนั้นพื้นที่ใหญ่จรดพรมแดนแคนาดา) จากนโปเลียน ก็ไม่มีปืนโคลท์
- นายเลวิส กับคล้าก เดินทางไปถึงรัฐยูท่าห์ ก็ไม่มีปืนโคลท์

ผมอยากรู้ว่าถ้าไม่มีปืนโคลท์ประเทศอเมริกาจะไม่มีวันนี้ยังไง?

คนเมกันที่ไม่ตะวันตกโดนคนพื้นเมืองฆ่าตายหมด ประเทศที่ฝรั่งจัดตั้งเหลืออยู่แค่ทางแอตแลนติก? รบแพ้เมกซิโก โดนยึดประเทศ? รบแพ้สเปญ โดนยึดประเทศ? พาให้อังกฤษรบแพ้เยอรมัน โดนข้ามมหาสมุทรมายึดประเทศ? ฯลฯ

ได้ความรู้หลายๆมุมมองดีครับ :VOV: :VOV:

บทความนี้พอจะบอกความเป็นอมตะ(ไม่เคยตายหายไป)หรือเปล่าครับ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

 ;D เพราะมันมีคำว่า colt และรูปม้าคนองศึก เป็นสัญลักษณ์โดดเด่น
บนตัวปืน + ประวัติชื่อเสียงที่ยาวนาน
เป็นปืนต้นแบบรูปร่าง 1911 เลยทีเดียวนะสิครับ   :VOV:

หลัง 100 ปีผลิต Colt ทุกบริษัทมีสิทธิลอกแบบเพื่อผลิตปืนแบบ Colt 1911
เลยมีการนำต้นแบบไปสร้างปรับปรุง เพราะอยากเหมือน Coltไม่ทราบว่า อมตะหรือเปล่าครับ
แม้คู่แข่งตลอดการณ์ก็เอาด้วยครับ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

ถูกต้องแล้วครับ.....ผมไม่สะใจบริษัทไหนเลยที่เลียนแบบ เอ็ม 1911 เท่ากับที่ สมิธแอนด์เวสสัน เอาไปผลิตเป็น เอสดับเบิ้ลยู เอ็ม 1911
....คนเราชนะใคร ...ได้กี่ครั้ง มันก็ไม่สะใจ
...แต่ถ้าชนะใจคู่แข่งตลอดกาล ตั้งแต่ทะเลาะกันเรื่องรีวอลเวอร์ แล้วพอมาถึงปัจจุบัน สมิธฯ ลอกเอ็ม 1911 น่าตาเฉย
แถมยังตีพิมพ์โฆษณาเสียสวยหรู ตามหน้านิตยสารต่างๆ ด้วยความภูมิใจ ยังกับ เป็นแบบของตัวเองเสียนี้

....การเอาชนะคู่แข่ง โดยทำให้คู่แข่ง ยอมรับนับถือตามเรานั้น ผมว่า มันเป็นชัยชนะที่สะ...สะ...ใจ ที่สุดเลยครับ

โคตรสวย

ถ้าผมจำไม่ผิดสิทธิบัตร 1911 มีอายุแค่ 70 ปี พอหมดอายุเจ้าอื่นก็ลอกแบบผลิตปืนแบบ 1911 ออกมาขายทำกำไรกันเป็นล่ำเป็นสัน รวมทั้งผู้ผลิตปืนแบบคัสตอมต่างๆ ก็มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดมากบ้างน้อยบ้าง รวมถึงการทำการฟิตติ้งเป็นรายกระบอก เลือกใช้วัสดุเกรดเยี่ยม อุปกรณ์ตกแต่งสวยงามเพิ่มเติม ฯลฯ แล้วแต่ยี่ห้อ...แต่ก็ยังคงรูปร่าง ลักษณะการทำงานแบบ 1911 เหมือนเดิม..เจ้าที่มาแรง ราคาเป็นกันเอง และมีรุ่นให้เลือกหลากหลายอย่างเช่น "คิมเบอร์" ก็คว้าโอกาสทองนี้ไว้เช่นกัน..
..แต่ต้นตำรับเอง อย่างเช่น โคลท์ กลับมิได้ใส่ใจสนใจ ที่จะปรับปรุงสินค้า 1911 ของตนเองให้ดีขึ้น ปล่อยตามมีตามเกิด นัยว่าสินค้าของตนมีดีอยู่แล้ว ยังงัยก็ขายได้ เรียกง่ายๆว่าขายชื่อก็อยู่ได้ เลยหันไปเน้นสินค้าหลักขายให้กับกองทัพรัฐบาลเมกันเป็นการใหญ่...
..โคลท์ต้องทนนั่งดูผู้ผลิตปืน 1911 รายอื่นโกยเงินเข้ากระเป๋า อย่างน่าเสียดาย..
..สมิทธ์ แอนด์ เวสสัน หยิ่งในศักดิ์ศรีนานไปหน่อย ปืนออโตเมติกในแบบของสมิทธ์ คงทำกำไรได้ไม่มากนัก อดรนทนไม่ไหว กัดลิ้นตัวเอง ทำ 1911 ออก มาขายซะเลย มันก็เป็นเช่นนี้แหละ.. ;D

ส่วนประกอบน้อยชิ้น ตัวปืนแบนบางพกได้แนบเนียน มีแพร่หลายทั้งบนดินใต้ดิน อุปกรณ์แต่งเพียบ
ผลิตมานาน ประจำการกองทัพอเมริกัน ตัวปืนแข็งแรงทนทานยิงกระสุนหมดยังใช้ขว้าง ทุบ ตี ตบ
ฝ่ายตรงข้ามให้ถึงตายได้ ข้อหลังปืนโครงพลาสติกรุ่นใหม่คงสู้ไม่ได้ ฮา...

มาต่อกันนะครับ...ตอนใกล้สว่างแบบนี้
เมื่อกล่าวถึง บุคคลสองคนนี้ ( เจฟ คูเปอร์ เชียร์ลีดเดอร์ เอ็ม 1911  / จิม คล้าค ) ก็อดที่จะกล่าวเปรียบเทียบกันไปในตัวไม่ได้ซักที ขอกล่าวเปรียบเทียบไปพร้อมๆ กัน เหมือนกินส้มตำกับข้าวเหนี่ยวแล้วกันนะครับ
เริ่มต้นที่มาที่ไปของสองคนนี้ เหมือนกันเลย คือ
คูเปอร์ ก็เป็น จีไอ    คล้าก ก็เป็นจีไอ
คูเปอร์ ไปสงคราม ภูมิภาคแปซิฟิค    คล้าก ก็ไปสงคราม แปซิฟิค ไปยิงญี่ปุ่นเหมือนกัน จำได้ว่า เกาะไซปัน
คูเปอร์ เป็นทหารราบ หรือเปล่า ไม่แน่ใจ   ส่วนคล้าก จำไม่ได้ว่า เป็นพลลาดตระเวนระยะไกล หรือ ซุ่มยิง จำไม่ได้
คูเปอร์ นำความสามารถเทคนิค ในการรบในสมรภูมิ มาใช้เป็นวิชาทำมาหากิน ภายหลังออกจากการเป็นทหาร
แต่  คล้าก นำความสามารถด้านเทคนิคด้านช่าง ความแม่นยำ ความละเอียด มาทำมาหากินโดยการเป็นช่างซิ่งปืน แต่งปืน จนมีชื่อเสียงโด่งดัง
เอาเป็นว่า ไปกันคนละทาง ว่างั้นเหอะ
หลังปี 1945 จิม คล้าค กลับจากสมรภูมิ เอเซียแปซิฟิก ก็ไม่มีประวัติอะไร โด่งดัง ก็คงใช้ความสามารถที่ได้จากสงคราม และใจรัก มาประกอบอาชีพเป็นช่างซ่อมปืน แต่งปืน ทั่วไปกระมัง
ในช่วงหลังสงคราม เอ็ม 1911 โคลท์ ดังระเบิดอยู่แล้ว คล้าก ก็คงง่วนอยู่แต่ แต่งเอ็ม 1911 โคลท์ นี่แหละ
ชื่อของจิม คล้าก กระฉ่อนขึ้นมา ก็เมื่อประมาณปี 1955 หรือ 1950 จำไม่ได้แม่น อย่าไปสนใจ พ.ศ. เอ้ย....ขอโทษ ค.ศ. อะไรมันเลย เอาเป็นว่าประมาณนี้แหละ

ในปีนั้น มีการแข่งขันกีฬ่ายิงปืนแห่งชาติ สหรัฐ ธรรมดา นักกีฬา ที่เป็นชนะ เป็นตัวยืนมาตลอดก็คือ เป็นนักกีฬาที่สังกัดกองทัพสหรัฐ เพราะมีกระสุนให้ซ้อมยิงอย่างเหลือเฟือ ......คงจะประมาณคำว่าเหลือเฟือของกระสุนไม่ได้แน่ๆ เพราะขนาดเห็นพวกเมริกัน เอามาฝึกในไทย พวกยังขนมาเป็นคันรถ หกล้อเลยเชียวแหละ
แต่ในปีนั้น เกิดปรากฎการณ์ใหม่ มีนักกีฬา ม้ามืดคนหนึ่ง มีอาชีพเป็นเพียงช่างแต่งปืน ไม่มีกระสุนกองทัพสนับสนุน เป็นกุรุต ให้ซ้อมยิง การจะซ้อมยิง ต้องอาศัยรายได้จากการทำมาหากินของตนเท่านั้น มาเจียดซื้อกระสุนซ้อมยิง
และนักกีฬาม้ามืดคนนี้แหละ สามารถเอาชนะนักกีฬาสังกัดกองทัพสหรัฐได้ นั่นคือ จิม ...คล้าค คนนี้ นี่เอง

หลังจากชนะการแข่งขันแล้ว ก็ไม่ทราบอีกเหมือนกันว่า มีอะไรเกิดขึ้นกับคล้าก อีก เอาเท่าที่สังเกตได้ก็แล้วกัน
ในช่วงปี 1960 เป็นต้นมา การแข่งขันยิงปืน แนวคอมแบ็ท ในอเมริกา ทวีความนิยมมากยิ่งขึ้น มีการแต่งปืนกันอย่างกว้างขวาง มีช่างแต่งปืน สำนักแต่งปืน เกิดขึ้นมากมาย (ของไทย ไม่ต้องพูดถึง ปี 1960 ยังซิ่งปืนกันไม่เป็นเลย)
คล้าก ก็เป็นอีกสำนักหนึ่งเหมือนกันที่ทำการซิ่งปืน ให้แก่นักแข่ง และแนวปืนที่คล้าก ถนัดก็คือ เจ้าโคลท์ อมตะนี่แหละ (เลยเอามากล่าวในกระทู้นี้)
ในห้วงปีที่มีการฮิตการแข่งขันนี่เอง มีเกมส์กีฬาเกิดขึ้นมากมาย ได้แก่ โบว์ลิ่งพิน...ฟอลลิ่ง เพลท ...... ส่วนใหญ่ เป็นการยิงในระดับแนวราบ จากซ้ายไป ขวา หรือจากขวาไปซ้าย ก็ไม่รู้แหละ รู้แต่ว่า เมื่อได้ยินสัญญาน นักแข่งมีหน้าที่ใช้กระสุน .45 พลักให้ เจ้าโบลลิ่ง หงายท้องลงจากโต๊ะ (สงสัยลูกโบลลิ่ง เหลือเยอะ เลยเอามายิงเล่น) หรือ ใช้กระสนุ .45 กระแทก เจ้าแผ่นเหล็กให้หงายท้อง ลงไป
แน่นอน สองเกมส์นี้ ยอดฮิตมาก มันส์มาก ในขณะนั้น
การสาดกระสุนให้อยู่ในแนวราบ โดยเฉพาะ .45 ออโต นั้น การควบคุมปืน ยากเอาการ เพราะปืนมีรีคอยส์เหมือนกัน
ยิ่งรีคอยส์มาก การจะยิงซ้ำในแนวราบ ก็ทำได้ยาก เวลาก็เสียไปเยอะ แต้มก็ไม่สวย
.....ก็คุณปู่คล้าก นี่แหละ ที่เป็นตัวตั้งตัวตี คิด เจ้า คอมเพอร์เซเตอร์ ที่เคยใช้ติดกับปืนใหญ่รถถัง หรือปืนใหญ่ เอามาติดกับปืนพก (ให้ตายเถอะ เป็นไปได้ไง)
เมื่อเอามาติด ทำให้ปลายปากกระบอก หนักขึ้น ปืนก็กระดกไม่มาก แถมคิด ให้มีแก๊ส ระบายขึ้นข้างบนอีก
ทีนี้ นักแข่งก็สามารถกวด โบว์ลิ่ง ลงจากโต๊ะได้เร็วกว่าเดิม ก็เลยฮิตตามกันมาจนถึงทุกวันนี้ แหละขอรับ
ตอนนั้น คล้าก ทำให้คนแข่งเก่งๆ ก็  จอห์น ชอว์ นั่นแหละครับ (แต่ก่อนไม่ไว้หนวด หล่อที่สุด)

หลังจากเป็นตัวตั้งตัวตี...ด้านคอมเพอร์เซเตอร์แล้ว .....คล้าก เป็นนักซิ่งปืน ที่นิยมความแม่นยำ เน้นกลุ่มกระสุน เป็นหลัก ดังนั้น คล้าก จึงผลิตลำกล้อง 1911 ออกมาด้วย ถือเป็นลำกล้อง คุณภาพชั้นยอด ในลำดับต้นๆ ที่นักนิยมปืน ไขว่ขว้า หากัน ราคาก็แพงเอาเรื่อง
...นอกจากนั้น แสดงให้เห็นอัฉริยะภาพของคล้าก ที่เน้นความแม่นทั้งในด้านคุณภาพของตัวปืนที่ต้องฟิตเปรี้ยะแล้ว คล้ากยังสนใจถึงลักษณะทางกายภาพของปืน(เครื่องในปืน)อีกด้วย
...คล้าก ได้คิดออกแบบ แหนบสี่ชาย ให้ใช้กับโคลท์ .45 เป็นการต่อยอดความคิดของจอห์น ฯ ผู้ให้กำเนิด เอ็ม 1911 ได้อย่างลงตัว ทำให้กลไกการทำงานของสปริง ดันไกกลับ กับการบริหารดิสคอนแนคเตอร์  แยกออกจากกัน
...ถือว่า คล้าก มีส่วนทำให้โคลท์ เป็นอมตะ อีกนัยหนึ่ง

ไว้จะมาต่อเรื่อง ความอมตะของม้า ในแนวกองทัพสหรัฐ ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

สุดท้ายแล้ว .........
ในแง่ของการทหาร .....ใครที่ไม่เคยสัมผัสปืนเอ็ม 16  อย่างพินิจพิเคราะห์ หรือเพียงแค่ดูภาพยนต์ แล้วเห็นปืนอะไรก็ไม่รู้ เป็นปืนยาวแปลกๆ ยี่ห้อเดียว ที่หน้าตาไม่เหมือนใคร  ถ้าทหารประเทศไหนถือปืนที่มีหูหิ้ว อีตรง ด้านบนช่องคายปลอกกระสุนละก็ ถือว่า เป็นเพื่อนซี้กับพวก ลุงแซม ทั้งสิ้น .....ตอบ ก็เอ็ม 16 ไงละจ๊ะ
.....แต่ถ้าใครเลยสัมผัสใกล้ๆ และสนใจตัวอักษรหรือ โลโก้ บนปืนเอ็ม 16 เสียหน่อยละก็
มีตราม้า คาบศร หักหอก อยู่ด้วย ยิ่งรุ่นใหม่ๆ เป็นม้าคาบศร เหยียบโลกด้วยอีกต่างหาก (เหมือนโลโก้ สิงโตเหยียบโลก) แสดงให้เห็นถึงความอหังการของโคลท์ ที่กล้าประกาศว่า ปืนของข้านี่แหละ ใช้ฆ่าแกงกันทั่วโลกเลย
ส่งไปขายที่ทวีปไหน ก็ฆ่ากันตายเกลื่อนที่นั่นแหละ

ขอเสริมรูปประกอบหน่อยครับ ปืนเบาๆ แบกสะดวก

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

อย่าว่าแต่ปืนเอ็ม16 เลย ขนาดปืนกลมือทอมสัน .45  ก็ยังมีปืนตราม้าเลยครับ ผลิตตั้งแต่ 1921 โน่น ได้เอาเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 แถมยังเหลือมาแจกให้เสรีไทยของสยาม แล้วตกทอดไปเป็นปืนโจร ปืนผู้ร้ายอีกด้วย เสียดาย ผมไม่มีปืนสงครามตราม้าไว้สะสมกับเขาบ้างเลย กลัวคุกจะถามหา

เห็นไหมครับว่า โคลท์ อมตะขนาดไหน ครอบครองตลาดปืนทหารตั้งแต่ 1836-ประมาณ ปี 1990 ช่วงหลังๆ เห็นว่า มีบริษัทอื่นเริ่มมาทำเอ็ม 16 ก็มี โคลท์ เลยจางหายไปบ้าง
ในช่วงสงครามหนักๆ ก็มีบริษัทอื่น ช่วยอยู่หลายบริษัทเหมือนกัน เช่น ไฮดร้า ดิวิชั่น ฯลฯ
แต่หลักๆ ก็เอ็ม 16 ตราม้านั่นแหละ เยอะที่สุด ทุกวันนี้ ก็ยังผลิตอยู่ครับ เห็นไหมว่า โคลท์ ครองตลาดปืนเอ็ม 16 ด้วย
....ขอแถมอีกนิด  คนเล่นปืน ส่วนใหญ่ ไม่มากก็น้อย คงเคยเห็นเจ้าอิทธิฤทธิ์ ของ ปืนเอ็ม 79 (ไอ้ลูกหัวทอง)
หรือภาษาราชการ ถ้าจำไม่ผิด เขาเรียก เครื่องยิงลูกระเบิด  ทหารคนใดในหมู่ทหารที่ถือปืนนี้ เขาให้ชื่อตำแหน่งว่า
"พลยิงเครื่องยิงลูกระเบิด"
ลักษณะของมัน เป็นลูกหัวทอง ใหญ่กว่าลูกซองเบอร์ 12 หลายเท่าตัว ยิงออกไปแล้วต้องหมุนครบกี่รอบก็ไม่รู้ จึงจะระเบิดได้ เพราะฝรั่งมันออกแบบให้เซฟคนยิง ไม่ให้ยิงใกล้ๆ เดี๊ยวจะเกิดอันตรายกับคนยิง
ลักษณะปืน เหมือนปืนลูกซองหักลำกล้องขนาดใหญ่ ที่เขาเอามายิงสำนักพิมพ์เดลินิวส์ ที่ถนนวิภาวดี เมื่อไม่นานมานี้ ก็อาจเป็นตราม้าก็ได้
ก็ไอ้เอ็ม 79 นี่แหละ ถ้าจำไม่ผิด ก็ปืนตราม้าเหมือนกัน ............................จบแล้วขอรับ อมตะของโคลท์

คุณแอลอีครับ........นายแบบในภาพนี่แหละครับ คือเผ่าพันธ์มนุษย์ที่รักชาติ รักแผ่นดิน สู้รบกับฝรั่งชนิดยอมตายถวายชีวิต เอาอาวุธฝรั่งนั่นแหละ กลับไปฆ่าฝรั่งอีกที  เหมือนคำว่า เราบ่ผิด ท่าน มล้าง ดาบนี้ คืนสนอง
เขียนใหม่ว่า เราอยู่ดีๆ ฝรั่งเข้ามาล้าง ปืนนี้ คืนสนอง ฉะนั้นแล
....นักรบเหล่านี้ รบเก่งกว่าฝรั่งเยอะเลย ชาวเอเชีย ถ้าอาวุธเท่าเทียมกันละก็ ฝรั่งสู้ไม่ได้หรอกครับ 

ครับ สมัยก่อนมีปืนได้เรื่องได้ราวใช้ เอเซียลุยฝรั่งได้ทุกที ตั้งแต่ อัลติลา มาถึง เจงกิสข่าน ฝรั่งอย่างเก่งที่สุดก็มาลุยๆ ถอยๆ แถวตะวันออกกลาง/อัฟริกาเหนือ

มาเสียท่าตอนฝรั่งพัฒนาบ้องโลหะใส่ดินปืน ยิงลูกกลมๆ ได้เป็นเรื่องเป็นราวนี่แหละครับ แถมฝรั่งเอาไปใส่เรือหลายๆ บ้องแล้วชอบแล่นไปไกลๆ หลายๆ ลำด้วย

tao bangkhaen
Sr. Member

Re: ทำไมปืน COLT ถึงอมตะคะ
« ตอบ #134 เมื่อ: วันนี้ เวลา 10:20:57 AM »   

สุดท้ายแล้ว .........
ในแง่ของการทหาร .....ใครที่ไม่เคยสัมผัสปืนเอ็ม 16  อย่างพินิจพิเคราะห์ หรือเพียงแค่ดูภาพยนต์ แล้วเห็นปืนอะไรก็ไม่รู้ เป็นปืนยาวแปลกๆ ยี่ห้อเดียว ที่หน้าตาไม่เหมือนใคร  ถ้าทหารประเทศไหนถือปืนที่มีหูหิ้ว อีตรง ด้านบนช่องคายปลอกกระสุนละก็ ถือว่า เป็นเพื่อนซี้กับพวก ลุงแซม ทั้งสิ้น .....ตอบ ก็เอ็ม 16 ไงละจ๊ะ
.....แต่ถ้าใครเลยสัมผัสใกล้ๆ และสนใจตัวอักษรหรือ โลโก้ บนปืนเอ็ม 16 เสียหน่อยละก็
มีตราม้า คาบศร หักหอก อยู่ด้วย ยิ่งรุ่นใหม่ๆ เป็นม้าคาบศร เหยียบโลกด้วยอีกต่างหาก (เหมือนโลโก้ สิงโตเหยียบโลก)  แสดงให้เห็นถึงความอหังการของโคลท์ ที่กล้าประกาศว่า ปืนของข้านี่แหละ ใช้ฆ่าแกงกันทั่วโลกเลย
ส่งไปขายที่ทวีปไหน ก็ฆ่ากันตายเกลื่อนที่นั่นแหละ

เห็นภาพเลยครับ สุดสยองครับ บ้านเราตอนนี้ภาคใต้ก็เฉียดๆเข้าไปทุกที ไดัความรู้ในสิ่งไม่เคยรู้ ขอบคุณครับครู