๏ฟฝ๏ฟฝ็บบ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝสน๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝาปืน

สนทนาภาษาปืน => สนทนาภาษาปืน => ข้อความที่เริ่มโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 02, 2016, 10:03:02 PM



หัวข้อ: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 02, 2016, 10:03:02 PM
มีพรรคพวกส่งภาพเกราะกันกระสุนรุ่นใหม่ของทหารอเมริกันมาให้ดู  บอกว่ามีการพัฒนา เพิ่มแผ่นเกราะสำหรับป้องกันลำคอ หลอดลม
ผมเห็นรูป  แล้วก็เลยบอกว่าไม่ใช่ของใหม่หรอก  พวกอัศวินใช้มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 แล้ว


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 02, 2016, 10:04:17 PM
Gorget สมัยศตวรรษที่ 17


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 02, 2016, 10:10:20 PM
แต่ในยุคที่ใช้ปืน  ก็เลิกสวมเกราะ เพราะเกราะของอัศวินป้องกันกระสุนปืนไม่ได้
Gorget กลายเป็นเครื่องประดับประกอบเครื่องแบบ  อย่างเช่นในภาพ คือ จอร์จ วอชิงตัน ปธน.คนแรกของอเมริกา สวมเครื่องแบบนายทหารอังกฤษ  มี Gorget

ศตวรรษที่ 20 ทหารเยอรมัน เป็นพวกสุดท้ายที่สวม Gorget ในสงครามโลกครั้งที่ 2
ปัจจุบัน มีแต่นักเรียนนายร้อยในบางประเทศ ที่ยังมี Gorget  แต่เป็นแบบย่อส่วน ติดอินธนูบ้าง เครื่องหมายที่ปกเสื้อบ้าง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: GUNRUNNER ที่ กุมภาพันธ์ 03, 2016, 09:50:22 AM
เรียนท่านสุพินท์ - รักในหลวง ครับ

   กรุณาเล่าเรื่อง หรือ ที่มาของคำว่า Leatherneck เพื่อเป็นความรู้ให้ด้วยครับ  เพราะอ่านเจอมาหลายที่

กล่าวถึงไม่ค่อยตรงกันนักครับ

   ขอบพระคุณครับ    ::014::


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 03, 2016, 11:16:48 AM
ปัจจุบันเป็นคำแสลงที่หมายถึงทหารนาวิกโยธิน อเมริกัน (รวมทั้งอังกฤษด้วย)  สาเหตุมาจากสมัยโบราณ  นย.อเมริกัน นิยมทำหนังสวมเป็นปลอกคอ ป้องกันคมดาบ  คือไม่ได้ใส่ตอนรบอย่างเดียว แต่ใส่กับเครื่องแบบปกติ รวมทั้งเครื่องแบบเต็มยศด้วย  ดูในรูปจะเห็นว่าเป็น Collar ที่ใหญ่มาก สูงขึ้นไปถึงหู

ว่ากันว่าคนเริ่มใช้คือ พ.ท.Charles Rumsey Broom (คนในรูป) ผู้พันบรูมแกเป็นทหารในช่วงสงคราม อังกฤษ-อเมริกา ค.ศ.1812 ตรงกับรัชกาลที่ 2 ของไทย  รบกันอยู่ 3 ปี เมกันเผามอนทรีออลได้ ส่วนอังกฤษเผาวอชิงตัน ดีซี ราบ  ไม่รู้ว่าอีตอนที่ทำเนียบขาวถูกเผา  ผู้พันบรูมแกจะใส่ Leatherneck อยู่หรือเปล่า


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: GUNRUNNER ที่ กุมภาพันธ์ 03, 2016, 01:51:36 PM
ขอบพระคุณครับผม  ::014::

  เรื่องของผู้พันบรูม เพิ่งทราบนี่แหละครับ ว่าเป็นต้นกำเนิดของคำว่า "คอหนัง"


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ กุมภาพันธ์ 04, 2016, 04:16:20 PM
ผมเพิ่งได้ยิน Leatherneck นี่แหละ..ก่อนนี้ได้ยินแต่คอหนัง..คอหนัง.. ไม่รู้ว่าแปลมา
ขอบคุณครับ  


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ กุมภาพันธ์ 04, 2016, 04:39:05 PM
แล้วเด็กผู้หญิงสมัยก่อนใส่ที่ทำจาเงินนั่นเรียกว่า Gorget หรือเปล่า


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ninja 19 + รักในหลวง + ที่ กุมภาพันธ์ 04, 2016, 06:49:15 PM


........  ;D แอบมาดูพวกคอหนัง   ชุดเกาะของซามูไรก็มีส่วนป้องกันคอ ครับ ... เรียกว่า " เมนกู " ...  ;D ;D ;D ;D



หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 06, 2016, 07:55:16 PM


........  ;D แอบมาดูพวกคอหนัง   ชุดเกาะของซามูไรก็มีส่วนป้องกันคอ ครับ ... เรียกว่า " เมนกู " ...  ;D ;D ;D ;D



Menpou คือส่วนที่ปิดหน้า ตั้งแต่ส่วนใต้ตาลงมาถึงคอ
ส่วนที่ปิดหน้าจะทำด้วยแผ่นเหล็ก (บางคนใส่หนวดไว้ด้วย) ส่วนที่ปิดคอเป็นแผ่นหนัง 3-4 ชั้น ซ้อนเหลื่อมกัน  ทำปรานีตกว่า Leatherneck ของอเมริกันเยอะครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ninja 19 + รักในหลวง + ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2016, 12:45:36 AM

  ................. ;D ;D ;D ;D .......


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: montri รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 13, 2016, 12:52:41 PM
ท่านผู้การสุพินท์ครับ ผมอยากทราบเรื่องอเมริการบกับอังกฤษ รบกันเพราะอะไรครับ เพราะเป็นคนเชื้อสายเดียวกัน และอยู่ไกลกันมากด้วย


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 13, 2016, 02:30:06 PM
ท่านผู้การสุพินท์ครับ ผมอยากทราบเรื่องอเมริการบกับอังกฤษ รบกันเพราะอะไรครับ เพราะเป็นคนเชื้อสายเดียวกัน และอยู่ไกลกันมากด้วย

รบกัน 2 ครั้ง ๆ แรกเป็นสงครามประกาศอิสรภาพ ค.ศ.1776-1783  สาเหตุเพราะอังกฤษเก็บภาษี 13 อาณานิคมในสหรัฐมากเกินสมควร  และยังบังคับซื้อผลิตผลทางการเกษตรในราคาถูก เพื่อนำไปขายในยุโรปในราคาแพงมาก
สงครามครั้งที่ 2 เกิดขึ้นใน ค.ศ.1812 เกิดขึ้นเพราะอังกฤษยุยงอินเดียนแดงกับสนับสนุนอาวุธให้แข็งข้อต่อสหรัฐ  และยังใช้กองทัพเรือขัดขวางการกองเรือพาณิชย์ของสหรัฐที่จะส่งสินค้าไปขายยุโรป  สหรัฐจึงประกาศสงครามกับอังกฤษ เพราะช่วงนั้นอังกฤษเองก็กำลังทำสงครามกับฝรั่งเศสและสเปน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 13, 2016, 02:52:03 PM
ถ้าจะศึกษาให้เข้าใจจริง ๆ ควรจะต้องพิจารณาไปถึงสงครามอังกฤษ-ฝรั่งเศสในทวีปอเมริกา ค.ศ.1754 ที่พัวพันต่อเนื่องไปจนถึงสงครามเจ็ดปี ค.ศ.1756-1763 ด้วย  สองเหตุการณ์นี้เป็นชนวนสงคราม ที่เป็นต้นเหตุของสงครามครั้งต่อ ๆ มา
โดยเฉพาะสงครามเจ็ดปี  ที่วินสตัน เชอร์ชิล เขียนวิจารณ์ว่าเป็นสงครามโลกครั้งแรก  เนื่องจากรบกันในอเมริกา ยุโรป อาฟริกา ฟิลิปปินส์และอินเดีย


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: montri รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 13, 2016, 06:31:46 PM
ครับท่าน ผมจะต้องหาซื้อหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้มาอ่านสักหน่อยแล้ว เพียงอยากรู้ถึงการสร้างชาติของพวกฝรั่งน่ะครับ ว่ามันใช้เวลากี่ร้อยปี จึงได้มาถึงขั้นนี้ได้  ดูๆไปก็เหมือนกับว่าการทำสงครามเหมือนกับงานหลักของพวกยุโรป


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 13, 2016, 07:14:03 PM
ครับท่าน ผมจะต้องหาซื้อหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้มาอ่านสักหน่อยแล้ว เพียงอยากรู้ถึงการสร้างชาติของพวกฝรั่งน่ะครับ ว่ามันใช้เวลากี่ร้อยปี จึงได้มาถึงขั้นนี้ได้  ดูๆไปก็เหมือนกับว่าการทำสงครามเหมือนกับงานหลักของพวกยุโรป

เฉพาะอังกฤษรบกับฝรั่งเศส ก็เรียกว่าสงครามร้อยปี (รบกันจริง 116 ปี ค.ศ.1337-1453)  ตอนแรกอังกฤษมีดินแดนอยู่ในยุโรปมากเหมือนกัน  พอจบสงครามที่อังกฤษแพ้ ก็เสียไปเกือบหมด เหลืออยู่หน่อยเดียว  มีผลทำให้อังกฤษกลายเป็นประเทศเกาะ ซึ่งทำให้เกิดอารยธรรมเฉพาะตัวหลายอย่างที่แตกต่างจากประเทศในยุโรปอื่น
ตอนท้ายของสงครามร้อยปี ซึ่งตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ของไทยเรา  ฝรั่งเศสเริ่มนำปืนมาใช้ แล้วก็ยังมีโจนส์ ออฟอาร์ค เข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย

สงครามล่าเมืองขึ้นของฝรั่งจะแตกต่างกับแถบสุวรรณภูมิ   พวกฝรั่งจะหาเมืองขึ้นเพื่อเป็นตลาดกับแหล่งทรัพยากรราคาถูก   แต่ในเซาท์อีสต์เอเชีย จะมีลักษณะการเกี่ยวดองเป็นเครือญาติ  รบกันเหมือนพี่น้องทะเลาะกัน  ฝ่ายชนะก็จะเอาเปรียบ เรียกทรัพย์สิน เกณฑ์ผู้คนกวาดต้อนไปใช้งาน  กับเกี่ยงให้ฝ่ายแพ้จะต้องเป็นฝ่ายส่งเครื่องบรรณาการให้ก่อน (ตามปกติก็ส่งกันไป ส่งกันมาอยู่แล้ว) แต่ไม่ได้ยึดดินแดน หรือส่งคนเข้ามาปกครอง  ยกเว้นเป็นชัยภูมิสำคัญ เช่นบุเรงนองให้ลูกมาปกครองเชียงใหม่  หรือพระนารายณ์จ้างอังกฤษไปปกครองมะริด


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: montri รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 13, 2016, 07:28:24 PM
ท่านครับ ไทยเรารบกับพม่าบ่อยที่สุด เคยแพ้ พม่า  ประวัติศาสตร์ของพม่าเขาเขียนไว้อย่างไรบ้างครับ อย่างเรื่องของพระนเรศวร พม่าเขาบันทึกไว้แบบไหนครับ มีที่เขียนตรงกันไหมครับ (ผมกำลังจะถามเรื่องการรบกันระหว่างประเทศข้างเคียงเราในสมัยก่อนๆ พอดีท่านตอบมาก่อน โชคดีของผมเลย)


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 13, 2016, 10:53:05 PM
ท่านครับ ไทยเรารบกับพม่าบ่อยที่สุด เคยแพ้ พม่า  ประวัติศาสตร์ของพม่าเขาเขียนไว้อย่างไรบ้างครับ อย่างเรื่องของพระนเรศวร พม่าเขาบันทึกไว้แบบไหนครับ มีที่เขียนตรงกันไหมครับ (ผมกำลังจะถามเรื่องการรบกันระหว่างประเทศข้างเคียงเราในสมัยก่อนๆ พอดีท่านตอบมาก่อน โชคดีของผมเลย)

มีรายละเอียดมากทีเดียว  และบางส่วนก็ไม่ค่อยตรงกับของไทย
อังกฤษเคยส่งเอกสารเช่นบันทึกข้อความที่สอบสวนเชลยชาวไทยมาให้เรา ในสมัย ร.3 - ร.4  แต่ไม่แพร่หลาย  เพราะข้อความขัดแย้งกับตำราของไทย   เช่นตำราของไทยจะกล่าวถึงพระเจ้าเอกทัศน์ในแง่ร้าย  แม้แต่ตอนเสียกรุงก็ยังบอกว่าท่านหลบหนีไปอดพระกระยาหารจนสิ้นพระชนม์  แต่ฝ่ายพม่าให้เกียรติว่าพระองค์ท่านสู้จนตัวตาย
ที่ต่างกันอีกอย่างก็คือ พม่าไม่จัดกิจกรรมให้คนพม่าเห็นคนไทยเป็นศัตรู

บางเรื่อง ก็เหมือนกับกระทรวงศึกษา ไม่อยากให้คนไทยรู้
เช่นตำนานลาวเรื่องขุนบรม  บอกว่ามีลูกชาย 9 คน ส่งไปครองเมืองต่าง ๆ 7 คน  โดยให้ขุนงั่วไปครองกรุงศรีอยุธยา
ไทยเรามีเจ้าเมืองสุพรรณชื่อขุนหลวงพะงั่ว (เป็นพี่เขยพระเจ้าอู่ทอง)  ต่อมาได้ครองกรุงศรีอยุธยาเป็นรัชกาลที่ 3 ของกรุงศรีอยุธยา เฉลิมพระนามว่าสมเด็จพระบรมราชาธิราช ที่ 1  (เดิมมีแต่พระนาม มาเพิ่ม "ที่ 1" ในสมัย ร.4 )

แปลกไหมครับ ขุนงั่ว กับขุนหลวงพะงั่ว  ครองราชแล้วก็ยังเฉลิมพระนามว่าสมเด็จพระบรมราชาธิราช  มีความสัมพันธ์อย่างไรกับ "ขุนบรม" ของลาวหรือเปล่า  นอกจากนั้นในราชวงศ์สุพรรณภูมิที่สืบสายไปจากท่านอีก 3 พระองค์ก็ยังเฉลิมพระนามว่าสมเด็จพระบรมราชาธิราช ที่ 2 (เจ้าสามพระยา),  สมเด็จพระบรมราชาธิราช ที่ 3 และ สมเด็จพระบรมราชาธิราช ที่ 4


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ กุมภาพันธ์ 14, 2016, 09:57:45 AM
มีใครรู้บ้างว่า หงสาวดี ในอดีตเดี๋ยวนี้อยู่ตรงไหน
ผมมีงานที่เมืองหงสา แต่อยู่ที่ลาวพอบอกว่าจะไปหงสาทุกคนคิดว่าผมไปพม่า


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 14, 2016, 02:29:00 PM
ทางใต้ครับ ปัจจุบันชื่อพะโคภาษาอังกฤษน่าจะเป็นจังหวัด Pago แต่อยู่ในเขตหงสาวดี


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ กุมภาพันธ์ 14, 2016, 03:49:37 PM
จริงๆแล้วเมื่อก่อนเรารบกับหงสาวดี อยุธยา V.S. หงสาวดี(มอญ) ต่อมาก็ อยุธยา V.S. อังวะ(พม่า) ผมเข้าใจถูกไหม อันที่จริงยังมี อยุธยา V.S. เชียงใหม่ด้วย และ อื่นๆเช่นเวียงจันทน์

ไปค้นดู เมือง Bago เห็นมีแต่วัด


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ro@d - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 14, 2016, 04:47:14 PM
มีใครรู้บ้างว่า หงสาวดี ในอดีตเดี๋ยวนี้อยู่ตรงไหน
ผมมีงานที่เมืองหงสา แต่อยู่ที่ลาวพอบอกว่าจะไปหงสาทุกคนคิดว่าผมไปพม่า

ผมเคย ชวนเพื่อน ขับ Off Ro@d ไปกัน ๓ คัน ๔ คน ไปเมืองน่าน เพื่อดู ดอกชมพู ภูคา

มีเวลาเหลืิอจากนั้น ก็ตรงไป ทีี่ด่านห้วยโกร๋น-น้ำเงิน โดยแวะพัก ปักเต็นท์ ข้างทาง ๑ คืน
ใช้ Border Pass ผ่านด่าน ตอนเที่ยงวันติดพักกลางวันพอดี

เจตนาเพื่อไป ให้ถึงแม่น้ำโขง ที่เมืองปากแบง จากชายแดน ไปตามถนนลูกรัง ที่กำลังบดอัด
ที่เลาะไปตามภูเขา กำลังก่อสร้าง จากบริษัท ของไทย

และ ผ่านเมือง หงสา แวะหาซื้อของกินของที่ตลาดแลง ได้ Wine จากจีน  ๑๒๐.- บาท ระหว่างถามทางไป
เมืองปากแบง ก็พบ ตร.ลาว ๒ นาย จะต่อเรือไป หลวงพระบาง จึงขอขึ้นกะบะหลังรถผม และบอกทางไปด้วย
ตร.หนุ่ม ๒ นาย ใส่เสื้อคลุม พอโดนลม ก็เห็น พก Tokarev ที่พุง

กินก๊วยเที่ยงที่ ริมโขง ขนาดหิวหนัก แต่ก็เหมือนเลียกระดาน  ::005::  โต๋เต๋ ออกจาก ริมโขง ๑๖.๓๐ น.
โดยลืมไปว่า สปป.ลาว เร็วกว่า บ้านเรา ๑ ชม. ระหว่างทางยังมาติด ช้างตกมัน ขวางทางอีก

มาถึงด่านก็มืดแล้ว ด่านปิดไปแล้ว เพื่อนต้องไปยกไม้กั้นด่าน และแหกด่านมาเลย มาพบ ตชด. ฝั่งไทย ที่ยิ้มรับให้

สภาพเมืองหงสา เมืองที่ผ่านทาง เหมือน ตำบลหนึ่ง ในชนบทไทย  แต่ คนทีนั่งเรือ มาจากหลวงพระบาง จะเข้าไทยทางด่าน นานาชาติห้วยโกร๋น ต้อง ผ่านเมืองหงสา.         


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ro@d - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 14, 2016, 04:54:38 PM
หงสาวดี ที่เป็นของมอญ กษัตริย์มอญองค์สุดท้าย ชื่อ สอพินยา แตก แก่พม่า ตะเบงชะเวตี้ แบบสูญชาติ
และกลายมาเป็นเมืองหลวง ของพม่า ครั้งนั้น พลเมือง มีราว ๒๐๐,๐๐๐ คน เป็นเมืองที่รุ่งเรืองมาก

สอพินยา ที่ยอมแพ้  ถูกถ่วงน้ำ ส่วนเชื้อพระวงค์ ถูกแขวนเท้าเอาศีรษะ ลง และสิ้นชีวิต ราว ๓๐ นาที   
ตะเบงชะเวตี้ จอมโหด อาจได้ฉายา มาจากเหตุนี้.. ผมอ่านพบจาก หนังสือ ศิลปวัฒนธรรม ฉบับ ปี ๒๕๓๗


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ กุมภาพันธ์ 14, 2016, 05:16:01 PM
มีใครรู้บ้างว่า หงสาวดี ในอดีตเดี๋ยวนี้อยู่ตรงไหน
ผมมีงานที่เมืองหงสา แต่อยู่ที่ลาวพอบอกว่าจะไปหงสาทุกคนคิดว่าผมไปพม่า

ผมเคย ชวนเพื่อน ขับ Off Ro@d ไปกัน ๓ คัน ๔ คน ไปเมืองน่าน เพื่อดู ดอกชมพู ภูคา

มีเวลาเหลืิอจากนั้น ก็ตรงไป ทีี่ด่านห้วยโกร๋น-น้ำเงิน โดยแวะพัก ปักเต็นท์ ข้างทาง ๑ คืน
ใช้ Border Pass ผ่านด่าน ตอนเที่ยงวันติดพักกลางวันพอดี

เจตนาเพื่อไป ให้ถึงแม่น้ำโขง ที่เมืองปากแบง จากชายแดน ไปตามถนนลูกรัง ที่กำลังบดอัด
ที่เลาะไปตามภูเขา กำลังก่อสร้าง จากบริษัท ของไทย

และ ผ่านเมือง หงสา แวะหาซื้อของกินของที่ตลาดแลง ได้ Wine จากจีน  ๑๒๐.- บาท ระหว่างถามทางไป
เมืองปากแบง ก็พบ ตร.ลาว ๒ นาย จะต่อเรือไป หลวงพระบาง จึงขอขึ้นกะบะหลังรถผม และบอกทางไปด้วย
ตร.หนุ่ม ๒ นาย ใส่เสื้อคลุม พอโดนลม ก็เห็น พก Tokarev ที่พุง

กินก๊วยเที่ยงที่ ริมโขง ขนาดหิวหนัก แต่ก็เหมือนเลียกระดาน  ::005::  โต๋เต๋ ออกจาก ริมโขง ๑๖.๓๐ น.
โดยลืมไปว่า สปป.ลาว เร็วกว่า บ้านเรา ๑ ชม. ระหว่างทางยังมาติด ช้างตกมัน ขวางทางอีก

มาถึงด่านก็มืดแล้ว ด่านปิดไปแล้ว เพื่อนต้องไปยกไม้กั้นด่าน และแหกด่านมาเลย มาพบ ตชด. ฝั่งไทย ที่ยิ้มรับให้

สภาพเมืองหงสา เมืองที่ผ่านทาง เหมือน ตำบลหนึ่ง ในชนบทไทย  แต่ คนทีนั่งเรือ มาจากหลวงพระบาง จะเข้าไทยทางด่าน นานาชาติห้วยโกร๋น ต้อง ผ่านเมืองหงสา.         

ตอนนี้ทางดีแล้วแต่ยังไม่เปิดให้ท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ เวลาผมไปจะนั่งรถของโครงการ(Hongsa Power)เข้าไป ที่ด่านลาวจะเช็คชื่อว่าอยู่ในรายการที่ทางโครงการแจ้งไว้หรือไม่ เข้าวันไหนออกวันไหน ตั้งแต่มีโรงไฟฟ้าเศรษกิจดีขึ้นหน่อย ที่ว่าดีขึ้นหน่อยเพราะผู้รับเหมาจีนเอาคนงานมาเป็นกองทัพแทนที่จะจ้างคนท้องถิ่น (ควรจะจ้างหมื่นคนเลยนะ)
ตอนนี้ก็รอให้อากาศอุ่นขึ้นหน่อยแล้วจะเข้าไปกลางคืนหนาวมากคราวที่แล้วเดือน พ.ย. กลางคืน 10 องศารีสอร์ทที่พักกำแพงห้องมันบางจัง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: วีระศักดิ์ รักในหลวงครับ ที่ กุมภาพันธ์ 15, 2016, 06:41:24 AM
 ::014::จากเมืองหงสามาบ้านเรานี่กี่กิโลได้ครับ. สมัยก่อนพอเข้าหน้าหนาวพี่ๆข้างบ้านเขาถึงได้มีมานะเดินมาบ้านเราเหลือเกิน
เดินกันมาทีนึงเป็นแสนคน เซเว่นก็ไม่มีไม่รู้เขาหากินหาอยู่กันยังไงกว่าจะมาถึงบ้านเราครับ ::014::


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 15, 2016, 07:44:53 PM
จริงๆแล้วเมื่อก่อนเรารบกับหงสาวดี อยุธยา V.S. หงสาวดี(มอญ) ต่อมาก็ อยุธยา V.S. อังวะ(พม่า) ผมเข้าใจถูกไหม อันที่จริงยังมี อยุธยา V.S. เชียงใหม่ด้วย และ อื่นๆเช่นเวียงจันทน์

ไปค้นดู เมือง Bago เห็นมีแต่วัด


ใช่ครับ  เรียกว่า "ไทยรบพม่า" ไม่น่าจะถูกต้อง
คำว่าพม่าเกิดในสมัยรัชกาล ที่ 2  ส่วนคำว่าไทยเกิดขึ้น พ.ศ.2483

การเสียกรุงครั้งที่ 1 คือสงครามระหว่างพระเจ้ากรุงศรีอยุธยากับพระเจ้ากรุงหงสาวดี
และการเสียกรุงครั้งที่ 2  คือสงครามระหว่างพระเจ้ากรุงศรีอยุธยากับราชวงศ์คองบอง คือจะเรียกว่าพระเจ้าอังวะ ก็ไม่ถูกนัก  เพราะครองหลายเมือง  ศึกนี้ฟาดกันตั้งแต่พระเจ้าอลองพญา พระเจ้ามังลอก  พระเจ้ามังระ จนถึงพระเจ้าปดุง  เปลี่ยนรัชกาลที ก็ย้ายเมืองหลวงที

ศึกนี้จบลงตอนที่ รัชกาลที่ 2 ส่งกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (ต่อมาคือรัชกาลที่ 3)  ไปตั้งทัพรับพม่าที่เมืองกาญ อยู่เป็นปี   แต่พม่าไม่มา เพราะเสียเมืองให้อังกฤษไปแล้ว


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: montri รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 15, 2016, 08:01:12 PM
ช่วงที่ฝรั่งล่าเมืองขึ้น พระเจ้าอยู่หัวท่านคงทรงเหนื่อยน่าดู เพราะรอบๆข้างโดนฝรั่งยึดหมด ถ้าทรงไม่มีพระปรีชาแล้วล่ะก็เป็นเมืองขึ้นฝรั่งไปแน่นอน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 15, 2016, 09:52:55 PM
ช่วงที่ฝรั่งล่าเมืองขึ้น พระเจ้าอยู่หัวท่านคงทรงเหนื่อยน่าดู เพราะรอบๆข้างโดนฝรั่งยึดหมด ถ้าทรงไม่มีพระปรีชาแล้วล่ะก็เป็นเมืองขึ้นฝรั่งไปแน่นอน

โชคดีด้วยครับ ที่อยู่ระหว่างกลางระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส
คืออังกฤษโดย บ.British East India Co. เริ่มรุกคืบเข้าไปในอินเดียตั้งแต่ พ.ศ.2143 สมัยพระนเรศวร  ต่อมาใน พ.ศ.2297 อังกฤษก็เริ่มรบกับฝรั่งเศสในอเมริกา  สองปีต่อมาก็ลามไปทั่วโลกรวมทั้งในอินเดีย  พออังกฤษชนะ ก็ขยายอำนาจในอินเดีย  แต่พอดีอเมริกาประกาศอิรภาพใน พ.ศ.2319 อังกฤษรบกับอเมริกาที่มีฝรั่งเศสช่วยสนับสนุนอยู่หลายปี  หลังจากแพ้อเมริกา  นโปเลียนก็ขึ้นครองราช  อังกฤษต้องรบในยุโรปอีกสิบปี เสร็จศึกยุโรปถึงได้รุกรานพม่าในสมัยรัชกาลที่ 2   ส่วนฝรั่งเศสก็เริ่มรุกรานเข้ามาทางอ่าวตังเกี๋ยในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน
ไทยจึงอยู่ในสภาพรัฐกันชนระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส  มีเรื่องนี้มาเป็นตัวช่วย   บวกกับ ร.5 ท่านแสวงหามิตรในยุโรปเพิ่มขึ้น ที่มีบทบาทมากคือรัสเซียกับเดนมาร์ก  โดยเฉพาะในเหตุการณ์ ร.ศ.112  มีพลเรือนชาวเดนมาร์กมาช่วยไทยยิงต่อสู้กับฝรั่งเศส ที่ปากน้ำ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ กุมภาพันธ์ 15, 2016, 10:09:08 PM
สมัย รศ.112 ยังแปลกใจที่ไม่เอาทหารบกมาตั้งปืนใหญ่ริมเจ้าพระยารุมกินโต๊ะ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: พญาจงอาง +รักในหลวง+ ที่ กุมภาพันธ์ 15, 2016, 11:03:43 PM
เข้ามาอ่านเอาความรู้ครับ//+ทุกๆท่านในกระทู้นี้ ;D


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 15, 2016, 11:25:54 PM
สมัย รศ.112 ยังแปลกใจที่ไม่เอาทหารบกมาตั้งปืนใหญ่ริมเจ้าพระยารุมกินโต๊ะ

ตอนนั้นยังไม่มี Standing Army ครับ
ร.ศ.112  ยังใช้ระบบจตุสดมภ์   การจัดกำลังต้องเกณฑ์ไพร่สมจากเจ้านายสังกัดต่าง ๆ มาตั้งกองทัพ  สองครั้งสุดท้ายที่ทำแบบนี้คือสงครามปราบฮ่อใน พ.ศ.2418 และ 2428
การตั้งกองทัพแบบในปัจจุบัน  หมายถึงต้องลิดรอนกำลังในสังกัดของเจ้านายต่าง ๆ เข้ามาเป็นทหารประจำการ

วันที่ ร.5 ขึ้นครองราช  ท่านไม่มีทั้งเงิน และไม่มีทหารในมือ  ขุนนางหลายคนไม่กล้ามาเข้าเฝ้าด้วยซ้ำ  กองกำลังที่เข้มแข็งที่สุดในตอนนั้น คือทหารวังหน้า (โอรสของสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ)  มีอาวุธสมัยใหม่ และรับการฝึกโดย ร.อ.น็อกส์  ซึ่งต่อมาเป็นกงสุลอังกฤษประจำประเทศไทย

ร.5 สร้างกองทัพด้วยวิธีหาเงินก่อน ในยุคนั้นเจ้านายต่าง ๆ จะเก็บภาษีแล้วนำไปใช้ในกิจการตัวเองเสียก่อน เหลือเท่าไหร่ถึงจะส่งวังหลวง  ร.5 ได้ปรับระบบการงบประมาณให้เป็นแบบสากล คล้ายกับที่ใช้ในปัจจุบันนี้   ทำให้สามารถรวบรวมเงินมาซื้ออาวุธสมัยใหม่ได้
ส่วนการหาคนมาเป็นทหารประจำการ  ก็ใช้วิธีเลิกทาส กับออกกฎหมายเกณฑ์ทหาร  และปรับวิธีการเก็บค่ารัชชูปการจากไพร่ส่วย  หากเจ้านายคนไหนยังต้องการมีไพร่ในสังกัดตามศักดินาของตนเอง  ก็ต้องจ่ายเงินแทนไพร่ในสังกัด  ซึ่งต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะเป็นการลิดรอนทั้งอำนาจ และผลประโยชน์จากเจ้านายชั้นสูง
ผมเชื่อว่าหากไม่เกิดเหตุการณ์ ร.ศ.112 ก็อาจจะตั้งกองทัพได้ยากกว่าที่ผ่านมา


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: tao bangkhaen ที่ กุมภาพันธ์ 16, 2016, 01:42:34 PM
ท่านผู้การสุพินท์ครับ ผมอยากทราบเรื่องอเมริการบกับอังกฤษ รบกันเพราะอะไรครับ เพราะเป็นคนเชื้อสายเดียวกัน และอยู่ไกลกันมากด้วย
เป็นที่มาของการดื่มกาแฟด้วยนะ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: tao bangkhaen ที่ กุมภาพันธ์ 16, 2016, 01:47:43 PM
และต้องขอบคุณอังกฤษด้วย...เพราะหลังสงครามเก้าทัพแล้ว...ฝ่ายพม่า ไม่มีเวลามากวนใจสยาม  เพราะต้องพยายามเอาตัวรอดจากอังกฤษ สยาม ก็เลยเบาลงหน่อย และรัชกาลที่3 ท่านรับสั่งไว้แล้วล่วงหน้าว่า ศึกข้างญวน ข้างพม่า เห็นถ้าจะเบาลง แต่ให้ระวังฝรั่งเอาไว้ อย่าให้เสียทีเขาได้


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: tao bangkhaen ที่ กุมภาพันธ์ 16, 2016, 02:00:07 PM
แล้วก็เสียทีจริงๆ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ กุมภาพันธ์ 23, 2016, 12:31:34 AM
    สอบถามเรื่องปืนเสือหมอบที่ป้อมพระจุล เคยไปเดินดูกับลูกชาย สงสัยว่าได้ยิงโดนเรือรบฝรั่งเศษบ้างรึเปล่าครับ แล้วมีบันทึกว่ายิงไปมากน้อยเท่าไรครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 23, 2016, 10:18:29 AM
   สอบถามเรื่องปืนเสือหมอบที่ป้อมพระจุล เคยไปเดินดูกับลูกชาย สงสัยว่าได้ยิงโดนเรือรบฝรั่งเศษบ้างรึเปล่าครับ แล้วมีบันทึกว่ายิงไปมากน้อยเท่าไรครับ

เกิดไม่ทันเหมือนกันครับ
แต่ทราบว่าความเสียหายส่วนใหญ่เกิดจากยุทธวิธี กับเรือของฝ่ายไทย  มากกว่าปืนป้อม
ที่เราพอจะบอกว่าเป็นความสำเร็จ  น่าจะเป็นเรื่องวันรุ่งขึ้นที่เรือรบ Forfait ของฝรั่งเศสพยายามมาชิงเรือนำร่อง Jean Baptiste Say  ที่ถูกยิงเสียหาย เกยตื้นอยู่   แต่ฝ่ายไทยสามารถต่อสู้ป้องกัน ขับไล่เรือรบฝรั่งเศสกลับไปได้

เหตุการณ์ ร.ศ.112  ไทยเสียเปรียบอย่างมากทั้งเรื่องกำลังพล และอาวุธ   โดยเฉพาะอาวุธขนาดเล็กที่ไทยเรายังใช้ปืนลำกล้องใหญ่ บรรจุทีละนัด และเป็นกระสุนในยุคดินดำ  ในขณะที่ฝรั่งเศสใช้ปืน Lebel Model 1886 ขนาด 8 มม.ซึ่งเป็นกระสุนดินควันน้อยแบบแรกของโลก  และยังเป็นปืนที่มีซองกระสุน ยิงไกลกว่า ยิงซ้ำได้เร็วกว่า

ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะมันเปลี่ยนยุทธวิธีของทหารทั้งโลก   จากเดิมที่ทหารปืนใหญ่อยู่หลังแนวทหารราบ 200-300 เมตร  ต้องถอยห่างออกไปอีกมาก  เพราะปืนเล็กยาวลำกล้องเล็ก กระสุนดินควันน้อย ระยะยิง 800-1,200 เมตร สามารถคุกคามทหารปืนใหญ่ข้าศึกได้


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ กุมภาพันธ์ 23, 2016, 11:37:49 AM
ยังงงกับวิธีใช้ปืน Armstrong ทำไมต้องเสียเวลายกขึ้นลงเพื่อบรรจุแล้วยิง เอาไปยิงเป้าวิ่งอย่างนั้น
และยังมีการวางโซ่พร้อมทุ่นระเบิดแต่ช่วงนั้นน้ำขึ้นเรือลอยตัวสูงกว่าข้ามไปได้ ส่วนเรือกลไฟอีกลำยิงปืนไปได้ไม่กี่นัดหมุดฐานปืนหลุด เรามีปัญหาเรื่องยุทธวิธีอย่างมาก จนมาถึงเกาะช้างนี่หนักเลย
หมู่เรือคอยเหตุดับเครื่องจอดไม่มีผลัดออกไปลาดตระเวณ เรือดำน้ำสี่ลำจอดอยู่กรุงเทพเอาไปสักลำฝรั่งเศสคงไม่ได้กลับบ้านแน่


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ กุมภาพันธ์ 23, 2016, 12:31:37 PM
    ขอบคุณครับผู้การ เคยดูในสารคดีเกี่ยวกับเกราะหน้าอกของทหารอังกฤษที่รบกันในเรือใบสมัยก่อน ลองนำมายิงด้วยปืน.45 ได้แค่บุบๆ. แต่ลองใช้ปืนยาวคาบศิลายิงได้ทะลุเลย  เป็นสารคดีเกี่ยวกับการสังหารนายพลเนลสันครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 23, 2016, 05:32:46 PM
    ขอบคุณครับผู้การ เคยดูในสารคดีเกี่ยวกับเกราะหน้าอกของทหารอังกฤษที่รบกันในเรือใบสมัยก่อน ลองนำมายิงด้วยปืน.45 ได้แค่บุบๆ. แต่ลองใช้ปืนยาวคาบศิลายิงได้ทะลุเลย  เป็นสารคดีเกี่ยวกับการสังหารนายพลเนลสันครับ

เนลสันพลาดเอง
เรือเกี่ยวติดกันอยู่ ตัวเองยังใส่เครื่องแบบครื่องยศเต็มที่ แถมยังแขนด้วนข้างนึง ใคร ๆ ก็จำได้
นอกจากนั้น เนลสันยังห้ามวางพลแม่นปืนบนเสากระโดงเรือ เพราะกลัวไฟไหม้ใบเรือ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ กุมภาพันธ์ 23, 2016, 05:55:54 PM
      ยิงแม่นมากเรือโครงเครงทั้งสองฝ่าย ขึ้นไปนั่งเฉยๆยังแย่


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Desperado ที่ กุมภาพันธ์ 23, 2016, 07:07:28 PM
เข้ามาต่อกันไวไวเถิดขอรับ น้องๆได้เปิดหูเปิดตา รอสดับ รับฟัง มาทั้งวัน ขอบคุณทุกท่านครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 23, 2016, 09:06:02 PM
ยังงงกับวิธีใช้ปืน Armstrong ทำไมต้องเสียเวลายกขึ้นลงเพื่อบรรจุแล้วยิง เอาไปยิงเป้าวิ่งอย่างนั้น
และยังมีการวางโซ่พร้อมทุ่นระเบิดแต่ช่วงนั้นน้ำขึ้นเรือลอยตัวสูงกว่าข้ามไปได้ ส่วนเรือกลไฟอีกลำยิงปืนไปได้ไม่กี่นัดหมุดฐานปืนหลุด เรามีปัญหาเรื่องยุทธวิธีอย่างมาก จนมาถึงเกาะช้างนี่หนักเลย
หมู่เรือคอยเหตุดับเครื่องจอดไม่มีผลัดออกไปลาดตระเวณ เรือดำน้ำสี่ลำจอดอยู่กรุงเทพเอาไปสักลำฝรั่งเศสคงไม่ได้กลับบ้านแน่

เราต้องมองประวัติศาสตร์แบบเห็นภาพในอดีตแบบตรงไปตรงมา   เราไม่มีสิทธิที่จะวิจารณ์การตัดสินใจของบรรพชนด้วยวิสัยทัศน์ของคนในยุคปัจจุบัน
ร.5 ครองราช พ.ศ.2411 ขณะนั้นทรงมีพระชนมายุ 15 พรรษา  ยังไม่มีอำนาจที่จะปกครองประเทศชาติเต็มตัว  ต้องรอจนมีพระชนมายุ 20 พรรษา  แล้วจึงผนวช จากนั้นจึงทรงลาสิกขาแล้ว ได้มีการจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ 2 ใน พ.ศ.2416  จึงได้เริ่มปฏิรูปการปกครองทันที

ปัญหาแรกคือวิกฤตการณ์วังหน้า ใน พ.ศ.2417  ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายมาก  เพราะตอนนั้นวังหลวงกำลังขยายกำลังจากมหาดเล็กสองโหล 24 คนขึ้นเป็น 72 คน  แต่วังหน้ามีทหารถึงสองพันคน อาวุธทันสมัย ที่ได้รับการฝึกโดย ร.อ.น๊อกส์ ตั้งแต่สมัยพระปิ่นเกล้า (พระบิดา)  และใน พ.ศ.2417 ร.อ.น๊อกส์ ยังได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนักอังกฤษ ให้เป็นกงสุลอังกฤษประจำกรุงเทพฯ
แก้ปัญหาวิกฤตการณ์วังหน้า ยังไม่ทันเรียบร้อย  จีนก็ปราบกบฎไท้ผิง  แตกหนีลงมาทางหลวงพระบาง ปล้นลาวกับภาคเหนือของไทย   ร.5 ต้องจัดกองทัพขึ้นไปปราบ  ต่อเนื่องยาวนานถึงสิบปี   ซึ่งช่วงนั้นฝรั่งเศสได้ตั้งสหภาพอินโดจีน มีฐานกำลังอยู่ที่ตังเกี๋ย อันนัม และโคชินไชนา

ส่วนอังกฤษ พอชนะสงคราม 7 ปี เริ่มขยายอำนาจเข้ามาปกครองอินเดียตั้งแต่ พ.ศ.2300 โดยบริษัทอีสต์อินเดีย  เริ่มยึดพม่า พ.ศ.2369 และรัฐบาลอังกฤษเริ่มปกครองอินเดียโดยตรงใน พ.ศ.2401

ส่วนฝ่ายไทย เริ่มตั้งหลักจริง ๆ ในสมัย ร.4 (พ.ศ.2394-2411)
ย้อนภาพดูนะครับ
ร.1 กับ ร.2 ยังปกครองแบบกรุงศรีอยุธยา  ส่วนการปกครองในสมัย ร.3 ก็ยังออกไปทางจารีตนิยม  มาเปลี่ยนจริง ๆ ในสมัย ร.4 ที่เริ่มมีที่ปรึกษาฝรั่ง  มีครูสอนภาษาอังกฤษ  และสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ พระเจ้าแผ่นดินองค์ที่สอง เริ่มฝึกทหารแบบตะวันตก


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ กุมภาพันธ์ 24, 2016, 08:42:12 AM
เรื่องบางเรื่องในวิชาประวัติศาสตร์ไม่มีการสอนแบบลึกๆเลย


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 24, 2016, 11:17:48 AM
เรื่องบางเรื่องในวิชาประวัติศาสตร์ไม่มีการสอนแบบลึกๆเลย

เป็นเรื่องอันตรายครับ
ประวัติศาสตร์ไทยเกือบทั้งหมด เป็นเรื่องพงศาวดาร ซึ่งเป็นคำรวมที่มาจาก พงศ กับ อวตาร  ดังนั้นจึงเป็นบันทึกเหตุการณ์ของพระมหากษัตริย์ ไม่มีภาคประชาสังคม หรือการค้า  และยังได้รับการตรวจชำระโดยพระมหากษัตริย์ รัชกาลถัด ๆ มา  ตัวอย่างเช่นพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแก้ไขและพระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้เป็นช่วง ๆ   ดังนั้นการวิจารณ์ หรือนำไปเปรียบเทียบกับเอกสารที่ชาวต่างประเทศบันทึกไว้  ถ้ากระทำนอกรั้วสถาบันการศึกษา ก็เป็นเรื่องที่เสี่ยงต่อมาตรา 112

นอกจากนั้น เราต้องเข้าใจเหตุการณ์ในสมัยนั้นด้วยว่าเป็นช่วงที่เราต้องเผชิญกับลัทธิล่าเมืองขึ้นจากประเทศตะวันตก  การเผยแพร่เอกสารทางประวัติศาสตร์ในช่วงนั้น จึงต้องแฝงไว้ด้วยมาตรการป้องกันการเสียดินแดน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ กุมภาพันธ์ 24, 2016, 01:20:58 PM
อ้อ เกรงว่าจะเอาหลักฐานทางประวัติศาสตร์มาอ้างการครอบครอง
เหมือนบางประเทศนะปัจจุบันนี้เลย  ::011::


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: tao bangkhaen ที่ กุมภาพันธ์ 24, 2016, 01:23:08 PM
เรื่องบางเรื่องในวิชาประวัติศาสตร์ไม่มีการสอนแบบลึกๆเลย
หลายครั้งที่ผมตั้งข้อสังเกต นอกเหนือจากที่โรงเรียนสอน มักถูก ยำ เสมอ ว่า ไม่เคารพเรื่องที่โรงเรียนสอนมา เพราะเราเกิดไม่ทันเห็นเรื่องจริงๆว่า มันเป็นอย่างไร เราเกิดมาทีหลังแล้ว  แล้วมาอ่านเรื่องที่เขาเขียนไว้
อย่าว่าแต่เรื่องนานๆ เก่าๆ เลยครับ ขนาดเรื่องเกิดขึ้นใหม่ ๆ มาไม่นาน บางประเด็น ก็ยังเถียงกันไม่จบเลยว่า เรื่องจริง มันเป็นอย่างไร


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: tao bangkhaen ที่ กุมภาพันธ์ 24, 2016, 01:32:07 PM
บางครั้ง บางเรื่อง  ประวัติศาสตร์ เรื่องเดียวกัน เขียนมา ก็ ล้อๆ กันมา เหมือนๆ  ครือๆ กันมาตลอด  ไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไหร่ สองฝ่ายให้การคล้ายกัน ก็พอเชื่อได้ว่าจริง
แต่พอมาถึงตอนสำคัญสุดๆ  กลับบันทึกไว้แตกต่างกัน ฝ่ายเราก็บันทึกไว้สวยหรู  ฝ่ายเขาก็บันทึกว่าเราไว้   ไม่รู้แหละ  อย่างไรก็ดี  คงต้องมีฝ่ายหนึ่ง บันทึกไว้ บิดเบือนแน่นอน  แต่เจตนาของการบิดเบือน ผู้บันทึก ท่านต้องมีเหตุผลของท่านอยู่แล้ว และคงเป็นเหตุผลที่ดี ที่ต้องทำอย่างนั้น .........เพียงแต่ว่า   เวลา เอามาว่ากันตรงๆ แบบที่อาจารย์ว่า ถ้าใครใจไม่เปิด.....ก็หาว่า ตำหนิ บรรพบุรุษ.....ในส่วนผู้สืบค้น ไม่ได้มีเจตนาอะไร  มีเจตนาเพียง ต้องการทราบความจริง เพื่อมาตอบปัญหาในปัจจุบันไงว่า.....
เห็นในอดีต สามัคคีกันจัง  .....  ทำไมเดี๋ยวนี้ ไม่สามัคคีกันเลย .......... เพราะบางอย่างอยากจะบอกว่า ไม่เคยสามัคคีกันเลยมานานแล้ว .... ทุกวันนี้ เลยเป็นอย่างงี้ ไง....


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ninja 19 + รักในหลวง + ที่ กุมภาพันธ์ 25, 2016, 01:00:18 AM


.......  ;D  แอบมาอ่าน มันส์ดีครับ  ::002:: ::002:: ::002:: ::002::



หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 25, 2016, 04:35:38 PM
เรื่องบางเรื่องในวิชาประวัติศาสตร์ไม่มีการสอนแบบลึกๆเลย
หลายครั้งที่ผมตั้งข้อสังเกต นอกเหนือจากที่โรงเรียนสอน มักถูก ยำ เสมอ ว่า ไม่เคารพเรื่องที่โรงเรียนสอนมา เพราะเราเกิดไม่ทันเห็นเรื่องจริงๆว่า มันเป็นอย่างไร เราเกิดมาทีหลังแล้ว  แล้วมาอ่านเรื่องที่เขาเขียนไว้
อย่าว่าแต่เรื่องนานๆ เก่าๆ เลยครับ ขนาดเรื่องเกิดขึ้นใหม่ ๆ มาไม่นาน บางประเด็น ก็ยังเถียงกันไม่จบเลยว่า เรื่องจริง มันเป็นอย่างไร

ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ (คนพูดว่าทหารมีไว้ทำไม)  เคยพูดว่าคนไม่รู้ประวัติศาสตร์เหมือนตาบอด 1 ข้าง   แต่ถ้าอ่านตำราประวัติศาสตร์ของกระทรวงศึกษา (ของประเทศไหนก็จำไม่ได้เหมือนกัน) ก็เหมือนตาบอด 2 ข้าง  และถ้าเชื่อตำราประวัติศาสตร์เล่มที่ว่า ก็ตาบอดและหูหนวกด้วย


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ กุมภาพันธ์ 25, 2016, 07:49:41 PM
   สมัยที่ยังไม่มี Internet ก็อ่านนอกตำราจาก หนังสือสารคดี ศิลปวัฒนธรรม เรื่องสงครามเวียตนาม การรบในลาว อ่านจากนวนิยาย สยุมภู ทศพล กองหล้า สุรไกร เรื่องป่าก็พนมเทียน น้อย อินทนนท์ จำกัดวงอยู่เท่านี้เองครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: วีระศักดิ์ รักในหลวงครับ ที่ กุมภาพันธ์ 25, 2016, 10:03:08 PM
 ::014::ผมเคยอ่านนิยายอิงประวัติศาสตร์ ที่ลงในมติชนรายสัปดาห์น่ะครับ เป็นเรื่องในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ที่มีเจ้าพระยาวิชเยนทร์มาเกี่ยวข้องด้วยรู้สึกว่าน่าติดตามดี ไม่ทราบว่าพี่ๆท่านใดพอจะแนะนำหนังสือที่พอจะเป็นเรื่องเป็นราวที่เกี่ยวกับยุคสมัยนั้นบ้างไหมครับ  ::014::


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: tao bangkhaen ที่ กุมภาพันธ์ 26, 2016, 07:25:02 PM

เรื่องบางเรื่องในวิชาประวัติศาสตร์ไม่มีการสอนแบบลึกๆเลย
หลายครั้งที่ผมตั้งข้อสังเกต นอกเหนือจากที่โรงเรียนสอน มักถูก ยำ เสมอ ว่า ไม่เคารพเรื่องที่โรงเรียนสอนมา เพราะเราเกิดไม่ทันเห็นเรื่องจริงๆว่า มันเป็นอย่างไร เราเกิดมาทีหลังแล้ว  แล้วมาอ่านเรื่องที่เขาเขียนไว้
อย่าว่าแต่เรื่องนานๆ เก่าๆ เลยครับ ขนาดเรื่องเกิดขึ้นใหม่ ๆ มาไม่นาน บางประเด็น ก็ยังเถียงกันไม่จบเลยว่า เรื่องจริง มันเป็นอย่างไร

ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ (คนพูดว่าทหารมีไว้ทำไม)  เคยพูดว่าคนไม่รู้ประวัติศาสตร์เหมือนตาบอด 1 ข้าง   แต่ถ้าอ่านตำราประวัติศาสตร์ของกระทรวงศึกษา (ของประเทศไหนก็จำไม่ได้เหมือนกัน) ก็เหมือนตาบอด 2 ข้าง  และถ้าเชื่อตำราประวัติศาสตร์เล่มที่ว่า ก็ตาบอดและหูหนวกด้วย
อู๊ย...ถูกใจ...ทั้งบอดทั้งหนวก..เลยจริงๆ ความผิดพลาดในอดีตของผู้ใหญ่เป็นบทเรียนที่ดีของเด็กในอนาคต แต่ถ้าผู้ใหญ่ปกปิดบิดเบือนไว้..เด็กๆรุ่นถัดไปก็หลงทางเข้าป่าเข้าดงไป


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: โทน73 -รักในหลวง- ที่ กุมภาพันธ์ 27, 2016, 12:52:32 AM
เรื่องบางเรื่องในวิชาประวัติศาสตร์ไม่มีการสอนแบบลึกๆเลย

เป็นเรื่องอันตรายครับ
ประวัติศาสตร์ไทยเกือบทั้งหมด เป็นเรื่องพงศาวดาร ซึ่งเป็นคำรวมที่มาจาก พงศ กับ อวตาร  ดังนั้นจึงเป็นบันทึกเหตุการณ์ของพระมหากษัตริย์ ไม่มีภาคประชาสังคม หรือการค้า  และยังได้รับการตรวจชำระโดยพระมหากษัตริย์ รัชกาลถัด ๆ มา  ตัวอย่างเช่นพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแก้ไขและพระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้เป็นช่วง ๆ   ดังนั้นการวิจารณ์ หรือนำไปเปรียบเทียบกับเอกสารที่ชาวต่างประเทศบันทึกไว้  ถ้ากระทำนอกรั้วสถาบันการศึกษา ก็เป็นเรื่องที่เสี่ยงต่อมาตรา 112

นอกจากนั้น เราต้องเข้าใจเหตุการณ์ในสมัยนั้นด้วยว่าเป็นช่วงที่เราต้องเผชิญกับลัทธิล่าเมืองขึ้นจากประเทศตะวันตก  การเผยแพร่เอกสารทางประวัติศาสตร์ในช่วงนั้น จึงต้องแฝงไว้ด้วยมาตรการป้องกันการเสียดินแดน


เมื่อก่อนผมมองแบบพวกหัวก้าวหน้าที่ชอบออกมาประท้วงแบบแปลกๆกันทุกวันนี้
แต่เมื่อเห็นสถานะการณ์โลก ประเทศทางแอฟริกา ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ ตลอดจนถึงยุโรปตะวันออก ที่เห็นประชาชนยึดมั่นความเป็นชนเผ่า หรือนิกาย มากกว่าความเป็นคนของรัฐใดรัฐหนึ่ง  ข้ามพรมแดนไปทำสงครามกันมั่วไปหมด
จึงทราบซึ้งถึงพระปรีชาชาญ ที่ทรงเล็งเห็นผลในอนาคต ในการดำเนินนโยบายทางประวัติศาสตร์แบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ไม่เช่นนั้นเราคงเห็น ไทยเชื้อสายมอญ ไทยทวาย ไทยกระเหรี่ยง ไทยขแมร์ ไทยลาว ข้ามพรมแดนไปก่อจราจลกันมั่วไปหมด แบบอิรัค ซีเรีย
แต่นโยบายนี้เราสร้างรวมตัวในอัตลักษณ์ใหม่ ต่างจากเพื่อนบ้าน เราถึงอยู่เป็นสุขทั่วทุกวันนี้


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 27, 2016, 09:50:27 AM
เรื่องบางเรื่องในวิชาประวัติศาสตร์ไม่มีการสอนแบบลึกๆเลย

เป็นเรื่องอันตรายครับ
ประวัติศาสตร์ไทยเกือบทั้งหมด เป็นเรื่องพงศาวดาร ซึ่งเป็นคำรวมที่มาจาก พงศ กับ อวตาร  ดังนั้นจึงเป็นบันทึกเหตุการณ์ของพระมหากษัตริย์ ไม่มีภาคประชาสังคม หรือการค้า  และยังได้รับการตรวจชำระโดยพระมหากษัตริย์ รัชกาลถัด ๆ มา  ตัวอย่างเช่นพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแก้ไขและพระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้เป็นช่วง ๆ   ดังนั้นการวิจารณ์ หรือนำไปเปรียบเทียบกับเอกสารที่ชาวต่างประเทศบันทึกไว้  ถ้ากระทำนอกรั้วสถาบันการศึกษา ก็เป็นเรื่องที่เสี่ยงต่อมาตรา 112

นอกจากนั้น เราต้องเข้าใจเหตุการณ์ในสมัยนั้นด้วยว่าเป็นช่วงที่เราต้องเผชิญกับลัทธิล่าเมืองขึ้นจากประเทศตะวันตก  การเผยแพร่เอกสารทางประวัติศาสตร์ในช่วงนั้น จึงต้องแฝงไว้ด้วยมาตรการป้องกันการเสียดินแดน


เมื่อก่อนผมมองแบบพวกหัวก้าวหน้าที่ชอบออกมาประท้วงแบบแปลกๆกันทุกวันนี้
แต่เมื่อเห็นสถานะการณ์โลก ประเทศทางแอฟริกา ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ ตลอดจนถึงยุโรปตะวันออก ที่เห็นประชาชนยึดมั่นความเป็นชนเผ่า หรือนิกาย มากกว่าความเป็นคนของรัฐใดรัฐหนึ่ง  ข้ามพรมแดนไปทำสงครามกันมั่วไปหมด
จึงทราบซึ้งถึงพระปรีชาชาญ ที่ทรงเล็งเห็นผลในอนาคต ในการดำเนินนโยบายทางประวัติศาสตร์แบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ไม่เช่นนั้นเราคงเห็น ไทยเชื้อสายมอญ ไทยทวาย ไทยกระเหรี่ยง ไทยขแมร์ ไทยลาว ข้ามพรมแดนไปก่อจราจลกันมั่วไปหมด แบบอิรัค ซีเรีย
แต่นโยบายนี้เราสร้างรวมตัวในอัตลักษณ์ใหม่ ต่างจากเพื่อนบ้าน เราถึงอยู่เป็นสุขทั่วทุกวันนี้

คำว่า "ไทยเชื้อสายมอญ ไทยทวาย ไทยกระเหรี่ยง ไทยขแมร์ ไทยลาว"  เป็นแนวคิดที่ถูกโฆษณาชวนเชื่อในสมัยจอมพล ป.ที่สืบเนื่องมาจากลัทธิคลั่งชาติของเยอรมันกับญี่ปุ่น   พยายามปลูกฝังว่า คนไทยเป็นเชื้อชาติบริสุทธิ์  มึความยิ่งใหญ่ในอดีต แต่รักสงบ ต้องอพยพลงมาสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาเพราะถูกรุกราน   มีผลทำให้คนไทยมองตัวเองเป็นศูนย์กลาง เรียกชาติพันธุ์อื่นที่พูดภาษาตระกูลไทย-ลาว ว่าเป็นคนไทย เชื้อสายนั้น เชื้อสายนี้
บางครั้งก็พลาด  ไปเรียกคนที่พูดภาษาไทยใน อินเดีย-บังคลาเทศ ว่าเป็นไทยอาหม  ทั้ง ๆ ที่คำว่าอาหม เป็นคำที่เสียงเพี้ยนมาจาก "สยาม" อยู่แล้ว

มีนักวิชาการบางท่าน เสนอแนวความคิดว่าภาษาไทย  เดิมทีเดียวน่าจะเป็นภาษากลางในทางการค้าของสุวรรณภูมิ  และความที่สุโขทัย อยุธยา สุพรรณบุรี ควบคุมเส้นทางการค้าระหว่าง อ่าวเมาะตะมะ - อ่าวตังเกี๋ย,  ลุ่มแม่น้ำโขง,  ลุ่มแม่น้ำสาละวิน, ลุ่มแม่น้ำกก ออกสู่อ่าวไทย  จึงได้ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาถิ่น


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: โทน73 -รักในหลวง- ที่ กุมภาพันธ์ 27, 2016, 11:03:52 PM
เรื่องบางเรื่องในวิชาประวัติศาสตร์ไม่มีการสอนแบบลึกๆเลย

เป็นเรื่องอันตรายครับ
ประวัติศาสตร์ไทยเกือบทั้งหมด เป็นเรื่องพงศาวดาร ซึ่งเป็นคำรวมที่มาจาก พงศ กับ อวตาร  ดังนั้นจึงเป็นบันทึกเหตุการณ์ของพระมหากษัตริย์ ไม่มีภาคประชาสังคม หรือการค้า  และยังได้รับการตรวจชำระโดยพระมหากษัตริย์ รัชกาลถัด ๆ มา  ตัวอย่างเช่นพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแก้ไขและพระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้เป็นช่วง ๆ   ดังนั้นการวิจารณ์ หรือนำไปเปรียบเทียบกับเอกสารที่ชาวต่างประเทศบันทึกไว้  ถ้ากระทำนอกรั้วสถาบันการศึกษา ก็เป็นเรื่องที่เสี่ยงต่อมาตรา 112

นอกจากนั้น เราต้องเข้าใจเหตุการณ์ในสมัยนั้นด้วยว่าเป็นช่วงที่เราต้องเผชิญกับลัทธิล่าเมืองขึ้นจากประเทศตะวันตก  การเผยแพร่เอกสารทางประวัติศาสตร์ในช่วงนั้น จึงต้องแฝงไว้ด้วยมาตรการป้องกันการเสียดินแดน


เมื่อก่อนผมมองแบบพวกหัวก้าวหน้าที่ชอบออกมาประท้วงแบบแปลกๆกันทุกวันนี้
แต่เมื่อเห็นสถานะการณ์โลก ประเทศทางแอฟริกา ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ ตลอดจนถึงยุโรปตะวันออก ที่เห็นประชาชนยึดมั่นความเป็นชนเผ่า หรือนิกาย มากกว่าความเป็นคนของรัฐใดรัฐหนึ่ง  ข้ามพรมแดนไปทำสงครามกันมั่วไปหมด
จึงทราบซึ้งถึงพระปรีชาชาญ ที่ทรงเล็งเห็นผลในอนาคต ในการดำเนินนโยบายทางประวัติศาสตร์แบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ไม่เช่นนั้นเราคงเห็น ไทยเชื้อสายมอญ ไทยทวาย ไทยกระเหรี่ยง ไทยขแมร์ ไทยลาว ข้ามพรมแดนไปก่อจราจลกันมั่วไปหมด แบบอิรัค ซีเรีย
แต่นโยบายนี้เราสร้างรวมตัวในอัตลักษณ์ใหม่ ต่างจากเพื่อนบ้าน เราถึงอยู่เป็นสุขทั่วทุกวันนี้

คำว่า "ไทยเชื้อสายมอญ ไทยทวาย ไทยกระเหรี่ยง ไทยขแมร์ ไทยลาว"  เป็นแนวคิดที่ถูกโฆษณาชวนเชื่อในสมัยจอมพล ป.ที่สืบเนื่องมาจากลัทธิคลั่งชาติของเยอรมันกับญี่ปุ่น   พยายามปลูกฝังว่า คนไทยเป็นเชื้อชาติบริสุทธิ์  มึความยิ่งใหญ่ในอดีต แต่รักสงบ ต้องอพยพลงมาสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาเพราะถูกรุกราน   มีผลทำให้คนไทยมองตัวเองเป็นศูนย์กลาง เรียกชาติพันธุ์อื่นที่พูดภาษาตระกูลไทย-ลาว ว่าเป็นคนไทย เชื้อสายนั้น เชื้อสายนี้
บางครั้งก็พลาด  ไปเรียกคนที่พูดภาษาไทยใน อินเดีย-บังคลาเทศ ว่าเป็นไทยอาหม  ทั้ง ๆ ที่คำว่าอาหม เป็นคำที่เสียงเพี้ยนมาจาก "สยาม" อยู่แล้ว

มีนักวิชาการบางท่าน เสนอแนวความคิดว่าภาษาไทย  เดิมทีเดียวน่าจะเป็นภาษากลางในทางการค้าของสุวรรณภูมิ  และความที่สุโขทัย อยุธยา สุพรรณบุรี ควบคุมเส้นทางการค้าระหว่าง อ่าวเมาะตะมะ - อ่าวตังเกี๋ย,  ลุ่มแม่น้ำโขง,  ลุ่มแม่น้ำสาละวิน, ลุ่มแม่น้ำกก ออกสู่อ่าวไทย  จึงได้ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาถิ่น
 

ฉบับ หลวงวิจิตร ?

สุจิตน์ วงษ์เทศ ก็ให้ความเห็นเช่นนั้น เรื่องสุโขทัย เป็นสถานีการค้า ระหว่างสองคาบสมุทร ร่วมสาเหตุของสงครามในสมัยก่อน ก็มาจากเหตุ การผูกขาดทางการค้า


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: tao bangkhaen ที่ กุมภาพันธ์ 28, 2016, 06:51:39 PM
สถานีการค้า..เข้าไปลึกจัง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 28, 2016, 07:21:24 PM
ฉบับ หลวงวิจิตร ?

สุจิตน์ วงษ์เทศ ก็ให้ความเห็นเช่นนั้น เรื่องสุโขทัย เป็นสถานีการค้า ระหว่างสองคาบสมุทร ร่วมสาเหตุของสงครามในสมัยก่อน ก็มาจากเหตุ การผูกขาดทางการค้า

ใช่ครับ  พล.ต.หลวงวิจิตรวาทการ ผู้แต่งหนังสือ ประวัติศาสตร์ 5 เล่ม ใช้นามปากกาว่า "วิเทศกรณีย์" และยังประพันธ์คำร้องและทำนองเพลงปลุกใจ ตื่นเถิดชาวไทย และต้นตระกูลไทย รวมทั้ง ละครอิงประวัติศาสตร์ กับเพลงประกอบละคร   เด็กไทยยุคนั้นเลือดขึ้นหน้าครบ 3 สี ตามสีธงชาติ   แทบจะเอาดาบวิ่งไล่ฟันพม่า จีน เขมรข้างบ้าน

ทราบไหมครับว่าหลวงวิจิตร ฯ มีชื่อเดิมว่ากิมเหลียง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: แปจีหล่อ คนสันขวาน ที่ กุมภาพันธ์ 28, 2016, 07:26:36 PM
แต่เด็กไทยยุคนี้กลับไล่ฟันกันเอง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 28, 2016, 07:32:51 PM
สถานีการค้า..เข้าไปลึกจัง

สุโขทัย สมัยนั้นเป็นจุดกึ่งกลางเส้นทางการค้าระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับทะเลจีนใต้  ในยุคนั้นยังไม่อ้อมแหลมมาลายู แต่จะใช้เส้นทางอ่าวเมาะตะมะ - อ่าวตังเกี๋ย  ซึ่งจะมีที่พักค้างคืนตลอดเส้นทาง  สุโขทัยร่ำรวยจากการเก็บค่าผ่านทาง รวมทั้งให้การคุ้มครองเส้นทาง  

ในขณะเดียวกัน พ่อค้าก็แสวงหาเส้นทางอื่นที่ต่ำลงไปด้วย  เช่นผ่านด่านเจดีย์สามองค์  ลำน้ำแควน้อย แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำท่าจีน  ซึ่งทางสุพรรณบุรีคุมเส้นทางนี้  และการตั้งกรุงศรีอยุธยา ก็เพื่อที่จะคุมเส้นทางการค้าทางน้ำ  เพราะอยุธยาเป็นที่รวมของแม่น้ำ 3 สาย


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: โทน73 -รักในหลวง- ที่ กุมภาพันธ์ 28, 2016, 08:35:26 PM
ฉบับ หลวงวิจิตร ?

สุจิตน์ วงษ์เทศ ก็ให้ความเห็นเช่นนั้น เรื่องสุโขทัย เป็นสถานีการค้า ระหว่างสองคาบสมุทร ร่วมสาเหตุของสงครามในสมัยก่อน ก็มาจากเหตุ การผูกขาดทางการค้า

ใช่ครับ  พล.ต.หลวงวิจิตรวาทการ ผู้แต่งหนังสือ ประวัติศาสตร์ 5 เล่ม ใช้นามปากกาว่า "วิเทศกรณีย์" และยังประพันธ์คำร้องและทำนองเพลงปลุกใจ ตื่นเถิดชาวไทย และต้นตระกูลไทย รวมทั้ง ละครอิงประวัติศาสตร์ กับเพลงประกอบละคร   เด็กไทยยุคนั้นเลือดขึ้นหน้าครบ 3 สี ตามสีธงชาติ   แทบจะเอาดาบวิ่งไล่ฟันพม่า จีน เขมรข้างบ้าน

ทราบไหมครับว่าหลวงวิจิตร ฯ มีชื่อเดิมว่ากิมเหลียง

เคยบวชเณร  มีคนเรียกว่า สามเณร กิมเหลียง ลิ้นคาย


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ กุมภาพันธ์ 28, 2016, 10:49:51 PM
สถานีการค้า..เข้าไปลึกจัง

สุโขทัย สมัยนั้นเป็นจุดกึ่งกลางเส้นทางการค้าระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับทะเลจีนใต้  ในยุคนั้นยังไม่อ้อมแหลมมาลายู แต่จะใช้เส้นทางอ่าวเมาะตะมะ - อ่าวตังเกี๋ย  ซึ่งจะมีที่พักค้างคืนตลอดเส้นทาง  สุโขทัยร่ำรวยจากการเก็บค่าผ่านทาง รวมทั้งให้การคุ้มครองเส้นทาง 

ในขณะเดียวกัน พ่อค้าก็แสวงหาเส้นทางอื่นที่ต่ำลงไปด้วย  เช่นผ่านด่านเจดีย์สามองค์  ลำน้ำแควน้อย แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำท่าจีน  ซึ่งทางสุพรรณบุรีคุมเส้นทางนี้  และการตั้งกรุงศรีอยุธยา ก็เพื่อที่จะคุมเส้นทางการค้าทางน้ำ  เพราะอยุธยาเป็นที่รวมของแม่น้ำ 3 สาย

แล้วมีรายละเอียดเรื่องทวาย มะริด ที่เป็นชนวนที่ทำการขัดแย้งในประวัติศาตร์บ้างไหมครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2016, 11:15:57 AM
สถานีการค้า..เข้าไปลึกจัง

สุโขทัย สมัยนั้นเป็นจุดกึ่งกลางเส้นทางการค้าระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับทะเลจีนใต้  ในยุคนั้นยังไม่อ้อมแหลมมาลายู แต่จะใช้เส้นทางอ่าวเมาะตะมะ - อ่าวตังเกี๋ย  ซึ่งจะมีที่พักค้างคืนตลอดเส้นทาง  สุโขทัยร่ำรวยจากการเก็บค่าผ่านทาง รวมทั้งให้การคุ้มครองเส้นทาง 

ในขณะเดียวกัน พ่อค้าก็แสวงหาเส้นทางอื่นที่ต่ำลงไปด้วย  เช่นผ่านด่านเจดีย์สามองค์  ลำน้ำแควน้อย แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำท่าจีน  ซึ่งทางสุพรรณบุรีคุมเส้นทางนี้  และการตั้งกรุงศรีอยุธยา ก็เพื่อที่จะคุมเส้นทางการค้าทางน้ำ  เพราะอยุธยาเป็นที่รวมของแม่น้ำ 3 สาย

แล้วมีรายละเอียดเรื่องทวาย มะริด ที่เป็นชนวนที่ทำการขัดแย้งในประวัติศาตร์บ้างไหมครับ

มันมีหลายช่วงครับ
ปกติพื้นที่ตรงนี้อยู่ในอิทธิพลของมอญ ไทยใช้ประโยชน์ได้อยู่แล้ว   เราจึงขัดแย้งเฉพาะตอนที่พม่าเป็นใหญ่เหนือมอญ
ช่วงที่รุ่งเรืองมากที่สุด น่าจะเป็นสมัยพระนารายณ์ ที่ไทยจ้างชาวอังกฤษไปปกครองมะริด ให้เก็บภาษีให้  เอกสารฝรั่งบางเจ้า บอกว่ามีการปล้นเรือที่งอแง จะหลีกเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นอีกด้วย

ชนวนเสียกรุงครั้งที่ 2 น่าจะมาจากเรื่องนี้  เพราะลุกลามลงไปถึงหัวเมืองทางใต้ อย่างเช่นถลางด้วย  เป็นสิ่งบอกเหตุว่าการที่ไทยเป็นศูนย์กลางการค้า (เอกสารโปรตุเกสบันทึกว่าพม่าต้องส่งช้างมาขึ้นเรือสินค้าที่อยุธยา)  จึงทำให้พม่าส่งกำลังเข้ามา หมายจะยึดครองอ่าวไทย ถ้ายึดไม่ได้ก็ต้องทำลายให้เสียประโยชน์  ศูนย์กลางการค้าจะได้ย้ายไปที่อ่าวเมาะตะมะ เพราะพม่าเองก็ย้ายเมืองหลวงไปหงสาวดี ซึ่งอยู่ใกล้กับเมาะตะมะ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: tao bangkhaen ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2016, 02:00:42 PM
ถ้าอย่างนั้น ตามทีอาจารย์ว่า แสดงว่า ตอนที่สุโขทัย รุ่งเรือง เส้นทางการค้า ใช้เดินทางบก ตัดผ่านจากเมาะตะมะ ไปออกทางอ่าวตังเกี๋ย
ต่อมา พอเร่ิ่มใช้เส้นทาง ทางน้ำ  ต่างชาติ ใช้เดินเรือ มาติดต่อกับเมืองใหม่ คือ โยดะยา  ซึ่งอยู่ใกล้ทะเลกว่า สุโขทัย    การทีต่างชาติ มาติดต่อ โยดะยา มากๆ เข้า เอาปืน เอาการค้า การเงิน เข้ามาโยดะยา มากๆ เข้า ทำให้โยดะยา มีอำนาจเหนือสุโขทัย  และสุดท้าย สุโขทัย ก็เสื่อมอำนาจลง อย่างนี้ หรือประมาณนี้ หรือเปล่าครับ
ครับ ถ้าเป็นอย่างที่ผมคะเนเอานี้  ก็พอจะตรงกับทีี่ สมัยเรียนตอนเด็กๆ ซึ่งหนังสือบอกไว้แค่ว่า  "ต่อมา สุโขทัยเสื่อมอำนาจลง จึงถูกอยุธยา รวมเข้ามาอยู่ใต้อำนาจ"
หนังสือตอนเด็กๆ อธิบาย น้อยไป "นิด" หนึ่ง หรือว่า เราเด็กเกินไปก็ไม่รู้ จึงไม่ได้สนใจลึกมากขนาดตอนอายุเยอะๆ แบบนี้


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: tao bangkhaen ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2016, 02:08:37 PM
... ท่านอาจารย์ครับ.......ถ้างั้น เวลากินปลาทู   เวลากินอาหารทะเล   แถวๆ ตาก  แถงๆ สุโขทัย .......  เป็นอาหารทะเล ที่มาจากทางเมียนมาร์ เนี่ยะ ก็เส้นทางเดินเท้าเดิมๆ สมัยสุโขทัย ประมาณนั้นหรือเปล่าครับอาจารย์ .....เพียงแต่เดี๋ยวนี้ จากคาราวานเกวียน เปลี่ยนมาเป็นรถยนต์แทน
ผมเคยเห็น แบบผ่านๆ ตา ถึง สารคดี ที่ นักประวัติศาสตร์ของไทย ได้ค้นพบ  จุดที่พักค้างคืน  ....  เส้นทางเดินเท้า... ของคนโบราณ ในเมืองไทย ก็เป็นจริงๆ นะซิครับ ( ที่อาจารย์ว่า "มีที่พักค้างคืนตลอดเส้นทาง")....เสียดาย เป็นสารคดี แว๊ปๆ ผ่านตา ไม่รู้จะหาดูได้ที่ไหน ...ชอบจัง เรียนวิชาประวัติศาสตร์แบบที่ไม่ได้เรียนในห้องเรียน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2016, 04:01:39 PM
   Gorget ผมเคยเห็นในภาพเก่าๆทหารเยอรมันขี่มอเตอร์ไซค์ Zundapp ใส่เหมือนพวกพลนำสาร  
แต่ช้ันนายพลไม่เห็นใส่กัน ภาพของผู้การนายพลวอชิงตันใส่เลยสงสัยว่า ช้ันยศขนาดไหนถึงใส่ได้ครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2016, 08:16:55 PM
   Gorget ผมเคยเห็นในภาพเก่าๆทหารเยอรมันขี่มอเตอร์ไซค์ Zundapp ใส่เหมือนพวกพลนำสาร 
แต่ช้ันนายพลไม่เห็นใส่กัน ภาพของผู้การนายพลวอชิงตันใส่เลยสงสัยว่า ช้ันยศขนาดไหนถึงใส่ได้ครับ
ของโบราณหรือปัจจุบันครับ  ล่าสุดผมเห็นในภาพข่าวว่าทหารจีนใช้ในการสวนสนามแล้ว

ถ้าอย่างนั้น ตามทีอาจารย์ว่า แสดงว่า ตอนที่สุโขทัย รุ่งเรือง เส้นทางการค้า ใช้เดินทางบก ตัดผ่านจากเมาะตะมะ ไปออกทางอ่าวตังเกี๋ย
ต่อมา พอเร่ิ่มใช้เส้นทาง ทางน้ำ  ต่างชาติ ใช้เดินเรือ มาติดต่อกับเมืองใหม่ คือ โยดะยา  ซึ่งอยู่ใกล้ทะเลกว่า สุโขทัย    การทีต่างชาติ มาติดต่อ โยดะยา มากๆ เข้า เอาปืน เอาการค้า การเงิน เข้ามาโยดะยา มากๆ เข้า ทำให้โยดะยา มีอำนาจเหนือสุโขทัย  และสุดท้าย สุโขทัย ก็เสื่อมอำนาจลง อย่างนี้ หรือประมาณนี้ หรือเปล่าครับ
ครับ ถ้าเป็นอย่างที่ผมคะเนเอานี้  ก็พอจะตรงกับทีี่ สมัยเรียนตอนเด็กๆ ซึ่งหนังสือบอกไว้แค่ว่า  "ต่อมา สุโขทัยเสื่อมอำนาจลง จึงถูกอยุธยา รวมเข้ามาอยู่ใต้อำนาจ"
หนังสือตอนเด็กๆ อธิบาย น้อยไป "นิด" หนึ่ง หรือว่า เราเด็กเกินไปก็ไม่รู้ จึงไม่ได้สนใจลึกมากขนาดตอนอายุเยอะๆ แบบนี้
มั่วเรื่องปืนอย่างเดียวเถอะครับ  อย่ามั่วเรื่องประวัติศาสตร์
สุโขทัย ตั้งบนที่ดอน   ร่ำรวยจากการเก็บค่าผ่านทาง  ที่ศิลาจารึกบอกว่าในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ดูจะขัดกับความจริง เพราะในยุคนั้นยังไม่มีปุ๋ยใส่กระสอบขายแบบในปัจจุบัน  การทำนาต้องทำในที่ลุ่ม น้ำท่วมถึงทุกปี อาศัยน้ำพาเอาปุ๋ยธรรมชาติมาเติมที่นา
ในยุคเดียวกับสุโขทัย  มีชุมชนชาวไทยตั้งอยู่ในสุพรรณบุรี  ลพบุรี กับนครศรีธรรมราช  ลพบุรี อู่ทอง ศรีเทพ น่าจะพูดเขมร  ส่วนสุพรรณบุรี กับสุโขทัยน่าจะพูดภาษาไทยลาว และเกี่ยวดองเป็นญาติกัน
เป็นไปได้ที่ราชวงศ์สุพรรณภูมิจะมีความสัมพันธ์กับราชวงศ์ขุนบรมของลาว  เพราะขุนหลวงพะงั่ว รัชกาลที่ 3 ของอยุธยา เฉลิมพระนามเมื่อขึ้นครองราชว่าสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 และราชวงศ์สุพรรณภูมิรัชกาลต่อ ๆ มาก็ใช้ชื่อนี้ต่อมาอีก 3 รัชกาล   ส่วนราชวงศ์อู่ทอง จะออกสไตล์รามเกียรต์ คือเป็น "รามราชา" หรือ "รามาธิบดี"  ถ้าเป็นสุโขทัย ก็ต้องเป็นธรรมราชา  ขนาด ร.7 หลังจากพิธีโสกันต์และสถาปนาเป็นเจ้าฟ้าต่างกรม (เจ้านายต่างกรมแปลว่า เริ่มเป็นหนุ่มต้องออกไปอยู่นอกวังหลวง)  ก็ยังเฉลิมพระนามว่า "สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนศุโขไทยธรรมราชา" คือต้องมี "ธรรมราชา" ต่อจากสุโขทัย

ความที่ราชวงศ์สุพรรณภูมิ ดองเป็นญาติกับสุโขทัย  เมื่อสุพรรณภูมิครองอำนาจในอยุธยา จึงสถาปนาสุโขทัยเป็นเมืองสำคัญ จนกระทั่งถึงพระยายุทธิษฐิระ โอรสพระมหาธรรมราชาที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าเมืองเชลียงในขณะที่พระมหาธรรมราชาที่ 4 ทิวงคต  เจ้าตัวหวังว่าจะได้เป็นพระมหาธรรมราชา ขึ้นปกครองสุโขทัย  แต่พอไม่ได้ก็เอาใจออกห่าง ไปขึ้นกับพญาติโลกราช กษัตริย์ล้านนา จึงได้รับการสนับสนุนให้ครองสุโขทัย และศรีสัชนาลัย   ทำให้สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถต้องสถาปนาพิษณุโลกเป็นเมืองสำคัญแทน  และประทับอยู่ที่พิษณุโลกนานถึง 20 ปี เพื่อจัดการหัวเมืองฝ่ายเหนือให้เรียบร้อย


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: แปจีหล่อ คนสันขวาน ที่ กุมภาพันธ์ 29, 2016, 10:57:36 PM
ถ้าอย่างนั้น ตามทีอาจารย์ว่า แสดงว่า ตอนที่สุโขทัย รุ่งเรือง เส้นทางการค้า ใช้เดินทางบก ตัดผ่านจากเมาะตะมะ ไปออกทางอ่าวตังเกี๋ย
ต่อมา พอเร่ิ่มใช้เส้นทาง ทางน้ำ  ต่างชาติ ใช้เดินเรือ มาติดต่อกับเมืองใหม่ คือ โยดะยา  ซึ่งอยู่ใกล้ทะเลกว่า สุโขทัย    การทีต่างชาติ มาติดต่อ โยดะยา มากๆ เข้า เอาปืน เอาการค้า การเงิน เข้ามาโยดะยา มากๆ เข้า ทำให้โยดะยา มีอำนาจเหนือสุโขทัย  และสุดท้าย สุโขทัย ก็เสื่อมอำนาจลง อย่างนี้ หรือประมาณนี้ หรือเปล่าครับ
ครับ ถ้าเป็นอย่างที่ผมคะเนเอานี้  ก็พอจะตรงกับทีี่ สมัยเรียนตอนเด็กๆ ซึ่งหนังสือบอกไว้แค่ว่า  "ต่อมา สุโขทัยเสื่อมอำนาจลง จึงถูกอยุธยา รวมเข้ามาอยู่ใต้อำนาจ"
หนังสือตอนเด็กๆ อธิบาย น้อยไป "นิด" หนึ่ง หรือว่า เราเด็กเกินไปก็ไม่รู้ จึงไม่ได้สนใจลึกมากขนาดตอนอายุเยอะๆ แบบนี้
แหมม เรียกโยดะยาเหมือนพม่าเรียกเราเลยนะครับ ทุกวันนี้พม่าส่วนใหญ่ก็ยังเรียกเราว่าโยดะยา หรือที่หูบางคนได้ยินเป็นโยเดีย อยู่เลยครับ สินค้าที่ส่งออกไปจากบ้านเรา เรียกโยดะยาปิ๊ดซี แปลว่าของไทย อาหารชนิดหนึ่งรสชาดหน้าตาเหมือนต้มยำ เรียกโยดะยาฮินโฉ่ ส่วนที่จะเรียกเราว่าไทย ก็เห็นมีแต่พวกข้าราชการเป็นส่วนมากครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ มีนาคม 01, 2016, 05:18:33 AM
  ปัจจุบันครับ เขาให้นายทหารชั้นประทวนหรือสัญญาบัตรสวมครับ เป็นเครื่องประดับงานพิธีด้วยรึเปล่าครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มีนาคม 01, 2016, 09:30:30 AM
  ปัจจุบันครับ เขาให้นายทหารชั้นประทวนหรือสัญญาบัตรสวมครับ เป็นเครื่องประดับงานพิธีด้วยรึเปล่าครับ

ใช้เป็นส่วนรวม


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มีนาคม 01, 2016, 09:38:03 AM
เรียกโยดะยาเหมือนพม่าเรียกเราเลยนะครับ ทุกวันนี้พม่าส่วนใหญ่ก็ยังเรียกเราว่าโยดะยา หรือที่หูบางคนได้ยินเป็นโยเดีย อยู่เลยครับ สินค้าที่ส่งออกไปจากบ้านเรา เรียกโยดะยาปิ๊ดซี แปลว่าของไทย อาหารชนิดหนึ่งรสชาดหน้าตาเหมือนต้มยำ เรียกโยดะยาฮินโฉ่ ส่วนที่จะเรียกเราว่าไทย ก็เห็นมีแต่พวกข้าราชการเป็นส่วนมากครับ

พม่าเขาย้ายเมืองหลวงกันทุกรัชกาล  ถ้าการเงินไม่ดีย้ายแค่ประตูเมืองก็ยังดี   ส่วนไทยเราไม่ค่อยย้ายเมืองหลวงครับ  พม่าจึงเรียกอยุธยาจนติดปาก  แต่ออกเสียงเป็นโยเดีย   อย่างเช่นในหนังท่านมุ้ย ที่เรียกพระนเรศวรว่า "ตองเจ" ก็มาจากสองแคว (เจ้าฟ้าสองแคว)



หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: โทน73 -รักในหลวง- ที่ มีนาคม 01, 2016, 09:38:36 AM
  Gorget
ถ้าอย่างนั้น ตามทีอาจารย์ว่า แสดงว่า ตอนที่สุโขทัย รุ่งเรือง เส้นทางการค้า ใช้เดินทางบก ตัดผ่านจากเมาะตะมะ ไปออกทางอ่าวตังเกี๋ย
ต่อมา พอเร่ิ่มใช้เส้นทาง ทางน้ำ  ต่างชาติ ใช้เดินเรือ มาติดต่อกับเมืองใหม่ คือ โยดะยา  ซึ่งอยู่ใกล้ทะเลกว่า สุโขทัย    การทีต่างชาติ มาติดต่อ โยดะยา มากๆ เข้า เอาปืน เอาการค้า การเงิน เข้ามาโยดะยา มากๆ เข้า ทำให้โยดะยา มีอำนาจเหนือสุโขทัย  และสุดท้าย สุโขทัย ก็เสื่อมอำนาจลง อย่างนี้ หรือประมาณนี้ หรือเปล่าครับ
ครับ ถ้าเป็นอย่างที่ผมคะเนเอานี้  ก็พอจะตรงกับทีี่ สมัยเรียนตอนเด็กๆ ซึ่งหนังสือบอกไว้แค่ว่า  "ต่อมา สุโขทัยเสื่อมอำนาจลง จึงถูกอยุธยา รวมเข้ามาอยู่ใต้อำนาจ"
หนังสือตอนเด็กๆ อธิบาย น้อยไป "นิด" หนึ่ง หรือว่า เราเด็กเกินไปก็ไม่รู้ จึงไม่ได้สนใจลึกมากขนาดตอนอายุเยอะๆ แบบนี้
มั่วเรื่องปืนอย่างเดียวเถอะครับ  อย่ามั่วเรื่องประวัติศาสตร์
สุโขทัย ตั้งบนที่ดอน   ร่ำรวยจากการเก็บค่าผ่านทาง  ที่ศิลาจารึกบอกว่าในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ดูจะขัดกับความจริง เพราะในยุคนั้นยังไม่มีปุ๋ยใส่กระสอบขายแบบในปัจจุบัน  การทำนาต้องทำในที่ลุ่ม น้ำท่วมถึงทุกปี อาศัยน้ำพาเอาปุ๋ยธรรมชาติมาเติมที่นา
ในยุคเดียวกับสุโขทัย  มีชุมชนชาวไทยตั้งอยู่ในสุพรรณบุรี  ลพบุรี กับนครศรีธรรมราช  ลพบุรี อู่ทอง ศรีเทพ น่าจะพูดเขมร  ส่วนสุพรรณบุรี กับสุโขทัยน่าจะพูดภาษาไทยลาว และเกี่ยวดองเป็นญาติกัน
เป็นไปได้ที่ราชวงศ์สุพรรณภูมิจะมีความสัมพันธ์กับราชวงศ์ขุนบรมของลาว  เพราะขุนหลวงพะงั่ว รัชกาลที่ 3 ของอยุธยา เฉลิมพระนามเมื่อขึ้นครองราชว่าสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 และราชวงศ์สุพรรณภูมิรัชกาลต่อ ๆ มาก็ใช้ชื่อนี้ต่อมาอีก 3 รัชกาล   ส่วนราชวงศ์อู่ทอง จะออกสไตล์รามเกียรต์ คือเป็น "รามราชา" หรือ "รามาธิบดี"  ถ้าเป็นสุโขทัย ก็ต้องเป็นธรรมราชา  ขนาด ร.7 หลังจากพิธีโสกันต์และสถาปนาเป็นเจ้าฟ้าต่างกรม (เจ้านายต่างกรมแปลว่า เริ่มเป็นหนุ่มต้องออกไปอยู่นอกวังหลวง)  ก็ยังเฉลิมพระนามว่า "สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนศุโขไทยธรรมราชา" คือต้องมี "ธรรมราชา" ต่อจากสุโขทัย

ความที่ราชวงศ์สุพรรณภูมิ ดองเป็นญาติกับสุโขทัย  เมื่อสุพรรณภูมิครองอำนาจในอยุธยา จึงสถาปนาสุโขทัยเป็นเมืองสำคัญ จนกระทั่งถึงพระยายุทธิษฐิระ โอรสพระมหาธรรมราชาที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าเมืองเชลียงในขณะที่พระมหาธรรมราชาที่ 4 ทิวงคต  เจ้าตัวหวังว่าจะได้เป็นพระมหาธรรมราชา ขึ้นปกครองสุโขทัย  แต่พอไม่ได้ก็เอาใจออกห่าง ไปขึ้นกับพญาติโลกราช กษัตริย์ล้านนา จึงได้รับการสนับสนุนให้ครองสุโขทัย และศรีสัชนาลัย   ทำให้สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถต้องสถาปนาพิษณุโลกเป็นเมืองสำคัญแทน  และประทับอยู่ที่พิษณุโลกนานถึง 20 ปี เพื่อจัดการหัวเมืองฝ่ายเหนือให้เรียบร้อย

ชอบคำอธิบาย บรรทัดที่สอง อธิบายถึงสภาพ โดยไม่สะเทือนถึงเรื่องอื่น


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: แปจีหล่อ คนสันขวาน ที่ มีนาคม 01, 2016, 11:07:14 AM
เรียกโยดะยาเหมือนพม่าเรียกเราเลยนะครับ ทุกวันนี้พม่าส่วนใหญ่ก็ยังเรียกเราว่าโยดะยา หรือที่หูบางคนได้ยินเป็นโยเดีย อยู่เลยครับ สินค้าที่ส่งออกไปจากบ้านเรา เรียกโยดะยาปิ๊ดซี แปลว่าของไทย อาหารชนิดหนึ่งรสชาดหน้าตาเหมือนต้มยำ เรียกโยดะยาฮินโฉ่ ส่วนที่จะเรียกเราว่าไทย ก็เห็นมีแต่พวกข้าราชการเป็นส่วนมากครับ

พม่าเขาย้ายเมืองหลวงกันทุกรัชกาล  ถ้าการเงินไม่ดีย้ายแค่ประตูเมืองก็ยังดี   ส่วนไทยเราไม่ค่อยย้ายเมืองหลวงครับ  พม่าจึงเรียกอยุธยาจนติดปาก  แต่ออกเสียงเป็นโยเดีย   อย่างเช่นในหนังท่านมุ้ย ที่เรียกพระนเรศวรว่า "ตองเจ" ก็มาจากสองแคว (เจ้าฟ้าสองแคว)


พูดถึงเรื่องการย้ายเมืองหลวงผมเคยอ่านในหนังสือ เค้าว่าพม่าเวลาสร้างพระราชวังเค้าจะมีการเอาคนมาฆ่าเพื่อให้เป็นผีคอยปกปักรักษาเมือง ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงไหมครับ แล้วเมืองอื่นๆในภูมิภาคนี้มีพิธีการแบบนี้เหมือนพม่าไหมครับท่าน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มีนาคม 01, 2016, 12:20:48 PM
เรียกโยดะยาเหมือนพม่าเรียกเราเลยนะครับ ทุกวันนี้พม่าส่วนใหญ่ก็ยังเรียกเราว่าโยดะยา หรือที่หูบางคนได้ยินเป็นโยเดีย อยู่เลยครับ สินค้าที่ส่งออกไปจากบ้านเรา เรียกโยดะยาปิ๊ดซี แปลว่าของไทย อาหารชนิดหนึ่งรสชาดหน้าตาเหมือนต้มยำ เรียกโยดะยาฮินโฉ่ ส่วนที่จะเรียกเราว่าไทย ก็เห็นมีแต่พวกข้าราชการเป็นส่วนมากครับ

พม่าเขาย้ายเมืองหลวงกันทุกรัชกาล  ถ้าการเงินไม่ดีย้ายแค่ประตูเมืองก็ยังดี   ส่วนไทยเราไม่ค่อยย้ายเมืองหลวงครับ  พม่าจึงเรียกอยุธยาจนติดปาก  แต่ออกเสียงเป็นโยเดีย   อย่างเช่นในหนังท่านมุ้ย ที่เรียกพระนเรศวรว่า "ตองเจ" ก็มาจากสองแคว (เจ้าฟ้าสองแคว)


พูดถึงเรื่องการย้ายเมืองหลวงผมเคยอ่านในหนังสือ เค้าว่าพม่าเวลาสร้างพระราชวังเค้าจะมีการเอาคนมาฆ่าเพื่อให้เป็นผีคอยปกปักรักษาเมือง ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงไหมครับ แล้วเมืองอื่นๆในภูมิภาคนี้มีพิธีการแบบนี้เหมือนพม่าไหมครับท่าน

เกิดไม่ทันเหมือนกันครับ  แต่ทราบว่าทำเหมือนกันทั้งภูมิภาค
ส่วนใหญ่อยู่ที่เสาประตูเมือง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ มีนาคม 01, 2016, 01:57:39 PM
   ขอบคุณครับผู้การ เกราะสมัยใหม่เซฟชีวิตทหารได้มาก เคยอ่านเจอว่าทหารเสียชีวิตจากบาทแผลส่วนใหญ่มาจากบาทแผลแถบลำคอกับไหปล้าร้าจากการถูกยิงระหว่างหมอบ ดูแล้วรวมๆทั้งตัวหนักหลายโลเหมือนกัน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: tao bangkhaen ที่ มีนาคม 01, 2016, 02:00:00 PM
ถ้าอย่างนั้น ตามทีอาจารย์ว่า แสดงว่า ตอนที่สุโขทัย รุ่งเรือง เส้นทางการค้า ใช้เดินทางบก ตัดผ่านจากเมาะตะมะ ไปออกทางอ่าวตังเกี๋ย
ต่อมา พอเร่ิ่มใช้เส้นทาง ทางน้ำ  ต่างชาติ ใช้เดินเรือ มาติดต่อกับเมืองใหม่ คือ โยดะยา  ซึ่งอยู่ใกล้ทะเลกว่า สุโขทัย    การทีต่างชาติ มาติดต่อ โยดะยา มากๆ เข้า เอาปืน เอาการค้า การเงิน เข้ามาโยดะยา มากๆ เข้า ทำให้โยดะยา มีอำนาจเหนือสุโขทัย  และสุดท้าย สุโขทัย ก็เสื่อมอำนาจลง อย่างนี้ หรือประมาณนี้ หรือเปล่าครับ
ครับ ถ้าเป็นอย่างที่ผมคะเนเอานี้  ก็พอจะตรงกับทีี่ สมัยเรียนตอนเด็กๆ ซึ่งหนังสือบอกไว้แค่ว่า  "ต่อมา สุโขทัยเสื่อมอำนาจลง จึงถูกอยุธยา รวมเข้ามาอยู่ใต้อำนาจ"
หนังสือตอนเด็กๆ อธิบาย น้อยไป "นิด" หนึ่ง หรือว่า เราเด็กเกินไปก็ไม่รู้ จึงไม่ได้สนใจลึกมากขนาดตอนอายุเยอะๆ แบบนี้
แหมม เรียกโยดะยาเหมือนพม่าเรียกเราเลยนะครับ ทุกวันนี้พม่าส่วนใหญ่ก็ยังเรียกเราว่าโยดะยา หรือที่หูบางคนได้ยินเป็นโยเดีย อยู่เลยครับ สินค้าที่ส่งออกไปจากบ้านเรา เรียกโยดะยาปิ๊ดซี แปลว่าของไทย อาหารชนิดหนึ่งรสชาดหน้าตาเหมือนต้มยำ เรียกโยดะยาฮินโฉ่ ส่วนที่จะเรียกเราว่าไทย ก็เห็นมีแต่พวกข้าราชการเป็นส่วนมากครับ
อ้าว....เค้าเรียกเราอย่างนี้ ก็ภูมิใจไงครับพี่ เลยเอามาเขียนไว้ว่า เขายังเรียกเราจนติดปากเป็นอยุธยา  มาตั้ง กว่า 200 กว่าปีแล้ว   ยังไม่เปลี่ยนมาเรียกว่า .....สยาม ....ไทย......  หรือ กทม.   เลย 55555


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: tao bangkhaen ที่ มีนาคม 01, 2016, 02:01:12 PM
มีคนยังเรียก สยาม........ ให้ได้ยินทางทีวี อยู่เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ พม่าเรียก ....


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: แปจีหล่อ คนสันขวาน ที่ มีนาคม 01, 2016, 02:18:20 PM
ถ้าอย่างนั้น ตามทีอาจารย์ว่า แสดงว่า ตอนที่สุโขทัย รุ่งเรือง เส้นทางการค้า ใช้เดินทางบก ตัดผ่านจากเมาะตะมะ ไปออกทางอ่าวตังเกี๋ย
ต่อมา พอเร่ิ่มใช้เส้นทาง ทางน้ำ  ต่างชาติ ใช้เดินเรือ มาติดต่อกับเมืองใหม่ คือ โยดะยา  ซึ่งอยู่ใกล้ทะเลกว่า สุโขทัย    การทีต่างชาติ มาติดต่อ โยดะยา มากๆ เข้า เอาปืน เอาการค้า การเงิน เข้ามาโยดะยา มากๆ เข้า ทำให้โยดะยา มีอำนาจเหนือสุโขทัย  และสุดท้าย สุโขทัย ก็เสื่อมอำนาจลง อย่างนี้ หรือประมาณนี้ หรือเปล่าครับ
ครับ ถ้าเป็นอย่างที่ผมคะเนเอานี้  ก็พอจะตรงกับทีี่ สมัยเรียนตอนเด็กๆ ซึ่งหนังสือบอกไว้แค่ว่า  "ต่อมา สุโขทัยเสื่อมอำนาจลง จึงถูกอยุธยา รวมเข้ามาอยู่ใต้อำนาจ"
หนังสือตอนเด็กๆ อธิบาย น้อยไป "นิด" หนึ่ง หรือว่า เราเด็กเกินไปก็ไม่รู้ จึงไม่ได้สนใจลึกมากขนาดตอนอายุเยอะๆ แบบนี้
แหมม เรียกโยดะยาเหมือนพม่าเรียกเราเลยนะครับ ทุกวันนี้พม่าส่วนใหญ่ก็ยังเรียกเราว่าโยดะยา หรือที่หูบางคนได้ยินเป็นโยเดีย อยู่เลยครับ สินค้าที่ส่งออกไปจากบ้านเรา เรียกโยดะยาปิ๊ดซี แปลว่าของไทย อาหารชนิดหนึ่งรสชาดหน้าตาเหมือนต้มยำ เรียกโยดะยาฮินโฉ่ ส่วนที่จะเรียกเราว่าไทย ก็เห็นมีแต่พวกข้าราชการเป็นส่วนมากครับ
อ้าว....เค้าเรียกเราอย่างนี้ ก็ภูมิใจไงครับพี่ เลยเอามาเขียนไว้ว่า เขายังเรียกเราจนติดปากเป็นอยุธยา  มาตั้ง กว่า 200 กว่าปีแล้ว   ยังไม่เปลี่ยนมาเรียกว่า .....สยาม ....ไทย......  หรือ กทม.   เลย 55555
อโยธยา-อยุธยา    รากศัพท์ของชื่อมาจากคำว่า อยุทธ       มีความหมายว่าสู้ไม่ได้    เมื่อนำมาเป็นชื่อเมืองจึงหมายความว่า   เมืองที่ไม่อาจสู้ได้   ไม่อาจเอาชนะได้   

เมื่อพม่ามาทำสงครามกับไทย     จึงใช้วิธีการตัด อ ออกจาก อโยธยา     เพื่อจะได้มีความหมายว่า ยุทธ   หมายถึงสู้ได้   เอาชนะได้     เพื่อเป็นการตัดไม้ข่มนาม     พม่าจึงเรียกว่า   โยธยา   แล้วเสียงก็กร่อนมาเป็น   โยธิยา-โยดิยา-โยเดีย
http://pantip.com/topic/31726358
 ผมว่าไม่น่าภูมิใจเท่าไหร่นะครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ มีนาคม 01, 2016, 02:48:46 PM
อโยธยา-อยุธยา    รากศัพท์ของชื่อมาจากคำว่า อยุทธ       มีความหมายว่าสู้ไม่ได้    เมื่อนำมาเป็นชื่อเมืองจึงหมายความว่า   เมืองที่ไม่อาจสู้ได้   ไม่อาจเอาชนะได้    เมื่อพม่ามาทำสงครามกับไทย     จึงใช้วิธีการตัด อ ออกจาก อโยธยา     เพื่อจะได้มีความหมายว่า ยุทธ   หมายถึงสู้ได้   เอาชนะได้     เพื่อเป็นการตัดไม้ข่มนาม     พม่าจึงเรียกว่า   โยธยา   แล้วเสียงก็กร่อนมาเป็น   โยธิยา-โยดิยา-โยเดีย
http://pantip.com/topic/31726358
 ผมว่าไม่น่าภูมิใจเท่าไหร่นะครับ
งั้น..อยุทธ-อโยธยา-อยุธยา  =   HMS.Invincible(Royal Navy)ความหมายดีมากครับ  


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: tao bangkhaen ที่ มีนาคม 01, 2016, 02:48:57 PM
ถ้าอย่างนั้น ตามทีอาจารย์ว่า แสดงว่า ตอนที่สุโขทัย รุ่งเรือง เส้นทางการค้า ใช้เดินทางบก ตัดผ่านจากเมาะตะมะ ไปออกทางอ่าวตังเกี๋ย
ต่อมา พอเร่ิ่มใช้เส้นทาง ทางน้ำ  ต่างชาติ ใช้เดินเรือ มาติดต่อกับเมืองใหม่ คือ โยดะยา  ซึ่งอยู่ใกล้ทะเลกว่า สุโขทัย    การทีต่างชาติ มาติดต่อ โยดะยา มากๆ เข้า เอาปืน เอาการค้า การเงิน เข้ามาโยดะยา มากๆ เข้า ทำให้โยดะยา มีอำนาจเหนือสุโขทัย  และสุดท้าย สุโขทัย ก็เสื่อมอำนาจลง อย่างนี้ หรือประมาณนี้ หรือเปล่าครับ
ครับ ถ้าเป็นอย่างที่ผมคะเนเอานี้  ก็พอจะตรงกับทีี่ สมัยเรียนตอนเด็กๆ ซึ่งหนังสือบอกไว้แค่ว่า  "ต่อมา สุโขทัยเสื่อมอำนาจลง จึงถูกอยุธยา รวมเข้ามาอยู่ใต้อำนาจ"
หนังสือตอนเด็กๆ อธิบาย น้อยไป "นิด" หนึ่ง หรือว่า เราเด็กเกินไปก็ไม่รู้ จึงไม่ได้สนใจลึกมากขนาดตอนอายุเยอะๆ แบบนี้
แหมม เรียกโยดะยาเหมือนพม่าเรียกเราเลยนะครับ ทุกวันนี้พม่าส่วนใหญ่ก็ยังเรียกเราว่าโยดะยา หรือที่หูบางคนได้ยินเป็นโยเดีย อยู่เลยครับ สินค้าที่ส่งออกไปจากบ้านเรา เรียกโยดะยาปิ๊ดซี แปลว่าของไทย อาหารชนิดหนึ่งรสชาดหน้าตาเหมือนต้มยำ เรียกโยดะยาฮินโฉ่ ส่วนที่จะเรียกเราว่าไทย ก็เห็นมีแต่พวกข้าราชการเป็นส่วนมากครับ
อ้าว....เค้าเรียกเราอย่างนี้ ก็ภูมิใจไงครับพี่ เลยเอามาเขียนไว้ว่า เขายังเรียกเราจนติดปากเป็นอยุธยา  มาตั้ง กว่า 200 กว่าปีแล้ว   ยังไม่เปลี่ยนมาเรียกว่า .....สยาม ....ไทย......  หรือ กทม.   เลย 55555
อโยธยา-อยุธยา    รากศัพท์ของชื่อมาจากคำว่า อยุทธ       มีความหมายว่าสู้ไม่ได้    เมื่อนำมาเป็นชื่อเมืองจึงหมายความว่า   เมืองที่ไม่อาจสู้ได้   ไม่อาจเอาชนะได้    

เมื่อพม่ามาทำสงครามกับไทย     จึงใช้วิธีการตัด อ ออกจาก อโยธยา     เพื่อจะได้มีความหมายว่า ยุทธ   หมายถึงสู้ได้   เอาชนะได้     เพื่อเป็นการตัดไม้ข่มนาม     พม่าจึงเรียกว่า   โยธยา   แล้วเสียงก็กร่อนมาเป็น   โยธิยา-โยดิยา-โยเดีย
http://pantip.com/topic/31726358
 ผมว่าไม่น่าภูมิใจเท่าไหร่นะครับ
รับทราบ เป็นความรู้ แบ่งๆ กันไปพี่ แปจีหล่อ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: แปจีหล่อ คนสันขวาน ที่ มีนาคม 01, 2016, 08:07:16 PM
ผมก็จำคนอื่นเค้ามาอีกทีครับลำพังตัวเองก็ไม่มีความรู้อะไรมาก อาศัยที่ชอบอ่านครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ มีนาคม 01, 2016, 09:22:25 PM
  ความรู้ทั้งนั้น


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มีนาคม 01, 2016, 09:33:14 PM
อโยธยา-อยุธยา    รากศัพท์ของชื่อมาจากคำว่า อยุทธ       มีความหมายว่าสู้ไม่ได้    เมื่อนำมาเป็นชื่อเมืองจึงหมายความว่า   เมืองที่ไม่อาจสู้ได้   ไม่อาจเอาชนะได้    เมื่อพม่ามาทำสงครามกับไทย     จึงใช้วิธีการตัด อ ออกจาก อโยธยา     เพื่อจะได้มีความหมายว่า ยุทธ   หมายถึงสู้ได้   เอาชนะได้     เพื่อเป็นการตัดไม้ข่มนาม     พม่าจึงเรียกว่า   โยธยา   แล้วเสียงก็กร่อนมาเป็น   โยธิยา-โยดิยา-โยเดีย
http://pantip.com/topic/31726358
 ผมว่าไม่น่าภูมิใจเท่าไหร่นะครับ
งั้น..อยุทธ-อโยธยา-อยุธยา  =   HMS.Invincible(Royal Navy)ความหมายดีมากครับ  

เชื่อว่าบรรพชนของเราคงไม่ได้ตั้งชื่อโดยอาศัยความหมาย แบบเฉพาะเจาะจงหรอกครับ  น่าจะเป็นเพราะได้รับคตินิยมจากทางอินเดีย (ผ่านเขมร) เสียมากกว่า
เดิมใช้ชื่อ "อโยธยาศรีรามเทพนคร" และปรากฏชื่อกรุงศรีอยุธยาในสมัยพระนเรศวร

อโยธยาในตำนานเป็นเมืองของพระอินทร์  และอสูรก็ใช้เป็นชื่อเมืองด้วย  ต่อมาก็เป็นเมืองของพระราม
ส่วนในทางรูปธรรม อโยธยาก็เป็นเป็นเมืองเก่าแก่ในประเทศอินเดีย อยู่ในรัฐอุตตรประเทศ  ชาวฮินดูเชื่อว่าพระรามเคยอยู่ที่นี่  ต่อมาเมื่อมุสลิมปกครองอินเดียก็มีการทำลายเทวสถาน  พอแยกปากีสถานออกไปใน ค.ศ.1947 พวกฮินดูก็เอาคืนบ้าง เผามัสยิด  ฆ่ากันไป ฆ่ากันมาอยู่หลายสิบปี แต่ละครั้งตายเป็นพันคน  ศาลอินเดียเพิ่งตัดสินแบ่งพื้นที่เมื่อ 5-6 ปีมานี้เอง  


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: BANGRACHAN ที่ มีนาคม 01, 2016, 10:05:46 PM
อ่านเพลิน และได้สาระความรู้ดีครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: โทน73 -รักในหลวง- ที่ มีนาคม 01, 2016, 10:38:47 PM
อิทธิพลของรามยณะ รามายณะ ชื่อ อโยธยา ยังมีที่อินโดนีเซีย "ยอกยาการ์ตา"  เพี้ยนมาจาก "อโยธยา"


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ มีนาคม 01, 2016, 10:55:34 PM
เคยไปบาหลีสองครั้งได้ชม รามายะณะ ทั้งสองครั้งสองสไตล์ ครั้งแรกกับวงเครื่องเคาะวงใหญ่ครั้งที่สองใช้คนจุปากเป็นจังหวะอย่างในรูป


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: รพินทรนาถ -รักในหลวงและสยามประเทศ ที่ มีนาคม 02, 2016, 02:09:02 AM
จะว่าไปก็น่าแปลกใจว่า ในขณะที่ "มหากาพย์รามายณะ" ได้รับความนิยมจากหลายชาติในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ แต่ "มหากาพย์ภารตยุทธ์" ที่มาจากชมพูทวีปเช่นกันกลับไม่ค่อยแพร่หลายเท่าไหร่

กลับมีปรากฏแค่ในกลุ่มชาติที่เคยได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดูแบบเข้มข้นมาก่อนอย่างกัมพูชาและอินโดนีเซีย ทั้งๆ ที่เนื้อหาในมหาภารตยุทธ์ก็มีความสนุกและหลักปรัชญาล้ำลึกให้ค้นหาอยู่ไม่น้อย

ผมเข้าใจว่า หลักปรัชญาแนวคิดบางอย่างในมหาภารตยุทธ์อาจจะขัดแย้งกับแนวคิดของพุทธศาสนา เช่น หลักในคัมภีร์ภควัตคีตา เลยไม่นิยมนำมาดัดแปลงสอนผู้คนครับ  ::014::


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มีนาคม 02, 2016, 09:35:35 AM
จะว่าไปก็น่าแปลกใจว่า ในขณะที่ "มหากาพย์รามายณะ" ได้รับความนิยมจากหลายชาติในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ แต่ "มหากาพย์ภารตยุทธ์" ที่มาจากชมพูทวีปเช่นกันกลับไม่ค่อยแพร่หลายเท่าไหร่

กลับมีปรากฏแค่ในกลุ่มชาติที่เคยได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดูแบบเข้มข้นมาก่อนอย่างกัมพูชาและอินโดนีเซีย ทั้งๆ ที่เนื้อหาในมหาภารตยุทธ์ก็มีความสนุกและหลักปรัชญาล้ำลึกให้ค้นหาอยู่ไม่น้อย

ผมเข้าใจว่า หลักปรัชญาแนวคิดบางอย่างในมหาภารตยุทธ์อาจจะขัดแย้งกับแนวคิดของพุทธศาสนา เช่น หลักในคัมภีร์ภควัตคีตา เลยไม่นิยมนำมาดัดแปลงสอนผู้คนครับ  ::014::

รามายณะแปลว่าชัยชนะของพระราม  ส่วนรามเกียรติแปลว่าเกียรติของพระราม
ราชสำนักในสมัยกรุงศรีอยุธยาเลือกรามเกียรติ  เพราะว่าเนื้อเรื่องตอบสนองต่อการเมืองการปกครองของไทย

รามายณะ เป็นเรื่องราวที่ดัดแปลงจากเหตุการณ์ที่พวกชาวอารยันรุกรานเข้ามาในอินเดีย  และคนท้องถิ่นต่อต้านการรุกราน พวกที่ต่อสู้เข้มแข็ง ต้านทานได้นานที่สุดคือพวกทมิฬในทางใต้ของอินเดียกับในลังกา  คนไทยฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด เอาเนื้อความในรามายณะไปเรียกเขาว่า "ทมิฬหินชาติ" ทั้ง ๆ ที่ชาวทมิฬเป็นครูใหญ่ของสุวรรณภูมิ  พวกทมิฬ เป็นผู้นำเอาตัวอักษรปาลวะเข้ามาเผยแพร่ในสุวรรณภูมิ  พัฒนาเป็นอักษรทวารวดี อักษรเขมร อักษรไทย อักษรมอญ-พม่า และอักษรธรรมล้านนา  ประสาทหินทั้งหลายของพวกขอม ก็ได้จากชาวทมิฬ

เนื้อเรื่องในรามายณะ เป็นเรื่องขาวกับดำ ธรรมกับอธรรม  ส่งเสริมความซื่อสัตย์ระหว่างบ่าวกับนาย  ในระยะหลังไทยเราดัดแปลงกันจนไม่เห็นภาพนี้ชัดเจน  อย่างเช่นหนุมานของไทย เอาบุคลิกแบบที่ชายไทยชอบ ไปใส่ให้กับหนุมาน  กลายเป็นลิงชอบทำการงานนอกสั่ง เจอตัวเมียเป็นไม่ได้  แต่หนุมานต้นฉบับในอินเดียจะเป็นนักพรต ถือเพศพรมจรรย์ ปัจจุบันได้รับการนับถือเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งของชาวฮินดู  รูปเคารพของหนุมานจะมี 2 แบบ  คือแต่งเครื่องทรงแบบกษัตริย์ กับหนุมานแหกอก ข้างในที่ตำแหน่งหัวใจเป็นรูปพระราม แสดงถึงความจงรักภักดี
ส่วนหนุมานในเมืองไทย  กลายเป็นขอทาน เต้นไปถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยว เก็บเงินรูปละ 20 บาท   พระรามก็กลายเป็นเมนูพระรามลงสรงอยู่ในร้านอาหาร

มหาภารต เป็นเรื่องที่แต่งเติมจากเหตุการณ์ที่พวกอารยันทะเลาะกันเอง  พี่น้องฆ่าฟันกันเอง ตายเป็นล้าน  ในเมื่อเป็นการแต่งเรื่องของพวกเดียวกัน  จึงไม่ได้มีการป้ายสีมากเกินสมควร  ตัวละครทั้ง 2 ฝ่าย เป็นสีเทา ๆ เหมือนกัน  มีทั้งดี มีทั้งชั่วอยู่ในตัวละครแต่ละตัว
ถ้าราชสำนักส่งเสริมมหาภารต จะไม่ได้ประโยชน์ทางการปกครอง  อาจจะเป็นลบด้วยซ้ำ
ร.5 ท่านทรงวิจารณ์พงศวดารอยุธยาแบบสลดใจว่า  มีการปราบดาภิเษก ฆ่าล้างตระกูลทั้งเจ้านายและขุนนางบ่อยมาก  ในช่วงระยะเวลาเพียง 90 ปี มีถึง 13 ครั้ง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: tao bangkhaen ที่ มีนาคม 02, 2016, 10:32:22 AM
90 ปี  ต่อ 13 ครั้ง   ถ้ามาเฉลี่ยดู   ถ้าในรอบ 10 ปี ฆ่าล้างบางกัน1 ที  ก็จะมีการฆ่ากันแค่ 9 ครั้ง   แต่ นี่ มีถึง 13 ครั้ง ก็แสดงว่า ในบางครั้ง ยังไม่ทันครบสิบปี  ก็ฆ่าล้างบางกันเสียแล้ว
ฟังอาจารย์ มาถึงตรงนี้ ก็สบายใจว่า ในทุกวันนี้  มันก็ยังคล้ายๆ ของเดิม จึงไม่น่าแปลกใจอะไร ..... อาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ ไม่ถึงกับฆ่ากันตาย แค่สมบัติ ผลัดกันชม ......


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มีนาคม 02, 2016, 10:44:45 AM
90 ปี  ต่อ 13 ครั้ง   ถ้ามาเฉลี่ยดู   ถ้าในรอบ 10 ปี ฆ่าล้างบางกัน1 ที  ก็จะมีการฆ่ากันแค่ 9 ครั้ง   แต่ นี่ มีถึง 13 ครั้ง ก็แสดงว่า ในบางครั้ง ยังไม่ทันครบสิบปี  ก็ฆ่าล้างบางกันเสียแล้ว
ฟังอาจารย์ มาถึงตรงนี้ ก็สบายใจว่า ในทุกวันนี้  มันก็ยังคล้ายๆ ของเดิม จึงไม่น่าแปลกใจอะไร ..... อาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ ไม่ถึงกับฆ่ากันตาย แค่สมบัติ ผลัดกันชม ......

อยุธยามีพระมหากษัตริย์ 33 พระองค์ ถ้านับขุนวรวงศา ฯ ด้วยก็ 34
ครองราชไม่ถึง 1 ปี มีถึง 9 พระองค์  สั้นที่สุดคือพระเจ้าทองลัน 7 วัน  ขุนวรวงศา ยังอยู่ได้ 42 วัน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: tao bangkhaen ที่ มีนาคม 02, 2016, 11:38:21 AM
ครับอาจารย์ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์  ข้อความของอาจารย์เป็นคุณแก่ผู้พบเห็น ซึ่งบางครั้ง บางท่าน..อาจจะหงุดหงิดว่า ทำไม บ้านเมืองดูมันยุ่งจัง เดี๋ยวเปลี่ยน  เดี๋ยวเปลี่ยน  พอมาเห็นท่านอาจารย์ว่าไว้  เป็นไงครับ แต่ก่อน เปลี่่ยนยิ่งกว่าเดี๋ยวนี้ อีกหลายเท่า .... สมัยนี้ สงบกว่าแต่ก่อนเยอะแล้วคร้าบผม....


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: tao bangkhaen ที่ มีนาคม 02, 2016, 11:41:37 AM
ว่าแต่ว่า ย่านสนามหลวง ฝั่ง ม. ท่าพระจันทร์  ขุดลงไปไม่เท่าไหร่ เจอปืนใหญ่  อยู่ใต้ดิน  ไม่รู้มันหนักแล้วจมลงไปเอง หรือ มีใครไปฝังไว้หรือเปล่า   .....  ตอนนี้ อีกฝั่งหนึ่ง ใกล้ลำคลอง เห็นขุดกันลงไปลึกเลย ขุดเป็นพื้นที่กว้างด้วย ลึกด้วย  ไม่เจออะไรบ้างหรือไงก็ไม่รู้  ถ้าเจออะไรๆ  อาจจะพลิกประวัติศาสตร์ พื้นที่ บริเวณนี้ ก็เป็นได้นะ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ มีนาคม 02, 2016, 11:59:57 AM
Ramayana ผู้แสดงใครเป็นใครเดาเอา


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: tao bangkhaen ที่ มีนาคม 02, 2016, 01:16:34 PM
อีตัวแดง ซ้ายสุดน่าจะเป็นพระรามไหม ตัวเขียวน่าจะพระลักษณ์ หรือเปล่า แต่ไอ้ขาว ขวาสุดน่าจะหนุมาน นะ  ส่วนตัวข้างหน้า สามตัว นั้น ไม่ต้องอธิบาย  อยากจะบอกว่า ไอ้ตัวข้างหน้า สามตัวนั้น ที่ต่อสู้ พันตู กับยักษ์ ที่กำแพงภายใน ปราสาทหินนครวัด ในอาณาจักรขอมโบราณนั้น เห็นแล้วขนลุก  เพราะว่า รูปสลักหิน ..นะครับ ...หิน...  ลิงกับยักษ์ สู้กันพันตู   ลิงและยักษ์ มีกล้าม มีซิกแพ็ค ด้วยอ่ะ แกะสลักได้สุดยอดมากเลย  ภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังของเรา หลบไปเลย เราแค่วาดภาพเขียนสี    ขอม..เล่น แกะสลักหินเลย.... เสียดาย ไปแบบเสียอารมณ์ เลยไม่ได้ถ่ายรูปมาดู แค่เดินดูเฉยๆ แล้วจำใส่สมองมา...


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: tao bangkhaen ที่ มีนาคม 02, 2016, 01:19:06 PM
แต่สาวๆ ผมไม่รู้ใครอ่ะ ยัยชุดสีทองทั้งชุดนั้น สีดา หรือ .....ไม่รู้แหละ แต่งหน้าแบบนี้ หน้าตาจิ้มลิ้ม แบบนี้ ผมชอบๆๆๆ......5555


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ มีนาคม 02, 2016, 02:14:31 PM
เมื่ออ่านรามเกียรติ์..เราเชียร์ฝ่ายพระเอก พระราม พระลักษณ์ หนุมาน ฯลฯ แท้จริงผมเป็นลูกหลานยักษ์(ทมิฬนาดู)..เหมือนคนปักษ์ใต้ทั้งหลาย..(โฮ)


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: แปจีหล่อ คนสันขวาน ที่ มีนาคม 02, 2016, 02:35:35 PM
ซ้ายสุดผมว่า ถ้วแระ เชิญยิ้ม ส่วนขวาสุดนั่นผมว่า ดาราตลกที่ใส่แว่นหัวฟูๆหยิกๆชื่ออะไรจำไม่ได้ครับ555


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: tao bangkhaen ที่ มีนาคม 02, 2016, 03:06:29 PM
ซ้ายสุดผมว่า ถ้วแระ เชิญยิ้ม ส่วนขวาสุดนั่นผมว่า ดาราตลกที่ใส่แว่นหัวฟูๆหยิกๆชื่ออะไรจำไม่ได้ครับ555
อ๊าว......พี่ถั่วแระ ไปยุ่งอะไรกับ อิเหนา..เนี่ยะ...5555555


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มีนาคม 02, 2016, 07:29:27 PM
เมื่ออ่านรามเกียรติ์..เราเชียร์ฝ่ายพระเอก พระราม พระลักษณ์ หนุมาน ฯลฯ แท้จริงผมเป็นลูกหลานยักษ์(ทมิฬนาดู)..เหมือนคนปักษ์ใต้ทั้งหลาย..(โฮ)

นั่งเครื่องบินไปลงที่สนามบินเชนไน รัฐทมิฬนาฑู (เมืองมัทราส เดิม) เลยครับ  เจอญาติประมาณหกสิบล้านคน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ มีนาคม 02, 2016, 09:41:25 PM
แต่สาวๆ ผมไม่รู้ใครอ่ะ ยัยชุดสีทองทั้งชุดนั้น สีดา หรือ .....ไม่รู้แหละ แต่งหน้าแบบนี้ หน้าตาจิ้มลิ้ม แบบนี้ ผมชอบๆๆๆ......5555
คนบาหลีตัวเล็กน่ารักแต่น่าจะเก็บธรรมเนียมเก่าๆไว้นะเช่น ไม่สวมเสื้อ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ มีนาคม 02, 2016, 09:49:23 PM
เครื่องคนตรีที่ใช้ประกอบ Ramayana แบบนี้ใครเป็นต้นตำรับ พม่า ไทย เขมร อินโด


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: tao bangkhaen ที่ มีนาคม 02, 2016, 10:05:37 PM
พี่ยุทธ..แต่ก่อนเราก็ไม่ใส่เหมือนกันพี่..


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: tao bangkhaen ที่ มีนาคม 02, 2016, 10:15:32 PM
เคยเห็นภาพถ่าย สาวญี่ปุ่น ทำงานขุดถ่านหิน ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เธอคงเหนื่อยมากและ

ร้อนมาก เธอก็ไม่ใส่ท่อนบนเหมือนกัน5555 ไปกันใหญ่แล้วพี่...5555 กลับมาเสื้อเกราะของท่านอาจารย์ดีกว่าพี่55555


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: tao bangkhaen ที่ มีนาคม 02, 2016, 10:18:10 PM
เมื่ออ่านรามเกียรติ์..เราเชียร์ฝ่ายพระเอก พระราม พระลักษณ์ หนุมาน ฯลฯ แท้จริงผมเป็นลูกหลานยักษ์(ทมิฬนาดู)..เหมือนคนปักษ์ใต้ทั้งหลาย..(โฮ)

นั่งเครื่องบินไปลงที่สนามบินเชนไน รัฐทมิฬนาฑู (เมืองมัทราส เดิม) เลยครับ  เจอญาติประมาณหกสิบล้านคน
เสียดาย ผมแค่ลูกครึ่งทมิฬ..บางกอกน้อย555


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ มีนาคม 02, 2016, 10:49:59 PM
เริ่มจะถอดเกราะซะแล้ว
เอาเสื่อเกราะเมืองไทยสมัยก่อนมีบ้างไหมรู้จักแต่ เขน โล่ห์


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: tao bangkhaen ที่ มีนาคม 03, 2016, 02:26:16 PM
เริ่มจะถอดเกราะซะแล้ว
เอาเสื่อเกราะเมืองไทยสมัยก่อนมีบ้างไหมรู้จักแต่ เขน โล่ห์
เอ... ไม่เคยเห็นนะพี่ เสื้อเกราะสัญชาติไทยแบบโบราณ   ส่วนในหนังที่ทำเป็นหนังโบราณ สมัยโยดะยา ผมไม่ได้ดูเลยนะ เห็นผ่านตาแต่โปสเตอร์โฆษณาหนัง ดูๆ แล้วก็เสื้อเกราะแนวๆ ฝรั่งทั้งนั้น
........  แต่ที่แน่กว่าเสื้อเกราะนะพี่ยุทธ... เสื้อยันต์ครับพี่   เสื้อลงยันต์... ของพระอาจารย์ต่างๆ  ใส่ออกศึก น่าจะมีนะพี่  ได้ใจกว่าเสื้อเกราะ ของฝรั่ง  เยอะเลย555555


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: tao bangkhaen ที่ มีนาคม 03, 2016, 02:28:03 PM
ไทยไม่ต้องใช้เกราะครับพี่ เน้น ... หนังเหนียว.... เหล็กไหล... สักยันต์ ....เติมอีกหน่อย  พระเครื่อง....ตะกรุด....คาถาอาคม....


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มีนาคม 03, 2016, 08:12:49 PM
พ.ศ.1650 ยังไม่ใส่ทั้งเสื้อเกราะและเสื้อยันต์  มีแต่โสร่ง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: tao bangkhaen ที่ มีนาคม 04, 2016, 12:11:17 PM
พ.ศ.1650 ยังไม่ใส่ทั้งเสื้อเกราะและเสื้อยันต์  มีแต่โสร่ง
ครับท่านอาจารย์ ภาพนี้ ผมก็เห็น ที่ปราสาทอันเหลือเชื่อนั่น    เพียงแต่สงสัยนิดหน่อยว่า อะไร ที่ทำให้นักประวัติศาสตร์ เชื่อว่า ภาพนี้ เป็นกองทัพจากแผ่นดินที่อยู่ทางตะวันตกของ ขอม ครับ อาจารย์ 


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: tao bangkhaen ที่ มีนาคม 04, 2016, 12:25:04 PM
ดูฝีมือการแกะสลักซิครับ  หินนะครับ ไม่ใช่ไม้...สวยงาม ..ละเอียด...มีแม้กระทั่ง กล้ามแขน รอยแขนพับบริเวณข้อศอก ยังมีเลย...


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มีนาคม 04, 2016, 04:59:29 PM
ข้อมูลจากหลายที่ครับ  กลุ่มที่แต่งตัวเรียบร้อย เครื่องทรงเหมือนเขมรจะมาจากละโว้แน่นอน  ส่วนเสียมกุก เดิมเชื่อว่าเป็นสุโขทัย  แต่ปัจจุบันรู้กันแล้วว่าไม่ใช่ เพียงยังเถียงกันอยู่ว่าเป็นพวกสิงหนวัติจากลุ่มแม่น้ำกก หรือโคตรบูรณ์ (ปัจจุบันคือเวียงจันทร์)


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: montri รักในหลวง ที่ มีนาคม 04, 2016, 07:17:38 PM
การไปหาเหล็กมาทำอาวุธ เขาไปหามาจากใหนครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มีนาคม 04, 2016, 08:03:34 PM
การไปหาเหล็กมาทำอาวุธ เขาไปหามาจากใหนครับ

เท่าที่นักโบราณคดีสำรวจจากซากเตาเผากับขี้ตะกรันจากการถลุงเหล็ก  ปรากฎว่าที่บ้านกรวด บุรีรัมย์ มีอายุเก่าแก่ถึง 2,300 ปี
ลองอ่านดูครับ เป็นวิทยานิพนธ์ของ ม.ศิลปากร
http://www.thapra.lib.su.ac.th/objects/thesis/fulltext/thapra/Issarawan_Yoopom/Fulltext.pdf


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ มีนาคม 05, 2016, 10:12:37 AM
เข้ามาอ่านหาความรู้เพิ่มเติม ขอบคุณพี่สุพินท์ครับ ที่กรุณาค้นคว้าข้อมูลมาเผยแพร่

แต่ผมฮาอยู่คำเดียวคือ คำนี้  "มั่วเรื่องปืนอย่างเดียวเถอะครับ  อย่ามั่วเรื่องประวัติศาสตร์"

ฮาจริงๆครับพี่  ::005::


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: TUI 48 ที่ มีนาคม 07, 2016, 09:42:25 AM
เข้ามาอ่านหาความรู้เพิ่มเติม ขอบคุณพี่สุพินท์ครับ ที่กรุณาค้นคว้าข้อมูลมาเผยแพร่

แต่ผมฮาอยู่คำเดียวคือ คำนี้  "มั่วเรื่องปืนอย่างเดียวเถอะครับ  อย่ามั่วเรื่องประวัติศาสตร์"

ฮาจริงๆครับพี่  ::005::



นึกว่ามีผมคนเดียวที่นั่งหัวเราะกับประโยคนั้นครับ  ::005::


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ มีนาคม 08, 2016, 03:25:49 PM
เมื่ออ่านรามเกียรติ์..เราเชียร์ฝ่ายพระเอก พระราม พระลักษณ์ หนุมาน ฯลฯ แท้จริงผมเป็นลูกหลานยักษ์(ทมิฬนาดู)..เหมือนคนปักษ์ใต้ทั้งหลาย..(โฮ)
นั่งเครื่องบินไปลงที่สนามบินเชนไน รัฐทมิฬนาฑู (เมืองมัทราส เดิม) เลยครับ  เจอญาติประมาณหกสิบล้านคน
-ทำไมคนน้อยครับ ประชากรอินเดียตั้งพันล้าน
-นี่ไงญาติ ๆ ผม..บรรยากาศเหมือนเมืองไทยเลยนิ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มีนาคม 08, 2016, 04:12:12 PM
อินเดียมี 29 รัฐ กับ 7 เขตปกครองพิเศษ  เช่นเดลี หรือหมู่เกาะนิโคบาร์ใกล้ ๆ ภูเก็ตบ้านเรา ที่สุนทรภู่เรียกว่าเกาะนาควารีนั่นแหละ
รัฐที่มีประชากรมากที่สุดคือรัฐอุตตรประเทศ เป็นที่ตั้งของเมืองหลวง กับเมืองเก่าแก่ต่าง ๆ มีประชากรประมาณสองร้อยล้านคน  อันดับสองคือรัฐมหาราษฏระ ประมาณร้อยล้าน เป็นถิ่นไฮเทค
น้อยที่สุดน่าจะเป็นรัฐกัว ประมาณ 1.4 ล้านคน รัฐนี้เป็นเมืองขึ้นของโปรตุเกสมาก่อน อินเดียประกาศอิสรภาพไปแล้วสิบกว่าปี โปรตุเกสก็ยังหน้าด้านไม่คืนให้แขกเขา อินเดียต้องส่งกำลังเข้าไปปลดปล่อยรัฐกัวใน ค.ศ.1961 (รวมทั้งเมืองเล็ก ๆ อีก 2 เมืองในรัฐมหาราษฏระกับรัฐคุชราต ที่โปรตุเกสครอบครองอยู่)  รัฐกัวมีขนาดเล็กมาก ประมาณ 3,700 ตร.กม.พอ ๆ กับจังหวัดสระบุรี คือเล็กประมาณจังหวัดลำดับห้าสิบกว่า ๆ ของไทย

ตอนต้นปี ผมไปเที่ยวแคชเมียร์  ลงเครื่องที่เมืองศรีนาคา  เมืองนี้มีประชากรประมาณ 1 ล้านคน  แต่รัฐบาลอินเดียส่งทหารเข้ามาประจำการประมาณสามล้านคน  ยิ่งนั่งรถเข้าไปใกล้ชายแดนปากีสถาน ทหารก็ยิ่งหนาแน่นมากขึ้น   แต่พอขึ้นไปทางเขาหิมาลัย ใกล้พรมแดนจีน เจอแต่ตำรวจ ไม่มีทหารตามถนนให้เห็นเลย

คนแคชเมียร์ ดูคล้ายกับคนอิหร่าน ต่างจากคนอินเดียทั่วไป และไม่เหมือนปากีสถานหรืออัฟกันด้วย ไม่ใช้ภาษาฮินดี แต่พูดภาษาอูรดู ตามนอกเมืองอาจจะใช้ภาษาพัชตุนบ้าง แต่คนอินเดียแท้ ๆ มาที่นี่ต้องใช้ภาษาอังกฤษ หมดสิทธิพูดฮินดี
ส่วนคนทางใต้แถว ๆ เชนไน จะตัวเล็ก ๆ ผมหยิกเหมือนทางใต้ของไทย


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ มีนาคม 09, 2016, 11:59:42 AM
-ขอบพระคุณครับ
-ท่านผู้การเชื่อจริงหรือพูดเล่นครับ ที่ว่าคนใต้(หรือผม)มีญาติอยู่อินเดียใต้ (ผมนั้นเชื่อจริงครับ หน้าตาเราเหมือนกันมาก ผิวคล้ำหรือดำ ตัวหนา บางคนมีขนหน้าอกด้วย และนิสัยยังคล้ายกันอีก สมัยโบราณน่าจะมีคนแล่นเรือจากอินเดียใต้มาขึ้นฝั่งที่ปักษ์ใต้ คนศรีลังกาด้วยครับ เหมือนคนใต้มากเลย)


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มีนาคม 09, 2016, 12:45:42 PM
-ขอบพระคุณครับ
-ท่านผู้การเชื่อจริงหรือพูดเล่นครับ ที่ว่าคนใต้(หรือผม)มีญาติอยู่อินเดียใต้ (ผมนั้นเชื่อจริงครับ หน้าตาเราเหมือนกันมาก ผิวคล้ำหรือดำ ตัวหนา บางคนมีขนหน้าอกด้วย และนิสัยยังคล้ายกันอีก สมัยโบราณน่าจะมีคนแล่นเรือจากอินเดียใต้มาขึ้นฝั่งที่ปักษ์ใต้ คนศรีลังกาด้วยครับ เหมือนคนใต้มากเลย)

ใช่ครับ  พวกทมิฬมาอยู่ในสุวรรณภูมินานกว่าสี่พันปีมาแล้ว  นอกจากนำเอาอารยธรรมมาสอนพวกเรา เอาความรู้ด้านวิศวกรรมรวมทั้งนำเอาตัวอักษรมาเผยแพร่แล้ว  ชาวทมิฬน่าจะเป็นพวกแรกที่ริเริ่มค้าโลหะในสุวรรณภูมิด้วย  คำว่าตะกั่ว, ทองคำ หรือกะไหล่ ในภาษาไทยมาจากภาษาทมิฬ
วรรณคดีชั้นสูงในอินเดียจะเป็นรูปแบบภาษาสันสกฤษมากที่สุด  รองลงมาก็เป็นภาษาทมิฬ (อินเดียมีประมาณ 700 ภาษา ภาษากลาง 23 ภาษา ภาษากลางเฉพาะที่รัฐธรรมนูญอินเดียรับรองมี 15 ภาษา รายชื่อ 15 ภาษา จะพิมพ์ไว้ในธนบัตรรูปี)
จารึกเก่าแก่ที่ค้นพบทางใต้ของไทยกับอินโดนีเซีย  ก่อนยุคทวารวดี เป็นภาษาทมิฬ  และผมจำได้ว่าภาษาทมิฬเป็นภาษาราชการภาษาหนึ่งของสิงคโปร์


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ มีนาคม 09, 2016, 01:44:11 PM
สนับสนุนรูปภาพ..จารึกหุบเขาช่องคอย นคร ฯ ครับ..ท่านว่าเป็นอักษร ปัลลวะ ภาษาสันสกฤต  
(กลุ่มชนผู้สร้างศิลาจารึกหุบเขาช่องคอยขึ้นนี้ จะต้องเป็นกลุ่มชนที่ใช้ภาษาสันสกฤตนับถือศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไศวะนิกาย และคงจะได้เดินทางเข้ามาพำนักอาศัยในบริเวณนั้น เป็นการชั่วคราว ไม่ใช่กลุ่มชนที่อยู่ประจำถิ่น อีกทั้งยังได้กำหนดสถานที่บริเวณจารึกหุบเขาช่องคอยนั้น เป็นศิวะสถาน เพื่อปฏิบัติศาสนกิจตามจารีตของตน พร้อมๆ กันนั้นก็อบรมสั่งสอนให้ผู้อยู่ในสันนิบาตนั้น สำนึกในความเป็นคนต่างถิ่น พลัดบ้านเมืองมา ซึ่งสมควรประพฤติตนเป็นคนดี จะได้พำนักอาศัยอยู่ร่วมในสังคมที่มีขนบธรรมเนียมแตกต่างกัน ได้อย่างสุขสงบ)


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มีนาคม 09, 2016, 02:28:58 PM
ไม่น่าจะเป็นภาษาสันสกฤตนะครับ  ปกติอักษรปัลลวะจะใช้เขียนภาษาทมิฬและภาษามาลายาลัม
ที่บอกว่าเป็นภาษาสันสกฤต อาจจะมาจากในภาษาทมิฬก็มีคำยืมจากภาษาสันสกฤตเป็นจำนวนมาก  แต่จะเปลี่ยนรูปไปบ้างเช่น ชีว เป็นชีวัน  นคร เป็นนครัม  สุริย เป็นสุริยัน  สตรี เป็นอิสตรี
เห็นไหมครับว่าในภาษาไทย มีคำยืมจากภาษาทมิฬมากขนาดไหน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Enruoblem ที่ มีนาคม 09, 2016, 09:35:21 PM
อ่านเพลินดีครับ  ::014::


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ มีนาคม 10, 2016, 11:03:35 AM
ผมเข้าใจว่ายักษ์ในรามเกียรติ์คงเป็นพวกทมิฬ (แต่คนทมิฬจริง ๆ ตัวเล็ก) พระราม พระลักษณ์คือชาวอารยัน
ทีนี้ที่ปักษ์ใต้มีหนังตะลุงซึ่งต้นเค้าก็อยู่ที่อินเดีย แต่ยักษ์ในหนังตะลุงผิวขาวครับ ร่างกายใหญ่โต นิสัยหยาบ ชอบกินสัตว์ กินคน ไม่ค่อยเหมือนคนทมิฬ(ผมเลยมั่วไปว่ายักษ์ในหนังตะลุงคือแขกขาว เพราะมุสลิมเคยรุกรานอินเดีย มหาวิทยาลัยนาลันทาถูกเผาราบเป็นหน้ากลอง)   


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: tao bangkhaen ที่ มีนาคม 10, 2016, 07:03:29 PM
มีเส้นทางสายไหมทางทะเล...เก่า และโบราณเอาเรื่องตรงปากแม่น้ำตะกั่วป่า..พังงา...มีหลักฐานเป็นท่าเรืออินเดียโบราณด้วย  ขึ้นฝั่งแล้วข้ามแผ่นดินมาแปซิฟิค..ที่อ่าวบ้านดอน.สุราษฎร์ด้วยแหละ..มีเครื่องถ้วยชามสมัยราชวงค์ถัง..เป็นหลักฐานด้วย..สนุกมากเลย..ตอนเรียนเด็กๆไม่รู้เรืองเลย


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: tao bangkhaen ที่ มีนาคม 11, 2016, 11:01:21 AM
แผ่นดินใต้ฝั่งอันดามันด้าน ตะก้วป่า พังงา กับ ด้านแปซิฟิค ด้าน บ้านดอน สุราษฎร์ธานี เคยเชื่อมต่อกันเป็นเส้นทางการค้าของโลก กระนั้นหรือ..เพราะมีถ้วยชามราชวงศ์ถ้งเป็นหลักฐาน มีวัตถุจากอินเดีย เปอร์เซียด้วย คำว่า..ตะกั่ว ก็มาจากภาษาทมิฬ ผู้มาเยือนตามที่อาจารย์ว่าไว้..มันช่างบังเอิญจริงๆๆ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มีนาคม 11, 2016, 03:15:32 PM
แผ่นดินใต้ฝั่งอันดามันด้าน ตะก้วป่า พังงา กับ ด้านแปซิฟิค ด้าน บ้านดอน สุราษฎร์ธานี เคยเชื่อมต่อกันเป็นเส้นทางการค้าของโลก กระนั้นหรือ..เพราะมีถ้วยชามราชวงศ์ถ้งเป็นหลักฐาน มีวัตถุจากอินเดีย เปอร์เซียด้วย คำว่า..ตะกั่ว ก็มาจากภาษาทมิฬ ผู้มาเยือนตามที่อาจารย์ว่าไว้..มันช่างบังเอิญจริงๆๆ

ลองหาความรู้เรื่อง Sundaland ดูนะครับ
อาจจะได้คำตอบว่าทำไมคนฟิลิปปินส์ถึงเหมือนคนไทย, ทำไมพวกอะบอริจินในออสเตรเลียถึงคล้ายพวกซาไก รวมทั้งหมาดิงโกในออสเตรเลีย ดูยังไง ๆ ก็หมาไทยเรานี่แหละ ทั้งรูปร่างหน้าตา ทั้งนิสัย (เสีย) เหมือนหมาไทยทุกอย่าง  อาจจะรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกมองโกล กับเอสกิโมและอินเดียนแดงในทวีปอเมริกาด้วย


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ มีนาคม 11, 2016, 03:49:26 PM
แผ่นดินใต้ฝั่งอันดามันด้าน ตะก้วป่า พังงา กับ ด้านแปซิฟิค ด้าน บ้านดอน สุราษฎร์ธานี เคยเชื่อมต่อกันเป็นเส้นทางการค้าของโลก กระนั้นหรือ..เพราะมีถ้วยชามราชวงศ์ถ้งเป็นหลักฐาน มีวัตถุจากอินเดีย เปอร์เซียด้วย คำว่า..ตะกั่ว ก็มาจากภาษาทมิฬ ผู้มาเยือนตามที่อาจารย์ว่าไว้..มันช่างบังเอิญจริงๆๆ

ลองหาความรู้เรื่อง Sundaland ดูนะครับ
อาจจะได้คำตอบว่าทำไมคนฟิลิปปินส์ถึงเหมือนคนไทย, ทำไมพวกอะบอริจินในออสเตรเลียถึงคล้ายพวกซาไก รวมทั้งหมาดิงโกในออสเตรเลีย ดูยังไง ๆ ก็หมาไทยเรานี่แหละ ทั้งรูปร่างหน้าตา ทั้งนิสัย (เสีย) เหมือนหมาไทยทุกอย่าง  อาจจะรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกมองโกล กับเอสกิโมและอินเดียนแดงในทวีปอเมริกาด้วย
ฟิลิปปินส์ตอนเหนือยิ่งคล้ายมีการทำขนมเหมือนเราเช่นขนมจากเล่ไม้หึ่ม แต่มีปลาหมักแบบน้ำบูดูทางใต้


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: tao bangkhaen ที่ มีนาคม 11, 2016, 03:52:04 PM
แผ่นดินใต้ฝั่งอันดามันด้าน ตะก้วป่า พังงา กับ ด้านแปซิฟิค ด้าน บ้านดอน สุราษฎร์ธานี เคยเชื่อมต่อกันเป็นเส้นทางการค้าของโลก กระนั้นหรือ..เพราะมีถ้วยชามราชวงศ์ถ้งเป็นหลักฐาน มีวัตถุจากอินเดีย เปอร์เซียด้วย คำว่า..ตะกั่ว ก็มาจากภาษาทมิฬ ผู้มาเยือนตามที่อาจารย์ว่าไว้..มันช่างบังเอิญจริงๆๆ

ลองหาความรู้เรื่อง Sundaland ดูนะครับ
อาจจะได้คำตอบว่าทำไมคนฟิลิปปินส์ถึงเหมือนคนไทย, ทำไมพวกอะบอริจินในออสเตรเลียถึงคล้ายพวกซาไก รวมทั้งหมาดิงโกในออสเตรเลีย ดูยังไง ๆ ก็หมาไทยเรานี่แหละ ทั้งรูปร่างหน้าตา ทั้งนิสัย (เสีย) เหมือนหมาไทยทุกอย่าง  อาจจะรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกมองโกล กับเอสกิโมและอินเดียนแดงในทวีปอเมริกาด้วย
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ ที่กรุณาตั้งโจทย์ว่า ทำไม.......  อย่างนั้น ...ทำไม ....อย่างนี้  ... เพราะโจทย์นี้ เป็นแนวทางในการศึกษา ค้นหาประวัติศาสตร์ และความเป็นมาของชุมชนมนุษย์ ในโลกใบนี้ ที่มิได้.... สอนกันในห้องเรียน... และเชื่อว่า  ยังมีอีกหลายท่าน ยังไม่ทราบ....รวมทั้ง ผมด้วย ว่า ทำไม..???....ครับ..


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ มีนาคม 16, 2016, 11:19:44 AM
-ท่านผู้การ ฯ ครับ..ดูเหมือนท่านจะรัก ๆ ชอบ ๆ อินเดียอยู่เหมือนกัน(ขออภัยถ้าเข้าใจผิดไป)..เพราะอะไรเหรอครับ ?
 


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มีนาคม 16, 2016, 07:19:27 PM
-ท่านผู้การ ฯ ครับ..ดูเหมือนท่านจะรัก ๆ ชอบ ๆ อินเดียอยู่เหมือนกัน(ขออภัยถ้าเข้าใจผิดไป)..เพราะอะไรเหรอครับ ?
 
ไทยเราตั้งประเทศอยู่ระหว่างอารยธรรมใหญ่ 2 อารยธรรม คือจีนกับอินเดีย   ถ้าอยากรู้รากเหง้าตัวเอง ก็ต้องไปศึกษาจากต้นกำเนิด

แผ่นดินใต้ฝั่งอันดามันด้าน ตะก้วป่า พังงา กับ ด้านแปซิฟิค ด้าน บ้านดอน สุราษฎร์ธานี เคยเชื่อมต่อกันเป็นเส้นทางการค้าของโลก กระนั้นหรือ..เพราะมีถ้วยชามราชวงศ์ถ้งเป็นหลักฐาน มีวัตถุจากอินเดีย เปอร์เซียด้วย คำว่า..ตะกั่ว ก็มาจากภาษาทมิฬ ผู้มาเยือนตามที่อาจารย์ว่าไว้..มันช่างบังเอิญจริงๆๆ

ลองหาความรู้เรื่อง Sundaland ดูนะครับ
อาจจะได้คำตอบว่าทำไมคนฟิลิปปินส์ถึงเหมือนคนไทย, ทำไมพวกอะบอริจินในออสเตรเลียถึงคล้ายพวกซาไก รวมทั้งหมาดิงโกในออสเตรเลีย ดูยังไง ๆ ก็หมาไทยเรานี่แหละ ทั้งรูปร่างหน้าตา ทั้งนิสัย (เสีย) เหมือนหมาไทยทุกอย่าง  อาจจะรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกมองโกล กับเอสกิโมและอินเดียนแดงในทวีปอเมริกาด้วย
ฟิลิปปินส์ตอนเหนือยิ่งคล้ายมีการทำขนมเหมือนเราเช่นขนมจากเล่ไม้หึ่ม แต่มีปลาหมักแบบน้ำบูดูทางใต้

ขนมที่เหมือนกัน เช่นกาละแม (ฟิลิปปินส์เรียกกาละไม) หรือขนมชั้น  คงจะเป็นวัฒนธรรมที่ได้มาจากสเปนกับโปรตุเกส
ส่วนของหมัก เช่นกะปิ ปลาร้า น้ำบูดู  น่าจะเป็นวัฒนธรรมร่วมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: วีระศักดิ์ รักในหลวงครับ ที่ มีนาคม 16, 2016, 07:35:52 PM
 ::014::มีน้ำพริกกินกับข้าวสวยเหมือนบ้านเราไหมครับ มีคนเคยเล่าให้ฟังว่าพิลิปปินส์หรืออินโดนี่แหละกินมะม่วงสุกกับข้าวสวยด้วยครับ. ไม่รู้เขาอำผมหรือเปล่า


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มีนาคม 16, 2016, 08:35:22 PM
::014::มีน้ำพริกกินกับข้าวสวยเหมือนบ้านเราไหมครับ มีคนเคยเล่าให้ฟังว่าพิลิปปินส์หรืออินโดนี่แหละกินมะม่วงสุกกับข้าวสวยด้วยครับ. ไม่รู้เขาอำผมหรือเปล่า

ผมเคยนั่งกินข้าวกับคุณโบโล่ เจ้าของโรงงานอาร์มสกอร์  บนโต๊ะอาหารมีมะม่วงใกล้สุกเป็น appetite


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ มีนาคม 17, 2016, 11:30:05 AM
ขนมที่เหมือนกัน เช่นกาละแม (ฟิลิปปินส์เรียกกาละไม) หรือขนมชั้น  คงจะเป็นวัฒนธรรมที่ได้มาจากสเปนกับโปรตุเกส ส่วนของหมัก เช่นกะปิ ปลาร้า น้ำบูดู  น่าจะเป็นวัฒนธรรมร่วมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
-มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ว่า คนที่กินกะปิ ปลาร้า น้ำปลา น้ำบูดู..ฯลฯ นี่ถือว่าอยู่ใต้อารยธรรมเขมร/มอญ   
-ส.พลายน้อย (อ้างพระดำรัส ร.4 อีกที)เขียนว่า กะปินี่เดิมเป็นของญวน เขมรเรียกกระบี..พอมาเป็นไทยเรียกกะปิ
ที่ ร.4 ต้องเขียนเรื่องนี้เพราะมีข้าราชการทำหนังสือกราบบังคมทูลเกี่ยวกับภาษี ในหนังสือนั้นเรียกกะปิว่า..งาปิ..(คงหวังให้ฟังสุภาพขึ้น)แต่พระองค์ท่านกริ้ว แล้วทรงออกประกาศว่าให้เรียกกะปิต่อไปตามเดิม หรือถ้าไม่เรียกกะปิให้เรียกว่าเยื่อเคอย..พระองค์ท่านว่าถึงเปลี่ยนไปเรียก..งาปิ คำว่า..ปิ..มันก็คงอยู่ ถ้างั้นก็ต้องเรียกกะทิว่า งาทิ..เรียกกะทะ ว่า งาทะ..ด้วยซิ. ;D 
 


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ มีนาคม 23, 2016, 07:21:33 AM
::014::มีน้ำพริกกินกับข้าวสวยเหมือนบ้านเราไหมครับ มีคนเคยเล่าให้ฟังว่าพิลิปปินส์หรืออินโดนี่แหละกินมะม่วงสุกกับข้าวสวยด้วยครับ. ไม่รู้เขาอำผมหรือเปล่า


ผมเคยนั่งกินข้าวกับคุณโบโล่ เจ้าของโรงงานอาร์มสกอร์  บนโต๊ะอาหารมีมะม่วงใกล้สุกเป็น appetite

คนปินส์กินสิ่งที่มีอยู่บางครอบครัวมีมะม่วงในบ้านก็เอามากินกับข้าว แต่หลักๆกินข้าวไว้ก่อนกินกับผักต้มจิ้มปลาหมักก็มี


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: แปจีหล่อ คนสันขวาน ที่ มีนาคม 23, 2016, 05:02:42 PM
ขนมที่เหมือนกัน เช่นกาละแม (ฟิลิปปินส์เรียกกาละไม) หรือขนมชั้น  คงจะเป็นวัฒนธรรมที่ได้มาจากสเปนกับโปรตุเกส ส่วนของหมัก เช่นกะปิ ปลาร้า น้ำบูดู  น่าจะเป็นวัฒนธรรมร่วมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
-มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ว่า คนที่กินกะปิ ปลาร้า น้ำปลา น้ำบูดู..ฯลฯ นี่ถือว่าอยู่ใต้อารยธรรมเขมร/มอญ   
-ส.พลายน้อย (อ้างพระดำรัส ร.4 อีกที)เขียนว่า กะปินี่เดิมเป็นของญวน เขมรเรียกกระบี..พอมาเป็นไทยเรียกกะปิ
ที่ ร.4 ต้องเขียนเรื่องนี้เพราะมีข้าราชการทำหนังสือกราบบังคมทูลเกี่ยวกับภาษี ในหนังสือนั้นเรียกกะปิว่า..งาปิ..(คงหวังให้ฟังสุภาพขึ้น)แต่พระองค์ท่านกริ้ว แล้วทรงออกประกาศว่าให้เรียกกะปิต่อไปตามเดิม หรือถ้าไม่เรียกกะปิให้เรียกว่าเยื่อเคอย..พระองค์ท่านว่าถึงเปลี่ยนไปเรียก..งาปิ คำว่า..ปิ..มันก็คงอยู่ ถ้างั้นก็ต้องเรียกกะทิว่า งาทิ..เรียกกะทะ ว่า งาทะ..ด้วยซิ. ;D 
 

งาปิ ก็ใกล้เคียงกับภาษาพม่าครับเพราะพม่าเรียกว่า"งาปิ๊"


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: ต.แม่สาย ที่ มีนาคม 28, 2016, 06:19:45 AM
 ::014:: กราบขอบคุณท่านผู้การครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มีนาคม 28, 2016, 09:13:53 AM
ผมเข้าใจว่ายักษ์ในรามเกียรติ์คงเป็นพวกทมิฬ (แต่คนทมิฬจริง ๆ ตัวเล็ก) พระราม พระลักษณ์คือชาวอารยัน
ทีนี้ที่ปักษ์ใต้มีหนังตะลุงซึ่งต้นเค้าก็อยู่ที่อินเดีย แต่ยักษ์ในหนังตะลุงผิวขาวครับ ร่างกายใหญ่โต นิสัยหยาบ ชอบกินสัตว์ กินคน ไม่ค่อยเหมือนคนทมิฬ(ผมเลยมั่วไปว่ายักษ์ในหนังตะลุงคือแขกขาว เพราะมุสลิมเคยรุกรานอินเดีย มหาวิทยาลัยนาลันทาถูกเผาราบเป็นหน้ากลอง)   

นาลานทา ถูกทำลายเพราะต้องการเปลี่ยนศาสนาในอินเดียให้เป็นแบบที่ผู้ชนะต้องการ
แต่นาลานทาตอนที่ถูกเผา เป็นพุทธมหายานนะครับ  ไม่ใช่เถรวาทแบบในบ้านเรา
ปัจจุบัน  ทางการอินเดียได้จัดตั้งมหาวิทยาลัย นวนาลานทาให้เป็นศูนย์กลางในการศึกษาศาสนาพุทธและภาษาบาลี  โดยชาวมุสลิมอินเดีย บริจาคที่ดินให้


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ มีนาคม 29, 2016, 09:12:54 PM
    นาลานทาถูกเผาอยู่เป็นอาทิตย์ จริงรึเปล่าครับ น่าจะเป็นมหาวิทยาลัยที่ใหญ่โตมาก


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มีนาคม 30, 2016, 08:38:43 PM
   นาลานทาถูกเผาอยู่เป็นอาทิตย์ จริงรึเปล่าครับ น่าจะเป็นมหาวิทยาลัยที่ใหญ่โตมาก

เฉพาะหนังสือ  ใช้เวลาเผา 3 เดือน ครับ
แต่นาลานทา ก็เป็นความตกต่ำของพุทธศาสนาหนทางหนึ่งเหมือนกัน
พระภิกษุมุ่งแสวงหาความรู้ เข้ามาเรียนกันมากมาย  ละทิ้งมวลชน   ทำให้ศาสนาฮินดู ฟื้นคืนเข้ามาได้ โดยอาศัยแนวทางของศังกราจารย์  เปลี่ยนศาสนาพราห์มเป็นศาสนาฮินดู  มีวัดเหมือนพุทธ  ที่เคยฆ่าสัตว์บูชายันต์ ก็เลิก พราห์มเข้าหามวลชนมากขึ้น  พิธีสวดต่าง ๆ ก็ไม่เก็บเงิน  แล้วแต่ศัทธา


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: รพินทรนาถ -รักในหลวงและสยามประเทศ ที่ มีนาคม 30, 2016, 11:24:55 PM
มหาวิทยาลัยนาลันทาในเวลานั้น มีการนำแนวคำสอนของนิกายตันตระเข้ามาสอนปะปนกับพุทธศาสนาซึ่งจะพัฒนาเป็นนิกายวัชรยานในภายหลัง ร่วมถึงเริ่มมีความขัดแย้งกันมากขึ้นระหว่างนิกายเถรวาทกับนิกายอาจาริยาวาท (มหายาน) มากยิ่งขึ้น จนถึงขั้นไม่ร่วมนานาสังวาสกันในอุโบสถเดียวกัน และมีการแยกเป็นนิกายย่อยอีก 18 นิกาย

ส่วนในชนบทห่างไกล นอกจากศังกราจารย์แล้วยังปรากฏว่าบรรดากษัตริย์ในหลายแคว้น หลายเมืองเริ่มเปลี่ยนจากการนับถือพุทธศาสนามาเป็นฮินดูอีกครั้ง ซึ่งในช่วงราชวงศ์คุปตะ-ราชวงศ์ปาละ จะเป็นช่วงราชวงศ์ท้ายๆ ที่นับถือพระพุทธศาสนาในอินเดีย ก่อนที่จะถูกกลืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของฮินดูครับ ส่วนชาวพุทธบางกลุ่มก็ลี้ภัยมายังดินแดนสุวรรณภูมิซึ่งจะตรงกับช่วงยุคทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 11-18) โดยประมาณ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มีนาคม 31, 2016, 11:28:46 AM
มหาวิทยาลัยนาลันทาในเวลานั้น มีการนำแนวคำสอนของนิกายตันตระเข้ามาสอนปะปนกับพุทธศาสนาซึ่งจะพัฒนาเป็นนิกายวัชรยานในภายหลัง ร่วมถึงเริ่มมีความขัดแย้งกันมากขึ้นระหว่างนิกายเถรวาทกับนิกายอาจาริยาวาท (มหายาน) มากยิ่งขึ้น จนถึงขั้นไม่ร่วมนานาสังวาสกันในอุโบสถเดียวกัน และมีการแยกเป็นนิกายย่อยอีก 18 นิกาย

ส่วนในชนบทห่างไกล นอกจากศังกราจารย์แล้วยังปรากฏว่าบรรดากษัตริย์ในหลายแคว้น หลายเมืองเริ่มเปลี่ยนจากการนับถือพุทธศาสนามาเป็นฮินดูอีกครั้ง ซึ่งในช่วงราชวงศ์คุปตะ-ราชวงศ์ปาละ จะเป็นช่วงราชวงศ์ท้ายๆ ที่นับถือพระพุทธศาสนาในอินเดีย ก่อนที่จะถูกกลืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของฮินดูครับ ส่วนชาวพุทธบางกลุ่มก็ลี้ภัยมายังดินแดนสุวรรณภูมิซึ่งจะตรงกับช่วงยุคทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 11-18) โดยประมาณ

เพิ่มเติมให้ครับ
ตรันตระ เดิมเป็นนิกายหนึ่งของศาสนาพราห์ม   เน้นการเสพตัณหาเพื่อให้เกิดความรู้แจ้ง   และทำกันอย่างโจ่งแจ้ง  อย่างเช่นวิหารกามสูตรที่คาจูราโฮ  รัฐมัธยประเทศ (เป็นศาสนสถานที่เป็นมรดกโลก)  ก็เป็นส่วนหนึ่งของตันตระ (ฮินดู)

ช่วงนั้นแนวทางของพุทธมหายาน เข้าใกล้กับศาสนาพราห์มมากขึ้น ๆ ทุกที  จนรับเอาตันตระเข้ามาเป็นนิกายหนึ่งของศาสนาพุทธ  มีการเสพตัณหาเพื่อให้เกิดปัญญา  ทั้งเหล้า ทั้งกามที่พระพุทธเจ้าห้ามไว้  พระในนิกายตันตระ ทดลองหมดทุอย่าง  เพื่อให้รู้ว่าทำไมถึงห้าม  แต่ของพุทธ จะปฏิบัติในห้องลับ

ปัจจุบัน พุทธตันตระได้พัฒนาเป็นวัชรยานของธิเบต  ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับกามคุณแล้ว แต่อาจจะยังมีอะไรแปลก ๆ อยู่บ้าง  เช่นบางนิกายย่อย มีการผูกอวัยวะเพศลากก้อนหิน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ มีนาคม 31, 2016, 12:49:27 PM
มหาวิทยาลัยนาลันทาในเวลานั้น มีการนำแนวคำสอนของนิกายตันตระเข้ามาสอนปะปนกับพุทธศาสนาซึ่งจะพัฒนาเป็นนิกายวัชรยานในภายหลัง ร่วมถึงเริ่มมีความขัดแย้งกันมากขึ้นระหว่างนิกายเถรวาทกับนิกายอาจาริยาวาท (มหายาน) มากยิ่งขึ้น จนถึงขั้นไม่ร่วมนานาสังวาสกันในอุโบสถเดียวกัน และมีการแยกเป็นนิกายย่อยอีก 18 นิกาย

ส่วนในชนบทห่างไกล นอกจากศังกราจารย์แล้วยังปรากฏว่าบรรดากษัตริย์ในหลายแคว้น หลายเมืองเริ่มเปลี่ยนจากการนับถือพุทธศาสนามาเป็นฮินดูอีกครั้ง ซึ่งในช่วงราชวงศ์คุปตะ-ราชวงศ์ปาละ จะเป็นช่วงราชวงศ์ท้ายๆ ที่นับถือพระพุทธศาสนาในอินเดีย ก่อนที่จะถูกกลืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของฮินดูครับ ส่วนชาวพุทธบางกลุ่มก็ลี้ภัยมายังดินแดนสุวรรณภูมิซึ่งจะตรงกับช่วงยุคทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 11-18) โดยประมาณ
พอดีอ่านข่าวมาว่าวัดที่นครศรีธรรมราชอายุจริงๆน่าจะ 1000 - 1100 ปีตรงกันไหมครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ มีนาคม 31, 2016, 04:24:19 PM
มหาวิทยาลัยนาลันทาในเวลานั้น มีการนำแนวคำสอนของนิกายตันตระเข้ามาสอนปะปนกับพุทธศาสนาซึ่งจะพัฒนาเป็นนิกายวัชรยานในภายหลัง ร่วมถึงเริ่มมีความขัดแย้งกันมากขึ้นระหว่างนิกายเถรวาทกับนิกายอาจาริยาวาท (มหายาน) มากยิ่งขึ้น จนถึงขั้นไม่ร่วมนานาสังวาสกันในอุโบสถเดียวกัน และมีการแยกเป็นนิกายย่อยอีก 18 นิกาย
ส่วนในชนบทห่างไกล นอกจากศังกราจารย์แล้วยังปรากฏว่าบรรดากษัตริย์ในหลายแคว้น หลายเมืองเริ่มเปลี่ยนจากการนับถือพุทธศาสนามาเป็นฮินดูอีกครั้ง ซึ่งในช่วงราชวงศ์คุปตะ-ราชวงศ์ปาละ จะเป็นช่วงราชวงศ์ท้ายๆ ที่นับถือพระพุทธศาสนาในอินเดีย ก่อนที่จะถูกกลืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของฮินดูครับ ส่วนชาวพุทธบางกลุ่มก็ลี้ภัยมายังดินแดนสุวรรณภูมิซึ่งจะตรงกับช่วงยุคทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 11-18) โดยประมาณ
เพิ่มเติมให้ครับ
ตรันตระ เดิมเป็นนิกายหนึ่งของศาสนาพราห์ม   เน้นการเสพตัณหาเพื่อให้เกิดความรู้แจ้ง   และทำกันอย่างโจ่งแจ้ง  อย่างเช่นวิหารกามสูตรที่คาจูราโฮ  รัฐมัธยประเทศ (เป็นศาสนสถานที่เป็นมรดกโลก)  ก็เป็นส่วนหนึ่งของตันตระ (ฮินดู)
ช่วงนั้นแนวทางของพุทธมหายาน เข้าใกล้กับศาสนาพราห์มมากขึ้น ๆ ทุกที  จนรับเอาตันตระเข้ามาเป็นนิกายหนึ่งของศาสนาพุทธ  มีการเสพตัณหาเพื่อให้เกิดปัญญา  ทั้งเหล้า ทั้งกามที่พระพุทธเจ้าห้ามไว้  พระในนิกายตันตระ ทดลองหมดทุอย่าง  เพื่อให้รู้ว่าทำไมถึงห้าม  แต่ของพุทธ จะปฏิบัติในห้องลับ
ปัจจุบัน พุทธตันตระได้พัฒนาเป็นวัชรยานของธิเบต  ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับกามคุณแล้ว แต่อาจจะยังมีอะไรแปลก ๆ อยู่บ้าง  เช่นบางนิกายย่อย มีการผูกอวัยวะเพศลากก้อนหิน
เสพกามเพื่อความหลุดพ้นนี่..น่าสนุกดีนะครับ..55555.. ;D


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: รพินทรนาถ -รักในหลวงและสยามประเทศ ที่ มีนาคม 31, 2016, 05:23:56 PM
เสพกามเพื่อความหลุดพ้นนี่..น่าสนุกดีนะครับ..55555.. ;D
ระวังเจอหญิงรุมแบบ 7 ต่อ 1 พอฝ่ายชายป้อแป้ไม่ไหวแล้ว คุณเธอทั้งหลายคงหงุดหงิดเลยช่วยกันเอากระดาษทรายขัดจรวดเสียถลอกปอกเปิกเหมือนถลกหนังออก

แบบนั้นตายดีกว่าครับ  ::012::


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: รพินทรนาถ -รักในหลวงและสยามประเทศ ที่ มีนาคม 31, 2016, 05:32:51 PM
พอดีอ่านข่าวมาว่าวัดที่นครศรีธรรมราชอายุจริงๆน่าจะ 1000 - 1100 ปีตรงกันไหมครับ

ช่วงที่พุทธศาสนาเริ่มเสื่อมสลายไปจากอินเดียเกิดในช่วงพุทธศตวรรษที่ 8 ไล่ลงมาครับ ส่วนยุคทวารวดีและศรีวิชัยเริ่มในช่วงราวพุทธศตวรรษที่ 11 จนถึง 18 ก่อนหน้านั้นก็จะเป็นยุคฟูนัน-เจนละ ส่วนทางปักษ์ใต้ก็จะเป็นพวกตามพรลิงค์พวกนั้นครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มีนาคม 31, 2016, 07:06:42 PM
พอดีอ่านข่าวมาว่าวัดที่นครศรีธรรมราชอายุจริงๆน่าจะ 1000 - 1100 ปีตรงกันไหมครับ

ช่วงที่พุทธศาสนาเริ่มเสื่อมสลายไปจากอินเดียเกิดในช่วงพุทธศตวรรษที่ 8 ไล่ลงมาครับ ส่วนยุคทวารวดีและศรีวิชัยเริ่มในช่วงราวพุทธศตวรรษที่ 11 จนถึง 18 ก่อนหน้านั้นก็จะเป็นยุคฟูนัน-เจนละ ส่วนทางปักษ์ใต้ก็จะเป็นพวกตามพรลิงค์พวกนั้นครับ

ยุคทวาราวดี นี่เขายังสงสัยกันอยู่นะครับ ว่าอาจจะไม่มีอาณาจักรทวาราวดีอย่างที่เคยเชื่อกัน  มีแต่วัฒนธรรมแบบทวาราวดี


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ มีนาคม 31, 2016, 07:53:31 PM
     บูโรพุทโธ เป็นศูนย์กลางของศาสนาพุทธในยุคศรีวิชัยรึเปล่าครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มีนาคม 31, 2016, 10:20:22 PM
     บูโรพุทโธ เป็นศูนย์กลางของศาสนาพุทธในยุคศรีวิชัยรึเปล่าครับ

นักประวัติศาสตร์ยังเถียงกันไม่เสร็จครับ บางท่านเชื่อว่านครศรีธรรมราช บางท่านก็เชื่อว่าเป็นนครปฐม    แต่บันทึกของหลวงจีนอี้จิง (ศิษย์เก่านาลานทา รุ่นหลังพระถังซำจั๋ง) ระบุว่า ในช่วง พ.ศ.1200 พุทธมหายานเจริญรุ่งเรืองในศรีวิชัย


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: รพินทรนาถ -รักในหลวงและสยามประเทศ ที่ มีนาคม 31, 2016, 11:01:55 PM
ยุคทวาราวดี นี่เขายังสงสัยกันอยู่นะครับ ว่าอาจจะไม่มีอาณาจักรทวาราวดีอย่างที่เคยเชื่อกัน  มีแต่วัฒนธรรมแบบทวาราวดี
ผมมีความเห็นว่าทวารวดีไม่ใช่อาณาจักรแน่นอนครับ เพราะท่านอาจารย์ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม ให้ความเห็นในวารสารเมืองโบราณ เล่มที่แล้วว่า แต่ละเมืองน่าจะเป็นอิสระต่อกัน แต่อาจจะปกครองในรูปแบบคล้ายๆ กับระบอบสหพันธรัฐในแบบปัจจุบันมากกว่าครับ

ส่วนวัฒนธรรมทวารวดี ผมมองว่าได้รับอิทธิพลมาจากทางอินเดียตอนกลางกับทางตอนใต้มากกว่าอินเดียตอนเหนือ สังเกตจากพุทธลักษณะของพระพุทธรูปแบบทวารวดีโดยเฉพาะในยุคต้นจะได้รับอิทธิพลจากศิลปะอินเดียแบบอมราวดีกับแบบคุปตะ รวมถึงการใช้อักษรปัลลวะจารึกคัมภีร์หรือพระคาถาบนโบราณวัตถุและโบราณสถาน และลวดลายปูนปั้นตลอดจนลายแกะสลักก็ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะแบบคุปตะเช่นกันครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 01, 2016, 01:10:37 PM
ยุคทวาราวดี นี่เขายังสงสัยกันอยู่นะครับ ว่าอาจจะไม่มีอาณาจักรทวาราวดีอย่างที่เคยเชื่อกัน  มีแต่วัฒนธรรมแบบทวาราวดี
ผมมีความเห็นว่าทวารวดีไม่ใช่อาณาจักรแน่นอนครับ เพราะท่านอาจารย์ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม ให้ความเห็นในวารสารเมืองโบราณ เล่มที่แล้วว่า แต่ละเมืองน่าจะเป็นอิสระต่อกัน แต่อาจจะปกครองในรูปแบบคล้ายๆ กับระบอบสหพันธรัฐในแบบปัจจุบันมากกว่าครับ

ส่วนวัฒนธรรมทวารวดี ผมมองว่าได้รับอิทธิพลมาจากทางอินเดียตอนกลางกับทางตอนใต้มากกว่าอินเดียตอนเหนือ สังเกตจากพุทธลักษณะของพระพุทธรูปแบบทวารวดีโดยเฉพาะในยุคต้นจะได้รับอิทธิพลจากศิลปะอินเดียแบบอมราวดีกับแบบคุปตะ รวมถึงการใช้อักษรปัลลวะจารึกคัมภีร์หรือพระคาถาบนโบราณวัตถุและโบราณสถาน และลวดลายปูนปั้นตลอดจนลายแกะสลักก็ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะแบบคุปตะเช่นกันครับ

หลายคนอ้างว่าลายกนกเป็นลายไทย  บางท่านไปไกลถึงขนาดไปบอกว่าลาว เขมร เลียนแบบไปจากไทย
เรื่องจริงก็คือ ต่างก็ได้รับอิทธิพลมาจากอินเดียด้วยกันทั้งนั้น


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ เมษายน 01, 2016, 02:27:29 PM
ชาวทมิฬ..เป็นคนพวกไหนครับ ระหว่างมองโกลอยด์ หรือ นิกรอยด์..อารยันนั้นไม่ใช่แน่ ๆ อยู่แล้ว   


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 01, 2016, 07:43:26 PM
ชาวทมิฬ..เป็นคนพวกไหนครับ ระหว่างมองโกลอยด์ หรือ นิกรอยด์..อารยันนั้นไม่ใช่แน่ ๆ อยู่แล้ว   

ดราวิเดียนครับ
เป็นกลุ่มเดียวกับอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ  จุดเด่นอยู่ที่ระบบภาษา กับการก่อสร้างและระบบผังเมือง  ก้าวหน้ากว่าชาวยุโรปเป็นพันปี


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 04, 2016, 01:55:06 PM
มหาวิทยาลัยนาลันทาในเวลานั้น มีการนำแนวคำสอนของนิกายตันตระเข้ามาสอนปะปนกับพุทธศาสนาซึ่งจะพัฒนาเป็นนิกายวัชรยานในภายหลัง ร่วมถึงเริ่มมีความขัดแย้งกันมากขึ้นระหว่างนิกายเถรวาทกับนิกายอาจาริยาวาท (มหายาน) มากยิ่งขึ้น จนถึงขั้นไม่ร่วมนานาสังวาสกันในอุโบสถเดียวกัน และมีการแยกเป็นนิกายย่อยอีก 18 นิกาย

ส่วนในชนบทห่างไกล นอกจากศังกราจารย์แล้วยังปรากฏว่าบรรดากษัตริย์ในหลายแคว้น หลายเมืองเริ่มเปลี่ยนจากการนับถือพุทธศาสนามาเป็นฮินดูอีกครั้ง ซึ่งในช่วงราชวงศ์คุปตะ-ราชวงศ์ปาละ จะเป็นช่วงราชวงศ์ท้ายๆ ที่นับถือพระพุทธศาสนาในอินเดีย ก่อนที่จะถูกกลืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของฮินดูครับ ส่วนชาวพุทธบางกลุ่มก็ลี้ภัยมายังดินแดนสุวรรณภูมิซึ่งจะตรงกับช่วงยุคทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 11-18) โดยประมาณ
พอดีอ่านข่าวมาว่าวัดที่นครศรีธรรมราชอายุจริงๆน่าจะ 1000 - 1100 ปีตรงกันไหมครับ


ศาสนาพุทธเข้ามาหลายช่วงอยู่ครับ ยุคแรกสุดเป็นเถรวาท (ยังมีนักประวัติศาสตร์โต้แย้งอยู่) แล้วก็มหายาน  แต่หลังสุดเป็นเถรวาทจากลังกา

นครศรีธรรมราชน่าจะเป็นยุคมหายาน แต่นักประวัติศาสตร์บางท่านก็บอกว่าใหม่กว่านั้น คือเป็นลังกาวงศ์ในช่วง พ.ศ.1800
ส่วนที่นครปฐม น่าจะเป็นรุ่นแรก ๆ คือ พ.ศ.สองร้อยกว่า ใกล้เคียงกับพระมหาธาตุหลวงที่เวียงจันทร์   ของเราถึงได้ชื่อ "ปฐมเจดีย์"  โครงสร้างก็ประหลาด คือใช้ต้นซุงใหญ่มาก มัดรวมกันด้วยโซ่ขนาดยักษ์  โครงสร้างเดิมเป็นรูปมะนาวผ่าซีก  เหมือนสถูปยุคแรกในอินเดีย  ต่อมาจึงได้เพิ่มพระปรางค์ขึ้นไป

พระปฐมเจดีย์ น่าจะเป็นเจดีย์เดียวกับพระธมเจดีย์ในเอกสารของพวกขอม  แต่ชื่อคนละความหมายกัน เพราะธมแปลว่าใหญ่ หรือของอะไรที่สำคัญ เช่นนครธมแปลว่าเมืองหลวง   ส่วนชื่อปฐมเจดีย์น่าจะตั้งขึ้นในสมัย ร.5

แต่เรื่องศาสนาในไทย อย่าไปจริงจังมาก   เพราะเรานับถือปะปนกันไปหมด  รับของใหม่แต่ไม่ทิ้งของเก่า
ตัวอย่างเช่นพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ  มีทั้งศาสนาผี (ไหว้ผีขวัญ)  พราห์ม พุทธ รวมอยู่ในพิธีเดียว


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ เมษายน 04, 2016, 03:52:01 PM
90 ปี  ต่อ 13 ครั้ง   ถ้ามาเฉลี่ยดู   ถ้าในรอบ 10 ปี ฆ่าล้างบางกัน1 ที  ก็จะมีการฆ่ากันแค่ 9 ครั้ง   แต่ นี่ มีถึง 13 ครั้ง ก็แสดงว่า ในบางครั้ง ยังไม่ทันครบสิบปี  ก็ฆ่าล้างบางกันเสียแล้ว
ฟังอาจารย์ มาถึงตรงนี้ ก็สบายใจว่า ในทุกวันนี้  มันก็ยังคล้ายๆ ของเดิม จึงไม่น่าแปลกใจอะไร ..... อาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ ไม่ถึงกับฆ่ากันตาย แค่สมบัติ ผลัดกันชม ......
ขุนหลวงพะงั่ว(ลุง) เคยเดินทัพจากสุพรรณบุรีมาเอาเมืองโยธยาจากหลานชาย(พระราเมศวร) แล้วลดฐานะให้พระราเมศวรไปเป็นเจ้าเมืองละโว้ที่ลพบุรี
พอสิ้นพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว) พระราเมศวรก็ยกทัพกลับมาเอาอโยธยาคืนจากพระเจ้าทองลันบุตรแห่งขุนหลวงพะงั่ว ซึ่งขึ้นครองราชในขณะอายุ15ปี แล้วสำเร็จโทษพระเจ้าทองลันด้วยท่อนไม้จันทร์จนสวรรคต พระเจ้าทองลันครองราชสมบัติได้เพียง 7 วัน

แค่นี้ก็พอทราบถึงสภาพการปกครองของยุคนั้น

อยุธยาเป็นเมืองหลวงนานกว่า 330ปี ในขณะที่รัตนโกสินทร์ ยังเป็นเมืองหลวงอยู่ราวๆ234ปี (รัตนโกสินทร์ตั้งเมื่อ 2325)

ถ้านับ การเปลี่ยนกษัตริย์ ถือว่าเยอะ แต่นั่นยังไม่นับการเปลี่ยนราชวงศ์ของอยุธยา..


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 04, 2016, 07:49:29 PM
90 ปี  ต่อ 13 ครั้ง   ถ้ามาเฉลี่ยดู   ถ้าในรอบ 10 ปี ฆ่าล้างบางกัน1 ที  ก็จะมีการฆ่ากันแค่ 9 ครั้ง   แต่ นี่ มีถึง 13 ครั้ง ก็แสดงว่า ในบางครั้ง ยังไม่ทันครบสิบปี  ก็ฆ่าล้างบางกันเสียแล้ว
ฟังอาจารย์ มาถึงตรงนี้ ก็สบายใจว่า ในทุกวันนี้  มันก็ยังคล้ายๆ ของเดิม จึงไม่น่าแปลกใจอะไร ..... อาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ ไม่ถึงกับฆ่ากันตาย แค่สมบัติ ผลัดกันชม ......
ขุนหลวงพะงั่ว(ลุง) เคยเดินทัพจากสุพรรณบุรีมาเอาเมืองโยธยาจากหลานชาย(พระราเมศวร) แล้วลดฐานะให้พระราเมศวรไปเป็นเจ้าเมืองละโว้ที่ลพบุรี
พอสิ้นพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว) พระราเมศวรก็ยกทัพกลับมาเอาอโยธยาคืนจากพระเจ้าทองลันบุตรแห่งขุนหลวงพะงั่ว ซึ่งขึ้นครองราชในขณะอายุ15ปี แล้วสำเร็จโทษพระเจ้าทองลันด้วยท่อนไม้จันทร์จนสวรรคต พระเจ้าทองลันครองราชสมบัติได้เพียง 7 วัน

ลุงกับหลานเขารู้มือกันครับ   เพราะพระราเมศวรเคยไปพลาดท่าเสียทีเขมร  ได้ขุนหลวงพะงั่วไปช่วย พระราเมศวรถึงรอดมาได้
แต่พระราเมศวรก็ยอมให้เฉพาะลุง  จึงชิงราชสมบัติจากลูกพี่ลูกน้องตัวเอง

ส่วนขุนหลวงพะงั่วเองก็รู้มือพระเจ้าอู่ทอง  เพราะร่วมกันกำราบหัวเมืองเหนือมาด้วยกัน  ระยะแรกพระเจ้าอู่ทองสวมบทเจมส์ บอนด์ ปลอมตัวเป็นพ่อค้าข้าว ลอบเข้าไปสืบสภาพการป้องกันเมืองสุโขทัย แต่หลังจากยึดครองหัวเมืองเหนือได้ ก็ให้ขุนหลวงพะงั่วปกครอง  จึงกลายเป็นสายสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์สุพรรณภูมิกับราชวงศ์พระร่วงมาจนถึงพระมหาธรรมราชาและพระนเรศวร

พระราเมศวร (ราชวงศ์อู่ทอง) ครองราชได้ 7 ปีก็สวรรคต  พระรามราชาราชโอรสขึ้นครองราชแทนได้ 15 ปี   ระหว่างนั้นพวกสุพรรณภูมิก็ค้าขายกับจีนรุ่งเรืองมากขึ้น จนกระทั่งพระเจ้ากรุงจีนให้การสนับสนุน ยกย่องเจ้านครอินทร์ (หลานขุนหลวงพะงั่ว) เป็นพระมหากษัตริย์ไทยอีกพระองค์หนึ่ง   จนกระทั่ง พ.ศ.1952 สถานการณ์สุกงอม  ทางจีนก็เข้าแทรกแซง กดดันให้ราชวงศ์สุพรรณภูมิครองราชที่อยุธยา   เจ้าพระยามหาเสนาบดีของอยุธยาได้ย้ายข้างไปอยู่กับสุพรรณภูมิ จึงเปลี่ยนราชวงศ์  แต่ขุนนครอินทร์ไม่ปลงพระชนม์พระรามราชา  เนรเทศให้ไปครองเมืองเมืองปทาคูจาม (สันนิษฐานว่าเมืองนี้อาจจะอยู่ในเขมร)

ที่น่าแปลกใจก็คือ  สุพรรณภูมิชิงราชสมบัติ 2 ครั้งโดยไม่สำเร็จโทษราชวงศ์อู่ทอง  ส่วนราชวงศ์อู่ทองจัดการเรียบร้อย


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ เมษายน 05, 2016, 02:20:49 PM

อยุธยามีพระมหากษัตริย์ 33 พระองค์ ถ้านับขุนวรวงศา ฯ ด้วยก็ 34

คาใจ ขุนวรวงศาธิราชนี่แหละครับ บางตำราก็นับเป็นกษัตริย์ บางตำราก็ไม่นับ ทั้งๆที่ผ่านพิธีราชาภิเษกแล้ว
ที่มาก็คลุมเครือ ไม่แน่ชัด บ้างก็ว่าไปถึงเป็นหมอผี ยิ่งจุดจบของขุนวรวงศาฯ ต่างฝ่ายต่างบันทึก ยิ่งไม่ค่อยเหมือนกัน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: แปจีหล่อ คนสันขวาน ที่ เมษายน 05, 2016, 07:06:00 PM
 นั่นสิครับทำไมถึงไม่นับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 05, 2016, 09:43:08 PM

อยุธยามีพระมหากษัตริย์ 33 พระองค์ ถ้านับขุนวรวงศา ฯ ด้วยก็ 34
คาใจ ขุนวรวงศาธิราชนี่แหละครับ บางตำราก็นับเป็นกษัตริย์ บางตำราก็ไม่นับ ทั้งๆที่ผ่านพิธีราชาภิเษกแล้ว
ที่มาก็คลุมเครือ ไม่แน่ชัด บ้างก็ว่าไปถึงเป็นหมอผี ยิ่งจุดจบของขุนวรวงศาฯ ต่างฝ่ายต่างบันทึก ยิ่งไม่ค่อยเหมือนกัน
นั่นสิครับทำไมถึงไม่นับ

มีบันทึกว่าการได้ขึ้นครองราช  มาจากเรื่องเสียหายหลายเรื่อง เช่นเป็นชู้, ลอบวางยาพิษพระมหากษัตริย์พระองค์ก่อน
ส่วนฝ่ายที่เห็นว่าขุนวรวงศา สมควรนับเป็นกษัตริย์  อาจจะศึกษาจะบันทึกอื่น ๆ เช่นพระชัยราชาบาดเจ็บจากสงคราม และสวรรคตก่อนถึงศรีอยุธยา ข้อหาวางยาพิษจึงไม่เป็นความจริง  รวมทั้งเทียบระยะเวลา ที่มองเห็นได้ว่าเป็นเรื่องของการมีสามีใหม่ ไม่ใช่การคบชู้

เราลองพิจารณาในสมมุติฐานทางรัฐศาสตร์
กรุงศรีอยุธยา มีปัญหาเรื่องเมืองลูกหลวง  ตั้งแต่สมเด็จพระอินทราชา (เจ้านครอินทร์) ให้ลูก 3 คนไปครอง 3 เมือง  แล้วก็มาแย่งราชสมบัติกัน  เจ้าอ้าย เจ้ายี่ ชนช้างกันตายทั้งคู่  ส่วนเจ้าสามพระยา   อยู่ไกลกว่าพี่  มาถึงช้าเลยได้ขึ้นครองราช
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจึงแก้ปัญหานี้ด้วยการยกเลิกเมืองลูกหลวง  เหลือเท่าที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น  ได้แก่พิษณุโลก
เมื่อพระชัยราชาขึ้นครองราช  พระมหาธรรมราชาได้เป็นเจ้าเมืองพิษณุโลกแทน  แต่เหมือนกับพระชัยราชาจะไม่ค่อยไว้ใจเท่าใดนัก จึงให้พระมหาธรรมราชาเป็นขุนพิเรนทรเทพ ซึ่งเป็นตำแหน่งขุนนางของอยุธยา  คือเอาไว้ใกล้ตัว   ทางพิษณุโลก น่าจะให้ปลัดเมืองปกครองไป  ตรงนี้พระมหาธรรมราชาก็คงไม่พอใจเท่าใดนัก

เมื่อขุนวรวงศาขึ้นครองราช  หัวเมืองเหนือกระด้างกระเดื่อง ขุนวรวงศาจึงมีคำสั่งเรียกเจ้าเมืองทั้งหมดเข้ามากรุงศรีอยุธยา  ซึ่งอ่านเกมส์ได้ว่าจะถูกเปลี่ยนตัวแน่  จึงเกิดการรัฐประหาร โดยพระมหาธรรมราชาเป็นหัวหน้า ต่อจากนั้นฝ่ายชนะก็เป็นฝ่ายเขียนประวัติศาสตร์

แต่ถามว่าเมื่อยึดอำนาจสำเร็จ ทำไมถึงไม่ครองราชเอง   ตรงนี้ตอบได้ว่าต้นทุนทางการเมืองทางอยุธยาของพระมหาธรรมราชายังไม่พอ  จึงต้องหาผู้ที่มีต้นทุนทางการเมืองสูงกว่า แต่ต้องไม่เข้มแข็งมากนัก ไม่งั้นอาจจะถูกลดอำนาจซ้ำสอง  จึงเป็นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ  เพราะตอนเกิดเรื่องทีแรก ก็ไม่สู้ หนีไปบวชแทน

แล้วทำไมพระมหาธรรมราชาถึงได้ขึ้นครองราชหลังเสียกรุง   ตอบได้ว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว  หลังเสียกรุงบุเรงนองเชิญสมเด็จพระมหินทราธิราชกับขุนนางที่เป็นศัตรูทางการเมืองของพระมหาธรรมราชาไปปรับทัศนคติที่พม่าเกือบหมดกรุง  เปิดโอกาสให้พระมหาธรรมราชาตั้งขุนนางใหม่ขึ้นเอง  ขนาดนั้น ตอนเกิดกบฎญาณพิเชียร (ขุนโกหก)  และสามารถเอาชนะกองทัพของพระยาจักรีได้  พระมหาธรรมราชาก็เกือบจะทิ้งกรุงศรีอยุธยาไปตั้งรับที่พิษณุโลก  พอดีญาณพิเชียรถูกทหารฝรั่งเล่นบทสไนเปอร์ ลอบสังหารได้เสียก่อน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: araki-รักในหลวง ที่ เมษายน 06, 2016, 11:01:02 AM
เพื่ออำนาจ นี่หน้ากลัวจริงๆ
เบี้ยเล็กเบี้ยน้อยอุทิศตัวตามความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง
หน้าสงสารจังนะครับ สมัยนี้จึงเปลี่ยนเป็นรับค่าจ้างแทน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: วีระศักดิ์ รักในหลวงครับ ที่ เมษายน 06, 2016, 01:13:59 PM
 ::014::ผมสงสัยอยู่เรื่องนึงครับ. คือขุนวรวงศาเป็นพรามณ์เฝ้าหอพระไม่ได้เป็นนักรบไม่มีกำลังในมือ และก็ขึ้นครองราชด้วยวิธีแปลกๆ ทำไมในตอนนั้นจึงไม่มีใครขัดขวางครับ แต่เพิ่งจะมายึดอำนาจและสำเร็จโทษกันในตอนหลังโดยขุนพิเรนทร
 วานท่านผู้รู้ช่วยให้ความกระจ่างด้วยครับ ::014::


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 06, 2016, 03:48:52 PM
::014::ผมสงสัยอยู่เรื่องนึงครับ. คือขุนวรวงศาเป็นพรามณ์เฝ้าหอพระไม่ได้เป็นนักรบไม่มีกำลังในมือ และก็ขึ้นครองราชด้วยวิธีแปลกๆ ทำไมในตอนนั้นจึงไม่มีใครขัดขวางครับ แต่เพิ่งจะมายึดอำนาจและสำเร็จโทษกันในตอนหลังโดยขุนพิเรนทร
 วานท่านผู้รู้ช่วยให้ความกระจ่างด้วยครับ ::014::

รู้ได้ยังไงว่าไม่มีกำลังในมือ
พวกเชื้อสายละโว้เขาซ่องสุมกำลังกันที่บ้านมหาโลก เป็นชุมชนริมแม่น้ำป่าสัก  ปัจจุบันเป็นโรงงานปูนซิเมนต์ อยู่ที่อำเภอบ้านหมอ สระบุรี  ทุกวันนี้ก็ยังคงมีวัดมหาโลก มีพระร่วงโรจนฤทธิ์เป็นของศักดิ์สิทธิ์  ในหนังท่านมุ้ย ก็บอกว่าเป็นโรงตีดาบ  คือเทียบได้กับกรมสรรพาวุธในทุกวันนี้
การเป็นชุมชนที่มีการผลิตอาวุธ แล้วยังคงตั้งมั่นอยู่ได้ โดยที่กรุงศรีอยุธยาไม่ไปกวาดต้อนเข้ามาไว้ในกำแพงเมือง  ก็แสดงว่ามีอิทธิพลพอสมควร

ที่พวกอู่ทอง/ละโว้เป็นพราห์ม จึงรอดชีวิตมาได้หลังผลัดแผ่นดิน   สังเกตจากเมื่อขุนหลวงพะงั่วยกกองทัพมาจากสุพรรณบุรี  พระราเมศวรก็รอดชีวิตกลับไปครองลพบุรี แล้วตัวเองก็มาชิงบัลลังก์ ฆ่าน้อง  แต่รุ่นลูก ที่ถูกพวกสุพรรณภูมิมายึดอำนาจ  ทางสายสุพรรณบุรีก็ละเว้นชีวิตให้อีก ให้ไปครองเมืองปทาคูจาม
สมัยอยุธยา  เวลาพราห์มทำผิด  โทษเบามาก แค่ให้แขวนปะคำลูกใหญ่ ๆ เป็นการประจานเท่านั้น


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 06, 2016, 04:12:48 PM
นอกจากนั้น  ยังมีลพบุรี กับศรีเทพ ที่เกี่ยวดองกัน  รวมทั้งชุมชุมโบราณเชื้อสายขอมจากพิมายไปถึงเขมรอีกด้วย

ในยุคขอมเรืองอำนาจ  บรรพชนของพวกขอมอยู่ที่พิมาย แล้วจึงอพยพไปอยู่เขมรต่ำ  และมีการสร้างถนนจากโคราชไปเขมร  แสดงว่าทางโคราชเองก็ยังต้องมีชุมชนเขมรตั้งอยู่ จึงมีการสร้างมอเตอร์เวย์ไว้  เป็นถนนซึ่งที่มีที่พักค้างคืนตลอดเส้นทาง  บางที่พักเป็น อโรคาสถานหรือ Medic center ด้วย
ในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ เห็นความสำคัญของโคราช ใช้โคราชเป็นฐานรวมกำลังเข้าตีเขมร  กำหนดให้เจ้าเมืองโคราชเป็นข้าราชการระดับสูงมาก ปรากฏตามพระอัยการตำแหน่งนาพลเรือน มีศักดินาถึงหมื่นไร่  และมีการวางกำลังคนจากอยุธยาไปไว้ที่โคราช   สำเนียงคนโคราชในปัจจุบันถึงได้ประหลาดกว่าจังหวัดอื่น ๆ ที่ล้อมรอบ  ออกลาวเหน่อ ๆ 


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: วีระศักดิ์ รักในหลวงครับ ที่ เมษายน 06, 2016, 06:12:06 PM
 ::014::ขอบพระคุณมากครับ กระจ่างเลยครับ พอนึกออกแล้วครับในหนังของท่านมุ้ยกล่าวถึงญาติของขุนวรวงศาชื่อจันอยู่ที่โรงตีดาบ. ซึ่งหากขุนวรวงศากระทำการสำเร็จ ก็จะให้เป็นอุปราชจัน ซึ่งต่อมาก็ถูกหมื่นราชเสน่หา ยิงด้วยปืนไฟตกหลังช้าง  ::014::


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: แปจีหล่อ คนสันขวาน ที่ เมษายน 06, 2016, 07:11:20 PM
 ผมเคยได้ยินเรื่องเล่าเรืองนึงจากคนพม่าและคนไทยพลัดถิ่นว่าในอดีต กองทัพไทยกับพม่าเคยมีการสร้างเจดีย์แข่งกันแล้วพม่าใช้ลูกไม้สร้างเจดีย์ด้วยไม้ไผ่แล้วเอาผ้าขาวมาคลุมไว้มองดูไกลๆเหมือนเจดีย์จริงๆทำให้ฝ่ายไทยต้องยอมแพ้ไป และเจดีย์ที่ฝ่ายไทยสร้างแต่ไม่เสร็จนั้นมีชื่อว่า ไจ๋ตันลัน หรือไจ๊ตานลาน ซึ่งคำว่า "ตานลาน" หรือ"ตันลั่น"ถ้าแปลเป็นไทยก็คือ "ยังไม่เสร๊จเรียบร้อย" เรื่องนี้ผมค้นหาก็ไม่เจอ อยากทราบว่าเป็นเรื่องจริงไหมครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ เมษายน 07, 2016, 04:22:09 PM
หลวงปู่ส้วน(เจ้าตำรับให้ลูกศิษย์ สร้างปลัดขิกยักษ์สะเดาะเคราะห์) วัดท่าลาดใต้ พนมสารคาม ว่าต้นแบบเสาหลักเมืองที่เรากราบไหว้กันอยู่นั้นคือศิวลึงค์ดี ๆ นี่เอง(ปัญญา ฤกษ์อุไร : เขาหาว่าผมฆ่านักข่าว)..แหม..ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย..ท่านว่าจริงไหมครับ(ผมยังวนเวียนอยู่ไม่พ้นอินเดียซะที-โฮ)   


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 07, 2016, 10:40:58 PM
หลวงปู่ส้วน(เจ้าตำรับให้ลูกศิษย์ สร้างปลัดขิกยักษ์สะเดาะเคราะห์) วัดท่าลาดใต้ พนมสารคาม ว่าต้นแบบเสาหลักเมืองที่เรากราบไหว้กันอยู่นั้นคือศิวลึงค์ดี ๆ นี่เอง(ปัญญา ฤกษ์อุไร : เขาหาว่าผมฆ่านักข่าว)..แหม..ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย..ท่านว่าจริงไหมครับ(ผมยังวนเวียนอยู่ไม่พ้นอินเดียซะที-โฮ)   

ไม่น่าจะเชื่อมโยงถึงกันได้นะครับ
แต่ถ้าเป็นพระปรางค์  ตรงนี้ท่านนายกคึกฤทธิ์  เคยให้ความเห็นว่าใช่

เสาหลักเมืองกรุงเทพ ฯ ฝังใน พ.ศ.2325  เมื่อถึงฤกษ์ลงเสา ได้เกิดเหตุไม่เป็นมงคล คือมีงู 4 ตัวเลื้อยลงหลุม  โหราจารย์ได้ทำนายว่าจะมีเคราะห์ทั้งบ้านเมืองและราชวงศ์  คือบ้านเมืองจะมีเคราะห์ไป 7 ปี 7 เดือน  ส่วนราชวงศ์จะอยู่ได้ 150 ปี

ปรากฏว่าไทยมีศึกสงครามเก้าทัพ หลังจากนั้นเพียง 3 ปี  ซึ่งคำทำนายน่าจะแม่น เพราะ ดร.สุเนตร เคยกล่าวว่า ศึกนี้พม่าเตรียมการล่วงหน้านาน 3 ปี

ส่วน 150 ปีของราชวงศ์ตามคำทำนาย  2325+150 คือ พ.ศ.2475  ปีที่เปลี่ยนแปลงการปกครอง  ซึ่งเกิดในสมัยรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชสมภพเมื่อวันที่ 8 พ.ย. พ.ศ.2436   ตรงกับปีมะเส็ง หรือปีงู


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ เมษายน 08, 2016, 01:43:18 PM
ถ้าพม่าเตรียมกำลังถึงเก้าทัพน่าจะเป็นไปได้ที่เตรียมตัวสามปี
แต่งู 4 ตัวนี่ยังคิดไม่ออกว่าเกี่ยวกับ 7 ปี 7 เดือนอย่างไร เซียนๆลองอธิบายหน่อยครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 08, 2016, 02:56:46 PM
ถ้าพม่าเตรียมกำลังถึงเก้าทัพน่าจะเป็นไปได้ที่เตรียมตัวสามปี
แต่งู 4 ตัวนี่ยังคิดไม่ออกว่าเกี่ยวกับ 7 ปี 7 เดือนอย่างไร เซียนๆลองอธิบายหน่อยครับ

ที่บอกว่าเตรียมการ 3 ปี  คือเป็นช่วงที่ปราบปรามชนกลุ่มน้อยในพม่า แต่ ดร.สุเนตร ถือว่าเป็นการเตรียมโจมตีไทย เพราะพระเจ้าปดุงประกาศไว้ล่วงหน้า 3 ปีว่าจะโจมตีไทย

และออกจะเป็นการแสดงวิสัยทัศน์แบบเว่อร์ ๆ เพราะประกาศว่าจะเอาชนะสยาม จีน กับโมกุล (อินเดีย)   เรื่องจีน เขารบกันติดพันอยู่แล้ว อย่างเช่นศึกอะแซหวุ่นกี้ก่อนหน้านั้น  ที่ถูกเรียกตัวกลับไปก่อนเสร็จศึกกับไทย ก็เพราะพม่าจะให้ไปรบกับจีน (อะแซหวุ่นกี้เป็นแม่ทัพคนสำสัญ และยังเป็นพี่เขยพระเจ้าปดุง)   แต่เรื่องที่จะปราบโมกุล ออกจะเกินไป เพราะตอนนั้นอังกฤษยึดอินเดียจะหมดประเทศอยู่แล้ว


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: โทน73 -รักในหลวง- ที่ เมษายน 08, 2016, 04:14:13 PM
มาเยี่ยงทัพกษัตริย์  ไม่ได้มาแบบทัพโจร


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Nero Angel01 ที่ เมษายน 08, 2016, 05:31:19 PM
แถวบ้านงูกับปลาจะตีเลขคล้ายๆกันครับ ตัวเล็ก7ตัวใหญ่ 8 ยกเว้นบางประเภทใช้ 9 (เป็นความเชื่อนะครับ)


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 08, 2016, 07:02:58 PM
มาเยี่ยงทัพกษัตริย์  ไม่ได้มาแบบทัพโจร

แน่นอนครับ
กรุงศรีอยุธยา มีระบบป้องกันตามธรรมชาติ ดีที่สุดในสุวรรณภูมิ  และในสมัยพระมหาธรรมราชา ดังได้เพิ่มเติมให้แข็งแรงอีกหลายจุด
การยกทัพมาตีอยุธยา เป็นภารกิจทางทหารที่ต้องลงทุนสูงมาก  มาแบบทัพโจรไม่ได้แน่

และเมื่อย้ายเมืองหลวงมาลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง   เส้นทางเดินทัพของพม่าก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป ให้เหมาะสมกับภูมิประเทศ
ดูจากสงครามเก้าทัพ  เห็นได้ชัดเจนว่าพม่าต้องการเข้ายึดครองการค้าโลหะ  ถึงได้เข้าตีถลาง ทั้ง ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับภารกิจหลัก
ส่วนที่มุ่งเข้าโจมตีส่วนกลาง ก็จะหลีกเลี่ยงสถานีการค้าของจีน ซึ่งตั้งอยู่แถบราชบุรี แม่กลอง ท่าจีน  เห็นได้ว่าต้องการเข้าแย่งชิงการเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างสองคาบสมุทรของไทย


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Nero Angel01 ที่ เมษายน 08, 2016, 09:20:34 PM
สมัยกรุงแตกครั้งที่2 ไม่ใช่ทัพใหญ่เค้าใช่มั้ยครับ เหมือนเคยอ่านเจอว่าเป็นแค่ทัพหน้านี่ละ เพราะทางพม่าติดศึกกับจีนพอดี แต่อยุธยาอ่อนแอสุดๆเลยโดนดีแตก


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 08, 2016, 10:46:36 PM
สมัยกรุงแตกครั้งที่2 ไม่ใช่ทัพใหญ่เค้าใช่มั้ยครับ เหมือนเคยอ่านเจอว่าเป็นแค่ทัพหน้านี่ละ เพราะทางพม่าติดศึกกับจีนพอดี แต่อยุธยาอ่อนแอสุดๆเลยโดนดีแตก

ทัพกษัตริย์ครับ  เอกสารไทยกับพม่าตรงกันว่าพระเจ้าอลองพญายกทัพมาเอง  ที่ไม่ตรงกันคือไทยบอกว่าพระเจ้าอลองพญาคุมยิงปืนใหญ่ แล้วปืนระเบิดตายถึงยกทัพกลับ  ส่วนเอกสารพม่าบอกว่าป่วยตายเอง  ตอนหลังพม่ารู้ว่าไทยเขียนแบบนี้ยังชอบใจ เพราะตายในสนามรบมีเกียรติกว่าตายเพราะโรคบิดแบบที่พม่าบันทึกไว้

ศึกเสียกรุง พ.ศ.2306 นำทัพโดยพระเจ้ามังระ ซึ่งตามเสด็จพระเจ้าอลองพญาตั้งแต่ศึกใน พ.ศ.2303 ท่านจึงรู้ลู่ทางดี   และใช้วิธีตัดรอนกำลังหัวเมืองรอบ ๆ ของไทยเสียก่อน  เตรียมเรือมาสำหรับอพยพในฤดูน้ำหลาก  ที่พระเจ้ามังระสำรวจพื้นที่ไว้ล่วงหน้า พอน้ำเหนือหลาก ก็ไม่ต้องถอนทัพกลับ แต่ใช้วิธีไปตั้งค่ายตามคุ้งน้ำที่แม่น้ำไหลอ้อมเกือบเป็นวงกลม ขุดคูลัดให้มีน้ำล้อมรอบเป็นแนวระวังป้องกัน   และจัดกำลังทางเรือปิดล้อมกรุงศรีอยุธยา  ไทยเป็นฝ่ายจะอดตายเอง

พระเจ้าอลองพญา เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด หนึ่งในสามพระองค์ของพม่า   องค์แรกคือพระเจ้าอโนรธามังช่อ สมัยพุกาม,  บุเรงนองแล้วก็พระเจ้าอลองพญา   ถัดจากนั้นก็ไม่มีอีกเลย จนถึงยุคของนายพลอองซาน พ่อของอองซาน ซูจี นั่นแหละ

และที่บอกว่าไทยอ่อนแอ ปล่อยให้ฝ่ายในมีอำนาจเท่ากับพระมหากษัตริย์   ตรงนี้น่าจะเป็นเรื่องที่ฝ่ายไทยใส่ร้ายป้ายสีกันเอง เพื่อหาผู้รับผิดชอบการเสียกรุง  เอกสารพม่ารวมทั้งของชาวตะวันตกกลับบอกว่าพระเจ้าเอกทัศน์มีพระราชกิจที่ดีหลายเรื่อง  เช่นกำหนดมาตรฐานการค้าขาย ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา บริจาคทรัพย์ให้แก่คนยากจน

แต่เราก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า  ราชวงศ์บ้านพลูหลวง มีแนวความคิดในเรื่องต่อต้านชาวต่างชาติ มาตั้งแต่ปลายรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์   ซึ่งทำให้การค้าระหว่างประเทศตกต่ำลง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: โทน73 -รักในหลวง- ที่ เมษายน 09, 2016, 01:51:59 AM
อ.สุเนตร วิเคราะห์ กรุงศรีอยุธยาได้ต่อสู้ป้องกันพระนครเต็มความสามารถ พงศาวดารคองบอง และ บันทึกของชาวต่างชาติได้บันทึกไว้ แต่เนื่องจากยังใช้ยุทธศาสตร์การตั้งรับในพระนคร ยุทธวิธีรอฤดูน้ำหลากท่วมกองทัพ.แล้วแต่งเรือออกจู่โจม ซึ่งเป็นแนวเดิมๆ
เมื่อทัพพม่าแก้ยุทธศาสตร์นี้ได้  จึงแพ้ เพราะทัพพม่าสำรวจพื้นที่ ตั้งทัพในที่โคกตลอดฤดูน้ำหลาก มีการจัดเสบียงให้พอถึงสิ้นฤดู  เมื่อเป็นเช่นนั้นกลายเป็นว่าอยุธยาเป็นฝ่ายเสียเปรียบ นานวันเข้าเสบียงก็เริ่มหมด ไม่สามารถหามาเติมได้เพราะถูกล้อมแทน
เห็นได้จาก เมืองสุพรรณก็ถือน้ำสาบานฝั่งพม่า  แสดงว่าพม่าได้เตรียมการด้านการส่งกำลังบำรุงไว้อย่างดี
ยุทธศาสตร์ที่ใช้น้ำเป็นปราการ ชลอให้ทัพข้าศึกล้า แล้วให้ทัพหัวเมืองขนาบ เป็นไปไม่ได้  เนื่องปัญหาทางการเมืองระหว่างขุนนางเชื้อสายราชวงค์ต่างๆ สงครามเจ้าฟ้าปรเมศ เจ้าฟ้าอภัยกับกรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือเหล่าพระโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ  , ความขัดแย้งเจ้าฟ้าอุทุมพรกับพระเจ้าเอกทัศน์

ครั้นกรุงถูกล้อม 1ปี 2เดือน กรุงศรีอยุธยาก็ต้านไม่ไหว


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Nero Angel01 ที่ เมษายน 09, 2016, 09:12:48 AM
ขอบคุณครับ ผมอ่านมามันหลายทางไม่ตรงกัน บางคนก็ลากเข้าการเหมือนปัจจุบันเพราะมีเหตุการณ์ต่อเนื่องเยอะ คนที่รู้เรื่องจริงๆเลยไม่คุยต่อ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 09, 2016, 10:03:23 AM
พม่าใช้คนไทยเป็นกองหน้า รบกับไทยด้วยกันเอง
ที่คุณโทนบอกว่า เจ้าเมืองสุพรรณ ถือน้ำสาบาน  ตรงนี้ไม่ได้ทำด้วยความสมัครใจหรอกครับ   แต่เป็นพิธีกรรมสมัยก่อนที่สุวรรณภูมิรับมาจากอินเดีย   แม่ทัพที่เข้าร่วมในกองทัพทุกเมือง จะต้องถืออาวุธเข้าพิธีกระทำสัตย์สาบานต่อหน้าทหารทั้งกองทัพว่าจะเชื่อฟังคำสั่งของแม่ทัพใหญ่
ตามหลักฐานประวัติศาสตร์ ฉบับหอแก้วของพม่า (เพราะเก็บหนังสือไว้ในห้องกระจก) บอกว่าเจ้าเมืองสุพรรณบุรี สู้กับคนไทยด้วยกันจนตายในที่รบ   และพระเจ้าอลองพญาได้กล่าวชมเชย และให้แม่ทัพฝ่ายมอญ พม่า ถือเอาวีรกรรมของเจ้าเมืองสุพรรณ เป็นตัวอย่าง

ที่เจ้าเมืองสุพรรณ สู้อย่างกล้าหาญแบบนั้น ผมไม่แปลกใจหรอก ท่านรู้ชะตากรรมตัวเองตั้งแต่แรก จึงพยายามทำให้ดีที่สุด เพื่อความอยู่รอดของไพร่พลและครอบครัว   เพราะวิธีการของพม่า  เขาจะเอาครอบครัวของทหารในกองทัพที่ไม่ใช่พม่าด้วยกัน   เอาไปเก็บไว้ในหมู่บ้านที่เหมือนค่ายกักกัน  มีฟืน ฟาง เชื้อเพลิงสุมเตรียมไว้พร้อม  ยึกยักเมื่อไหร่ ครอบครัวทั้งกองทัพถูกเผาทั้งเป็น

พระเจ้าอลองพญา ท่านไม่มีเชื้อสายกษัตริย์  ตามประวัติบอกว่าเป็นพรานป่า ที่แสดงความกล้าหาญต่อสู้ขับไล่มอญที่มาเก็บภาษี (ตอนนั้นมอญเป็นใหญ่)   จนได้รับการยกย่องขึ้นเป็นกษัตริย์   และเมื่อรวบรวมแผ่นดินพม่าได้เป็นปึกแผ่น  สู้กับจีนจนกระทั่งจีนต้องยอมสงบศึก  ถึงกระนั้นท่านก็ยังไม่พอใจ โกรธอะแซหวุ่นกี้ที่ไปเจรจาสงบศึกโดยไม่ปรึกษาก่อน  แต่ก็ไม่กล้าลงโทษอะแซหวุ่นกี้ตรง ๆ  ไปลงโทษเมียอะแซหวุ่นกี้ (พี่สาวตัวเอง) แทน

หลังจากนั้นก็เริ่มขยายเศรษฐกิจการค้า  แต่ตอนนั้นอยุธยายึดครองการค้า 2 คาบสมุทร  ทั้งอ่าวเมาะตะมะและอ่าวไทย  พระเจ้าอลองพญาต้องเริ่มด้วยการค้าทางน้ำ ไปสร้างเมืองย่างกุ้ง กับฟื้นฟูหงสาวดี  แต่เรือสินค้าพม่าที่จะเข้าแม่น้ำพะโค จะต้องผ่านเมืองมะริดที่สยามครอบครองอยู่  เรือสินค้าพม่าจึงถูกยึด   ทำให้เป็นชนวนสงครามเสียกรุงครั้งที่ 2


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: โทน73 -รักในหลวง- ที่ เมษายน 10, 2016, 04:03:13 PM
อยุธยา ก็ส่งออกการปฎิวัติ ทางทวาย และมอญ  ก็เป็นชนวนเหตุเหมือนกัน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 10, 2016, 04:32:01 PM
อยุธยา ก็ส่งออกการปฎิวัติ ทางทวาย และมอญ  ก็เป็นชนวนเหตุเหมือนกัน

เรื่องปกติ  ที่ใช้มอญเป็นกันชน
แล้วยังมีเรื่องเจ้าเมืองชายแดนของสยาม ข้ามไปกวาดต้อนมอญพม่ากันทุกปี  ขนาดอังกฤษยึดพม่าไปแล้ว  ก็ยังไปกวาดต้อน  จนเกือบจะต้องรบกับอังกฤษ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ เมษายน 10, 2016, 04:56:08 PM
เขาเคยตัวน่ะหาแรงงานไม่ได้ก็ไปกวาดแถวโน้น อังกฤษงงเต้กเลยมั้ง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ เมษายน 11, 2016, 11:51:29 AM
  บ้านอรัญญิกมีชื่อเรื่องตีดาบมาตั้งแต่สมัยไหนครับ หนังสือพม่าเสียเมืองน่าเชื่อถือได้ไหมครับ จะหามาอ่านประกอบกันครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 11, 2016, 01:01:27 PM
 บ้านอรัญญิกมีชื่อเรื่องตีดาบมาตั้งแต่สมัยไหนครับ หนังสือพม่าเสียเมืองน่าเชื่อถือได้ไหมครับ จะหามาอ่านประกอบกันครับ

เรื่องดาบไม่ทราบครับ รู้แต่เรื่องปืน
หนังสือพม่าเสียเมือง  ท่านนายกคึกฤทธิ์ เขียนไว้นานมากแล้ว  รวบรวมข้อเท็จจริงจากเอกสารภาษาอังกฤษจำนวนมาก จึงน่าเชื่อถือได้พอสมควร ปัจจุบันซีเอ็ดก็ยังพิมพ์ขายอยู่
นอกจากนั้น  มีเอกสารใหม่ ๆ พิมพ์ออกมามาก  ก็ควรศึกษาเปรียบเทียบกันหลาย ๆ เล่ม

นอกจากนั้น ยังมีหนังสือพงศวดารพม่า ฉบับที่กรมพระยาดำรง ฯ ท่านให้นำมาแปลจากภาษาพม่าเป็นภาษาไทย และพระองค์ท่านเองเป็นผู้ตรวจทาน   แต่ไม่มีการพิมพ์ เพราะเนื้อความขัดแย้งกับเอกสารประวัติศาสตร์ของไทยอยู่หลายเรื่อง
จนกระทั่งมีผู้นำต้นฉบับมาให้สำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรมจัดพิมพ์ขึ้นมา ดูเหมือนจะชื่อมหาราชวงษ์พงศวดารพม่า  ซึ่งเป็นเรื่องเป็นราวอยู่พักหนึ่งว่าต้นฉบับหลุดออกมาได้อย่างไร
หนังสือจริง ๆ คงหาไม่ได้แล้ว  แต่พอจะมีแบบ PDF อยู่บ้าง  ลองโหลดมาอ่านดูก็ได้ครับ
http://digi.library.tu.ac.th/journal/0098/23_2_dec_2544/04PAGE48_PAGE56.pdf


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ เมษายน 11, 2016, 03:11:10 PM
อังวะอยู่เขตเหนือกว่าประเทศไทยมาก ที่ 21 51'N 96 1'E เดินทัพลงมาก็ต้องผ่านเชียงใหม่ คนสมัยก่อนช่างมานะพยายามกันมากนะ
 


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Nero Angel01 ที่ เมษายน 11, 2016, 07:45:59 PM
อังวะอยู่เขตเหนือกว่าประเทศไทยมาก ที่ 21 51'N 96 1'E เดินทัพลงมาก็ต้องผ่านเชียงใหม่ คนสมัยก่อนช่างมานะพยายามกันมากนะ
 
คงเป็นเรื่องปกติของคนสมัยนั้นครับน้ายุทธ เมื่อก่อนผมขี่จักรยานไปโรงเรียนไม่รู้สึกลำบาก สมัยนี้มีรถยนต์มองว่าการถีบจักรยานเดินทางนี่มันเหนื่อยครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: thotsaporn ที่ เมษายน 12, 2016, 06:13:07 PM
อังวะอยู่เขตเหนือกว่าประเทศไทยมาก ที่ 21 51'N 96 1'E เดินทัพลงมาก็ต้องผ่านเชียงใหม่ คนสมัยก่อนช่างมานะพยายามกันมากนะ
 
ใช่เมืองอมรปุระหรือเปล่าครับ ถ้าใช่เขตเมืองนี้อยู่ติดกับเมืองมัฑเลย์ ที่ผมไปมายังไม่เห็นร่องรอยประวัติศาสตร์นะครับ คล้ายๆกับหมู่บ้านหนึ่งที่ดำรงชีพด้วยการแกะสลักหินเป็นพระพุทธรูป
สถานที่ดังๆที่คนนิยมไปก็ สะพานนายอูเบย์ หรือภาษาพม่าออกเสียงว่า "อูเบย์ดาดาร์"
ส่วนอังวะรัตนบุรี ที่เคยได้ยิน จะอยู่ทางไปแถวเขตยะไข่
ยังไงรอผู้รู้มาให้ความกระจ่างอีกทีครับ ;D


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ เมษายน 12, 2016, 08:59:41 PM
เท่าที่ไปค้นมานะครับจาก wiki Inwa City

The end of the city came via a natural disaster. Starting on 22 March 1839 (7th waxing of Tagu 1201 ME) the Inwa–Amapura region was hit by a series of earthquakes. The main earthquake hit the region, as far west as Sagaing, the next day, at five o'clock in the morning on 23 March 1839, and many tremors followed for days afterwards. The entire region was left in shambles in their wake. The capital was hardest hit: everything was leveled; many people and livestock perished.[12] The city was not rebuilt. King Tharrawaddy chose instead to rebuild a new palace in Amarapura, and moved the seat of his government there in February 1842


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 12, 2016, 09:51:05 PM
อังวะอยู่เขตเหนือกว่าประเทศไทยมาก ที่ 21 51'N 96 1'E เดินทัพลงมาก็ต้องผ่านเชียงใหม่ คนสมัยก่อนช่างมานะพยายามกันมากนะ
 
ใช่เมืองอมรปุระหรือเปล่าครับ ถ้าใช่เขตเมืองนี้อยู่ติดกับเมืองมัฑเลย์ ที่ผมไปมายังไม่เห็นร่องรอยประวัติศาสตร์นะครับ คล้ายๆกับหมู่บ้านหนึ่งที่ดำรงชีพด้วยการแกะสลักหินเป็นพระพุทธรูป
สถานที่ดังๆที่คนนิยมไปก็ สะพานนายอูเบย์ หรือภาษาพม่าออกเสียงว่า "อูเบย์ดาดาร์"
ส่วนอังวะรัตนบุรี ที่เคยได้ยิน จะอยู่ทางไปแถวเขตยะไข่
ยังไงรอผู้รู้มาให้ความกระจ่างอีกทีครับ ;D

ใช่ครับ  อยู่ในเขตมัณฑะเลย์  น่าจะถูกใช้เป็นเมืองหลวงมากที่สุด ทั้งราชวงศ์อังวะ ราชวงศ์ตองอู และราชวงศ์อลองพญา  แต่ชื่อว่ารัตนปุระ ออกเสียงแบบพม่า คงจะเป็น "ยะดะหน่าบู่ยะ"


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ เมษายน 13, 2016, 06:13:25 AM
   ด้านยุทธศาสตร์เนปิดอว์ ได้เปรียบกับผู้บุกรุก มากกว่าย่างกุ้งรึเปล่าครับเพราะเป็นที่สูง ไม่เหมือนย่างกุ้งที่ติดชายฝั่ง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ เมษายน 13, 2016, 07:50:29 AM
   ด้านยุทธศาสตร์เนปิดอว์ ได้เปรียบกับผู้บุกรุก มากกว่าย่างกุ้งรึเปล่าครับเพราะเป็นที่สูง ไม่เหมือนย่างกุ้งที่ติดชายฝั่ง

ดูเหมือนจะจัดระบบระเบียบใหม่มากว่านะ คงเห็นกรุงเทพ มานิลา จาร์กาตา และหลายเมืองเป็นตัวอย่าง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 13, 2016, 12:36:49 PM
   ด้านยุทธศาสตร์เนปิดอว์ ได้เปรียบกับผู้บุกรุก มากกว่าย่างกุ้งรึเปล่าครับเพราะเป็นที่สูง ไม่เหมือนย่างกุ้งที่ติดชายฝั่ง

พม่าเชื่อเรื่องโหราศาสตร์มากครับ  เคยพิมพ์เงิน 95 kyat ด้วย
ยุคเครื่องบิน  ความได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์แทบจะไม่มีแล้ว


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ เมษายน 13, 2016, 02:32:27 PM
   เงิน 95 kyat เป็นเลขนำโชครึเปล่าครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 13, 2016, 04:41:51 PM
   เงิน 95 kyat เป็นเลขนำโชครึเปล่าครับ

นำโชคแบบพ่อค้าแถวแม่สอดจะผูกคอตายกันนะซี


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: แปจีหล่อ คนสันขวาน ที่ เมษายน 13, 2016, 06:12:49 PM
 ยังจำได้ตอนเค้ายกเลิกใบร้อยพวกพ่อค้าแม่ค้าแทบแขวนคอตายแบบท่านผู้การว่าจริงๆครับ อ๋อพม่ายังเคยผลิตแบงค์25 45 75 ซึ่งก็ได้ยกเลิกไปหมดแล้ว และการยกเลิกนั้นพวกใช้วิธีประกาศยกเลิกไปเฉยๆไม่มีการรับแลกคืนด้วย ส่วนการชั่งนน.พม่าใช้ เป็กต่า(คนไทยเรียกปัน) 1เป็กต่า(ปัน)=1.6กก. อันนี้ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าเค้าเอามาจากไหน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ เมษายน 13, 2016, 11:15:57 PM
เมื่อครู่ก็มีแผ่นไหวในพม่าระดับ 7 ที่ 23 08' 94 83' ห่างจากเนปิดอว์สองร้อยกว่าโลมั้ง ที่กรุงอังวะล่มก็เพราะแผ่นดินไหวเหมือนกัน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Nero Angel01 ที่ เมษายน 14, 2016, 02:18:33 AM
ไม่ทราบว่าเนปิดอร์ชื่อเต็มๆคืออะไรครับ เหมือนเคยได้ยินว่ายาวเหมือนกัน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: โทน73 -รักในหลวง- ที่ เมษายน 14, 2016, 04:31:46 AM
30 ก่อน พม่าเคยดัดหลังชนกลุ่มน้อย โดยยกเลิกธนบัตรบางแบบไปเลย ใครมีมาแลกก็มีลิมิต เกินกว่านั้นเป็นเศษกระดาษ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ เมษายน 14, 2016, 09:09:29 AM
30 ก่อน พม่าเคยดัดหลังชนกลุ่มน้อย โดยยกเลิกธนบัตรบางแบบไปเลย ใครมีมาแลกก็มีลิมิต เกินกว่านั้นเป็นเศษกระดาษ

เหนือเชียงตุงขึ้นไปเลยใช้เงินหยวนซะเลยเช่นไทยใหญ่ ว้า(กลุ่มนี้จีนชัดๆ)


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: แปจีหล่อ คนสันขวาน ที่ เมษายน 14, 2016, 02:31:02 PM
กะเหรี่ยงใช้เงินไทยพม่ายกเลิกเงินก็ไม่มีผลกระทบเท่าไหร่


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ เมษายน 19, 2016, 12:29:08 PM
 บ้านอรัญญิกมีชื่อเรื่องตีดาบมาตั้งแต่สมัยไหนครับ หนังสือพม่าเสียเมืองน่าเชื่อถือได้ไหมครับ จะหามาอ่านประกอบกันครับ

ขออภัย ไม่ได้เข้ากระทู้นี้มานาน อรัญญิกมีชื่อเสียงด้านดาบมีดตั้งแต่เรากวาดต้อนคนลาวมาตอนชนะสงครามครับ
คนกลุ่มนั้นเข้ามาอยู่ที่หมู่บ้านต้นโพธิ์ อ.นครหลวง จ.อยุธยา ก็หมู่บ้านอรัญญิกแหละครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 19, 2016, 01:18:55 PM
  บ้านอรัญญิกมีชื่อเรื่องตีดาบมาตั้งแต่สมัยไหนครับ หนังสือพม่าเสียเมืองน่าเชื่อถือได้ไหมครับ จะหามาอ่านประกอบกันครับ

ขออภัย ไม่ได้เข้ากระทู้นี้มานาน อรัญญิกมีชื่อเสียงด้านดาบมีดตั้งแต่เรากวาดต้อนคนลาวมาตอนชนะสงครามครับ
คนกลุ่มนั้นเข้ามาอยู่ที่หมู่บ้านต้นโพธิ์ อ.นครหลวง จ.อยุธยา ก็หมู่บ้านอรัญญิกแหละครับ

กวาดต้อนมาช่วงไหนครับ  หลังสุดคือสมัยรัชกาลที่ 3


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ เมษายน 19, 2016, 01:26:25 PM
ถ้าจำไม่ผิด ยุคพระเจ้าตากสินทำศึกกับล้านช้างครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ เมษายน 19, 2016, 01:33:55 PM
บางตำราก็ว่ามาตอนรัตนโกสินทร์ตอนต้น ร.2-3


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Nero Angel01 ที่ เมษายน 19, 2016, 02:13:36 PM
อ้าว ตกลงเป็นชุมชนช่างฝีมือชาวลาวเหรอครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 19, 2016, 03:25:18 PM
อ้าว ตกลงเป็นชุมชนช่างฝีมือชาวลาวเหรอครับ

ลาว เขมร ไทย  เป็นชาติพันธุ์เดียวกันครับ
เพียงแต่ในสมัย จอมพล ป. เน้นเรื่องชาตินิยม  สร้างเรื่องราวให้คนไทยคิดว่าไทยเป็นชาติพันธุ์บริสุทธิ์ ที่สามารถแยกออกมาจากชนชาติอื่นในสุวรรณภูมิได้
นักภาษาศาตร์ท่านหนึงให้ความเห็นว่า คำว่า ชาน, ฉาน, อาหม เสียม และสยาม  เป็นคำเดียวกัน  เพียงแต่ออกเสียงเพี้ยนไปตามภาษาถิ่น


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ เมษายน 19, 2016, 03:37:02 PM
อ้าว ตกลงเป็นชุมชนช่างฝีมือชาวลาวเหรอครับ
ลาว เขมร ไทย  เป็นชาติพันธุ์เดียวกันครับ เพียงแต่ในสมัย จอมพล ป. เน้นเรื่องชาตินิยม  สร้างเรื่องราวให้คนไทยคิดว่าไทยเป็นชาติพันธุ์บริสุทธิ์ ที่สามารถแยกออกมาจากชนชาติอื่นในสุวรรณภูมิได้ นักภาษาศาตร์ท่านหนึงให้ความเห็นว่า คำว่า ชาน, ฉาน, อาหม เสียม และสยาม  เป็นคำเดียวกัน  เพียงแต่ออกเสียงเพี้ยนไปตามภาษาถิ่น
คล้ายฮิตเลอร์จัง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Nero Angel01 ที่ เมษายน 19, 2016, 03:42:42 PM
ผมก็ว่าคล้ายฮิตเลอร์ครับ

ถามต่อนะครับ เรื่องชาติพันธุ์หากเป็นกลุ่มเดียวกัน ภาษาพูดทำไมต่างกันครับ นอกจากลาวแล้วเขมรนี่ฝังไม่รู้เรื่องเลยครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ เมษายน 19, 2016, 03:51:39 PM
อ้าว ตกลงเป็นชุมชนช่างฝีมือชาวลาวเหรอครับ

ครับ เคยไถ่ถามคนแถวๆบ้านต้นโพธ์ด้วยตัวเอง เขาบอกว่าบรรพบุรุษมาจากลาว


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 19, 2016, 07:39:19 PM
ผมก็ว่าคล้ายฮิตเลอร์ครับ

ถามต่อนะครับ เรื่องชาติพันธุ์หากเป็นกลุ่มเดียวกัน ภาษาพูดทำไมต่างกันครับ นอกจากลาวแล้วเขมรนี่ฝังไม่รู้เรื่องเลยครับ

ราชาศัพท์ของเรามาจากภาษาเขมรเกินครึ่งครับ
ตรงนี้เริ่มจากสมัยอยุธยา
คือสุโขทัยเอง  เริ่มก็ปกครองโดยเขมร ต่อมาเชื้อสายไทยลาวถึงได้ยึดอำนาจ
ก่อนหน้านั้น เขมรเป็นใหญ่ในแถบนี้  บรรพชนของเกษัตริย์สาย "วรมัน" อยู่ที่พิมายมาก่อน แล้วจึงได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่เขมรต่ำ

พระเจ้าอู่ทอง ต้นราชวงศ์อู่ทองที่ตั้งกรุงศรีอยุธยา  เป็นคนเชื้อสายเขมร  ส่วนขุนหลวงพะงั่ว (พี่เขยพระเจ้าอู่ทอง) ต้นราชวงศ์สุพรรณภูมิเป็นเชื้อสายไทยลาว  ราชสำนักละโว้กับอยุธยาในสมัยราชวงศ์อู่ทองน่าจะใช้ภาษาเขมรเป็นภาษาราชการ  ต่อมาเมื่อราชวงศ์สุพรรณภูมิยึดอำนาจกรุงศรีอยุธยา  จึงใช้ภาษาไทยลาวในการสื่อสาร และภาษาเขมรกลายเป็นราชาศัพท์  ตลอดจนเอกสารสำคัญต่าง ๆ ทั้งหมดจะบันทึกเป็นภาษาเขมร  ปัจจุบันนี้เราก็ยังสักยันต์ด้วยภาษาเขมร
แม้แต่ตราแผ่นดิน ก็ยังใช้ภาษาเขมรเขียนคำว่า "พระบรมราชโองการ"  มาเปลี่ยนเป็นภาษาไทยเมื่อ พ.ศ.2483 นี่เอง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 19, 2016, 08:07:35 PM
ทุกวันนี้  นักประวัติศาสตร์ก็ยังเถียงกันไม่ได้ความว่า พระเจ้าอู่ทอง และขุนหลวงพะงั่วมาจากไหน

ประเด็นขุนหลวงพะงั่ว  มีนิทานพื้นบ้านลาวหลายที่ตรงกันในเรื่องตำนานขุนบรม  กล่าวว่าขุนบรมมีลูก 9 คน และ 7 คนได้ไปครองเมืองต่าง ๆ โดยคนที่ 5 ชื่อขุนงั่วอิน ปกครองอยุธยา
ใช่หรือเปล่า ก็ไม่รู้เหมือนกัน  แต่ขุนหลวงพะงั่วเมื่อขึ้นครองราชกรุงศรีอยุธยา เฉลิมพระนามว่า "สมเด็จพระบรมราชาธิราช"  และเชื้อสายของพระองค์ ก็มักจะใช้คำว่า "บรม" บ้าง "อิน" บ้าง

ตอนผมเป็นนักเรียน  ตำราเขียนว่าพระเจ้าอู่ทอง  หนีโรคห่ามาจากเมืองอู่ทอง มาตั้งกรุงศรีอยุธยา   แต่ตอนนี้นักโบราณคดีของไทยเราเองร่วมกับ ศจ.ชอง บวสเซอลิเย่  ประเทศฝรั่งเศสพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่  เมืองอู่ทองเป็นเมืองร้างก่อนตั้งกรุงศรีอยุธยาสองร้อยปี
หลังจากนั้นจึงมีการตั้งสมมุติฐานขึ้นมาอีกหลายทฤษฎ๊  เช่นมาจากเชียงแสนบ้าง  มาจากเพชรบุรี  มาจากนครศรีธรรมราชบ้าง  และที่พิเรนที่สุดคือเป็นลูกของพระเจ้ากรุงจีน  แต่ทั้งหมดดูเหมือนจะถูกหักล้างไปหมดแล้ว

ตอนนี้มีสมมุติฐานใหม่  ก็คือพระเจ้าอู่ทองเป็นกษัตริย์ในราชวงศ์วรมัน ปกครองเขมรมาก่อน  และถูกทาสยึดอำนาจ  ต้องหนีมาพึ่งญาติที่ละโว้  ต่อมาจึงไปตั้งกรุงศรีอยุธยา   ทฤษฎีนี้ คนไม่เชื่อถือกันนัก เพราะคนตั้งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยระดับ รศ.ดร.ก็จริง  แต่ท่านไม่ได้สอนประวัติศาสตร์  ท่านเป็นวิศวกร  แต่ผมให้น้ำหนักกับทฤษฎีนี้มากทีเดียว


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ เมษายน 19, 2016, 08:14:36 PM
ละโว้ก็มีสิ่งก่อสร้างของขอม


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 19, 2016, 08:28:39 PM
ละโว้ก็มีสิ่งก่อสร้างของขอม

ก็เป็นเมืองเขมรมาก่อน
แต่ไม่ใช่แบบว่า  ถ้ามีศิลปสไตล์เขมรแล้วจะเป็นเขมรทั้งหมด   บางที่ก็เป็นศิลปร่วมสมัย ซึ่งอาจจะเกิดจากครูกลุ่มเดียวกัน เพราะศิลปเขมรพวกนี้ก็มาจากอินเดีย นอกจากสอนเขมรแล้ว ก็น่าจะสอนชุมชนอื่นด้วย   นอกจากนั้นหลายที่ก็เป็นการสร้างเลียนแบบในยุคหลัง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ เมษายน 19, 2016, 10:24:42 PM
   พระเจ้าเสือ คือพระองค์ใดครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 20, 2016, 07:43:01 AM
   พระเจ้าเสือ คือพระองค์ใดครับ

เชื่อกันว่าเป็นโอรสลับของพระนารายณ์ที่เกิดจากพระราชธิดาของพระเจ้าเชียงใหม่ ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าเป็นลาว   จึงขอให้พระเพทราชาเลี้ยงดูแทน
พระเพทราชาเอง ก็เป็น some body ในสมัยนั้น  เพราะเป็นพี่เขยของพระนารายณ์ และเป็นเจ้ากรมช้าง ซึ่งเป็นตำแหน่งขุนนางระดับบิ๊ก ในสมัยอยุธยา
พระเจ้าเสือเป็นกำลังสำคัญ  ที่ช่วยให้พระเพทราชาขึ้นครองราช  รวมทั้งขับไล่กำลังต่างชาติออกไปจากกรุงศรีอยุธยาและลพบุรีได้สำเร็จ

ปลายรัชกาลของพระเพทราชา ก็พยายามจัดการกับพระเจ้าเสือ  เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคกับลูกแท้ ๆ ของตัวเอง แต่ก็เสร็จพระเจ้าเสือทุกที  แต่ที่สุดพระเจ้าเสือก็ขึ้นครองราชในราชวงศ์บ้านพลูหลวงของพระเพทราชา  และโอรส 2 พระองค์ของพระเจ้าเสือก็ได้ขึ้นครองราชต่อจากพระองค์  คือพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระขึ้นครองราชตามปกติ แต่พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศต้องทำสงครามกลางเมืองกับหลานตัวเองที่เป็นโอรสพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ  นานถึง 1 ปี

ที่รุนแรง เป็นเพราะในสมัยพระเพทราชา มีการปฎิรูปการปกครองแบบเล็ก ๆ ที่แบ่งอำนาจระหว่างสมุหกลาโหมกับสมุหนายก   รวมทั้งเพิ่มอัตรากำลังทหารให้กับกรมพระราชวังบวร ฯ   ทำให้พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ในขณะที่เป็นกรมพระราชวังบวร ฯ ของพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ  สะสมกำลังทหารไว้ได้เป็นจำนวนมาก


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ เมษายน 20, 2016, 09:03:05 AM
พระเจ้าเสือนั้นเป็นคนดุ เพราะเป็นคนเก็บกดอย่างที่อ.สุพินท์ว่า
แต่แกมีโชคด้านคบคน เพราะชอบแต่งเป็นสามัญชนออกตระเวณเที่ยว คบหาผู้คนแบบสามัญชน
บ้างก็ขึ้นชกมวยตามหมู่บ้านต่างๆ ซึ่งชนะตลอด แต่มีอยู่คนหนึ่งซึ่งพระองค์ไม่สามารถเอาชนะได้
เลยชักชวนมาอยู่ด้วย ชื่อว่าสิน ต่อมาได้รับสมญาว่าพันท้ายนรสิงห์


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ เมษายน 20, 2016, 09:13:38 AM

ที่เจ้าเมืองสุพรรณ สู้อย่างกล้าหาญแบบนั้น ผมไม่แปลกใจหรอก ท่านรู้ชะตากรรมตัวเองตั้งแต่แรก จึงพยายามทำให้ดีที่สุด เพื่อความอยู่รอดของไพร่พลและครอบครัว   เพราะวิธีการของพม่า  เขาจะเอาครอบครัวของทหารในกองทัพที่ไม่ใช่พม่าด้วยกัน   เอาไปเก็บไว้ในหมู่บ้านที่เหมือนค่ายกักกัน  มีฟืน ฟาง เชื้อเพลิงสุมเตรียมไว้พร้อม  ยึกยักเมื่อไหร่ ครอบครัวทั้งกองทัพถูกเผาทั้งเป็น

คล้ายๆแบบนี้ แบบเผาทั้งเป็น คุณหญิงจันทร์กับคุณหญิงมุกก็เคยทำกับพม่าตอนศึกถลาง
แต่ทำเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับกำลังพลเมืองถลาง เพราะมีกำลังพลน้อยกว่าพม่า


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 20, 2016, 09:57:43 AM
พระเจ้าเสือนั้นเป็นคนดุ เพราะเป็นคนเก็บกดอย่างที่อ.สุพินท์ว่า
แต่แกมีโชคด้านคบคน เพราะชอบแต่งเป็นสามัญชนออกตระเวณเที่ยว คบหาผู้คนแบบสามัญชน
บ้างก็ขึ้นชกมวยตามหมู่บ้านต่างๆ ซึ่งชนะตลอด แต่มีอยู่คนหนึ่งซึ่งพระองค์ไม่สามารถเอาชนะได้
เลยชักชวนมาอยู่ด้วย ชื่อว่าสิน ต่อมาได้รับสมญาว่าพันท้ายนรสิงห์

ประวัติพระเจ้าเสือมี 2 เวอร์ชั่น
จากบันทึกการสอบสวนเชลยศึกไทยของพม่า ระบุว่าพระเจ้าเสือเป็นกษัตริย์ที่ดี อยู่ในทศพิศราชธรรม
แต่ในพงศวดารของไทยเราเอง  บอกว่าพระเจ้าเสือเป็นคนโหดร้าย มากในกามคุณ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ เมษายน 20, 2016, 10:38:33 AM
  ขอบคุณทุกท่านครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ เมษายน 20, 2016, 10:58:36 AM
ผมก็ว่าคล้ายฮิตเลอร์ครับ ถามต่อนะครับ เรื่องชาติพันธุ์หากเป็นกลุ่มเดียวกัน ภาษาพูดทำไมต่างกันครับ นอกจากลาวแล้วเขมรนี่ฝังไม่รู้เรื่องเลยครับ
-เรื่องภาษาพูดไม่รู้ซีครับ..แต่ภาษาเขียนนี่มีบางส่วนที่เหมือนกัน 100 % นั่นคือตัวเลขไทย ๑๒๓๔๕๖๗๘๙๐ คนกัมปูเจียว่าเลขไทยที่ไหน นั่นเลขเขมรต่างหาก
-อักขระในศิลาจารึกหลักที่ 1 ผมว่าก็คล้าย ๆ อักษรขอมอยู่นะ คนไทยอ่านไม่ออกสักคน ต้องผู้เชี่ยวชาญฝรั่งเศสถึงได้แกะออกเป็นเรื่องเป็นราว 


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 20, 2016, 11:25:50 AM
ผมก็ว่าคล้ายฮิตเลอร์ครับ ถามต่อนะครับ เรื่องชาติพันธุ์หากเป็นกลุ่มเดียวกัน ภาษาพูดทำไมต่างกันครับ นอกจากลาวแล้วเขมรนี่ฝังไม่รู้เรื่องเลยครับ
-เรื่องภาษาพูดไม่รู้ซีครับ..แต่ภาษาเขียนนี่มีบางส่วนที่เหมือนกัน 100 % นั่นคือตัวเลขไทย ๑๒๓๔๕๖๗๘๙๐ คนกัมปูเจียว่าเลขไทยที่ไหน นั่นเลขเขมรต่างหาก
-อักขระในศิลาจารึกหลักที่ 1 ผมว่าก็คล้าย ๆ อักษรขอมอยู่นะ คนไทยอ่านไม่ออกสักคน ต้องผู้เชี่ยวชาญฝรั่งเศสถึงได้แกะออกเป็นเรื่องเป็นราว 

เรื่องเลขเขมร ผมมีเรื่องแปลกใจอยู่  คือเรื่องไทยเอามาจากเขมร ตรงนี้ผมเชื่อว่าเป็นแบบนั้น

แต่เขมรโบราณใช้เลขฐานสิบ  มีตัวเลข 0-9 ครบ และน่าจะมีคำออกเสียงครบทั้ง 9 ตัว   ส่วนเลข 0 ตรงนี้อิมพอร์ตมาจากอาหรับแน่นอน  ทั้งโลกใช้แบบนี้ตรงกันหมด  อาหรับออกเสียงว่าซิป,  ฝรั่ง ซีโร่,  ไทย ศูนย์,  เขมร โซน

แต่เขมรปัจจุบันกลับออกเสียงได้แค่ 1-5 ตัวเลข 6-9 ไม่มีคำอ่านโดยตรง  ต้องออกเสียง 6 ว่า ห้าหนึ่ง (ปรำมวย)  7 ออกเสียงว่า ห้าสอง (ปรำปี)   จึงมีข้อสงสัยว่าเขมรปัจจุบันนี้ อาจจะไม่ใช่เขมรโบราณ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ เมษายน 20, 2016, 11:51:48 AM
ผมก็ว่าคล้ายฮิตเลอร์ครับ ถามต่อนะครับ เรื่องชาติพันธุ์หากเป็นกลุ่มเดียวกัน ภาษาพูดทำไมต่างกันครับ นอกจากลาวแล้วเขมรนี่ฝังไม่รู้เรื่องเลยครับ
-เรื่องภาษาพูดไม่รู้ซีครับ..แต่ภาษาเขียนนี่มีบางส่วนที่เหมือนกัน 100 % นั่นคือตัวเลขไทย ๑๒๓๔๕๖๗๘๙๐ คนกัมปูเจียว่าเลขไทยที่ไหน นั่นเลขเขมรต่างหาก
-อักขระในศิลาจารึกหลักที่ 1 ผมว่าก็คล้าย ๆ อักษรขอมอยู่นะ คนไทยอ่านไม่ออกสักคน ต้องผู้เชี่ยวชาญฝรั่งเศสถึงได้แกะออกเป็นเรื่องเป็นราว 
เรื่องเลขเขมร ผมมีเรื่องแปลกใจอยู่  คือเรื่องไทยเอามาจากเขมร ตรงนี้ผมเชื่อว่าเป็นแบบนั้น
แต่เขมรโบราณใช้เลขฐานสิบ  มีตัวเลข 0-9 ครบ และน่าจะมีคำออกเสียงครบทั้ง 9 ตัว   ส่วนเลข 0 ตรงนี้อิมพอร์ตมาจากอาหรับแน่นอน  ทั้งโลกใช้แบบนี้ตรงกันหมด  อาหรับออกเสียงว่าซิป,  ฝรั่ง ซีโร่,  ไทย ศูนย์,  เขมร โซน แต่เขมรปัจจุบันกลับออกเสียงได้แค่ 1-5 ตัวเลข 6-9 ไม่มีคำอ่านโดยตรง  ต้องออกเสียง 6 ว่า ห้าหนึ่ง (ปรำมวย)  7 ออกเสียงว่า ห้าสอง (ปรำปี)   จึงมีข้อสงสัยว่าเขมรปัจจุบันนี้ อาจจะไม่ใช่เขมรโบราณ
ผมก็เคยได้ยินว่าชนชาติขอมโบราณนั้นสูญพันธุ์ไปหมดแล้วครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Nero Angel01 ที่ เมษายน 20, 2016, 01:33:37 PM
ผมก็ว่าคล้ายฮิตเลอร์ครับ ถามต่อนะครับ เรื่องชาติพันธุ์หากเป็นกลุ่มเดียวกัน ภาษาพูดทำไมต่างกันครับ นอกจากลาวแล้วเขมรนี่ฝังไม่รู้เรื่องเลยครับ
-เรื่องภาษาพูดไม่รู้ซีครับ..แต่ภาษาเขียนนี่มีบางส่วนที่เหมือนกัน 100 % นั่นคือตัวเลขไทย ๑๒๓๔๕๖๗๘๙๐ คนกัมปูเจียว่าเลขไทยที่ไหน นั่นเลขเขมรต่างหาก
-อักขระในศิลาจารึกหลักที่ 1 ผมว่าก็คล้าย ๆ อักษรขอมอยู่นะ คนไทยอ่านไม่ออกสักคน ต้องผู้เชี่ยวชาญฝรั่งเศสถึงได้แกะออกเป็นเรื่องเป็นราว 

เรื่องเลขเขมร ผมมีเรื่องแปลกใจอยู่  คือเรื่องไทยเอามาจากเขมร ตรงนี้ผมเชื่อว่าเป็นแบบนั้น

แต่เขมรโบราณใช้เลขฐานสิบ  มีตัวเลข 0-9 ครบ และน่าจะมีคำออกเสียงครบทั้ง 9 ตัว   ส่วนเลข 0 ตรงนี้อิมพอร์ตมาจากอาหรับแน่นอน  ทั้งโลกใช้แบบนี้ตรงกันหมด  อาหรับออกเสียงว่าซิป,  ฝรั่ง ซีโร่,  ไทย ศูนย์,  เขมร โซน

แต่เขมรปัจจุบันกลับออกเสียงได้แค่ 1-5 ตัวเลข 6-9 ไม่มีคำอ่านโดยตรง  ต้องออกเสียง 6 ว่า ห้าหนึ่ง (ปรำมวย)  7 ออกเสียงว่า ห้าสอง (ปรำปี)   จึงมีข้อสงสัยว่าเขมรปัจจุบันนี้ อาจจะไม่ใช่เขมรโบราณ
ออกเสียงเหมือนการวางตำแหน่งเลขโรมันเลยครับ ไม่ได้บอกว่าโรมันอ่านแบบนั้นนะครับผมไม่รู้ แต่เขาวางเลขแบบนั้น VI VII

ปล.อ่านกระทู้นี้ได้อะไรเยอะเลยครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Zeus-รักในหลวง ที่ เมษายน 20, 2016, 01:44:45 PM
เข้ามาหาความรู้ครับ
เรื่องกินข้าวกับมะม่วงบ้านผมก็กินครับ นอกจากมะม่วงแล้วยังกินแตงโม กล้วยน้ำว้าสุก มะละกอ แต่กินแบบเป็นเครื่องเคียง ไม่ใช้กับข้่าวหลัก อาทิ น้ำพริกกะปิ ผัก มะม่วงสุก กินล้างปากระหว่างคำแก้ฝืดคอ หรือผัดกระเพราะ กินกับมะม่วงสุกก็อร่อยครับ ลื่นคอดี แต่ถ้านอกหน้ามะม่วงก็แตงโม หาแตงโมไม่ได้หรือกล้วย มะละกอสุก ก็กินครับ :D~


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ เมษายน 20, 2016, 02:44:36 PM
ผมก็ว่าคล้ายฮิตเลอร์ครับ ถามต่อนะครับ เรื่องชาติพันธุ์หากเป็นกลุ่มเดียวกัน ภาษาพูดทำไมต่างกันครับ นอกจากลาวแล้วเขมรนี่ฝังไม่รู้เรื่องเลยครับ
-เรื่องภาษาพูดไม่รู้ซีครับ..แต่ภาษาเขียนนี่มีบางส่วนที่เหมือนกัน 100 % นั่นคือตัวเลขไทย ๑๒๓๔๕๖๗๘๙๐ คนกัมปูเจียว่าเลขไทยที่ไหน นั่นเลขเขมรต่างหาก
-อักขระในศิลาจารึกหลักที่ 1 ผมว่าก็คล้าย ๆ อักษรขอมอยู่นะ คนไทยอ่านไม่ออกสักคน ต้องผู้เชี่ยวชาญฝรั่งเศสถึงได้แกะออกเป็นเรื่องเป็นราว 
เรื่องเลขเขมร ผมมีเรื่องแปลกใจอยู่  คือเรื่องไทยเอามาจากเขมร ตรงนี้ผมเชื่อว่าเป็นแบบนั้น
แต่เขมรโบราณใช้เลขฐานสิบ  มีตัวเลข 0-9 ครบ และน่าจะมีคำออกเสียงครบทั้ง 9 ตัว   ส่วนเลข 0 ตรงนี้อิมพอร์ตมาจากอาหรับแน่นอน  ทั้งโลกใช้แบบนี้ตรงกันหมด  อาหรับออกเสียงว่าซิป,  ฝรั่ง ซีโร่,  ไทย ศูนย์,  เขมร โซน แต่เขมรปัจจุบันกลับออกเสียงได้แค่ 1-5 ตัวเลข 6-9 ไม่มีคำอ่านโดยตรง  ต้องออกเสียง 6 ว่า ห้าหนึ่ง (ปรำมวย)  7 ออกเสียงว่า ห้าสอง (ปรำปี)   จึงมีข้อสงสัยว่าเขมรปัจจุบันนี้ อาจจะไม่ใช่เขมรโบราณ
ผมก็เคยได้ยินว่าชนชาติขอมโบราณนั้นสูญพันธุ์ไปหมดแล้วครับ
เคยได้ยินมาว่าคนเขมรก็ไม่รับว่าเขาเป็นขอม


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 20, 2016, 03:51:59 PM
ผมก็ว่าคล้ายฮิตเลอร์ครับ ถามต่อนะครับ เรื่องชาติพันธุ์หากเป็นกลุ่มเดียวกัน ภาษาพูดทำไมต่างกันครับ นอกจากลาวแล้วเขมรนี่ฝังไม่รู้เรื่องเลยครับ
-เรื่องภาษาพูดไม่รู้ซีครับ..แต่ภาษาเขียนนี่มีบางส่วนที่เหมือนกัน 100 % นั่นคือตัวเลขไทย ๑๒๓๔๕๖๗๘๙๐ คนกัมปูเจียว่าเลขไทยที่ไหน นั่นเลขเขมรต่างหาก
-อักขระในศิลาจารึกหลักที่ 1 ผมว่าก็คล้าย ๆ อักษรขอมอยู่นะ คนไทยอ่านไม่ออกสักคน ต้องผู้เชี่ยวชาญฝรั่งเศสถึงได้แกะออกเป็นเรื่องเป็นราว 

เรื่องเลขเขมร ผมมีเรื่องแปลกใจอยู่  คือเรื่องไทยเอามาจากเขมร ตรงนี้ผมเชื่อว่าเป็นแบบนั้น

แต่เขมรโบราณใช้เลขฐานสิบ  มีตัวเลข 0-9 ครบ และน่าจะมีคำออกเสียงครบทั้ง 9 ตัว   ส่วนเลข 0 ตรงนี้อิมพอร์ตมาจากอาหรับแน่นอน  ทั้งโลกใช้แบบนี้ตรงกันหมด  อาหรับออกเสียงว่าซิป,  ฝรั่ง ซีโร่,  ไทย ศูนย์,  เขมร โซน

แต่เขมรปัจจุบันกลับออกเสียงได้แค่ 1-5 ตัวเลข 6-9 ไม่มีคำอ่านโดยตรง  ต้องออกเสียง 6 ว่า ห้าหนึ่ง (ปรำมวย)  7 ออกเสียงว่า ห้าสอง (ปรำปี)   จึงมีข้อสงสัยว่าเขมรปัจจุบันนี้ อาจจะไม่ใช่เขมรโบราณ
ออกเสียงเหมือนการวางตำแหน่งเลขโรมันเลยครับ ไม่ได้บอกว่าโรมันอ่านแบบนั้นนะครับผมไม่รู้ แต่เขาวางเลขแบบนั้น VI VII

ปล.อ่านกระทู้นี้ได้อะไรเยอะเลยครับ

ต่างกัน  แบบหน้ามือกับหลังเท้าเลยครับ
ภาษาลาตินมีตัวเลขแค่ 3 ตัว คือ I V X แล้ววางตำแหน่งผสมกันจนได้เป็นเลขฐานสิบ  แต่คำอ่านเขามีครบ  mono, di,  tri,  tetra,  penta,  hexa,  hepta,  octa,  nona,  deca

แต่ภาษาเขมรในปัจจุบัน  ตัวเลขเขามีครบ 10 ตัว แต่มีคำอ่านแค่ 5 ตัว
แล้วพอเป็นหลักสิบ  ตั้งแต่สามสิบ  ก็ตรงกับภาษาไทย  เช่นซามเซป, ซายเซป, ฮาเซป, ฮกเซป,  เจ็ตเซป,  แปตเซป,  เกาเซป  พอถึงร้อย  ก็ออกเสียงว่าโรย เช่น 100 ก็มวยโรย  101=มวยโรยมวย
พัน ออกเสียงว่าปอน,  หมื่นออกเสียงว่าเมิน,  แสนออกเสียงว่า แซน,  ล้าน เป็นเลียน  แต่ร้อยล้านเป็นโกฎ

ในหลักสิบ  เขาออกเสียงหก เจ็ด แปด ได้   แต่หลักหน่วยกลับไม่มีหก เจ็ด ถึงเก้า    6 ออกเสียงว่า ปรำมวย (ห้าหนึ่ง),  7= ปรำปี (ห้าสอง)


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ เมษายน 20, 2016, 04:17:30 PM
ต่างกัน  แบบหน้ามือกับหลังเท้าเลยครับภาษาลาตินมีตัวเลขแค่ 3 ตัว คือ I V X แล้ววางตำแหน่งผสมกันจนได้เป็นเลขฐานสิบ  แต่คำอ่านเขามีครบ  mono, di,  tri,  tetra,  penta,  hexa,  hepta,  octa,  nona,  deca

แต่ภาษาเขมรในปัจจุบัน  ตัวเลขเขามีครบ 10 ตัว แต่มีคำอ่านแค่ 5 ตัว
แล้วพอเป็นหลักสิบ  ตั้งแต่สามสิบ  ก็ตรงกับภาษาไทย  เช่นซามเซป, ซายเซป, ฮาเซป, ฮกเซป,  เจ็ตเซป,  แปตเซป,  เกาเซป  พอถึงร้อย  ก็ออกเสียงว่าโรย เช่น 100 ก็มวยโรย  101=มวยโรยมวย
พัน ออกเสียงว่าปอน,  หมื่นออกเสียงว่าเมิน,  แสนออกเสียงว่า แซน,  ล้าน เป็นเลียน  แต่ร้อยล้านเป็นโกฎ
ในหลักสิบ  เขาออกเสียงหก เจ็ด แปด ได้   แต่หลักหน่วยกลับไม่มีหก เจ็ด ถึงเก้า    6 ออกเสียงว่า ปรำมวย (ห้าหนึ่ง),  7= ปรำปี (ห้าสอง)
-มีคน(อ.สัจจภูมิ ละออ)ตั้งข้อสังเกตว่าเขมรน่าจะลอกวิธีนับ 30,40,50,60,70,80,90 ,100 , 1,000 10,000 100,000  1,000,000 ไปจากไทย บางอย่างเราลอกเขา อันนี้เขาลอกเรา..เป็นไปได้ไหม ?  


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ เมษายน 21, 2016, 09:48:20 AM
เข้ามาหาความรู้ครับ
เรื่องกินข้าวกับมะม่วงบ้านผมก็กินครับ นอกจากมะม่วงแล้วยังกินแตงโม กล้วยน้ำว้าสุก มะละกอ แต่กินแบบเป็นเครื่องเคียง ไม่ใช้กับข้่าวหลัก อาทิ น้ำพริกกะปิ ผัก มะม่วงสุก กินล้างปากระหว่างคำแก้ฝืดคอ หรือผัดกระเพราะ กินกับมะม่วงสุกก็อร่อยครับ ลื่นคอดี แต่ถ้านอกหน้ามะม่วงก็แตงโม หาแตงโมไม่ได้หรือกล้วย มะละกอสุก ก็กินครับ :D~


ลองกินข้าวเย็น เปิบมือกับทุเรียนสุกงอมดูครับ บ้านผมนิยมมาก


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 21, 2016, 10:14:17 AM
เข้ามาหาความรู้ครับ
เรื่องกินข้าวกับมะม่วงบ้านผมก็กินครับ นอกจากมะม่วงแล้วยังกินแตงโม กล้วยน้ำว้าสุก มะละกอ แต่กินแบบเป็นเครื่องเคียง ไม่ใช้กับข้่าวหลัก อาทิ น้ำพริกกะปิ ผัก มะม่วงสุก กินล้างปากระหว่างคำแก้ฝืดคอ หรือผัดกระเพราะ กินกับมะม่วงสุกก็อร่อยครับ ลื่นคอดี แต่ถ้านอกหน้ามะม่วงก็แตงโม หาแตงโมไม่ได้หรือกล้วย มะละกอสุก ก็กินครับ :D~


ลองกินข้าวเย็น เปิบมือกับทุเรียนสุกงอมดูครับ บ้านผมนิยมมาก

ตอนนี้มื้อเช้าของผมเป็น Muesli เติมนมกับผลไม้เช่นแอปเปิลขูด  ฝรั่งขูดเป็นเส้น  ผมว่าพิเรนแล้วนะ  เจอทุเรียนงอมเข้าไปนี้  ไปต่อไม่ไหวเลย


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ เมษายน 21, 2016, 11:23:23 AM
อาหารท้องถิ่นครับ ต้องกินกับข้าวสวยที่ทิ้งไว้จนเย็น


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 21, 2016, 11:33:52 AM
ต่างกัน  แบบหน้ามือกับหลังเท้าเลยครับภาษาลาตินมีตัวเลขแค่ 3 ตัว คือ I V X แล้ววางตำแหน่งผสมกันจนได้เป็นเลขฐานสิบ  แต่คำอ่านเขามีครบ  mono, di,  tri,  tetra,  penta,  hexa,  hepta,  octa,  nona,  deca

แต่ภาษาเขมรในปัจจุบัน  ตัวเลขเขามีครบ 10 ตัว แต่มีคำอ่านแค่ 5 ตัว
แล้วพอเป็นหลักสิบ  ตั้งแต่สามสิบ  ก็ตรงกับภาษาไทย  เช่นซามเซป, ซายเซป, ฮาเซป, ฮกเซป,  เจ็ตเซป,  แปตเซป,  เกาเซป  พอถึงร้อย  ก็ออกเสียงว่าโรย เช่น 100 ก็มวยโรย  101=มวยโรยมวย
พัน ออกเสียงว่าปอน,  หมื่นออกเสียงว่าเมิน,  แสนออกเสียงว่า แซน,  ล้าน เป็นเลียน  แต่ร้อยล้านเป็นโกฎ
ในหลักสิบ  เขาออกเสียงหก เจ็ด แปด ได้   แต่หลักหน่วยกลับไม่มีหก เจ็ด ถึงเก้า    6 ออกเสียงว่า ปรำมวย (ห้าหนึ่ง),  7= ปรำปี (ห้าสอง)
-มีคน(อ.สัจจภูมิ ละออ)ตั้งข้อสังเกตว่าเขมรน่าจะลอกวิธีนับ 30,40,50,60,70,80,90 ,100 , 1,000 10,000 100,000  1,000,000 ไปจากไทย บางอย่างเราลอกเขา อันนี้เขาลอกเรา..เป็นไปได้ไหม ?  

ได้ครับ
รวมทั้งทฤษฎีของ ดร.ทวิช ด้วย   ที่ว่าเขมรปัจจุบันคือทาสชาวจาม  ที่ยึดอำนาจผู้ปกครองได้สำเร็จ  และผู้ปกครองผู้นั้นก็คือพระเจ้าอู่ทอง  ที่หนีมาพึ่งญาติที่ละโว้ปุระ  จนกระทั่งตั้งกรุงศรีอยุธยา
ลองเข้าไปอ่านดูนะครับ  https://www.gotoknow.org/posts/481788


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ เมษายน 21, 2016, 01:37:13 PM
ดร. ทวิชเขาใช้หลักวิศวะมาวิเคราะห์หรือเปล่า


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ เมษายน 22, 2016, 11:54:18 AM
-อักขระในศิลาจารึกหลักที่ 1 นอกจากคล้ายอักษรขอมแล้วยังคล้ายอักษรลาว(ปัจจุบัน)ด้วยนิ แต่ไม่ค่อยคล้ายอักษรไทยเท่าไหร่เลย
-คนไทย(เชื้อสายลาว)พรรคพวกกันที่อยู่หนองคายเคยบอกผมว่าชื่อพ่อขุนนาวนำถม,พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ..ฯลฯ เหล่านี้ เป็นการตั้งชื่อแบบลาวครับ..มันยืนยันว่าไม่ใช่ชื่อไทย  


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 22, 2016, 01:01:25 PM
-อักขระในศิลาจารึกหลักที่ 1 นอกจากคล้ายอักษรขอมแล้วยังคล้ายอักษรลาว(ปัจจุบัน)ด้วยนิ แต่ไม่ค่อยคล้ายอักษรไทยเท่าไหร่เลย
-คนไทย(เชื้อสายลาว)พรรคพวกกันที่อยู่หนองคายเคยบอกผมว่าชื่อพ่อขุนนาวนำถม,พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ..ฯลฯ เหล่านี้ เป็นการตั้งชื่อแบบลาวครับ..มันยืนยันว่าไม่ใช่ชื่อไทย   

ก็ลาวจริง ๆ รวมทั้งขุนหลวงพะงั่ว   พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 3 ของอยุธยา ก็เป็นชื่อแบบลาว
คนสุพรรณ กับคนหลวงพระบาง  ก็พูดสำเนียงเดียวกัน

แต่เรื่องตัวอักษร  คงไม่ใช่
ตัวอักษรไทยดัดแปลงจากตัวอักษรเขมร  ส่วนตัวอักษรลาวดัดแปลงจากอักษรมอญ
แต่ทั้งอักษรเขมรและอักษรมอญ  ก็ไปจากอักษรปัลวะของอินเดียด้วยกันทั้งคู่  ไปต่างกันตรงวิธีเขียน  ที่มอญนิยมจารลงบนใบลาน  ตัวอักษรมอญถึงกลม ๆ เพื่อไม่ให้ใบลานแตก   ส่วนเขมรนิยมสลักลงบนแผ่นหิน  ตัวอักษรจึงเป็นเหลี่ยม ๆ เพราะแกะสลักได้ง่ายกว่าตัวกลม ๆ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ เมษายน 22, 2016, 01:51:18 PM
สงสัยมานาน ขุนหลวงพะงั่ว ชื่อพ้องๆกับเจ้าฟ้างุ่ม เจ้าฟ้าเงี้ยวของทางล้านช้าง
คำว่าพะ กับคำว่าฟ้า คำเดียวกันหรือเปล่าครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ เมษายน 22, 2016, 03:19:50 PM
สมัยที่เขมรยังเป็นของไทย พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้แม่ทัพไทยย้ายปราสาทนครวัดมาไว้ที่กรุงเทพ  พระองค์ตรัสว่า..เอามาให้จงได้..


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 23, 2016, 10:23:53 AM
สงสัยมานาน ขุนหลวงพะงั่ว ชื่อพ้องๆกับเจ้าฟ้างุ่ม เจ้าฟ้าเงี้ยวของทางล้านช้าง
คำว่าพะ กับคำว่าฟ้า คำเดียวกันหรือเปล่าครับ


เจ้าฟ้า เดิมเป็นยศทางไทยใหญ่  ที่สยามยืมมาใช้ ถ้าทางลานช้างจะเอามาใช้ด้วย ก็คงไม่แปลก   แต่คำว่าเจ้าฟ้างุ้ม เป็นชื่อที่ฝั่งไทยเราใช้เรียกปฐมกษัติริย์ของลานช้าง  เราต้องไปดูด้วยว่าทางลาวเขาเรียกเหมือนกับเราหรือเปล่า

เจ้าฟ้างุ้มและขุนหลวงพะงั่ว เป็นคนรุ่นเดียวกับพระเจ้าอู่ทองครับ  ก่อตั้งนครรัฐในเวลาใกล้เคียงกัน  คงไม่ใช่คนเดียวกันหรอก


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 23, 2016, 11:28:14 AM
สมัยที่เขมรยังเป็นของไทย พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้แม่ทัพไทยย้ายปราสาทนครวัดมาไว้ที่กรุงเทพ  พระองค์ตรัสว่า..เอามาให้จงได้..

ไม่พบหลักฐานว่าเคยมีรับสั่งเช่นนั้น
นครวัดเป็นผลงานที่เกิดจากการกดขี่แรงงานทาสหลักแสนคน  เป็นเวลายาวนานหลายสิบปี
หากจะย้ายมา   ก็ต้องใช้แรงงานมหาศาลเช่นเดิม  ซึ่งไม่เกิดประโยชน์อะไร  เพราะไทยนับถือศาสนาพุทธ แบบเถรวาท  แต่นครวัดเป็นศาสนสถานแบบฮินดู  ลักษณะทางสถาปัตย์ที่สร้างถวายพระวิษณุ

การยึดติดกับแนวความคิดในลักษณะนี้  เป็นการสร้างประเด็นขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน เพราะนครวัดเป็นสัญญาลักษณ์ของเขมร  ถึงขนาดนำไปประดับบนธงชาติ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: bobby ที่ เมษายน 23, 2016, 02:14:01 PM
ได้ความรู้มากมายเลยครับ

เรียนถามเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องเท่าไรว่า แล้วภาษาปักษ์ใต้ของผม เป็นมาอย่างไรครับ ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 23, 2016, 02:42:41 PM
ได้ความรู้มากมายเลยครับ

เรียนถามเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องเท่าไรว่า แล้วภาษาปักษ์ใต้ของผม เป็นมาอย่างไรครับ ขอบคุณครับ

ก็เป็นภาษาถิ่นที่มีวิวัฒนาการในตัวของตัวเองเท่านั้นเอง
แต่นักภาษาศาสตร์ เขาบอกว่าภาษาไทยสำเนียงนครศรีธรรมราช  เป็นสำเนียงเดียวกับภาษาไทยลาวที่พูดกันในหมู่ชาวจ้วง (มี 13 ล้านคน) ในมณฑลกวางสี ประเทศจีน   ซึ่งถือกันว่าเป็นภาษาไทย-ลาว ที่เก่าแก่ที่สุด   นอกจากนั้น นักโบราณคดีฝรั่ง เขาตามรอยนิทานซินเดอเรลล่า มาจนถึงต้นตอว่ามาจากนิทานพื้นบ้านเรื่องปลาบู่ทองของชาวจ้วง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 23, 2016, 02:56:46 PM
ดร. ทวิชเขาใช้หลักวิศวะมาวิเคราะห์หรือเปล่า

ไม่ทราบเหมือนกัน  แต่ก่อนเป็นอาจารย์ท่านเป็นทหารมาก่อน  เป็นรุ่นพี่ผม 3 รุ่น
บทความของ ดร.ทวิช  ท่านมองผ่านไปบางเรื่อง  เช่นบันทึกของโจวต้ากวน ที่ ดร.ทวิช ให้ความสำคัญค่อนข้างมาก
ตรงนี้โจวต้ากวน แยกแยะคนเขมร คนสยาม และคนลาวได้   เรียกเขมรว่าเจนละ  เรียกคนลาวว่าเลียน และเรียกชาวสยามว่าเสียน  ดังนั้นชาวสยามจึงไม่น่าจะใช่ชาวเขมรที่เป็นชนชั้นปกครอง  อาจจะอยู่ในระดับกลาง ๆ เช่นอยู่ในวรรณะ Vaisyas  เพราะโจวต้ากวนบอกว่าชาวสยามเป็นพ่อค้า  เย็บผ้าไหม  รับจ้างปะผ้า ชุนผ้า ซึ่งเป็นเทคโนโลยี้ขั้นสูงในสมัยนั้น 


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ เมษายน 23, 2016, 04:44:57 PM
ดร. ทวิชเขาใช้หลักวิศวะมาวิเคราะห์หรือเปล่า

ไม่ทราบเหมือนกัน  แต่ก่อนเป็นอาจารย์ท่านเป็นทหารมาก่อน  เป็นรุ่นพี่ผม 3 รุ่น
บทความของ ดร.ทวิช  ท่านมองผ่านไปบางเรื่อง  เช่นบันทึกของโจวต้ากวน ที่ ดร.ทวิช ให้ความสำคัญค่อนข้างมาก
ตรงนี้โจวต้ากวน แยกแยะคนเขมร คนสยาม และคนลาวได้   เรียกเขมรว่าเจนละ  เรียกคนลาวว่าเลียน และเรียกชาวสยามว่าเสียน  ดังนั้นชาวสยามจึงไม่น่าจะใช่ชาวเขมรที่เป็นชนชั้นปกครอง  อาจจะอยู่ในระดับกลาง ๆ เช่นอยู่ในวรรณะ Vaisyas  เพราะโจวต้ากวนบอกว่าชาวสยามเป็นพ่อค้า  เย็บผ้าไหม  รับจ้างปะผ้า ชุนผ้า ซึ่งเป็นเทคโนโลยี้ขั้นสูงในสมัยนั้น 

ทหารเรือพรรคกลินแต่ไปสนใจประวัติศาสตร์เชิงลึกแต่ไม่แปลกทางฝั่งทัพฟ้าก็มีคนค้นคว้าอยู่แถมใช้หลักวิทยาศาสตร์และการทหารมาวิเคราะห์บางประเด็นเช่นข่วงเวลาที่ใช้เดินทัพไปที่ต่างๆเทียบกับวันเดือนของเหตุการณ์ทำให้เกิดความคิดว่าที่เขาบันทึกบางเรื่องไว้น่ะจริงหรือมีเหตุผลบางอย่างไหมบางทีความเป็นไปได้ของสมมุติฐานมันก็มาก


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ เมษายน 23, 2016, 06:42:24 PM
   แสดงว่าชาวสยามน่าจะอยู่ในดินแดนนี้มาก่อน ไม่น่ามาจากเทือกเขาอัลไต


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: bobby ที่ เมษายน 23, 2016, 09:05:38 PM
ได้ความรู้มากมายเลยครับ

เรียนถามเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องเท่าไรว่า แล้วภาษาปักษ์ใต้ของผม เป็นมาอย่างไรครับ ขอบคุณครับ

ก็เป็นภาษาถิ่นที่มีวิวัฒนาการในตัวของตัวเองเท่านั้นเอง
แต่นักภาษาศาสตร์ เขาบอกว่าภาษาไทยสำเนียงนครศรีธรรมราช  เป็นสำเนียงเดียวกับภาษาไทยลาวที่พูดกันในหมู่ชาวจ้วง (มี 13 ล้านคน) ในมณฑลกวางสี ประเทศจีน   ซึ่งถือกันว่าเป็นภาษาไทย-ลาว ที่เก่าแก่ที่สุด   นอกจากนั้น นักโบราณคดีฝรั่ง เขาตามรอยนิทานซินเดอเรลล่า มาจนถึงต้นตอว่ามาจากนิทานพื้นบ้านเรื่องปลาบู่ทองของชาวจ้วง

ขอบคุณมากครับผม

ที่อยากทราบอีก คือภาษาของพวกอาณาจักรโบราณของด้ามขวาน เช่น ศรีวิชัย ตาพรลิง ว่าใช้ภาษาอะไรครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 23, 2016, 09:39:30 PM
   แสดงว่าชาวสยามน่าจะอยู่ในดินแดนนี้มาก่อน ไม่น่ามาจากเทือกเขาอัลไต

เรื่องเขาอัลไต  เขาเลิกเชื่อกันมาสามสิบปีแล้วนะครับ
เรื่องนี้  ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ให้อ้างอิงเลย   ว่ากันว่าสมัยจอมพล ป.มีการประกวดหนังสือ  แล้วก็มีหนังสือได้รางวัลชมเชยเล่มหนึ่ง ผู้เขียนเป็นข้าราชการ งานหลักเป็นล่าม  และมีงานอดิเรกเป็นนักประพันธ์ กับเขียนบทละคร   เนื้อความในหนังสือว่าคนไทยมาจากเขาอัลไต
 คือคนแต่ง เขาเขียนเป็นเรื่องกึ่งนิยาย เพื่อส่งเข้าประกวด   แต่ดันไปถูกใจคนในรัฐบาลเข้า ก็เลยเอามาใส่ในตำราประวัติศาสตร์   ใครเคยไปทางเหนือของจีน หรือแถวมองโกเลียใน  จะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะเป็นภูเขาน้ำแข็ง  ไม่มีคนอยู่  ขนาดบริเวณเชิงเขา คนพื้นราบอย่างเรา ๆ ยังอยู่ไม่ได้  เพราะอ็อกซิเจนต่ำ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 23, 2016, 09:49:46 PM
ได้ความรู้มากมายเลยครับ

เรียนถามเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องเท่าไรว่า แล้วภาษาปักษ์ใต้ของผม เป็นมาอย่างไรครับ ขอบคุณครับ

ก็เป็นภาษาถิ่นที่มีวิวัฒนาการในตัวของตัวเองเท่านั้นเอง
แต่นักภาษาศาสตร์ เขาบอกว่าภาษาไทยสำเนียงนครศรีธรรมราช  เป็นสำเนียงเดียวกับภาษาไทยลาวที่พูดกันในหมู่ชาวจ้วง (มี 13 ล้านคน) ในมณฑลกวางสี ประเทศจีน   ซึ่งถือกันว่าเป็นภาษาไทย-ลาว ที่เก่าแก่ที่สุด   นอกจากนั้น นักโบราณคดีฝรั่ง เขาตามรอยนิทานซินเดอเรลล่า มาจนถึงต้นตอว่ามาจากนิทานพื้นบ้านเรื่องปลาบู่ทองของชาวจ้วง

ขอบคุณมากครับผม

ที่อยากทราบอีก คือภาษาของพวกอาณาจักรโบราณของด้ามขวาน เช่น ศรีวิชัย ตาพรลิง ว่าใช้ภาษาอะไรครับ

เกิดไม่ทันเหมือนกันครับ
ศรีวิชัย น่าจะใช้ภาษามาลายู   ส่วน Tambalinga มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับทางตอนใต้ของอินเดีย และศรีลังกา  อาจจะใช้ภาษาเดียวกับอินเดียใต้ ก็เป็นได้

ผมว่ากระทู้นี้  ชักไปไกลจากหัวเรื่องมากขึ้นทุกที


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Nero Angel01 ที่ เมษายน 23, 2016, 10:03:01 PM
งั้นกลับมาเกราะครับ รัฐในแถบนี้สมัยก่อนใช้ชุดเกราะแบบใหนบ้างครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ เมษายน 23, 2016, 10:09:44 PM
       ผมเดาว่าน่าจะเป็นเกราะทำมาจากหนังสัตว์ หรือจากพืชแบบหวายเพราะมีความเหนียวยืดหยุ่นได้ งานโลหะไม่น่าจะทำได้เต็มตัวแบบอัศวินยุคกลาง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ เมษายน 24, 2016, 08:09:17 AM
ของเราน่าจะใช้เดรื่องป้องกันมือถือเช่นโล่เขนดั้ง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Nero Angel01 ที่ เมษายน 24, 2016, 08:25:07 AM
ตัวผมเองเคยอ่านเจอเกราะนวมครับ แต่ก็ไม่ทราบรายละเอียดอะไรมากกว่านั้น แล้วก็ไมู่้ว่ามีการใช้เกราะกี่แบบด้วยครับ ที่สงสัยเพราะตอนรู้ว่าเกราะซามูไรของญี่ปุ่นนั้นมันระดับศักดินาไม่ได้ใส่กันทุกคน และคาตะนะเป็นแค่อาวุธป้องกันตัวและเป็นเครื่องหมายศักดินาด้วย ผมนี่เงิบพอสมควรครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: bobby ที่ เมษายน 24, 2016, 09:07:27 AM
ได้ความรู้มากมายเลยครับ

เรียนถามเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องเท่าไรว่า แล้วภาษาปักษ์ใต้ของผม เป็นมาอย่างไรครับ ขอบคุณครับ

ก็เป็นภาษาถิ่นที่มีวิวัฒนาการในตัวของตัวเองเท่านั้นเอง
แต่นักภาษาศาสตร์ เขาบอกว่าภาษาไทยสำเนียงนครศรีธรรมราช  เป็นสำเนียงเดียวกับภาษาไทยลาวที่พูดกันในหมู่ชาวจ้วง (มี 13 ล้านคน) ในมณฑลกวางสี ประเทศจีน   ซึ่งถือกันว่าเป็นภาษาไทย-ลาว ที่เก่าแก่ที่สุด   นอกจากนั้น นักโบราณคดีฝรั่ง เขาตามรอยนิทานซินเดอเรลล่า มาจนถึงต้นตอว่ามาจากนิทานพื้นบ้านเรื่องปลาบู่ทองของชาวจ้วง

ขอบคุณมากครับผม

ที่อยากทราบอีก คือภาษาของพวกอาณาจักรโบราณของด้ามขวาน เช่น ศรีวิชัย ตาพรลิง ว่าใช้ภาษาอะไรครับ

เกิดไม่ทันเหมือนกันครับ
ศรีวิชัย น่าจะใช้ภาษามาลายู   ส่วน Tambalinga มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับทางตอนใต้ของอินเดีย และศรีลังกา  อาจจะใช้ภาษาเดียวกับอินเดียใต้ ก็เป็นได้

ผมว่ากระทู้นี้  ชักไปไกลจากหัวเรื่องมากขึ้นทุกที

ขอบคุณครับผม


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: turboboost ที่ เมษายน 24, 2016, 10:31:30 AM
ตัวผมเองเคยอ่านเจอเกราะนวมครับ แต่ก็ไม่ทราบรายละเอียดอะไรมากกว่านั้น แล้วก็ไมู่้ว่ามีการใช้เกราะกี่แบบด้วยครับ ที่สงสัยเพราะตอนรู้ว่าเกราะซามูไรของญี่ปุ่นนั้นมันระดับศักดินาไม่ได้ใส่กันทุกคน และคาตะนะเป็นแค่อาวุธป้องกันตัวและเป็นเครื่องหมายศักดินาด้วย ผมนี่เงิบพอสมควรครับ
ขยายความหน่อยครับพี่ แล้วญี่ปุ่นเขาใช้อะไรสู้กันละครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 24, 2016, 12:21:19 PM
ตัวผมเองเคยอ่านเจอเกราะนวมครับ แต่ก็ไม่ทราบรายละเอียดอะไรมากกว่านั้น แล้วก็ไมู่้ว่ามีการใช้เกราะกี่แบบด้วยครับ ที่สงสัยเพราะตอนรู้ว่าเกราะซามูไรของญี่ปุ่นนั้นมันระดับศักดินาไม่ได้ใส่กันทุกคน และคาตะนะเป็นแค่อาวุธป้องกันตัวและเป็นเครื่องหมายศักดินาด้วย ผมนี่เงิบพอสมควรครับ
ขยายความหน่อยครับพี่ แล้วญี่ปุ่นเขาใช้อะไรสู้กันละครับ

ระยะไกล ก็เริ่มจากธนูก่อน  ตามด้วยหอกซัด   แล้วก็อาวุธด้ามยาว  หมดแล้วถึงเป็นดาบ

สมัยนี้ก็แนวคิดเดิม   รถถังเป็นอาวุธเชิงรุก  พอน้ำมันหมด รถถังก็กลายเป็นป้อมปืน  พอกระสุนปืนประจำรถหมด  รถถังก็กลายเป็นที่กำบัง  พอระเบิดขว้างกับกระสุนของอาวุธประจำกายหมด  พลประจำรถก็กลายเป็นวีรชน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Nero Angel01 ที่ เมษายน 24, 2016, 06:04:28 PM
ตัวผมเองเคยอ่านเจอเกราะนวมครับ แต่ก็ไม่ทราบรายละเอียดอะไรมากกว่านั้น แล้วก็ไมู่้ว่ามีการใช้เกราะกี่แบบด้วยครับ ที่สงสัยเพราะตอนรู้ว่าเกราะซามูไรของญี่ปุ่นนั้นมันระดับศักดินาไม่ได้ใส่กันทุกคน และคาตะนะเป็นแค่อาวุธป้องกันตัวและเป็นเครื่องหมายศักดินาด้วย ผมนี่เงิบพอสมควรครับ

ขยายความหน่อยครับพี่ แล้วญี่ปุ่นเขาใช้อะไรสู้กันละครับ

ระยะไกล ก็เริ่มจากธนูก่อน  ตามด้วยหอกซัด   แล้วก็อาวุธด้ามยาว  หมดแล้วถึงเป็นดาบ

สมัยนี้ก็แนวคิดเดิม   รถถังเป็นอาวุธเชิงรุก  พอน้ำมันหมด รถถังก็กลายเป็นป้อมปืน  พอกระสุนปืนประจำรถหมด  รถถังก็กลายเป็นที่กำบัง  พอระเบิดขว้างกับกระสุนของอาวุธประจำกายหมด  พลประจำรถก็กลายเป็นวีรชน
ตามอาจารย์ผู้การครับ อาวุธหลักคือธนู หอกยาริกับง้าวนากินาตะครับ เพราะการสู้รบเริ่มจากระยะไกลก่อนก็ซัดกันด้วยธนู.(ไม่นับปืนไฟในยุคหลัง) พอเข้าระยะก็เล่นหอกยารินี่ละครับ บางกองนี่หอกยาวถึง5เมตรเอาไว้ทั้งแทงและตัดเกี่ยวขาม้าครับ ส่วนดาบก็ไม่ใช่คาตะนะอีกจะเป็นโนตาชิสำหรับพลราบที่ผ่านการฝึกมาอย่างดี ยาวมากเฉพาะใบดาบ80กว่าเซ็นครับรวมด้ามเมตรกว่า ถ้าบนหลังม้าก็เป็นดาบตาชิที่มีความยาวและโค้งใช้ฟันบนหลังม้าได้ดี

  ต่อมาตาชินิยมมากในยุคเฮอันและเป็นอาวุธของชนชั้นสูงผลิตด้วยความประณีต ถ้า1-1แทบจะกินเรียบครับ เพราะพวกหอกจะเป็นอาวุธของทหารที่ฝึกมาดีระดับหนึ่งแค่นั้นสกิลต่างกันเยอะ หลังยุคนี้ไม่ค่อยได้สู้กันในสนามรบแต่เป็นการสู้กันในเมือง ตามตรอกตามซอย อาจจะโดนลอบโจมตี อาวุธจึงสั้นลงและออกแบบให้ชักได้เร็วเพื่อความสะดวกในการตอบโต้และเคลื่อนไหว คาตะนะเกิดด้วยเงื่อนไขนี้ครับ คือตัดความยาวของตาชิออกแล้วหงายคมขึ้น จำยุคไม่ได้ครับแต่ดังๆคือยุคเอโดะ แล้วก็มีวากิซากิที่สั้นลงมาอีกคือราวๆ50-60เซ็น พกคู่กับคาตะนะแต่พกได้เฉพาะซามูไรขั้นสูง และอนุญาตให้พกติดตัวเข้าไปในบ้านคนอื่นได้ครับ ส่วนคาตะนะต้องฝากกับคนติดตามไว้


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ เมษายน 24, 2016, 06:28:24 PM
ตัวผมเองเคยอ่านเจอเกราะนวมครับ แต่ก็ไม่ทราบรายละเอียดอะไรมากกว่านั้น แล้วก็ไมู่้ว่ามีการใช้เกราะกี่แบบด้วยครับ ที่สงสัยเพราะตอนรู้ว่าเกราะซามูไรของญี่ปุ่นนั้นมันระดับศักดินาไม่ได้ใส่กันทุกคน และคาตะนะเป็นแค่อาวุธป้องกันตัวและเป็นเครื่องหมายศักดินาด้วย ผมนี่เงิบพอสมควรครับ
ขยายความหน่อยครับพี่ แล้วญี่ปุ่นเขาใช้อะไรสู้กันละครับ

ระยะไกล ก็เริ่มจากธนูก่อน  ตามด้วยหอกซัด   แล้วก็อาวุธด้ามยาว  หมดแล้วถึงเป็นดาบ

สมัยนี้ก็แนวคิดเดิม   รถถังเป็นอาวุธเชิงรุก  พอน้ำมันหมด รถถังก็กลายเป็นป้อมปืน  พอกระสุนปืนประจำรถหมด  รถถังก็กลายเป็นที่กำบัง  พอระเบิดขว้างกับกระสุนของอาวุธประจำกายหมด  พลประจำรถก็กลายเป็นวีรชน

ก่อนเป็นวีรชนก็ต้องติดดาบเสียก่อนวัดดวงไปเลย


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: chew - รักในหลวง ที่ เมษายน 25, 2016, 09:31:31 AM
ตัวผมเองเคยอ่านเจอเกราะนวมครับ แต่ก็ไม่ทราบรายละเอียดอะไรมากกว่านั้น แล้วก็ไมู่้ว่ามีการใช้เกราะกี่แบบด้วยครับ ที่สงสัยเพราะตอนรู้ว่าเกราะซามูไรของญี่ปุ่นนั้นมันระดับศักดินาไม่ได้ใส่กันทุกคน และคาตะนะเป็นแค่อาวุธป้องกันตัวและเป็นเครื่องหมายศักดินาด้วย ผมนี่เงิบพอสมควรครับ
ขยายความหน่อยครับพี่ แล้วญี่ปุ่นเขาใช้อะไรสู้กันละครับ

ระยะไกล ก็เริ่มจากธนูก่อน  ตามด้วยหอกซัด   แล้วก็อาวุธด้ามยาว  หมดแล้วถึงเป็นดาบ

สมัยนี้ก็แนวคิดเดิม   รถถังเป็นอาวุธเชิงรุก  พอน้ำมันหมด รถถังก็กลายเป็นป้อมปืน  พอกระสุนปืนประจำรถหมด  รถถังก็กลายเป็นที่กำบัง  พอระเบิดขว้างกับกระสุนของอาวุธประจำกายหมด  พลประจำรถก็กลายเป็นวีรชน
  ไม่สุกเพราะโดนเผา ก็คงเป็นชิ้นๆในรถถังเลย ...แง  แง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ เมษายน 25, 2016, 11:40:55 AM
   แสดงว่าชาวสยามน่าจะอยู่ในดินแดนนี้มาก่อน ไม่น่ามาจากเทือกเขาอัลไต

เรื่องเขาอัลไต  เขาเลิกเชื่อกันมาสามสิบปีแล้วนะครับ
เรื่องนี้  ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ให้อ้างอิงเลย   ว่ากันว่าสมัยจอมพล ป.มีการประกวดหนังสือ  แล้วก็มีหนังสือได้รางวัลชมเชยเล่มหนึ่ง ผู้เขียนเป็นข้าราชการ งานหลักเป็นล่าม  และมีงานอดิเรกเป็นนักประพันธ์ กับเขียนบทละคร   เนื้อความในหนังสือว่าคนไทยมาจากเขาอัลไต
 คือคนแต่ง เขาเขียนเป็นเรื่องกึ่งนิยาย เพื่อส่งเข้าประกวด   แต่ดันไปถูกใจคนในรัฐบาลเข้า ก็เลยเอามาใส่ในตำราประวัติศาสตร์   ใครเคยไปทางเหนือของจีน หรือแถวมองโกเลียใน  จะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะเป็นภูเขาน้ำแข็ง  ไม่มีคนอยู่  ขนาดบริเวณเชิงเขา คนพื้นราบอย่างเรา ๆ ยังอยู่ไม่ได้  เพราะอ็อกซิเจนต่ำ


แหม....  คล้ายๆบางระจันของไม้ เมืองเดิม แค่นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
กลายเป็นจริงเป็นจังจนไปถึงขั้นมีอนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจัน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ เมษายน 25, 2016, 11:53:44 AM

ตามอาจารย์ผู้การครับ อาวุธหลักคือธนู หอกยาริกับง้าวนากินาตะครับ เพราะการสู้รบเริ่มจากระยะไกลก่อนก็ซัดกันด้วยธนู.(ไม่นับปืนไฟในยุคหลัง) พอเข้าระยะก็เล่นหอกยารินี่ละครับ บางกองนี่หอกยาวถึง5เมตรเอาไว้ทั้งแทงและตัดเกี่ยวขาม้าครับ ส่วนดาบก็ไม่ใช่คาตะนะอีกจะเป็นโนตาชิสำหรับพลราบที่ผ่านการฝึกมาอย่างดี ยาวมากเฉพาะใบดาบ80กว่าเซ็นครับรวมด้ามเมตรกว่า ถ้าบนหลังม้าก็เป็นดาบตาชิที่มีความยาวและโค้งใช้ฟันบนหลังม้าได้ดี

  ต่อมาตาชินิยมมากในยุคเฮอันและเป็นอาวุธของชนชั้นสูงผลิตด้วยความประณีต ถ้า1-1แทบจะกินเรียบครับ เพราะพวกหอกจะเป็นอาวุธของทหารที่ฝึกมาดีระดับหนึ่งแค่นั้นสกิลต่างกันเยอะ หลังยุคนี้ไม่ค่อยได้สู้กันในสนามรบแต่เป็นการสู้กันในเมือง ตามตรอกตามซอย อาจจะโดนลอบโจมตี อาวุธจึงสั้นลงและออกแบบให้ชักได้เร็วเพื่อความสะดวกในการตอบโต้และเคลื่อนไหว คาตะนะเกิดด้วยเงื่อนไขนี้ครับ คือตัดความยาวของตาชิออกแล้วหงายคมขึ้น จำยุคไม่ได้ครับแต่ดังๆคือยุคเอโดะ แล้วก็มีวากิซากิที่สั้นลงมาอีกคือราวๆ50-60เซ็น พกคู่กับคาตะนะแต่พกได้เฉพาะซามูไรขั้นสูง และอนุญาตให้พกติดตัวเข้าไปในบ้านคนอื่นได้ครับ ส่วนคาตะนะต้องฝากกับคนติดตามไว้

ไม่สะดวกเท่าไหร่ ส่งรูปแค่นี้ก่อน ถ้าใครทราบก็ลุยเลยครับ

(http://getasword.com/blog/wp-content/uploads/2010/03/japanese-swords-types1.jpg)

(http://peralatanbeladiri.com/wp-content/uploads/2015/03/nodachi.jpg)



แถมดาบไทยให้

(http://2.bp.blogspot.com/-Ou7Khtc18-Y/Ttsi-tfpFzI/AAAAAAAAABI/DX9RFcnUt4c/s1600/20110306220345_DSC3893-1.jpg)


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: รัชต์ ที่ เมษายน 25, 2016, 12:00:15 PM
เป็นกระทู้ออกทะเล ที่น่าติดตามครับ ผมก็ตามมาไกลแล้วเหมือนกัน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ เมษายน 25, 2016, 02:30:34 PM
กระทู้นี้ดีครับ...

ขออนุญาต +1 ทุกท่านในหน้าที่แล้วครับ...


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ เมษายน 25, 2016, 04:02:07 PM
สมัยที่เขมรยังเป็นของไทย พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้แม่ทัพไทยย้ายปราสาทนครวัดมาไว้ที่กรุงเทพ  พระองค์ตรัสว่า..เอามาให้จงได้..
ไม่พบหลักฐานว่าเคยมีรับสั่งเช่นนั้นนครวัดเป็นผลงานที่เกิดจากการกดขี่แรงงานทาสหลักแสนคน  เป็นเวลายาวนานหลายสิบปี หากจะย้ายมา   ก็ต้องใช้แรงงานมหาศาลเช่นเดิม  ซึ่งไม่เกิดประโยชน์อะไร  เพราะไทยนับถือศาสนาพุทธ แบบเถรวาท  แต่นครวัดเป็นศาสนสถานแบบฮินดู  ลักษณะทางสถาปัตย์ที่สร้างถวายพระวิษณุการยึดติดกับแนวความคิดในลักษณะนี้  เป็นการสร้างประเด็นขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน เพราะนครวัดเป็นสัญญาลักษณ์ของเขมร  ถึงขนาดนำไปประดับบนธงชาติ
อ่านเจอในหนังสือ..สยามที่ไม่ทันได้เห็นของไกรฤกษ์ นานา..ครับ ข้าราชการไทยทูลเสนอว่าปราสาทนครวัดนั้นใหญ่โตเกินกว่าจะขนย้ายได้ จึงมีรับสั่งให้ย้ายปราสาทตาพรหม(ลือชื่อเรื่องปราสาทหินที่มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุม)ที่มีขนาดเล็กกว่ามาแทน..เมื่อคณะคนไทยไปดำเนินการรื้อปราสาทตาพรหม ได้เกิดเหตุอาเพท..คือมีนักรบเขมรโบราณ 300 คนออกมาจากราวป่า..ตรงเข้าเข่นฆ่าคณะคนไทยตายไปหลายคนจนต้องหนีกันจ้าละหวั่น การรื้อปราสาทก็เป็นอันไม่สำเร็จ..พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าจึงให้จำลองปราสาทนครวัดมาประดิษฐานไว้ในวัดพระแก้ว ตราบจนปัจจุบันนี้        


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Nero Angel01 ที่ เมษายน 25, 2016, 06:15:48 PM
ไม่สะดวกเท่าไหร่ ส่งรูปแค่นี้ก่อน ถ้าใครทราบก็ลุยเลยครับ

(http://getasword.com/blog/wp-content/uploads/2010/03/japanese-swords-types1.jpg)

(http://peralatanbeladiri.com/wp-content/uploads/2015/03/nodachi.jpg)



แถมดาบไทยให้

(http://2.bp.blogspot.com/-Ou7Khtc18-Y/Ttsi-tfpFzI/AAAAAAAAABI/DX9RFcnUt4c/s1600/20110306220345_DSC3893-1.jpg)

มีเรื่องเล่าว่า การหุ้มด้ามด้วยหนังฉลามหรือกระเบนของดาบญี่ปุ่น ได้ไปจากไทยไม่รู้จริงเท็จประการใดครับ ลองถามคนรู้จักก็ไม่มีใครมราบ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 27, 2016, 11:28:02 AM
สมัยที่เขมรยังเป็นของไทย พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้แม่ทัพไทยย้ายปราสาทนครวัดมาไว้ที่กรุงเทพ  พระองค์ตรัสว่า..เอามาให้จงได้..
ไม่พบหลักฐานว่าเคยมีรับสั่งเช่นนั้นนครวัดเป็นผลงานที่เกิดจากการกดขี่แรงงานทาสหลักแสนคน  เป็นเวลายาวนานหลายสิบปี หากจะย้ายมา   ก็ต้องใช้แรงงานมหาศาลเช่นเดิม  ซึ่งไม่เกิดประโยชน์อะไร  เพราะไทยนับถือศาสนาพุทธ แบบเถรวาท  แต่นครวัดเป็นศาสนสถานแบบฮินดู  ลักษณะทางสถาปัตย์ที่สร้างถวายพระวิษณุการยึดติดกับแนวความคิดในลักษณะนี้  เป็นการสร้างประเด็นขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน เพราะนครวัดเป็นสัญญาลักษณ์ของเขมร  ถึงขนาดนำไปประดับบนธงชาติ
อ่านเจอในหนังสือ..สยามที่ไม่ทันได้เห็นของไกรฤกษ์ นานา..ครับ ข้าราชการไทยทูลเสนอว่าปราสาทนครวัดนั้นใหญ่โตเกินกว่าจะขนย้ายได้ จึงมีรับสั่งให้ย้ายปราสาทตาพรหม(ลือชื่อเรื่องปราสาทหินที่มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุม)ที่มีขนาดเล็กกว่ามาแทน..เมื่อคณะคนไทยไปดำเนินการรื้อปราสาทตาพรหม ได้เกิดเหตุอาเพท..คือมีนักรบเขมรโบราณ 300 คนออกมาจากราวป่า..ตรงเข้าเข่นฆ่าคณะคนไทยตายไปหลายคนจนต้องหนีกันจ้าละหวั่น การรื้อปราสาทก็เป็นอันไม่สำเร็จ..พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าจึงให้จำลองปราสาทนครวัดมาประดิษฐานไว้ในวัดพระแก้ว ตราบจนปัจจุบันนี้       

การเอาทรัพย์สินในลักษณะนี้ เหมือนกับปล้นเขา  ความภาคภูมิใจในความเข้มแข็งของบรรพชนเป็นเรื่องดี  แต่ถ้าจะงดเว้นการกล่าวถึงเรื่องชวนทะเลาะกับเพื่อนบ้านได้ จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ  ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านจะดีขึ้น
การทำสงครามในสมัยก่อน  จะต้องมีเผาพระราชวัง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าสงครามยุติแล้ว หยุดต่อสู้กันได้ จะได้ไม่ต้องเสียชีวิตมากขึ้นอีก อังกฤษรบกับอเมริกาเมื่อปี 1812 ก็เผาทำเนียบขาว
การกวาดต้อนคนเพื่อมาใช้แรงงาน  การยึดทรัพย์สินเพื่อเป็นบำเหน็จสงคราม  แต่ก็ควรทำตามความเหมาะสม  พระพุทธรูป หรือบางเรื่องที่เป็นศูนย์รวมจิตใจ ก็อาจจะต้องยึดมา เพื่อป้องกันการก่อกบฎ   ตอนผมไปเวียงจันทร์ ก็รู้สึกอายที่บรรพชนเรายึดพระแก้วมรกตมาจากเขา  หลังจากนั้นก็ยังเผาเวียงจันทร์อีก 3 รอบ   ปัจจุบันลาวมีประชากรใกล้เคียงกับสิงคโปร์  ทั้ง ๆ ที่ขนาดประเทศใหญ่กว่าเกินสามร้อยเท่าตัว  ตรงนี้เป็นผลจากที่ไทยกวาดต้อนคนของเขามา ครั้งใหญ่คือใช้เป็นแรงงานสร้างกรุงเทพ ฯ  ต่อมาเจ้าอนุวงศ์เสด็จมาเป็นองค์ประกัน โตมากับรัชกาลที่ 2 (วังเจ้าอนุวงศ์อยู่ฝั่งธนฯ)   เมือเสด็จมาพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ ร.2 ได้ทูล ร.3 จะขอคนลาวกลับไป  เพราะไทยไม่ได้ใช้แรงงานแล้ว   บังคับให้อพยพออกไปอยู่นอกกรุงเทพเพื่อป้องกันการก่อกบฎ  แต่ ร.3 ไม่ให้ เจ้าอนุวงศ์จึงแข็งเมือง  เข้ามากวาดต้อนคนไทย คนลาวเดิมถึงสระบุรี

ชีวิตเจ้าอนุวงศ์เหมือนกับพระนเรศวร  สร้างคุณประโยชน์ต่อแผ่นดินเกิดมากมายมหาศาลเช่นเดียวกัน    แต่จุดจบต่างกันฟ้ากับดิน

คราวเสียกรุง พ.ศ.2106  บุเรงนอง  นำตัวสมเด็จพระมหินทราธิราช, พระบรมวงศานุวงศ์ และขุนนางน้อยใหญ่ไปปรับทัศนคติที่พม่าสามหมื่นคน เหลือเฝ้าเมืองพันเดียว   ตรงนี้เป็นเรื่องการถือโอกาส อ้างเรื่องสมประโยชน์ฝ่ายไทยที่จะเปลี่ยนราชวงศ์จากสุพรรณภูมิเป็นราชวงศ์พระร่วง  จึงต้องกำจัดศัตรูทางการเมืองของพระมหาธรรมราชาให้หมด   ถึงกระนั้นตอนเกิดกบฎญาณพิเชียร พระมหาธรรมราชายังแทบจะทิ้งกรุงศรีอยุธยา ไปตั้งรับที่พิษณุโลก ถิ่นเก่าของพระองค์


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ เมษายน 27, 2016, 02:59:03 PM
ชาวทมิฬ..เป็นคนพวกไหนครับ ระหว่างมองโกลอยด์ หรือ นิกรอยด์..อารยันนั้นไม่ใช่แน่ ๆ อยู่แล้ว   
ดราวิเดียนครับ
เป็นกลุ่มเดียวกับอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ  จุดเด่นอยู่ที่ระบบภาษา กับการก่อสร้างและระบบผังเมือง  ก้าวหน้ากว่าชาวยุโรปเป็นพันปี
-ท่านผู้การครับ..ดราวิเดียน..กับ..มิลักขะ(ปากหนา ตาพอง ท้องกิ่ว ผิวดำล่ำเตี้ย)..นี่ชาติพันธุ์เดียวกันรึเปล่าครับ
-ที่มาของคำว่าอินเดีย..ชนที่ใช้ภาษาสันสกฤตเรียกแม่น้ำสินธุว่า Sindhu ต่อมาพวกเปอร์เซียร์ที่เข้าไปมีอิทธิพลแถวนั้นเรียกเพี้ยนไปเป็น  Hindhu (ฮินดู) พออเล็กซานเดอร์ตีอินเดียได้ก็เรียกตามอย่างเปอร์เซีย แต่เพี้ยนเล็กน้อยเป็น Indos , Indus แล้วก็เป็น India ในที่สุด   


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ เมษายน 27, 2016, 05:11:00 PM
สมัยที่เขมรยังเป็นของไทย พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้แม่ทัพไทยย้ายปราสาทนครวัดมาไว้ที่กรุงเทพ  พระองค์ตรัสว่า..เอามาให้จงได้..
ไม่พบหลักฐานว่าเคยมีรับสั่งเช่นนั้นนครวัดเป็นผลงานที่เกิดจากการกดขี่แรงงานทาสหลักแสนคน  เป็นเวลายาวนานหลายสิบปี หากจะย้ายมา   ก็ต้องใช้แรงงานมหาศาลเช่นเดิม  ซึ่งไม่เกิดประโยชน์อะไร  เพราะไทยนับถือศาสนาพุทธ แบบเถรวาท  แต่นครวัดเป็นศาสนสถานแบบฮินดู  ลักษณะทางสถาปัตย์ที่สร้างถวายพระวิษณุการยึดติดกับแนวความคิดในลักษณะนี้  เป็นการสร้างประเด็นขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน เพราะนครวัดเป็นสัญญาลักษณ์ของเขมร  ถึงขนาดนำไปประดับบนธงชาติ
อ่านเจอในหนังสือ..สยามที่ไม่ทันได้เห็นของไกรฤกษ์ นานา..ครับ ข้าราชการไทยทูลเสนอว่าปราสาทนครวัดนั้นใหญ่โตเกินกว่าจะขนย้ายได้ จึงมีรับสั่งให้ย้ายปราสาทตาพรหม(ลือชื่อเรื่องปราสาทหินที่มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุม)ที่มีขนาดเล็กกว่ามาแทน..เมื่อคณะคนไทยไปดำเนินการรื้อปราสาทตาพรหม ได้เกิดเหตุอาเพท..คือมีนักรบเขมรโบราณ 300 คนออกมาจากราวป่า..ตรงเข้าเข่นฆ่าคณะคนไทยตายไปหลายคนจนต้องหนีกันจ้าละหวั่น การรื้อปราสาทก็เป็นอันไม่สำเร็จ..พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าจึงให้จำลองปราสาทนครวัดมาประดิษฐานไว้ในวัดพระแก้ว ตราบจนปัจจุบันนี้       

การเอาทรัพย์สินในลักษณะนี้ เหมือนกับปล้นเขา  ความภาคภูมิใจในความเข้มแข็งของบรรพชนเป็นเรื่องดี  แต่ถ้าจะงดเว้นการกล่าวถึงเรื่องชวนทะเลาะกับเพื่อนบ้านได้ จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ  ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านจะดีขึ้น
การทำสงครามในสมัยก่อน  จะต้องมีเผาพระราชวัง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าสงครามยุติแล้ว หยุดต่อสู้กันได้ จะได้ไม่ต้องเสียชีวิตมากขึ้นอีก อังกฤษรบกับอเมริกาเมื่อปี 1812 ก็เผาทำเนียบขาว
การกวาดต้อนคนเพื่อมาใช้แรงงาน  การยึดทรัพย์สินเพื่อเป็นบำเหน็จสงคราม  แต่ก็ควรทำตามความเหมาะสม  พระพุทธรูป หรือบางเรื่องที่เป็นศูนย์รวมจิตใจ ก็อาจจะต้องยึดมา เพื่อป้องกันการก่อกบฎ   ตอนผมไปเวียงจันทร์ ก็รู้สึกอายที่บรรพชนเรายึดพระแก้วมรกตมาจากเขา  หลังจากนั้นก็ยังเผาเวียงจันทร์อีก 3 รอบ   ปัจจุบันลาวมีประชากรใกล้เคียงกับสิงคโปร์  ทั้ง ๆ ที่ขนาดประเทศใหญ่กว่าเกินสามร้อยเท่าตัว  ตรงนี้เป็นผลจากที่ไทยกวาดต้อนคนของเขามา ครั้งใหญ่คือใช้เป็นแรงงานสร้างกรุงเทพ ฯ  ต่อมาเจ้าอนุวงศ์เสด็จมาเป็นองค์ประกัน โตมากับรัชกาลที่ 2 (วังเจ้าอนุวงศ์อยู่ฝั่งธนฯ)   เมือเสด็จมาพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ ร.2 ได้ทูล ร.3 จะขอคนลาวกลับไป  เพราะไทยไม่ได้ใช้แรงงานแล้ว   บังคับให้อพยพออกไปอยู่นอกกรุงเทพเพื่อป้องกันการก่อกบฎ  แต่ ร.3 ไม่ให้ เจ้าอนุวงศ์จึงแข็งเมือง  เข้ามากวาดต้อนคนไทย คนลาวเดิมถึงสระบุรี

ชีวิตเจ้าอนุวงศ์เหมือนกับพระนเรศวร  สร้างคุณประโยชน์ต่อแผ่นดินเกิดมากมายมหาศาลเช่นเดียวกัน    แต่จุดจบต่างกันฟ้ากับดิน

คราวเสียกรุง พ.ศ.2106  บุเรงนอง  นำตัวสมเด็จพระมหินทราธิราช, พระบรมวงศานุวงศ์ และขุนนางน้อยใหญ่ไปปรับทัศนคติที่พม่าสามหมื่นคน เหลือเฝ้าเมืองพันเดียว   ตรงนี้เป็นเรื่องการถือโอกาส อ้างเรื่องสมประโยชน์ฝ่ายไทยที่จะเปลี่ยนราชวงศ์จากสุพรรณภูมิเป็นราชวงศ์พระร่วง  จึงต้องกำจัดศัตรูทางการเมืองของพระมหาธรรมราชาให้หมด   ถึงกระนั้นตอนเกิดกบฎญาณพิเชียร พระมหาธรรมราชายังแทบจะทิ้งกรุงศรีอยุธยา ไปตั้งรับที่พิษณุโลก ถิ่นเก่าของพระองค์

เรื่องลาวนี่อยากให้เลิกเรียกว่าบ้านพี่เมืองน้องเสียที เขาไม่นับญาติกับเราหรอก อยู่กันแบบเป็นเพื่อนที่ดีมีมิตรไมตรีไม่ยกตัวข่มกันเถอะ หลายคนนะไปลาวแล้วอยากอยู่


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Nero Angel01 ที่ เมษายน 27, 2016, 07:48:58 PM
ทางสยามกวาดต้อนคนลาวมากี่ครั้ง เท่าไหร่ และไปอยู่ตรงใหนบ้างครับ เรื่องนี้ผมหาไม่เจอครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: วีระศักดิ์ รักในหลวงครับ ที่ เมษายน 27, 2016, 08:19:40 PM
แล้วบางแสนนี่ มีส่วนเกี่ยวข้องกับลาวบ้างหรือเปล่าครับ ::014::


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: วีระศักดิ์ รักในหลวงครับ ที่ เมษายน 27, 2016, 08:31:33 PM
สองฝ่ายเมื่อทำสงครามกันมีผลแพ้ชนะ ฝ่ายหนึ่งยึดของสำคัญทางจิตใจของอีกฝ่ายมา  เวลาต่อมารุ่นลูกรุุ่นหลานจูบปากกัน ของที่ยึดกันมาเขามีการคืนให้กันบ้างไหมครับในประเทศอื่นๆน่ะครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: วีระศักดิ์ รักในหลวงครับ ที่ เมษายน 27, 2016, 08:42:59 PM
กระทู้นี้ผมว่ามองไม่เห็นฝั่งมานานแล้วล่ะครับ แต่ก็ดีครับเรื่องที่ไม่รู้ก็ได้รู้


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 27, 2016, 08:54:11 PM
สองฝ่ายเมื่อทำสงครามกันมีผลแพ้ชนะ ฝ่ายหนึ่งยึดของสำคัญทางจิตใจของอีกฝ่ายมา  เวลาต่อมารุ่นลูกรุุ่นหลานจูบปากกัน ของที่ยึดกันมาเขามีการคืนให้กันบ้างไหมครับในประเทศอื่นๆน่ะครับ
ที่อังกฤษ มีมัมมี่มากกว่าในอิยิปต์อีกครับ

ชาวทมิฬ..เป็นคนพวกไหนครับ ระหว่างมองโกลอยด์ หรือ นิกรอยด์..อารยันนั้นไม่ใช่แน่ ๆ อยู่แล้ว  
ดราวิเดียนครับ
เป็นกลุ่มเดียวกับอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ  จุดเด่นอยู่ที่ระบบภาษา กับการก่อสร้างและระบบผังเมือง  ก้าวหน้ากว่าชาวยุโรปเป็นพันปี
-ท่านผู้การครับ..ดราวิเดียน..กับ..มิลักขะ(ปากหนา ตาพอง ท้องกิ่ว ผิวดำล่ำเตี้ย)..นี่ชาติพันธุ์เดียวกันรึเปล่าครับ
-ที่มาของคำว่าอินเดีย..ชนที่ใช้ภาษาสันสกฤตเรียกแม่น้ำสินธุว่า Sindhu ต่อมาพวกเปอร์เซียร์ที่เข้าไปมีอิทธิพลแถวนั้นเรียกเพี้ยนไปเป็น  Hindhu (ฮินดู) พออเล็กซานเดอร์ตีอินเดียได้ก็เรียกตามอย่างเปอร์เซีย แต่เพี้ยนเล็กน้อยเป็น Indos , Indus แล้วก็เป็น India ในที่สุด  
มิลักขะ เป็นชื่อเรียกชนพื้นเมืองอินเดียโบราณ  แต่ในความหมายของไทย จะแฝงไปในทางลบ  คล้ายกับคำว่าทมิฬ  ที่ความหมายในอินเดียหรือในภาษาอังกฤษ เป็นเรื่องที่ดี (sweetness, refined quality)  แต่ในภาษาไทยกลับเป็นเรื่องเลวทราม ดุร้าย   เลยเถิดไปถึงคำว่า "โจฬะ" ซึ่งแปลว่า Top เช่นจุฬาราชมนตรี   แต่ในเมื่อโจฬะเป็นราชวงศ์ของทมิฬ  ก็เลยกลายเป็นคำไม่ดีในภาษาไทยไปเสียอีก

สินธุในภาษาสันสกฤตแปลว่าแม่น้ำครับ  ในเมื่อเป็นอารยธรรมแรก ๆ ของแถบนั้น ไป ๆ มา ๆ ก็เลยเป็นชื่อแม่น้ำไปเลย   และพวกเปอร์เซียจะเรียกแม่น้ำสินธุว่า Hindu
ในภาษากรีก ไม่มีตัว S  พวกกรีกจึงเรียกแม่น้ำสินธุว่าอินดูซ  ส่วน India เป็นการออกเสียงแบบภาษาลาติน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 27, 2016, 08:59:55 PM
แล้วบางแสนนี่ มีส่วนเกี่ยวข้องกับลาวบ้างหรือเปล่าครับ ::014::

ไม่ถึงครับ  ไปแค่บางปะกง
เป็นลาวฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับเจ้าอนุวงศ์  ก็เลยหนีมาเข้ากับไทยตั้งแต่สมัย ร.3   ฝ่ายไทยก็มอบงานให้ทำ เป็นเรื่องขุดคลองเชื่อมแม่น้ำอะไรทำนองนี้  พอเสร็จ ก็จะให้ไปอยู่ทางชลบุรี  แต่ทางฝ่ายลาวบอกว่าไม่คุ้นกับทะเล  เลยตั้งหลักปักฐานอยู่ลุ่มแม่น้ำบางปะกง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ เมษายน 27, 2016, 09:25:58 PM
กลุ่มเดียวกับพนัสนิคมหรือเปล่าครับที่เขาเรียกลาวพวน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ เมษายน 27, 2016, 10:01:45 PM
  ลาวโซ่งอีกครับ อยู่แถบลาวเหนือรึเปล่าครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 28, 2016, 09:29:26 AM
  ลาวโซ่งอีกครับ อยู่แถบลาวเหนือรึเปล่าครับ

กลุ่มนี้อาจจะอยู่มานานกว่าพวกเราอีกนะครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ เมษายน 28, 2016, 09:59:10 AM
ตอนนี้ผมอยากทราบเรื่องของ สยามกับอาณาจักรไดเวียดมากกว่า
ทราบว่าตอนพระเจ้ากรุงธนบุรี เรารวบไดเวียดกับลาว เขมรมาเป็นของเราได้
แต่หาอ่านโดยละเอียดยากมาก


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: BANGRACHAN ที่ เมษายน 28, 2016, 10:32:45 AM
เป็นกระทู้แรกที่ผมเปิดอ่านทุกครั้งที่เข้าเวปครับ.. ขอบคุณมากครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: TUI 48 ที่ เมษายน 28, 2016, 10:45:14 AM
ขอบคุณทุกๆท่าน ที่นำเอาสาระ ความรู้มาเผื่อแผ่กันครับ ::002::


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: โทน73 -รักในหลวง- ที่ เมษายน 28, 2016, 03:34:16 PM
เรื่องสำเนียงชาวจ้วง กับ นครศรีธรรมราช กลุ่มที่เชื่อว่าสายเดียวกัน จะมาจากการอพยทางทะเล เพราะที่บางสะพานจะเป็นจุดแบ่งสำเนียงชัดเจน ที่อื่นก็ไม่มีที่ไหนจะแบ่งฝากการออกเสียงชัด มีแต่จะค่อยๆกลืนกันไป


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 28, 2016, 09:45:12 PM
ตอนนี้ผมอยากทราบเรื่องของ สยามกับอาณาจักรไดเวียดมากกว่า
ทราบว่าตอนพระเจ้ากรุงธนบุรี เรารวบไดเวียดกับลาว เขมรมาเป็นของเราได้
แต่หาอ่านโดยละเอียดยากมาก


ได้เฉพาะลาวครับ  เขมรก็ยกทัพไปตีหลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ
รัชสมัยพระเจ้าตากสินเพียง 15 ปีเท่านั้น  และใน 15 ปีหลังจากครองราชแล้ว พระเจ้าตากสินทำสงครามกับพม่าถึง 9 ครั้ง และชนะทุกครั้ง  มีแบบชนะไม่เคลียร์ก็คือศึกอะแซหวุ่นกี้  ที่อะแซหวุ่นกี้เป็นสุภาพบรุษ  ไม่เข้าตีพิษณุโลกตอนที่ ร.1 ไม่อยู่ รอจนกลับมาแล้วถึงรบกัน   แต่อะแซหวุ่นกี้ต้องทิ้งศึกรีบกลับพม่า เพราะกษัตริย์พม่าสวรรคต   และเป็นการรีบกลับแบบทิ้งลูกน้องไว้ 2 กองทัพ ที่เป็นกองกำลังไล่ติดตามทัพของ ร.1  พอดีพระเจ้าตากสินยกทัพหลวงขึ้นมาช่วย  พม่าสองกองทัพนั้นก็เลยเละตุ้มเปะ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Nero Angel01 ที่ เมษายน 28, 2016, 10:10:20 PM
ใหนๆก็วงเข้าไทยรบพม่าแล้ว ขอถามเรื่องกรุงแตกครั้งที่2หน่อยครับ นักวิชาการสมัยใหม่เชื่อว่าพม่าไม่ได้เผา เขาใช้หลักฐานอะไรครับ หาอ่านก็ไม่เจอด้วย ลำพังจะบอกว่ารีบกลับไปรับศึกเมืองจีนไม่น่ามีน้ำหนักพอนะครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 28, 2016, 10:36:35 PM
เกิดไฟไหม้ใหญ่ก่อนกรุงแตก 3 เดือนครับ   ข้อความในพงศาวดารก็มีระบุว่าตอนที่พระเจ้าตาก ตีฝ่าออกไป  มองกลับมาเห็นไฟไหม้
แล้วก็ไม่มีเหตุผลที่พม่าจะเผาเล่น   คือเผารากกำแพง ให้กำแพงพัง  เผาพระราชวังเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่ารบชนะแล้ว


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ เมษายน 29, 2016, 08:31:40 AM
อีกอย่างตอนตั้งกรุงธนบุรี เนื่องจากศึกติดพัน ไม่มีเวลาสร้างบ้านสร้างเมืองดี
พระเจ้าตากเลยสั่งคนมามาขนอิฐจากกรุงศรีไปสร้างกรุงธนฯ โดยขนส่งไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา

ส่วนวัดหน้าพระเมรุราชิการรามนั้น อย่างที่รู้ๆว่าทัพพม่ามาตั้งที่นั่นเลยไม่เผา
อย่างที่ อ.เคยบอกว่า พระเจ้าอลองพญา โดนปืนใหญ่แตกตาย ก็มาตั้งทัพที่นี่
ตั้งปืนใหญ่ บัญชาการยิงและทรงจุดปืนเอง ปืนแตก ต้องพระวรกายพระเจ้าอลองพญา
ทำให้ได้รับบาดเจ็บและประชวร รุ่งขึ้นพม่าเลยเดินทัพกลับ แต่ยังไม่ทันพ้นเมืองตาก
พระเจ้าอะลองพญาก็สิ้นพระชนม์ระหว่างทาง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ เมษายน 29, 2016, 10:28:42 AM
ใหนๆก็วงเข้าไทยรบพม่าแล้ว ขอถามเรื่องกรุงแตกครั้งที่2หน่อยครับ นักวิชาการสมัยใหม่เชื่อว่าพม่าไม่ได้เผา เขาใช้หลักฐานอะไรครับ หาอ่านก็ไม่เจอด้วย ลำพังจะบอกว่ารีบกลับไปรับศึกเมืองจีนไม่น่ามีน้ำหนักพอนะครับ
บางคนเห็นความศรัทธาสูงสุดที่คนพม่ามีต่อพระพุทธศาสนาแล้วเขาเขียนเลยว่าผู้เผาวัดวาอารามไทยไม่ใช่พม่า แต่น่าจะเป็นทหารมุสลิมที่ถูกเกณฑ์มาจากรัฐยะไข่..พอมีผู้ทักท้วงว่าบิดเบือนประวัติศาสตร์ ก็ออกท่านักเลงหาว่าผู้ทักท้วงไม่ลงชื่อจริง ไม่ลงที่อยู่ จะได้ไปเคลียร์ให้ถึงบ้าน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ เมษายน 29, 2016, 11:27:51 AM
นักเลงคีย์บอร์ดเดี๋ยวนี้ดูจังเลย
อย่างที่เคยลงไว้ว่ามีบางท่านที่เป็นทหารวิเคราะห์ประวัติศาสตร์โดยวิธีทางวิทยาศาตร์ใช้อัตราเดินทัพต่อวันเทียบกับวันเวลาแล้วสะกิดใจในบางเรื่อง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Nero Angel01 ที่ เมษายน 29, 2016, 07:44:45 PM
+ทุกท่านครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ เมษายน 30, 2016, 03:51:23 AM
   บนทุ่งใหญ่นเรศวร มีที่โล่งๆเป็นทุ่งหญ้ากว้างแตกต่างจากป่ารกทึบโดยรอบ ตำนานเขาเล่าว่า สมเด็จพระนเรศวรมาพักทัพที่นี่ ทุ่งนี้เป็นนาที่ทำเพื่อเลี้ยงไพร่พล ที่ต้องเดินทางไปตีพม่า ไม่ทราบจริงเท็จยังไงครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 30, 2016, 09:43:41 AM
  บนทุ่งใหญ่นเรศวร มีที่โล่งๆเป็นทุ่งหญ้ากว้างแตกต่างจากป่ารกทึบโดยรอบ ตำนานเขาเล่าว่า สมเด็จพระนเรศวรมาพักทัพที่นี่ ทุ่งนี้เป็นนาที่ทำเพื่อเลี้ยงไพร่พล ที่ต้องเดินทางไปตีพม่า ไม่ทราบจริงเท็จยังไงครับ

มีตำนานแบบนี้ทั่วประเทศไทยละครับ  บางเรื่องเข้าขั้นแหกตามข้ามประเทศ  เช่นหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของพม่าฉบับหนึ่ง เสนอข่าวว่าเมืองนี้ พม่าเคยนำพระเจ้าอุทุมพรไปไว้ และสวรรคตที่นั้น  มีการสร้างเจดีย์ไว้ด้วย  ต่อมานักวิชาการ กรมศิลปากรของไทยเรา ไปตรวจสอบ   ก็รู้ว่าเป็นเรื่องโปรโมทการท่องเที่ยว

เอาเป็นว่า  การทำนาสมัยก่อน  ต้องทำในที่ลุ่ม น้ำท่วม/น้ำลด ตามธรรมชาติ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ เมษายน 30, 2016, 12:11:14 PM
   บนทุ่งใหญ่นเรศวร มีที่โล่งๆเป็นทุ่งหญ้ากว้างแตกต่างจากป่ารกทึบโดยรอบ ตำนานเขาเล่าว่า สมเด็จพระนเรศวรมาพักทัพที่นี่ ทุ่งนี้เป็นนาที่ทำเพื่อเลี้ยงไพร่พล ที่ต้องเดินทางไปตีพม่า ไม่ทราบจริงเท็จยังไงครับ
. ขอบคุณครับผู้การผมก็สงสัยเส้นทางเดินทัพทำไมต้องขึ้นไปสูงขนาดนั้น

มีตำนานแบบนี้ทั่วประเทศไทยละครับ  บางเรื่องเข้าขั้นแหกตามข้ามประเทศ  เช่นหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของพม่าฉบับหนึ่ง เสนอข่าวว่าเมืองนี้ พม่าเคยนำพระเจ้าอุทุมพรไปไว้ และสวรรคตที่นั้น  มีการสร้างเจดีย์ไว้ด้วย  ต่อมานักวิชาการ กรมศิลปากรของไทยเรา ไปตรวจสอบ   ก็รู้ว่าเป็นเรื่องโปรโมทการท่องเที่ยว

เอาเป็นว่า  การทำนาสมัยก่อน  ต้องทำในที่ลุ่ม น้ำท่วม/น้ำลด ตามธรรมชาติ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ เมษายน 30, 2016, 08:36:49 PM
   พระเจ้าอุทุมพรสวรรคตที่ใดครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 30, 2016, 09:06:16 PM
  พระเจ้าอุทุมพรสวรรคตที่ใดครับ

ในพม่า ทางตอนเหนือแถบเมืองมัณฑะเลย์
หลังเสียกรุงใน พ.ศ.2310 พระองค์ถูกนำไปพม่า  ต่อมาได้บวช และพงศาวดารพม่าระบุว่าสวรรคตในเพศบรรพชิตเมื่อ พ.ศ.2339  แต่จะเป็นการนับ พ.ศ.แบบพม่าหรือแบบไทย ยังไม่ทราบ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ เมษายน 30, 2016, 09:23:34 PM
เจดีย์หรือสถูปที่ว่า  อยู่ใกล้หมู่บ้านเมงตาสี ภาษาพม่าที่แปลว่า as prince ซึ่งในหมู่บ้านนี้ยังคงมีธรรมเนียมไทย เช่นการขนทรายเข้าวัด ที่แตกต่างจากธรรมเนียมพม่า  แต่พูดไทยกันไม่ได้แล้ว ชาวบ้านรับรู้ว่าตัวเองเป็นโยเดีย ไปจากอยุธยา
ที่เป็นประเด็นขึ้นมา  ก็เพราะว่าสถูปในภาพ สถาปัตยกรรมไม่ใช่แบบพม่าหรือแบบมอญ  คนแถวนั้นก็เลยเรียกว่า Yodia Zedi

กฎหมายพม่าห้ามขุดโบราณสถาน  เมื่อปรากฏข่าวนี้  คณะทำงานจากกรมศิลปากร (ทราบว่าไม่ได้ไปเป็นทางการ) จึงประสานงานขออนุญาตเป็นกรณีพิเศษ  และเมื่อขุดไปก็ไม่พบอะไร   ต่อมาคณะทำงานนี้ได้สำรวจต่อไปอีกระยะหนึ่ง และพบอัฐิธาตุบรรจุอยู่ในโกศซึ่งมีลักษณะคล้ายบาตร วางบนพานแว่นฟ้า อยู่บริเวณนั้น  ไม่มีพลักฐานยืนยันว่าเป็นของพระเจ้าอุทุมพร


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ พฤษภาคม 01, 2016, 12:27:56 AM
แบบนี้เมืองไทยมีด้วยเหรอ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ พฤษภาคม 01, 2016, 12:20:21 PM
แบบนี้เมืองไทยมีด้วยเหรอ

คนพม่าก็คงพูดคล้าย ๆ แบบนี้  ถึงเรียกเจดีย์แบบอยุธยา


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ พฤษภาคม 01, 2016, 04:53:18 PM
  ชอบอิฐมอญที่ใช้ก่อเจดีย์ใหญ่ได้ใจ ทนแดดทนฝน เดี๋ยวนี้เหลือก้อนเล็กลงกว่าเดิมมากโข


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ พฤษภาคม 01, 2016, 07:28:11 PM
ทำไมถึงเรียกว่าอิฐมอญครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ พฤษภาคม 01, 2016, 08:22:56 PM
   เรียกตามช่างครับ สงสัยคนมอญจะมีทักษะทางนี้ เหมือนจะเรียนมาจากอินเดียรึเปล่าครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ พฤษภาคม 01, 2016, 09:14:26 PM
   เรียกตามช่างครับ สงสัยคนมอญจะมีทักษะทางนี้ เหมือนจะเรียนมาจากอินเดียรึเปล่าครับ

ถ้านับย้อนไปถึงอิฐตากแห้ง (dried brick) ที่ยังไม่มีการเผา ก็เกินหมื่นปีละครับ  ส่วนอิฐเผา น่าจะเป็นเทคโนโลยีที่มาจากจีน
ที่น่าสนใจก็คือ  อิฐในเมืองไทย ที่พบในยุคทวาราวดี  ทำจากแกลบข้าวเหนียวทั้งหมด  อิฐที่ใช้แกลบข้าวเจ้า เพิ่งมีในสมัยอยุธยา


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ พฤษภาคม 01, 2016, 11:48:20 PM
ทราบมาว่าเมื่อก่อนเรากินข้าวเหนียวส่วนข้าวจ้าวเป็นของที่พวกชนชั้นสูงกินกันไม่รู้ว่าจริงไหม


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ พฤษภาคม 01, 2016, 11:55:01 PM
   เป็นสูตรผสมโบราณ เชิงช่างไม่น่าเชื่อว่าทนกว่าบ้านสมัยใหม่ เหมือนกำแพงเมืองเก่าในเวียดนามใช้น้ำผึ้งเป็นส่วนผสมเพิ่มความแข็งแรงให้ทนแรงกระสุนปืน อันนี้ฟังมาจากรายการพวกถามตอบครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ พฤษภาคม 02, 2016, 10:21:15 AM
ทราบมาว่าเมื่อก่อนเรากินข้าวเหนียวส่วนข้าวจ้าวเป็นของที่พวกชนชั้นสูงกินกันไม่รู้ว่าจริงไหม

ชื่อก็บอกแล้วไงละครับ  ว่าเป็นข้าวสำหรับเจ้านายกิน
พันธุ์ข้าวเจ้า นำเข้ามาจากอินเดีย และจะปลูกในนาหลวง   ซึ่งต่อมาเป็นสนามหลวง  และค่อย ๆ เผยแพร่ให้กับสามัญชน
แสดงว่าคนไทยสมัยก่อน  เปิบข้าวเหนียวกันเป็นหลัก

ตัวอย่างชัดเจนคือทางใต้  ที่มีการทำข้าวเหนียวในงานมงคล คือของหวานจะใช้ข้าวเหนียวเป็นปกติอยู่แล้ว   แต่อาหารคาว เขาทำเป็นเครื่องเซ่นผีบรรพชนในงานมงคล โดยเฉพาะงานแต่งงาน  เพราะบรรพชนเสียชีวิตไปก่อนมีข้าวเจ้า  กินข้าวเจ้าไม่เป็น

ปัจจุบันธรรมเนียมนี้อาจจะจางไปบ้าง  แต่คำว่า "กินเหนียว" ยังใช้กันอยู่   อย่างเช่นถ้าผู้ใหญ่ถามว่า "กินเนี่ยวยัง" แปลว่า "แต่งงานหรือยัง"


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ พฤษภาคม 02, 2016, 01:21:59 PM
ทราบมาว่าเมื่อก่อนเรากินข้าวเหนียวส่วนข้าวจ้าวเป็นของที่พวกชนชั้นสูงกินกันไม่รู้ว่าจริงไหม

ชื่อก็บอกแล้วไงละครับ  ว่าเป็นข้าวสำหรับเจ้านายกิน
พันธุ์ข้าวเจ้า นำเข้ามาจากอินเดีย และจะปลูกในนาหลวง   ซึ่งต่อมาเป็นสนามหลวง  และค่อย ๆ เผยแพร่ให้กับสามัญชน
แสดงว่าคนไทยสมัยก่อน  เปิบข้าวเหนียวกันเป็นหลัก

ตัวอย่างชัดเจนคือทางใต้  ที่มีการทำข้าวเหนียวในงานมงคล คือของหวานจะใช้ข้าวเหนียวเป็นปกติอยู่แล้ว   แต่อาหารคาว เขาทำเป็นเครื่องเซ่นผีบรรพชนในงานมงคล โดยเฉพาะงานแต่งงาน  เพราะบรรพชนเสียชีวิตไปก่อนมีข้าวเจ้า  กินข้าวเจ้าไม่เป็น

ปัจจุบันธรรมเนียมนี้อาจจะจางไปบ้าง  แต่คำว่า "กินเหนียว" ยังใช้กันอยู่   อย่างเช่นถ้าผู้ใหญ่ถามว่า "กินเนี่ยวยัง" แปลว่า "แต่งงานหรือยัง"

ถ้าอย่างนั้นกงเต้ก iPhone iPad ทั้งหลายที่ส่งไปให้บรรพชนก็ไม่มีประโยชน์เลย ท่านๆเหล่านั้นไม่รู้จัก


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: srimalai_รักในหลวง ที่ พฤษภาคม 02, 2016, 02:20:15 PM
ทราบมาว่าเมื่อก่อนเรากินข้าวเหนียวส่วนข้าวจ้าวเป็นของที่พวกชนชั้นสูงกินกันไม่รู้ว่าจริงไหม


ชื่อก็บอกแล้วไงละครับ  ว่าเป็นข้าวสำหรับเจ้านายกิน
พันธุ์ข้าวเจ้า นำเข้ามาจากอินเดีย และจะปลูกในนาหลวง   ซึ่งต่อมาเป็นสนามหลวง  และค่อย ๆ เผยแพร่ให้กับสามัญชน
แสดงว่าคนไทยสมัยก่อน  เปิบข้าวเหนียวกันเป็นหลัก

ตัวอย่างชัดเจนคือทางใต้  ที่มีการทำข้าวเหนียวในงานมงคล คือของหวานจะใช้ข้าวเหนียวเป็นปกติอยู่แล้ว   แต่อาหารคาว เขาทำเป็นเครื่องเซ่นผีบรรพชนในงานมงคล โดยเฉพาะงานแต่งงาน  เพราะบรรพชนเสียชีวิตไปก่อนมีข้าวเจ้า  กินข้าวเจ้าไม่เป็น

ปัจจุบันธรรมเนียมนี้อาจจะจางไปบ้าง  แต่คำว่า "กินเหนียว" ยังใช้กันอยู่   อย่างเช่นถ้าผู้ใหญ่ถามว่า "กินเนี่ยวยัง" แปลว่า "แต่งงานหรือยัง"

ถ้าอย่างนั้นกงเต้ก iPhone iPad ทั้งหลายที่ส่งไปให้บรรพชนก็ไม่มีประโยชน์เลย ท่านๆเหล่านั้นไม่รู้จัก
สตีฟ จอบส์ อาจเอาไปแนะนำเผยแพร่ แล้ว


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: แปจีหล่อ คนสันขวาน ที่ พฤษภาคม 02, 2016, 02:59:10 PM
   เรียกตามช่างครับ สงสัยคนมอญจะมีทักษะทางนี้ เหมือนจะเรียนมาจากอินเดียรึเปล่าครับ

ถ้านับย้อนไปถึงอิฐตากแห้ง (dried brick) ที่ยังไม่มีการเผา ก็เกินหมื่นปีละครับ  ส่วนอิฐเผา น่าจะเป็นเทคโนโลยีที่มาจากจีน
ที่น่าสนใจก็คือ  อิฐในเมืองไทย ที่พบในยุคทวาราวดี  ทำจากแกลบข้าวเหนียวทั้งหมด  อิฐที่ใช้แกลบข้าวเจ้า เพิ่งมีในสมัยอยุธยา
อิฐเผาแล้วเค้ารู้ได้ยังไงครับว่าใช้แกลบข้าวเหนียวหรือแกลบข้าวเจ้าทำครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ พฤษภาคม 02, 2016, 04:11:31 PM
ทราบมาว่าเมื่อก่อนเรากินข้าวเหนียวส่วนข้าวจ้าวเป็นของที่พวกชนชั้นสูงกินกันไม่รู้ว่าจริงไหม
ชื่อก็บอกแล้วไงละครับ  ว่าเป็นข้าวสำหรับเจ้านายกิน พันธุ์ข้าวเจ้า นำเข้ามาจากอินเดีย และจะปลูกในนาหลวง   ซึ่งต่อมาเป็นสนามหลวง  และค่อย ๆ เผยแพร่ให้กับสามัญชนแสดงว่าคนไทยสมัยก่อน  เปิบข้าวเหนียวกันเป็นหลักตัวอย่างชัดเจนคือทางใต้  ที่มีการทำข้าวเหนียวในงานมงคล คือของหวานจะใช้ข้าวเหนียวเป็นปกติอยู่แล้ว   แต่อาหารคาว เขาทำเป็นเครื่องเซ่นผีบรรพชนในงานมงคล โดยเฉพาะงานแต่งงาน  เพราะบรรพชนเสียชีวิตไปก่อนมีข้าวเจ้า  กินข้าวเจ้าไม่เป็นปัจจุบันธรรมเนียมนี้อาจจะจางไปบ้าง  แต่คำว่า "กินเหนียว" ยังใช้กันอยู่   อย่างเช่นถ้าผู้ใหญ่ถามว่า "กินเนี่ยวยัง" แปลว่า "แต่งงานหรือยัง"
คนปักษ์ใต้สมัยก่อนใช้ข้าวเหนียวทำขนมเลี้ยงแขก เลี้ยงพระในงานแต่งงาน เช่น ข้าวเหนียวถั่วดำ,ข้าวเหนียวหน้าสังขยา..ฯลฯ ถือเป็นของหวานชั้นดีแล้ว นาน ๆ ถึงจะได้กิน คำว่าได้กินเหนียว(เหนียว=ข้าวเหนียว)จึงเป็นคำสแลงหมายถึงการแต่งงาน..(ที่จริงงานอื่น เช่นบวชนาคก็ใช้ข้าวเหนียวทำขนมเลี้ยงแขกเหมือนกันนิ-คงเพราะทำง่ายและไม่สิ้นเปลืองมากนัก)..มีคำตรงข้ามคือ..ไม่ได้กินเหนียว..หมายถึงลูกสาวที่ไม่ได้ตบไม่ได้แต่ง..เพราะหนีตามไอ้หนุ่มไป ให้พ่อแม่ขายหน้าชาวบ้าน..ปกติเรียกพฤติกรรมนี้ว่า..ตามผัว..ครับ      


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ พฤษภาคม 02, 2016, 08:47:31 PM
   เรียกตามช่างครับ สงสัยคนมอญจะมีทักษะทางนี้ เหมือนจะเรียนมาจากอินเดียรึเปล่าครับ

ถ้านับย้อนไปถึงอิฐตากแห้ง (dried brick) ที่ยังไม่มีการเผา ก็เกินหมื่นปีละครับ  ส่วนอิฐเผา น่าจะเป็นเทคโนโลยีที่มาจากจีน
ที่น่าสนใจก็คือ  อิฐในเมืองไทย ที่พบในยุคทวาราวดี  ทำจากแกลบข้าวเหนียวทั้งหมด  อิฐที่ใช้แกลบข้าวเจ้า เพิ่งมีในสมัยอยุธยา
อิฐเผาแล้วเค้ารู้ได้ยังไงครับว่าใช้แกลบข้าวเหนียวหรือแกลบข้าวเจ้าทำครับ

ต้องไปถามนักโบราณคดีครับ  ผมแค่ว่าตามเขาอีกที
ถ้าจะให้เดาก็คือ  ดูจากรูปร่างลักษณะของแกลบในอิฐที่เผาไม่หมด


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ พฤษภาคม 03, 2016, 10:45:17 AM
ทราบมาว่าเมื่อก่อนเรากินข้าวเหนียวส่วนข้าวจ้าวเป็นของที่พวกชนชั้นสูงกินกันไม่รู้ว่าจริงไหม

ชื่อก็บอกแล้วไงละครับ  ว่าเป็นข้าวสำหรับเจ้านายกิน
พันธุ์ข้าวเจ้า นำเข้ามาจากอินเดีย และจะปลูกในนาหลวง   ซึ่งต่อมาเป็นสนามหลวง  และค่อย ๆ เผยแพร่ให้กับสามัญชน
แสดงว่าคนไทยสมัยก่อน  เปิบข้าวเหนียวกันเป็นหลัก

ตัวอย่างชัดเจนคือทางใต้  ที่มีการทำข้าวเหนียวในงานมงคล คือของหวานจะใช้ข้าวเหนียวเป็นปกติอยู่แล้ว   แต่อาหารคาว เขาทำเป็นเครื่องเซ่นผีบรรพชนในงานมงคล โดยเฉพาะงานแต่งงาน  เพราะบรรพชนเสียชีวิตไปก่อนมีข้าวเจ้า  กินข้าวเจ้าไม่เป็น

ปัจจุบันธรรมเนียมนี้อาจจะจางไปบ้าง  แต่คำว่า "กินเหนียว" ยังใช้กันอยู่   อย่างเช่นถ้าผู้ใหญ่ถามว่า "กินเนี่ยวยัง" แปลว่า "แต่งงานหรือยัง"

สำหรับที่ลุ่มชุ่มน้ำอย่างอยุธยามันมีข้าวประเภทหนึ่ง เรียกว่าข้าวนาเมือง หรือข้าวขึ้นน้ำ
ลักษณะเป็นข้าวเมล็ดป้อมๆคล้ายข้าวญี่ปุ่น
มีปรากฏว่าเรามีข้าวขนิดนี้กินมาก่อน จากการตรวจสอบหม้อดินโบราณที่ใช้หุงข้าว
ลักษณะเด่นของข้าวชนิดนี้ไม่ได้อยู่ที่รสชาติ แต่หากน้ำเพิ่มระดับสูงขึ้น
มันสามารถโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำได้ เป็นอาหารอย่างหนึ่งที่เราเคยใช้ตอนถูกล้อมบ้านล้อมเมือง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ พฤษภาคม 03, 2016, 03:28:29 PM

มีเรื่องเล่าว่า การหุ้มด้ามด้วยหนังฉลามหรือกระเบนของดาบญี่ปุ่น ได้ไปจากไทยไม่รู้จริงเท็จประการใดครับ ลองถามคนรู้จักก็ไม่มีใครมราบ
ไม่ใช่ครับ สำหรับพื้นที่ติดทะเล ที่ไหนก็มี แต่บ้านเราทรัพยากรทำด้ามมีดมีเยอะ ที่คุณสมบัติดีกว่าหนังกระเบน
เหมือนยุคโบราณที่ีเอาหนังกระเบนตากแห้ง ใช้แทนกระดาษทรายหยาบหรือตะไบ มีกันทุกที่ ที่ติดทะเล



หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ พฤษภาคม 03, 2016, 11:22:44 PM
พ.ร.บ.อาวุธปืน ฯ ฉบับปฐมฤกษ์  ใช้ตราแผ่นดินที่มีภาษาเขมรเขียนคำว่า "พระบรมราชโองการ"


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: TUI 48 ที่ พฤษภาคม 04, 2016, 10:15:38 AM
พ.ร.บ.อาวุธปืน ฯ ฉบับปฐมฤกษ์  ใช้ตราแผ่นดินที่มีภาษาเขมรเขียนคำว่า "พระบรมราชโองการ"

เรียนขอความรู้ จากท่านผู้การฯครับ

การที่เราใช้ภาษาเขมร บนตราแผ่นดินตอนนั้น  มีนัยสำคัญเช่นใดบ้างครับ....ขอบคุณครับ... 


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ พฤษภาคม 04, 2016, 12:01:46 PM
มีเรื่องเล่าว่า การหุ้มด้ามด้วยหนังฉลามหรือกระเบนของดาบญี่ปุ่น ได้ไปจากไทยไม่รู้จริงเท็จประการใดครับ ลองถามคนรู้จักก็ไม่มีใครมราบ
ไม่ใช่ครับ สำหรับพื้นที่ติดทะเล ที่ไหนก็มี แต่บ้านเราทรัพยากรทำด้ามมีดมีเยอะ ที่คุณสมบัติดีกว่าหนังกระเบน เหมือนยุคโบราณที่ีเอาหนังกระเบนตากแห้ง ใช้แทนกระดาษทรายหยาบหรือตะไบ มีกันทุกที่ ที่ติดทะเล
-ยืนยันครับ หนังกระเบนแห้ง ม้วนให้กลมคือกระดาษทรายเบอร์หยาบทียอดเยี่ยม แต่พักหลังมีโรงงานรับซื้อไปทำกระเป๋าสตังส์เสียหมด
-ส่วนหางกระเบนก็ยอดเยี่ยมอีกแนวนึง..(โฮ)


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Nero Angel01 ที่ พฤษภาคม 04, 2016, 12:05:52 PM
มันแข็งขนาดนั้นเลยเหรอครับ บ้านเราผมเห็นพันหวายพันเชือกถัก ส่วนหนังสัตว์ไม่แน่ใจว่ามีครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: แปจีหล่อ คนสันขวาน ที่ พฤษภาคม 04, 2016, 12:06:48 PM
มีเรื่องเล่าว่า การหุ้มด้ามด้วยหนังฉลามหรือกระเบนของดาบญี่ปุ่น ได้ไปจากไทยไม่รู้จริงเท็จประการใดครับ ลองถามคนรู้จักก็ไม่มีใครมราบ
ไม่ใช่ครับ สำหรับพื้นที่ติดทะเล ที่ไหนก็มี แต่บ้านเราทรัพยากรทำด้ามมีดมีเยอะ ที่คุณสมบัติดีกว่าหนังกระเบน เหมือนยุคโบราณที่ีเอาหนังกระเบนตากแห้ง ใช้แทนกระดาษทรายหยาบหรือตะไบ มีกันทุกที่ ที่ติดทะเล
-ยืนยันครับ หนังกระเบนแห้ง ม้วนให้กลมคือกระดาษทรายเบอร์หยาบทียอดเยี่ยม แต่พักหลังมีโรงงานรับซื้อไปทำกระเป๋าสตังส์เสียหมด
-ส่วนหางกระเบนก็ยอดเยี่ยมอีกแนวนึง..(โฮ)
ยืนยันอีกเสียงครับหางกระเบนมันยอดเยี่ยมจริงจริง สมัยเป็นสามเณรเคยเห็นพระใช้ฟาดเณรที่เล่นซนกันได้เลือดทุกทีส่วนผมไม่เคยโดนเพราะบอกไว้ก่อนว่าถ้าใช้หางกระเบนเฆี่ยนผมเมื่อไหร่เรื่องถึงเจ้าอาวาส เค้าเลยเปลี่ยนมาใช้กระบอกไฟฉายฟาดหัวผมแทน :~)


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ พฤษภาคม 04, 2016, 08:29:45 PM
พ.ร.บ.อาวุธปืน ฯ ฉบับปฐมฤกษ์  ใช้ตราแผ่นดินที่มีภาษาเขมรเขียนคำว่า "พระบรมราชโองการ"

เรียนขอความรู้ จากท่านผู้การฯครับ

การที่เราใช้ภาษาเขมร บนตราแผ่นดินตอนนั้น  มีนัยสำคัญเช่นใดบ้างครับ....ขอบคุณครับ... 

มีสมมุติฐานว่ารัชกาลต้น ๆ ของกรุงศรีอยุธยา  เป็นกษัตริย์เชื้อสายเขมร ใช้ภาษาเขมรในราชสำนัก  ต่อมาถูกราชวงศ์สุพรรณภูมิ ซึ่งเป็นเชื้อสายไทยลาวยึดอำนาจ เปลี่ยนมาใช้ภาษาตระกูลไทยลาวในการติดต่อสื่อสารแทน ภาษาเขมรจึงกลายเป็นราชาศัพท์  กับใช้เขียนเอกสารสำคัญ เช่นคัมภีร์ต่าง ๆ, พงศวดาร, กฎหมาย แต่ก็ลดความสำคัญลงมาเป็นลำดับ  เหลือแต่การสักยันต์  กฎหมายก็เหลือแต่ถ้อยคำในตราแผ่นดิน ที่หัวกฎหมายเท่านั้น  และถูกเปลี่ยนเป็นภาษาไทยใน พ.ศ.2483

เรื่องนี้ไม่แปลก   มีเพื่อนผมไปเรียนจบเกียรตินิยมที่สหรัฐอเมริกา  ซึ่งเป็นประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก  และเป็นรัฐทางเหนือ ที่ไม่มีการใช้ภาษาสเปนด้วย  แต่ปริญญาบัตร ระดับเกียรตินิยม เขียนด้วยภาษาลาติน

ย้อนกลับไปอ่านกระทู้นี้ หน้าต้น ๆ ก็จะเข้าใจเอง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ พฤษภาคม 05, 2016, 10:13:54 AM
ผมเรียนปินส์เห็นภาษาสเปญอยู่ทั่วไปทั้งในกฎหมายต่างๆในปริญญาก็มี อย่างเช่นเกียรตินิยมใช้ลาติน Cum Laude, Magna Cum Laude, Suma Cum Laude เรียงลำดับกันไป แปลเป็นอังกฤษสั้นๆ Graduate with honors requirements


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ พฤษภาคม 05, 2016, 10:25:14 AM
ผมเรียนปินส์เห็นภาษาสเปญอยู่ทั่วไปทั้งในกฎหมายต่างๆในปริญญาก็มี อย่างเช่นเกียรตินิยมใช้ลาติน Cum Laude, Magna Cum Laude, Suma Cum Laude เรียงลำดับกันไป แปลเป็นอังกฤษสั้นๆ Graduate with honors requirements

แบบเดียวกันครับ  เขียนหรือพูดด้วยภาษาที่เข้าใจยากหน่อย  ดูเก๋ดี
อย่างเช่นพระเทศน์ด้วยภาษาบาลี   ตัวท่านเองก็คงจะรู้สึกว่าอาตมาดูจะมีภูมิกว่าพระที่เทศน์ให้ชาวบ้านเข้าใจได้ง่าย


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Nero Angel01 ที่ พฤษภาคม 05, 2016, 12:00:00 PM
พ.ศ.1650 ยังไม่ใส่ทั้งเสื้อเกราะและเสื้อยันต์  มีแต่โสร่ง
อาวุธจากละโว้คืออะไรคครับ พวกข้างหลังน่าจะหอกแต่ข้างหน้ามันมีแง่งออกมาคล้ายใบไม้ บางอันมีตั้งแต้โคนเลย


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Nero Angel01 ที่ พฤษภาคม 05, 2016, 09:37:15 PM
รูปหาย รูปนี้ครับ

(http://www.mx7.com/i/59e/mvusjU.jpg) (http://www.mx7.com/view2/z5iN0Q5rC7wfnGlP)


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ พฤษภาคม 06, 2016, 12:58:36 PM
  คล้ายหอกใบข้าว ผสมโตมร เห็นภาพนี่นึกถึงตอนไปเที่ยวนครวัดมีอยู่รูปนึง รูปสลักพลเดินเท้าหันหน้ามาคุยกัน ไกค์ว่าเป็นชาวเสียม ไม่ค่อยมีระเบียบ แต่งกายง่ายๆไม่มีเกราะ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ พฤษภาคม 07, 2016, 12:55:02 PM
  คล้ายหอกใบข้าว ผสมโตมร เห็นภาพนี่นึกถึงตอนไปเที่ยวนครวัดมีอยู่รูปนึง รูปสลักพลเดินเท้าหันหน้ามาคุยกัน ไกค์ว่าเป็นชาวเสียม ไม่ค่อยมีระเบียบ แต่งกายง่ายๆไม่มีเกราะ

ไม่คิดว่าเป็นไม้สอยมะม่วง บ้างหรือครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ พฤษภาคม 07, 2016, 01:42:03 PM
 ::007:: เจอมุกนี้ไปไม่เป็นเลยครับ  :~)


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ พฤษภาคม 07, 2016, 01:55:13 PM
เป็นตรีศูลครับ  ทางเอเชียคืออาวุธของพระศิวะ  ส่วนทางยุโรปคือ Trishula อาวุธของซูส   ความหมายตรงกันคือแปลว่า "หอกสามเล่ม"

แต่ที่เห็นบางคนถือ 5 กิ่ง ตรงนี้ไม่แปลก ศิลปทางฮินดู  ตรีศูลจะพัฒนาไปถึง "นพศูล" คือ 9 กิ่ง  หาดูได้ตามยอดพระปรางค์ต่าง ๆ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ พฤษภาคม 07, 2016, 06:58:02 PM
  คล้ายหอกใบข้าว ผสมโตมร เห็นภาพนี่นึกถึงตอนไปเที่ยวนครวัดมีอยู่รูปนึง รูปสลักพลเดินเท้าหันหน้ามาคุยกัน ไกค์ว่าเป็นชาวเสียม ไม่ค่อยมีระเบียบ แต่งกายง่ายๆไม่มีเกราะ

เป็นไปได้นะเดินทัพโบราณใช้เวลานานต้องหากินไปด้วยเลยพัฒนาอาวุธให้เป็น survival tool ด้วย

ไม่คิดว่าเป็นไม้สอยมะม่วง บ้างหรือครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Cajun ที่ พฤษภาคม 08, 2016, 05:26:41 PM
  คล้ายหอกใบข้าว ผสมโตมร เห็นภาพนี่นึกถึงตอนไปเที่ยวนครวัดมีอยู่รูปนึง รูปสลักพลเดินเท้าหันหน้ามาคุยกัน ไกค์ว่าเป็นชาวเสียม ไม่ค่อยมีระเบียบ แต่งกายง่ายๆไม่มีเกราะ

ข้อมูลจากหลายที่ครับ  กลุ่มที่แต่งตัวเรียบร้อย เครื่องทรงเหมือนเขมรจะมาจากละโว้แน่นอน  ส่วนเสียมกุก เดิมเชื่อว่าเป็นสุโขทัย  แต่ปัจจุบันรู้กันแล้วว่าไม่ใช่ เพียงยังเถียงกันอยู่ว่าเป็นพวกสิงหนวัติจากลุ่มแม่น้ำกก หรือโคตรบูรณ์ (ปัจจุบันคือเวียงจันทร์)


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: TUI 48 ที่ พฤษภาคม 10, 2016, 08:49:50 AM
พ.ร.บ.อาวุธปืน ฯ ฉบับปฐมฤกษ์  ใช้ตราแผ่นดินที่มีภาษาเขมรเขียนคำว่า "พระบรมราชโองการ"

เรียนขอความรู้ จากท่านผู้การฯครับ

การที่เราใช้ภาษาเขมร บนตราแผ่นดินตอนนั้น  มีนัยสำคัญเช่นใดบ้างครับ....ขอบคุณครับ...  

มีสมมุติฐานว่ารัชกาลต้น ๆ ของกรุงศรีอยุธยา  เป็นกษัตริย์เชื้อสายเขมร ใช้ภาษาเขมรในราชสำนัก  ต่อมาถูกราชวงศ์สุพรรณภูมิ ซึ่งเป็นเชื้อสายไทยลาวยึดอำนาจ เปลี่ยนมาใช้ภาษาตระกูลไทยลาวในการติดต่อสื่อสารแทน ภาษาเขมรจึงกลายเป็นราชาศัพท์  กับใช้เขียนเอกสารสำคัญ เช่นคัมภีร์ต่าง ๆ, พงศวดาร, กฎหมาย แต่ก็ลดความสำคัญลงมาเป็นลำดับ  เหลือแต่การสักยันต์  กฎหมายก็เหลือแต่ถ้อยคำในตราแผ่นดิน ที่หัวกฎหมายเท่านั้น  และถูกเปลี่ยนเป็นภาษาไทยใน พ.ศ.2483

เรื่องนี้ไม่แปลก   มีเพื่อนผมไปเรียนจบเกียรตินิยมที่สหรัฐอเมริกา  ซึ่งเป็นประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก  และเป็นรัฐทางเหนือ ที่ไม่มีการใช้ภาษาสเปนด้วย  แต่ปริญญาบัตร ระดับเกียรตินิยม เขียนด้วยภาษาลาติน

ย้อนกลับไปอ่านกระทู้นี้ หน้าต้น ๆ ก็จะเข้าใจเอง

ขอบคุณมากครับ  ::014::


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 08, 2016, 02:29:41 PM
ถ้าพม่าเตรียมกำลังถึงเก้าทัพน่าจะเป็นไปได้ที่เตรียมตัวสามปี
แต่งู 4 ตัวนี่ยังคิดไม่ออกว่าเกี่ยวกับ 7 ปี 7 เดือนอย่างไร เซียนๆลองอธิบายหน่อยครับ

เพิ่งค้นเจอครับ
กรุงเทพตั้ง พ.ศ.2325 ครบ 150 ปีตามคำทำนายคือ พ.ศ.2475  ปีที่เปลี่ยนแปลงการปกครองพอดี
คือไม่ถึงกับสิ้นราชวงศ์  แต่ต้องเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ

ที่น่าสังเกตคือ ร.7 ท่านประสูตรปีมะเส็ง หรือปีงูเล็กเสียด้วย


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 08, 2016, 02:33:16 PM
เข้าใจว่าพอใกล้ ๆ จะครบ 150 ปีตามคำทำนายเรื่องงู 4 ตัวเลื้อยลงหลุมหลักเมือง  ก็คงจะใจหายใจคว่ำกัน
ใน พ.ศ.2472  ร.7 ท่านจึงได้รวบรวมผู้เกิดปีมะเส็งอีก 3 ท่าน   มาลงขันสร้างตึก 4 มะเส็ง ขึ้นที่โรงพยาบาลจุฬา ฯ  อาจจะเป็นการผ่อนหนักให้เป็นเบา ใน พ.ศ.2475 ก็เป็นได้


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ มิถุนายน 09, 2016, 11:03:34 AM
รูปหาย รูปนี้ครับ
http://www.mx7.com/i/59e/mvusjU.jpg[/img] (http://www.mx7.com/view2/z5iN0Q5rC7wfnGlP[img)
-ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ฯ ตอนไปเห็นรูปสลักหินของจริง แกว่าพอเห็นปุ๊บก็รู้เลยว่านี่คนไทยแน่นอน คือจำเค้าโครงใบหน้าได้ว่าพวกเรา..เก่งจริง ๆ (ถกเขมร)
-เรื่องงู 4 ตัวในหลุมหลักเมืองที่ผมเคยอ่าน(จำชื่อหนังสือไม่ได้)ไม่ใช่งูเลื้อยลงไปครับ แต่ไปเห็นเอาตอนที่กำลังจะยกเสาหลักเมืองลงหลุม คือเห็นว่าที่ก้นหลุมบนผ้าขาวที่รองไว้มีงูเล็ก ๆ 4 ตัวยังมีชีวิต จะแก้ไขอะไรขณะนั้นก็ไม่ทันเสียแล้วจำต้องวางเสากลบดินไปพร้อมกับงูทั้ง 4..ไม่มีใครเห็นว่างูมาจากไหน ลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ?..น่าแปลกแท้ ๆ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: แปจีหล่อ คนสันขวาน ที่ มิถุนายน 09, 2016, 12:05:40 PM
 แล้วทำไมเค้าไม่เอางูออกมาก่อนละครับหรือเกี่ยวกับเวลาฤกษ์ยามจะคลาดเคลื่อน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 09, 2016, 01:02:19 PM
แล้วทำไมเค้าไม่เอางูออกมาก่อนละครับหรือเกี่ยวกับเวลาฤกษ์ยามจะคลาดเคลื่อน

เกิดไม่ทันเสียด้วย  แต่คงน่าจะเป็นแบบนั้นละครับ

เรื่องแปลกก็คือ ร.5 มีโอรส 77 พระองค์  เฉพาะกับสมเด็จพระราชินี (สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ) ก็เป็นเจ้าฟ้าชายถึง 7 พระองค์   โดย ร.7 เป็นองค์สุดท้อง  ที่ประสูตรในปีงูเล็ก   พระองค์คงจะไม่คิดว่าราชสมบัติ จะมีโอกาสตกมาถึงพระองค์ท่านได้เลย เพราะตามกฎมณเทียรบาล  ราชสมบัติจะตกกับองค์แรก  ถัดจากนั้นจึงเป็นโอรสของเจ้าฟ้าชายองค์แรก   แต่กลายเป็นว่าพี่ของท่านสวรรคตไปก่อนโดยไม่มีโอรส   และองค์ที่มีโอรส ก็กลายเป็นว่ามีชายาเป็นชาวต่างชาติ ถูกตัดออกจากการสืบ ฯ ตั้งแต่แรก


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ มิถุนายน 09, 2016, 03:16:52 PM
แล้วทำไมเค้าไม่เอางูออกมาก่อนละครับหรือเกี่ยวกับเวลาฤกษ์ยามจะคลาดเคลื่อน
พิธีกำลังดำเนินไปครับ..ฆ้องชัยก็ลั่นหง่าง..หง่าง..หง่าง..ฯ พระสงฆ์ก็สวดชยันโต..ฯเจ้าพนักงาน(หรืออาจเป็นพราหมณ์)ก็หย่อนเสาหลักเมืองลงหลุม..ฯ ที่โปรยข้าวตอกดอกไม้ ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ก็กำลังโปรยและประพรม ทุกอย่างสัมพันธ์กันหมดไม่มีจังหวะที่จะหยุดเพื่อเก็บงูออก จึงต้องปล่อยเลยตามเลย..ผมจินตนาการเช่นนี้ครับ   


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ มิถุนายน 09, 2016, 03:39:34 PM
แล้วทำไมเค้าไม่เอางูออกมาก่อนละครับหรือเกี่ยวกับเวลาฤกษ์ยามจะคลาดเคลื่อน
เกิดไม่ทันเสียด้วย  แต่คงน่าจะเป็นแบบนั้นละครับ
เรื่องแปลกก็คือ ร.5 มีโอรส 77 พระองค์  เฉพาะกับสมเด็จพระราชินี (สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ) ก็เป็นเจ้าฟ้าชายถึง 7 พระองค์   โดย ร.7 เป็นองค์สุดท้อง  ที่ประสูตรในปีงูเล็ก   พระองค์คงจะไม่คิดว่าราชสมบัติ จะมีโอกาสตกมาถึงพระองค์ท่านได้เลย เพราะตามกฎมณเทียรบาล  ราชสมบัติจะตกกับองค์แรก  ถัดจากนั้นจึงเป็นโอรสของเจ้าฟ้าชายองค์แรก   แต่กลายเป็นว่าพี่ของท่านสวรรคตไปก่อนโดยไม่มีโอรส   และองค์ที่มีโอรส ก็กลายเป็นว่ามีชายาเป็นชาวต่างชาติ ถูกตัดออกจากการสืบ ฯ ตั้งแต่แรก
สมัยในหลวงรัชกาลที่ 6 คล้ายคลึงกันไหม ? คือตอนนั้นใคร ๆ ก็มองไปที่เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ แต่พระองค์ถึงแก่ทิวงคตเสียก่อน เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธจึงขึ้นเป็นพระบรมโอรสาธิราชและเป็นพระเจ้าแผ่นดินในที่สุด..สาเหตุที่เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศทิวงคตค่อนข้างคลุมเครือ ส.ศิวรักษ์..ว่าพระองค์ท่านประสบอุบัติเหตุตกม้าครับ   


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ มิถุนายน 09, 2016, 03:41:17 PM
    เคยดูในทีวีมีอยู่สองหลัก ต่างรัชกาลกันจำไม่ได้ว่ารัชกาลไหนทำขึ้นเพื่ออะไร แล้วเสาหลักเมืองที่อยุธยาอยู่ที่ตรงไหนครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 10, 2016, 11:42:40 AM
    เคยดูในทีวีมีอยู่สองหลัก ต่างรัชกาลกันจำไม่ได้ว่ารัชกาลไหนทำขึ้นเพื่ออะไร แล้วเสาหลักเมืองที่อยุธยาอยู่ที่ตรงไหนครับ

ของอยุธยามีศาลพระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระหลักเมือง      นานมาแล้วทางจังหวัดเคยปักป้ายว่าจะสร้างขึ้นใหม่ ณ ตำแหน่งเดิม  แล้วก็มีนักวิชาการออกมาคัดค้านว่าไม่ใช่ตรงนี้  เข้าใจว่ายังเถียงกันไม่เสร็จว่าของเดิมอยู่ตรงไหนแน่

ส่วนของกรุงเทพ   ร.4 ท่านให้สร้างขึ้นใหม่ คู่กับหลักเมืองเดิม เมื่อวันพุธ ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 6 พ.ศ.2395

สำหรับตึก 4 มะเส็ง ที่โปรดดกล้า ฯ  จัดสร้างขึ้นใน พ.ศ.2472  ผู้ประสูตรในปีมะเส็งอีก 3 พระองค์ท่านที่ร่วมสร้างกับ ร.7 ประกอบด้วย กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินทร, กรมพระนครสวรรค์วรพินิต และกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ มิถุนายน 10, 2016, 12:01:25 PM
 ขอบคุณครับผู้การ ยังแปลกใจว่าหลักเมืองสำคัญขนาดนั้นไม่มีจารึกหรือพิกัดอะไรพอบอกได้บ้างหรือไม่ หลังจากเสียกรุงครั้งที่สอง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 10, 2016, 12:44:51 PM
ขอบคุณครับผู้การ ยังแปลกใจว่าหลักเมืองสำคัญขนาดนั้นไม่มีจารึกหรือพิกัดอะไรพอบอกได้บ้างหรือไม่ หลังจากเสียกรุงครั้งที่สอง

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ไม่มีนิสัยจดบันทึกครับ   มีก็เป็นพงศวดารไปเลย  ซึ่งมาจาก วงศ์ + อวตาร  คือเป็นเรื่องราวขององค์พระมหากษัตริย์  เฉพาะที่อยู่ในราชสมบัติเสียด้วย  อย่างเช่นสมเด็จพระรามราชาธิราช รัชกาลที่ 5 ของกรุงศรีอยุธยา ซึ่งถูกเจ้านครอินทร์ ยกกำลังจากเมืองสุพรรณบุรีมายึดอำนาจ  แล้วให้ไปครองเมืองปทาคูจาม  ต่อจากนั้นก็หายจากพงศาวดารไปเลย  จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่ทราบกันว่าเมืองปทาคูจาม อยู่ที่ไหน
ที่เราทราบกันว่า  สมัยนั้นคนอยุธยาทำมาหากินอย่างไร กินข้าวเหนียวหรือกินข้าวเจ้า  ค้าขายอะไรกันบ้าง  รักษาโรคกันอย่างไร   จะมาจากบันทึกของชาวต่างชาติทั้งสิ้น


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Mcot ที่ มิถุนายน 11, 2016, 01:46:57 PM
ของหายากสุดคลาสิค


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ มิถุนายน 11, 2016, 03:36:03 PM
ขนาดภาพกรุงศรีอยุธยาสมัยก่อนยังมีฝรั่งวาดไว้เลยส่วนของเราไม่มี


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 11, 2016, 04:56:00 PM
ขนาดภาพกรุงศรีอยุธยาสมัยก่อนยังมีฝรั่งวาดไว้เลยส่วนของเราไม่มี

ใช่ครับ
ฝรั่งวาดภาพไว้ชัดเจนมาก  ตัวอย่างภาพที่ฮอลันดาวาดไว้ ตอน ค.ศ.1665  เห็นภาพป้อมเพ็ชร ที่สร้างในสมัยพระมหาธรรมราชา เพื่อรับศึกพระมหาอุปราชา  ป้อมเพชรในภาพเป็นรูปทรงกลม  แสดงว่าชาวโปรตุเกสออกแบบป้อมให้
ต่อมาในสมัยพระนารายณ์  ภาพป้อมเพชร กลายเป็นป้อมทรงหกเหลี่ยม แบบของกองทัพฝรั่งเศส


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: montri รักในหลวง ที่ มิถุนายน 11, 2016, 08:18:57 PM
ไอ้เทือกเขาอัลไตนี่ อยู่ในหัวผมมาจนถึงเดี๋ยวนี้ ไม่รู้ว่าครูที่สอนผม ท่านจะรู้ความจริงหรือยัง
แต่ที่น่านับถือคือการที่ฝ่ายชนะสงครามนำเอาราชวงค์ไปดูแลโดยไม่ฆ่าทิ้งแบบล้างตระกูล ตรงนี้เป็นความคิดที่ประเสริฐเกินที่คนยุคนั้นจะทำ
เพราะการฆ่าเป็นวิธีจัดการที่งา่ยกว่ามาก


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 11, 2016, 09:51:45 PM
ไอ้เทือกเขาอัลไตนี่ อยู่ในหัวผมมาจนถึงเดี๋ยวนี้ ไม่รู้ว่าครูที่สอนผม ท่านจะรู้ความจริงหรือยัง
แต่ที่น่านับถือคือการที่ฝ่ายชนะสงครามนำเอาราชวงค์ไปดูแลโดยไม่ฆ่าทิ้งแบบล้างตระกูล ตรงนี้เป็นความคิดที่ประเสริฐเกินที่คนยุคนั้นจะทำ
เพราะการฆ่าเป็นวิธีจัดการที่งา่ยกว่ามาก

เรื่องเขาอัลไต  เดิมทีเดียวเป็นหนังสือที่ส่งเข้าประกวด  คือไม่ใช่เอกสารประวัติศาสตร์ใด ๆ ทั้งสิ้น  และผู้เขียนเอง ก็เป็นข้าราชการ ตำแหน่งล่าม แต่ทำงานพิเศษเกี่ยวกับการเขียนนิยาย สารคดี ประพันธ์เพลง กับเขียนบทภาพยนตร์   เขาจัดประกวดหนังสือ ท่านก็แต่งเรื่องเข้าประกวด   แล้วกลับกลายเป็นการเอาเนื้อหาในหนังสือที่ท่านแต่งไปเขียนเป็นตำราประวัติศาสตร์  เชื่อกันเป็นตุเป็นตะอยู่หลายสิบปี

เรื่องไม่ฆ่าราชวงศ์เดิมของไทย   มีแค่ 2 ครั้งเท่านั้น  และไม่น่าจะเป็นเรื่องจริยธรรม  แต่เป็นเพราะราชวงศ์เดิมอยู่ในฐานะพราห์ม เสียมากกว่า
ครั้งแรกคือตอนที่พระเจ้าอู่ทองสวรรคต  พระราเมศวรโอรสท่านก็ขึ้นครองราชแทน  แต่พอขุนหลวงพะงั่ว ยกทัพมาจากสุพรรณบุรี  พระราเมศวรก็ยอมยกบัลลังก์ให้แต่โดยดี ตัวเองกลับไปครองละโว้ ถิ่นเดิม
แต่พระราเมศวร ท่านยอมเฉพาะขุนหลวงพะงั่ว อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นลุงหรือเป็นอาเขย  และรู้ฝีมือกัน ตอนที่ไปตีเขมร ที่พระราเมศวรเสียทีเขมร แล้วขุนหลวงพะงั่วไปช่วยไว้  แต่พอพระเจ้าทองลัน ลูกขุนหลวงพะงั่วขึ้นครองราชแทน  อยู่ได้ 7 วัน  พระราเมศวรก็กวาดล้างเรียบ   


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ มิถุนายน 11, 2016, 11:22:48 PM
ไอ้เทือกเขาอัลไตนี่ อยู่ในหัวผมมาจนถึงเดี๋ยวนี้ ไม่รู้ว่าครูที่สอนผม ท่านจะรู้ความจริงหรือยัง
แต่ที่น่านับถือคือการที่ฝ่ายชนะสงครามนำเอาราชวงค์ไปดูแลโดยไม่ฆ่าทิ้งแบบล้างตระกูล ตรงนี้เป็นความคิดที่ประเสริฐเกินที่คนยุคนั้นจะทำ
เพราะการฆ่าเป็นวิธีจัดการที่งา่ยกว่ามาก

เรื่องเขาอัลไต  เดิมทีเดียวเป็นหนังสือที่ส่งเข้าประกวด  คือไม่ใช่เอกสารประวัติศาสตร์ใด ๆ ทั้งสิ้น  และผู้เขียนเอง ก็เป็นข้าราชการ ตำแหน่งล่าม แต่ทำงานพิเศษเกี่ยวกับการเขียนนิยาย สารคดี ประพันธ์เพลง กับเขียนบทภาพยนตร์   เขาจัดประกวดหนังสือ ท่านก็แต่งเรื่องเข้าประกวด   แล้วกลับกลายเป็นการเอาเนื้อหาในหนังสือที่ท่านแต่งไปเขียนเป็นตำราประวัติศาสตร์  เชื่อกันเป็นตุเป็นตะอยู่หลายสิบปี

เรื่องไม่ฆ่าราชวงศ์เดิมของไทย   มีแค่ 2 ครั้งเท่านั้น  และไม่น่าจะเป็นเรื่องจริยธรรม  แต่เป็นเพราะราชวงศ์เดิมอยู่ในฐานะพราห์ม เสียมากกว่า
ครั้งแรกคือตอนที่พระเจ้าอู่ทองสวรรคต  พระราเมศวรโอรสท่านก็ขึ้นครองราชแทน  แต่พอขุนหลวงพะงั่ว ยกทัพมาจากสุพรรณบุรี  พระราเมศวรก็ยอมยกบัลลังก์ให้แต่โดยดี ตัวเองกลับไปครองละโว้ ถิ่นเดิม
แต่พระราเมศวร ท่านยอมเฉพาะขุนหลวงพะงั่ว อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นลุงหรือเป็นอาเขย  และรู้ฝีมือกัน ตอนที่ไปตีเขมร ที่พระราเมศวรเสียทีเขมร แล้วขุนหลวงพะงั่วไปช่วยไว้  แต่พอพระเจ้าทองลัน ลูกขุนหลวงพะงั่วขึ้นครองราชแทน  อยู่ได้ 7 วัน  พระราเมศวรก็กวาดล้างเรียบ   

ช่วงกำลังสร้าง New History เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย กรุงเทพและใต้โดนบอมบ์ซะเละและก็มีที่นักเรียนสถาบันชั้นสูงของกองทัพหนึ่งเปรียบเทียบบางเรื่องกับผู้นำคนถัดมาด้วย จะดีจะชั่วคนถัดมาก็ทำเรื่องดีไว้บ้าง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ มิถุนายน 12, 2016, 01:01:01 AM
    ป้อมทรงกลมกับทรงหกเหลี่ยม ใช้ในการป้องกันต่างกันอย่างไรครับ หรือว่าจะเบี่ยงวิถีกระสุนปืนใหญ่ได้มากกว่า ในฝรั่งเศษยังมีป้อมสถาพดีๆให้นักท่องเทียวเข้าไปชมอยู่หลายแห่งครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ มิถุนายน 13, 2016, 11:48:14 AM
-ฟื้นความจำเรื่องการอพยพของคนไทยที่เคยเรียนตอนเด็ก ๆ นะ : คนไทยเราเพาะปลูกอยู่แถบภูเขาอัลไต ต่อมาถูกจีนที่เป็นพวกเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนรุกราน ไทยสู้ไม่ได้ก็ถอยร่นลงมาทางใต้เรื่อย ๆ พระมหากษัตริย์ไทยยุคแรกมีพระเจ้าพีล่อโก๊,พระเจ้าโก๊ล่อผง,พระเจ้าผงกาอี้..ฯลฯ ตามเส้นทางที่ถอยร่นได้สร้างเมืองใหม่ ๆ ขึ้นหลายเมือง เช่น เมืองลุง,เมืองปา(ครูว่าน่าจะเป็นเมืองป้า-คู่กับเมืองลุง)เมืองหลวงชื่อหนองแส(เมืองตาลีฟู) เมื่อถอยร่นลงมาเหนือสุวรรณภูมิ(ประเทศไทยปัจจุบัน)ได้แยกย้ายกันไปหลายสาขา ที่เข้าไปในพม่าปัจจุบันเรียกไทยใหญ่ และไทยอาหม พวกเรานี่คือไทยน้อยบ้างก็เข้าไปในลาว บ้างก็เข้ามาในประเทศไทยปัจจุบัน  
-ผมเชื่อเรื่องคนไทยอพยพมาครับ แต่ไม่เชื่อทั้งหมด เช่น เดิมอยู่แถบภูเขาอัลไตนั้นมันไกลและหนาวเกินไป ถ้าบรรพบุรุษเราอยู่ที่นั่นจริงต้องผิวขาวไม่ใช่ผิวดำ(หรือดำแดง) จีนเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนที่รุกรานก็น่าจะพวกเจงกีสข่าน,กุ๊บไลข่านหรือบรรพบุรุษของพวกนี้ซึ่งมีตัวตนจริง ชอบขี่ม้ารบราฆ่าฟัน
-เขาว่าพี่น้องเราส่วนหนึ่ง(ชาวไต)ที่ยังตกค้างอยู่ในประเทศจีน วัฒนธรรมคล้ายคลึงคนไทยมาก เช่นปลูกบ้านใต้ถุนสูง(คนจีนปลูกบ้านบนดิน) ภาษาที่ใช้ก็ยังสื่อสารกับคนไทยรู้เรื่อง ชื่อคนก็เหมือนคนไทย เช่น กูชื่อไอ้เรือง,กูชื่ออีดาว


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ มิถุนายน 13, 2016, 11:50:08 AM
ไอ้เทือกเขาอัลไตนี่ อยู่ในหัวผมมาจนถึงเดี๋ยวนี้ ไม่รู้ว่าครูที่สอนผม ท่านจะรู้ความจริงหรือยัง
แต่ที่น่านับถือคือการที่ฝ่ายชนะสงครามนำเอาราชวงค์ไปดูแลโดยไม่ฆ่าทิ้งแบบล้างตระกูล ตรงนี้เป็นความคิดที่ประเสริฐเกินที่คนยุคนั้นจะทำ
เพราะการฆ่าเป็นวิธีจัดการที่งา่ยกว่ามาก

บางครั้งเป็นกุศโลบายการยึดไว้เป็นตัวประกันครับ เพื่ออนาคตข้างหน้ามีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
อย่างหนังพระนเรศวร จะมองเห็นได้ชัด
 
บางทีหากไม่อยากรบรากันมากก็ส่งธิดาเมืองนี้ไปแต่งโอรสเมืองโน้น เชื่อมสายสัมพันธ์กันไว้
ซึ่งก็ประวิงเวลาของสงครามให้ห่างออกไปได้อีกเปลาะ

แต่ว่าภูมิภาคนี้ แต่ไหนแต่ไรมา ยึดผู้ปกครองเป็นหลัก ระบบปกครองนั้นบางทีระบบเดียวกัน
แต่ต่างผู้ปกครองกัน ได้ผลต่างกัน
สิ้นบุเรงนอง ผู้ครองนครถัดมาก็หาเข้มแข็งเท่า พาลพาล่มสลาย
แม้แต่บุรุษแห่งสหัสวรรษ เจงกิสข่าน ผู้เดินทัพไปถึงยุโรป พอสิ้นเจงกิสข่าน ก็เหมือนสิ้นมองโกล..



หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 13, 2016, 02:50:34 PM
ฟื้นความจำเรื่องการอพยพของคนไทยที่เคยเรียนตอนเด็ก ๆ นะ : คนไทยเราเพาะปลูกอยู่แถบภูเขาอัลไต ต่อมาถูกจีนที่เป็นพวกเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนรุกราน ไทยสู้ไม่ได้ก็ถอยร่นลงมาทางใต้เรื่อย ๆ พระมหากษัตริย์ไทยยุคแรกมีพระเจ้าพีล่อโก๊,พระเจ้าโก๊ล่อผง,พระเจ้าผงกาอี้..ฯลฯ ตามเส้นทางที่ถอยร่นได้สร้างเมืองใหม่ ๆ ขึ้นหลายเมือง เช่น เมืองลุง,เมืองปา(ครูว่าน่าจะเป็นเมืองป้า-คู่กับเมืองลุง)เมืองหลวงชื่อหนองแส(เมืองตาลีฟู) เมื่อถอยร่นลงมาเหนือสุวรรณภูมิ(ประเทศไทยปัจจุบัน)ได้แยกย้ายกันไปหลายสาขา ที่เข้าไปในพม่าปัจจุบันเรียกไทยใหญ่ และไทยอาหม พวกเรานี่คือไทยน้อยบ้างก็เข้าไปในลาว บ้างก็เข้ามาในประเทศไทยปัจจุบัน  
-ผมเชื่อเรื่องคนไทยอพยพมาครับ แต่ไม่เชื่อทั้งหมด เช่น เดิมอยู่แถบภูเขาอัลไตนั้นมันไกลและหนาวเกินไป ถ้าบรรพบุรุษเราอยู่ที่นั่นจริงต้องผิวขาวไม่ใช่ผิวดำ(หรือดำแดง) จีนเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนที่รุกรานก็น่าจะพวกเจงกีสข่าน,กุ๊บไลข่านหรือบรรพบุรุษของพวกนี้ซึ่งมีตัวตนจริง ชอบขี่ม้ารบราฆ่าฟัน
-เขาว่าพี่น้องเราส่วนหนึ่ง(ชาวไต)ที่ยังตกค้างอยู่ในประเทศจีน วัฒนธรรมคล้ายคลึงคนไทยมาก เช่นปลูกบ้านใต้ถุนสูง(คนจีนปลูกบ้านบนดิน) ภาษาที่ใช้ก็ยังสื่อสารกับคนไทยรู้เรื่อง ชื่อคนก็เหมือนคนไทย เช่น กูชื่อไอ้เรือง,กูชื่ออีดาว

เขาอัลไต  คนอยู่ไม่ได้ครับ  อ็อกซิเจนไม่พอ ผมเคยเดินเที่ยวบนยอดเขากุลมาร์ค ที่แคชเมียร์  ต่ำกว่าเขาอัลไตเยอะเหมือนกัน  แต่เดินเร็วไม่ได้ ทำอะไรต้องระวัง วูบเอาง่าย ๆ  ที่จอร์จ บุช คุยว่าเคยไปตีกอล์ฟ บนเขากุลมาร์ค  อันนั้นเป็นเชิงเขาระดับ 1 หน้าร้อนตีกอล์ฟได้ หน้าหนาวเล่นสกีได้  แต่ถ้าขึ้นเคเบิลคาร์ไปถึงระดับ 2 ต้องระวังตัวแล้ว เพราะอากาศบางมาก
นอกจากนั้นที่เขาอัลไตเพาะปลูกก็ไม่ได้ มีแต่น้ำแข็ง   มีคนอยู่กลุ่มเดียว คือพนักงานเรดาร์ของรัสเซีย เข้าเวรกันอยู่บนยอดเขาเหมือนอยู่ในสถานีอวกาศ

คนที่พูดภาษาเดียวกับเราในประเทศจีน  กลุ่มใหญ่ที่สุดอยู่ที่กวางสี มีประมาณ 13 ล้านคน   ผมเคยไปเที่ยวจีน เจอไกด์จีนคนนึง ชื่อก้อย  เป็นชาวจ้วง มาจากกวางสี  พูดภาษาไทยได้แบบคนกรุงเทพ  เพราะมาเรียนที่บ้านสมเด็จ  แต่เขาพูดภาษาจ้วงมาตั้งแต่เด็ก  มาปรับถ้อยคำสำนวนให้เป็นแบบคนไทย ในเมืองไทยเท่านั้นเอง

แล้วอย่าไปเรียกคนที่พูดภาษาเดียวกับพวกเราในประเทศอื่นว่าเป็นคนไทยนะครับ   มีแต่พวกเราเท่านั้น ที่เรียกตัวเองว่าเป็นคนไทย พูดภาษาไทย (เริ่มใช้คำนี้ใน พ.ศ.2483)   ทีกวางสี เขาเรียกตัวเองว่าคนจ้วง  ภาษาจ้วง

ส่วนในบังคลาเทศ  เขาเคยเรียกตัวเองว่าสยาม แต่สำเนียงท้องถิ่นทำให้เพี้ยนเป็นอาหม  เช่นเทียวกับกลุ่มที่เราเรียกว่าไทยใหญ่  เดิมก็เรียกตัวเองว่าสยามเหมือนกัน  แต่สำเนียงแบบพม่าที่อยู่รอบ ๆ ออกเสียงนี้ไม่ได้ จึงกลายเป็นฉาน หรือชานไป


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 13, 2016, 02:58:26 PM
    ป้อมทรงกลมกับทรงหกเหลี่ยม ใช้ในการป้องกันต่างกันอย่างไรครับ หรือว่าจะเบี่ยงวิถีกระสุนปืนใหญ่ได้มากกว่า ในฝรั่งเศษยังมีป้อมสถาพดีๆให้นักท่องเทียวเข้าไปชมอยู่หลายแห่งครับ

น่าจะเป็นรูปทรงที่แข็งแรงพอกัน  ส่วนตัวผมให้คะแนนความแข็งแรงกับรูปทรงกลมมากกว่า
แต่รูปทรงหกเหลี่ยม มองดูมั่นคงแข็งแรง  เวลามีข้าศึกเข้ามาเกาะติด ก็มองเห็นง่ายกว่า


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ มิถุนายน 13, 2016, 04:17:04 PM
อันนี้มั้ง Altai Mountain range ส่วนภาพสองเมือง Baguio City ทีเคยเรียนหนังสือสูง 5000 feet จุดสูงสุด 7000 feet มีสถานีเรดาห์ตรวจอากาศ ไปใหม่ๆแย่เหมือนกัน แต่ยังมีเมืองที่สูงกว่าและมีชุมชนโบราณ มี มัมมี่ด้วยเก็บไว้ในถ้าความสูงเกือบ 8000 feet


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: montri รักในหลวง ที่ มิถุนายน 13, 2016, 08:02:00 PM
อาจารย์ครับ มนุษย์ทางฝั่งยุโรป กับทางฝั่งเอเชีย ทวีปใดมีคนเกิดขึ้นก่อนครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 13, 2016, 11:23:03 PM
อาจารย์ครับ มนุษย์ทางฝั่งยุโรป กับทางฝั่งเอเชีย ทวีปใดมีคนเกิดขึ้นก่อนครับ

ไม่ใช่ทั้ง 2 ทวีป  เพราะบรรพบรุษของมนุษย์เริ่มแยกจากลิงเมื่อ 5 ล้านปีที่แล้ว  ตอนนั้นยุโรปยังรวมกับเอเชีย  เรียกว่ายูเรเชีย

กำเนิดของมนุษย์เกิดขึ้นที่อาฟริกา แต่ยังเป็นมนุษย์ในเชิงกายภาพ   จากนั้นจึงอพยพไปทั่วโลก  อีกหลายล้านปีต่อมาจึงเริ่มดำรงชีวิตแตกต่างจากสัตว์   และที่เขาตัดสินว่าเป็นมนุษย์ในเชิงพฤติกรรม คือเมื่อห้าหมื่นปีมานี้เอง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ มิถุนายน 14, 2016, 02:26:42 PM

คนที่พูดภาษาเดียวกับเราในประเทศจีน  กลุ่มใหญ่ที่สุดอยู่ที่กวางสี มีประมาณ 13 ล้านคน   ผมเคยไปเที่ยวจีน เจอไกด์จีนคนนึง ชื่อก้อย  เป็นชาวจ้วง มาจากกวางสี  พูดภาษาไทยได้แบบคนกรุงเทพ  เพราะมาเรียนที่บ้านสมเด็จ  แต่เขาพูดภาษาจ้วงมาตั้งแต่เด็ก  มาปรับถ้อยคำสำนวนให้เป็นแบบคนไทย ในเมืองไทยเท่านั้นเอง

แล้วอย่าไปเรียกคนที่พูดภาษาเดียวกับพวกเราในประเทศอื่นว่าเป็นคนไทยนะครับ   มีแต่พวกเราเท่านั้น ที่เรียกตัวเองว่าเป็นคนไทย พูดภาษาไทย (เริ่มใช้คำนี้ใน พ.ศ.2483)   ทีกวางสี เขาเรียกตัวเองว่าคนจ้วง  ภาษาจ้วง

ส่วนในบังคลาเทศ  เขาเคยเรียกตัวเองว่าสยาม แต่สำเนียงท้องถิ่นทำให้เพี้ยนเป็นอาหม  เช่นเทียวกับกลุ่มที่เราเรียกว่าไทยใหญ่  เดิมก็เรียกตัวเองว่าสยามเหมือนกัน  แต่สำเนียงแบบพม่าที่อยู่รอบ ๆ ออกเสียงนี้ไม่ได้ จึงกลายเป็นฉาน หรือชานไป


กวางสีที่อ.กล่าวถึงอยู่ในแผนที่ตามภาพ ถ้าใครเคยไปกุ้ยหลิน นั่นก็อยู่ในมลฑลกวางสี
หนึ่งใน5 เขตปกครองตนเองของประเทศจีน ชื่อเต็มคือเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง

(http://www.chinatourusa.com/china-map/maps/guangxi-s-ow-600x600.gif)


ถ้าดูแผนที่เต็มประเทศ จะเห็นว่า ติดกับเวียดนาม

(https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/8/89/China_Guangxi.svg/706px-China_Guangxi.svg.png)


ที่ตอนเหนือของเวียดนามก็มีคนพูดภาษาไทยเหมือนกันแต่เรียกว่าภาษาจ้วงได แต่มีน้อยมาก


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ มิถุนายน 14, 2016, 02:34:10 PM
พยายามเสิร์ชหาแผนที่ของอาณาจักรล้านนากับล้านช้างไม่พบ
จำได้แต่ว่าตอนล้านช้างนารุ่งเรือง อาณาจักรกินพื้นที่ไปถึง สิบสองปันนา(ตอนล่างของยูนนาน)
และล้านช้างกินอาณาเขตไปถึงตอนบนของเวียตนามเข้าไปในกวางสีเหมือนกัน

(กลับมาแก้คำผิดครับ)


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ มิถุนายน 14, 2016, 02:37:37 PM
จนปัจจุบันนี้คนเราก็ยังอพยพย้ายถิ่นฐานกันอยู่ เช่น ย้ายจากตะวันออกกลางและแอฟริกาไปยุโรป(หนีสงคราม),ชาวโรฮิงยา(หนีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์),ชาวม้งบนดอยต่าง ๆ ในภาคเหนือ(ไม่ทราบว่าหนีอะไร ?)ก็ว่ากันว่าอพยพมาจากประเทศลาว


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 14, 2016, 07:50:56 PM

คนที่พูดภาษาเดียวกับเราในประเทศจีน  กลุ่มใหญ่ที่สุดอยู่ที่กวางสี มีประมาณ 13 ล้านคน   ผมเคยไปเที่ยวจีน เจอไกด์จีนคนนึง ชื่อก้อย  เป็นชาวจ้วง มาจากกวางสี  พูดภาษาไทยได้แบบคนกรุงเทพ  เพราะมาเรียนที่บ้านสมเด็จ  แต่เขาพูดภาษาจ้วงมาตั้งแต่เด็ก  มาปรับถ้อยคำสำนวนให้เป็นแบบคนไทย ในเมืองไทยเท่านั้นเอง

แล้วอย่าไปเรียกคนที่พูดภาษาเดียวกับพวกเราในประเทศอื่นว่าเป็นคนไทยนะครับ   มีแต่พวกเราเท่านั้น ที่เรียกตัวเองว่าเป็นคนไทย พูดภาษาไทย (เริ่มใช้คำนี้ใน พ.ศ.2483)   ทีกวางสี เขาเรียกตัวเองว่าคนจ้วง  ภาษาจ้วง

ส่วนในบังคลาเทศ  เขาเคยเรียกตัวเองว่าสยาม แต่สำเนียงท้องถิ่นทำให้เพี้ยนเป็นอาหม  เช่นเทียวกับกลุ่มที่เราเรียกว่าไทยใหญ่  เดิมก็เรียกตัวเองว่าสยามเหมือนกัน  แต่สำเนียงแบบพม่าที่อยู่รอบ ๆ ออกเสียงนี้ไม่ได้ จึงกลายเป็นฉาน หรือชานไป


กวางสีที่อ.กล่าวถึงอยู่ในแผนที่ตามภาพ ถ้าใครเคยไปกุ้ยหลิน นั่นก็อยู่ในมลฑลกวางสี
หนึ่งใน5 เขตปกครองตนเองของประเทศจีน ชื่อเต็มคือเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง

(http://www.chinatourusa.com/china-map/maps/guangxi-s-ow-600x600.gif)


ถ้าดูแผนที่เต็มประเทศ จะเห็นว่า ติดกับเวียดนาม

(https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/8/89/China_Guangxi.svg/706px-China_Guangxi.svg.png)


ที่ตอนเหนือของเวียดนามก็มีคนพูดภาษาไทยเหมือนกันแต่เรียกว่าภาษาจ้วงได แต่มีน้อยมาก

คนไทยเรียกพวกเขาว่าไทยดำ
ทีมยิงปืน ทบ.ของเวียดนามก็เคยบรรจุเข้ามาตอนมาแข่งในประเทศไทย  สำเนียง ลักษณะการพูด เหมือนกวางสีจ้วงในจีน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: montri รักในหลวง ที่ มิถุนายน 14, 2016, 08:38:00 PM
ในฐานะที่เป็นทหาร  อาจารย์คิดว่ามีโอกาสเกิดความขัดแย้งจนเกิดสงครามใหญ่ได้ไหมครับ  จากนี้ไปอีกสัก10-20ปี


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 14, 2016, 09:26:52 PM
ในฐานะที่เป็นทหาร  อาจารย์คิดว่ามีโอกาสเกิดความขัดแย้งจนเกิดสงครามใหญ่ได้ไหมครับ  จากนี้ไปอีกสัก10-20ปี

ไม่ถึงสิบปีหรอกครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ มิถุนายน 14, 2016, 10:20:34 PM

คนที่พูดภาษาเดียวกับเราในประเทศจีน  กลุ่มใหญ่ที่สุดอยู่ที่กวางสี มีประมาณ 13 ล้านคน   ผมเคยไปเที่ยวจีน เจอไกด์จีนคนนึง ชื่อก้อย  เป็นชาวจ้วง มาจากกวางสี  พูดภาษาไทยได้แบบคนกรุงเทพ  เพราะมาเรียนที่บ้านสมเด็จ  แต่เขาพูดภาษาจ้วงมาตั้งแต่เด็ก  มาปรับถ้อยคำสำนวนให้เป็นแบบคนไทย ในเมืองไทยเท่านั้นเอง

แล้วอย่าไปเรียกคนที่พูดภาษาเดียวกับพวกเราในประเทศอื่นว่าเป็นคนไทยนะครับ   มีแต่พวกเราเท่านั้น ที่เรียกตัวเองว่าเป็นคนไทย พูดภาษาไทย (เริ่มใช้คำนี้ใน พ.ศ.2483)   ทีกวางสี เขาเรียกตัวเองว่าคนจ้วง  ภาษาจ้วง

ส่วนในบังคลาเทศ  เขาเคยเรียกตัวเองว่าสยาม แต่สำเนียงท้องถิ่นทำให้เพี้ยนเป็นอาหม  เช่นเทียวกับกลุ่มที่เราเรียกว่าไทยใหญ่  เดิมก็เรียกตัวเองว่าสยามเหมือนกัน  แต่สำเนียงแบบพม่าที่อยู่รอบ ๆ ออกเสียงนี้ไม่ได้ จึงกลายเป็นฉาน หรือชานไป


กวางสีที่อ.กล่าวถึงอยู่ในแผนที่ตามภาพ ถ้าใครเคยไปกุ้ยหลิน นั่นก็อยู่ในมลฑลกวางสี
หนึ่งใน5 เขตปกครองตนเองของประเทศจีน ชื่อเต็มคือเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง

(http://www.chinatourusa.com/china-map/maps/guangxi-s-ow-600x600.gif)


ถ้าดูแผนที่เต็มประเทศ จะเห็นว่า ติดกับเวียดนาม

(https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/8/89/China_Guangxi.svg/706px-China_Guangxi.svg.png)


ที่ตอนเหนือของเวียดนามก็มีคนพูดภาษาไทยเหมือนกันแต่เรียกว่าภาษาจ้วงได แต่มีน้อยมาก

คนไทยเรียกพวกเขาว่าไทยดำ
ทีมยิงปืน ทบ.ของเวียดนามก็เคยบรรจุเข้ามาตอนมาแข่งในประเทศไทย  สำเนียง ลักษณะการพูด เหมือนกวางสีจ้วงในจีน

สมัยเด็กๆได้ยินว่าไทยดำจินตนาการไปว่าคงตัวดำ
จะว่าไปชนเผ่าไทหรือไตนี่มีชื่อเรียกเยอะแถวเชียงตุง(Kengtung)ส่วนใหญ่จะเป็นไทขีน แล้วก็ไทเน๋อ เลยไปสิบสองปันนาก็ไทลื้อ(ไทอั๊วอยู่ไหน) แถวแม่สายนับไปนับมาสิบชาติพันธ์


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ มิถุนายน 15, 2016, 07:07:43 AM
   ดูในหนังฝรั่งเวลาทำอะไรผิดมากๆ เขาจะส่งไปอาลาสก้า ไปเฝ้าหอเรดาร์ ชายขอบดินเดนไม่ทราบจริงรึเปล่าพี่ ถ้าเป็นรัสเซียถูกส่งไปไซบีเรียหนาวจับใจ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: montri รักในหลวง ที่ มิถุนายน 15, 2016, 10:46:34 AM
ในฐานะที่เป็นทหาร  อาจารย์คิดว่ามีโอกาสเกิดความขัดแย้งจนเกิดสงครามใหญ่ได้ไหมครับ  จากนี้ไปอีกสัก10-20ปี

ไม่ถึงสิบปีหรอกครับ
ถ้าไม่เกิน10ปี ผมยังแบกปืนไหวครับอาจารย์


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ มิถุนายน 15, 2016, 10:56:37 AM
คนที่พูดภาษาเดียวกับเราในประเทศจีน  กลุ่มใหญ่ที่สุดอยู่ที่กวางสี มีประมาณ 13 ล้านคน   ผมเคยไปเที่ยวจีน เจอไกด์จีนคนนึง ชื่อก้อย  เป็นชาวจ้วง มาจากกวางสี  พูดภาษาไทยได้แบบคนกรุงเทพ  เพราะมาเรียนที่บ้านสมเด็จ  แต่เขาพูดภาษาจ้วงมาตั้งแต่เด็ก  มาปรับถ้อยคำสำนวนให้เป็นแบบคนไทย ในเมืองไทยเท่านั้นเองแล้วอย่าไปเรียกคนที่พูดภาษาเดียวกับพวกเราในประเทศอื่นว่าเป็นคนไทยนะครับ   มีแต่พวกเราเท่านั้น ที่เรียกตัวเองว่าเป็นคนไทย พูดภาษาไทย (เริ่มใช้คำนี้ใน พ.ศ.2483)   ทีกวางสี เขาเรียกตัวเองว่าคนจ้วง  ภาษาจ้วงส่วนในบังคลาเทศ  เขาเคยเรียกตัวเองว่าสยาม แต่สำเนียงท้องถิ่นทำให้เพี้ยนเป็นอาหม  เช่นเทียวกับกลุ่มที่เราเรียกว่าไทยใหญ่  เดิมก็เรียกตัวเองว่าสยามเหมือนกัน  แต่สำเนียงแบบพม่าที่อยู่รอบ ๆ ออกเสียงนี้ไม่ได้ จึงกลายเป็นฉาน หรือชานไป
กวางสีที่อ.กล่าวถึงอยู่ในแผนที่ตามภาพ ถ้าใครเคยไปกุ้ยหลิน นั่นก็อยู่ในมลฑลกวางสี
หนึ่งใน5 เขตปกครองตนเองของประเทศจีน ชื่อเต็มคือเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง
(http://www.chinatourusa.com/china-map/maps/guangxi-s-ow-600x600.gif)
ถ้าดูแผนที่เต็มประเทศ จะเห็นว่า ติดกับเวียดนาม
(https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/8/89/China_Guangxi.svg/706px-China_Guangxi.svg.png)
ที่ตอนเหนือของเวียดนามก็มีคนพูดภาษาไทยเหมือนกันแต่เรียกว่าภาษาจ้วงได แต่มีน้อยมาก
คนไทยเรียกพวกเขาว่าไทยดำ
ทีมยิงปืน ทบ.ของเวียดนามก็เคยบรรจุเข้ามาตอนมาแข่งในประเทศไทย  สำเนียง ลักษณะการพูด เหมือนกวางสีจ้วงในจีน
สมัยเด็กๆได้ยินว่าไทยดำจินตนาการไปว่าคงตัวดำ
จะว่าไปชนเผ่าไทหรือไตนี่มีชื่อเรียกเยอะแถวเชียงตุง(Kengtung)ส่วนใหญ่จะเป็นไทขีน แล้วก็ไทเน๋อ เลยไปสิบสองปันนาก็ไทลื้อ(ไทอั๊วอยู่ไหน) แถวแม่สายนับไปนับมาสิบชาติพันธ์
30 ครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: โทน73 -รักในหลวง- ที่ มิถุนายน 15, 2016, 11:01:18 AM
เรื่องของคุณบุญช่วย ค่อนข้างเพี้ยนและไม่ตรงกับประเพณีจริงนะครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ มิถุนายน 15, 2016, 11:30:09 AM
คนที่พูดภาษาเดียวกับเราในประเทศจีน  กลุ่มใหญ่ที่สุดอยู่ที่กวางสี มีประมาณ 13 ล้านคน   ผมเคยไปเที่ยวจีน เจอไกด์จีนคนนึง ชื่อก้อย  เป็นชาวจ้วง มาจากกวางสี  พูดภาษาไทยได้แบบคนกรุงเทพ  เพราะมาเรียนที่บ้านสมเด็จ  แต่เขาพูดภาษาจ้วงมาตั้งแต่เด็ก  มาปรับถ้อยคำสำนวนให้เป็นแบบคนไทย ในเมืองไทยเท่านั้นเองแล้วอย่าไปเรียกคนที่พูดภาษาเดียวกับพวกเราในประเทศอื่นว่าเป็นคนไทยนะครับ   มีแต่พวกเราเท่านั้น ที่เรียกตัวเองว่าเป็นคนไทย พูดภาษาไทย (เริ่มใช้คำนี้ใน พ.ศ.2483)   ทีกวางสี เขาเรียกตัวเองว่าคนจ้วง  ภาษาจ้วงส่วนในบังคลาเทศ  เขาเคยเรียกตัวเองว่าสยาม แต่สำเนียงท้องถิ่นทำให้เพี้ยนเป็นอาหม  เช่นเทียวกับกลุ่มที่เราเรียกว่าไทยใหญ่  เดิมก็เรียกตัวเองว่าสยามเหมือนกัน  แต่สำเนียงแบบพม่าที่อยู่รอบ ๆ ออกเสียงนี้ไม่ได้ จึงกลายเป็นฉาน หรือชานไป
กวางสีที่อ.กล่าวถึงอยู่ในแผนที่ตามภาพ ถ้าใครเคยไปกุ้ยหลิน นั่นก็อยู่ในมลฑลกวางสี
หนึ่งใน5 เขตปกครองตนเองของประเทศจีน ชื่อเต็มคือเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง
(http://www.chinatourusa.com/china-map/maps/guangxi-s-ow-600x600.gif)
ถ้าดูแผนที่เต็มประเทศ จะเห็นว่า ติดกับเวียดนาม
(https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/8/89/China_Guangxi.svg/706px-China_Guangxi.svg.png)
ที่ตอนเหนือของเวียดนามก็มีคนพูดภาษาไทยเหมือนกันแต่เรียกว่าภาษาจ้วงได แต่มีน้อยมาก
คนไทยเรียกพวกเขาว่าไทยดำ
ทีมยิงปืน ทบ.ของเวียดนามก็เคยบรรจุเข้ามาตอนมาแข่งในประเทศไทย  สำเนียง ลักษณะการพูด เหมือนกวางสีจ้วงในจีน
สมัยเด็กๆได้ยินว่าไทยดำจินตนาการไปว่าคงตัวดำ
จะว่าไปชนเผ่าไทหรือไตนี่มีชื่อเรียกเยอะแถวเชียงตุง(Kengtung)ส่วนใหญ่จะเป็นไทขีน แล้วก็ไทเน๋อ เลยไปสิบสองปันนาก็ไทลื้อ(ไทอั๊วอยู่ไหน) แถวแม่สายนับไปนับมาสิบชาติพันธ์
 author=สุพินท์ - รักในหลวง link=topic=242794.msg4387054#msg4387054 date=1465914412]
ในฐานะที่เป็นทหาร  อาจารย์คิดว่ามีโอกาสเกิดความขัดแย้งจนเกิดสงครามใหญ่ได้ไหมครับ  จากนี้ไปอีกสัก10-20ปี
ในฐานะที่เป็นทหาร  อาจารย์คิดว่ามีโอกาสเกิดความขัดแย้งจนเกิดสงครามใหญ่ได้ไหมครับ  จากนี้ไปอีกสัก10-20ปี
ไม่ถึงสิบปีหรอกครับ
แย่แล้ว(โฮ)..ผมยังขยาดภาวะข้าวยากหมากแพงสมัย..ญี่ปุ่นขึ้น..ไม่หายเลย..แม่เล่าให้ฟังว่าหนุ่มสาวที่แต่งงานกันช่วงนั้นแม้แต่เสื้อผ้าใหม่สักชุดก็ไม่มีจะใส่ ต้องยืมเขา


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ มิถุนายน 15, 2016, 12:32:06 PM
เรื่องของคุณบุญช่วย ค่อนข้างเพี้ยนและไม่ตรงกับประเพณีจริงนะครับ
จำได้ว่าเขาเพิ่งจัดงาน สิบชาติพันธ์ ที่แม่สายไม่นานนี้เองนะ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 15, 2016, 12:32:16 PM
ในฐานะที่เป็นทหาร  อาจารย์คิดว่ามีโอกาสเกิดความขัดแย้งจนเกิดสงครามใหญ่ได้ไหมครับ  จากนี้ไปอีกสัก10-20ปี

ไม่ถึงสิบปีหรอกครับ
ถ้าไม่เกิน10ปี ผมยังแบกปืนไหวครับอาจารย์

มันไม่ใช่สงครามแบบสมัยก่อนหรอกครับ
แต่จะเป็นลักษณะที่เหตุการณ์ 3 จังหวัดภาคใต้ลุกลามขยายตัว และ worst scenario คือเป็นแบบลิเบียและซีเรีย

มีโอกาสเกิดขึ้นได้ถ้าคนไทยยังเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเหนือส่วนรวม
ทุกวันนี้ยังมีคนหลงไหลได้ปลื้มกับโครงการประชานิยม เช่นจำนำข้าว   เอาเงินของคนทั้งชาติมาซื้อข้าวในราคาแพง  เพื่อนำไปขายต่อในราคาถูก


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ มิถุนายน 16, 2016, 10:01:01 AM
แสดงว่าความแตกแยกในกลุ่มคนไทยต่างความคิดจะขยายตัวรุนแรงขึ้นอย่างแน่นอน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ มิถุนายน 16, 2016, 04:30:54 PM
    เห็นแก่ตัวกันทุกหย่อมหญ้า ขาดความละอายหรือสำนึกผิด ถ้าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดละครับ อยู่ใน MODE STANDBY อยู่แล้วครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ มิถุนายน 17, 2016, 11:10:36 AM
ในฐานะที่เป็นทหาร  อาจารย์คิดว่ามีโอกาสเกิดความขัดแย้งจนเกิดสงครามใหญ่ได้ไหมครับ  จากนี้ไปอีกสัก10-20ปี
ไม่ถึงสิบปีหรอกครับ
ถ้าไม่เกิน10ปี ผมยังแบกปืนไหวครับอาจารย์
มันไม่ใช่สงครามแบบสมัยก่อนหรอกครับ
แต่จะเป็นลักษณะที่เหตุการณ์ 3 จังหวัดภาคใต้ลุกลามขยายตัว และ worst scenario คือเป็นแบบลิเบียและซีเรียมีโอกาสเกิดขึ้นได้ถ้าคนไทยยังเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเหนือส่วนรวม
ทุกวันนี้ยังมีคนหลงไหลได้ปลื้มกับโครงการประชานิยม เช่นจำนำข้าว   เอาเงินของคนทั้งชาติมาซื้อข้าวในราคาแพง  เพื่อนำไปขายต่อในราคาถูก
งั้นที่ นิติภูมิ นวรัตน์ เคยทำนายไว้ก็ท่าจะเป็นจริง(แต่เมื่อไม่นานมานี้ นิติ นวรัตน์ ผู้ลูกเคยบอกว่าคำทำนายที่ว่านั้นไม่ใช่ของพ่อเขา)


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: โทน73 -รักในหลวง- ที่ มิถุนายน 17, 2016, 11:17:24 AM
เรื่องของคุณบุญช่วย ค่อนข้างเพี้ยนและไม่ตรงกับประเพณีจริงนะครับ
จำได้ว่าเขาเพิ่งจัดงาน สิบชาติพันธ์ ที่แม่สายไม่นานนี้เองนะ


ข้อมูลมั่วเยอะจริงๆ ครับ สมัยทำเรื่อง"ปะหร่อง" ตอนทำการบ้าน หาหนังสือไม่ได้ มีแต่หนังสือคุณบุญช่วย ในห้องสมุด ก็ยืมติดเป้มา
ลงพื้นที่ คุยกะ NGO  และชาวบ้าน รูปภาพลงผิดเพี้ยนเยอะครับ

http://www.thaiseoboard.com/index.php?topic=170391.20;imode



หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: โทน73 -รักในหลวง- ที่ มิถุนายน 17, 2016, 11:18:48 AM
ในฐานะที่เป็นทหาร  อาจารย์คิดว่ามีโอกาสเกิดความขัดแย้งจนเกิดสงครามใหญ่ได้ไหมครับ  จากนี้ไปอีกสัก10-20ปี
ไม่ถึงสิบปีหรอกครับ
ถ้าไม่เกิน10ปี ผมยังแบกปืนไหวครับอาจารย์
มันไม่ใช่สงครามแบบสมัยก่อนหรอกครับ
แต่จะเป็นลักษณะที่เหตุการณ์ 3 จังหวัดภาคใต้ลุกลามขยายตัว และ worst scenario คือเป็นแบบลิเบียและซีเรียมีโอกาสเกิดขึ้นได้ถ้าคนไทยยังเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเหนือส่วนรวม
ทุกวันนี้ยังมีคนหลงไหลได้ปลื้มกับโครงการประชานิยม เช่นจำนำข้าว   เอาเงินของคนทั้งชาติมาซื้อข้าวในราคาแพง  เพื่อนำไปขายต่อในราคาถูก
งั้นที่ นิติภูมิ นวรัตน์ เคยทำนายไว้ก็ท่าจะเป็นจริง(แต่เมื่อไม่นานมานี้ นิติ นวรัตน์ ผู้ลูกเคยบอกว่าคำทำนายที่ว่านั้นไม่ใช่ของพ่อเขา)

เชื่อคำทำนายหมอนี้เหรอครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ มิถุนายน 18, 2016, 09:41:46 PM
    ตานิติภูมินี่ไม่ค่อยเชื่อแกอยู่แล้ว เพิ่มคุณบุญช่วยไปอีกคนนึง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Nero Angel01 ที่ มิถุนายน 18, 2016, 11:52:07 PM
อาจารย์สุพินท์ครับ ที่ไทยใหญ่เดิมเรียกตัวเองว่าสยามนั้นปรากฏในเอกสารฉบับใหนครับ พอดีมีการคุยเรื่องนี้ในกลุ่มแล้วสมาชิกเขาอยากได้อ้างอิง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 19, 2016, 01:49:47 PM
อาจารย์สุพินท์ครับ ที่ไทยใหญ่เดิมเรียกตัวเองว่าสยามนั้นปรากฏในเอกสารฉบับใหนครับ พอดีมีการคุยเรื่องนี้ในกลุ่มแล้วสมาชิกเขาอยากได้อ้างอิง

ข้อเขียนของคุณสุจิตต์ วงษ์เทศ ครับ  น่าจะอยู่ในวารสารศิลปวัฒนธรรม หรือไม่ก็มติชน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Nero Angel01 ที่ มิถุนายน 19, 2016, 03:02:36 PM
ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: แปจีหล่อ คนสันขวาน ที่ มิถุนายน 19, 2016, 06:30:37 PM
 ที่เรียกไทยใหญ่ว่าเงี้ยวนั้นมีที่มายังไงครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 19, 2016, 07:49:31 PM
ที่เรียกไทยใหญ่ว่าเงี้ยวนั้นมีที่มายังไงครับ

ฟังได้ความมา 2 กระแสครับ  คือเรียกเชิงดูถูก กับตามนิทานชาติกำเนิดว่ามาจากงู
เรื่องบรรพบรุษเป็นงู  ก็ยังมีพวกจามกับเขมรอีกด้วย  คือมีกำเนิดจากนางพญานาคกับฤาษี


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: แปจีหล่อ คนสันขวาน ที่ มิถุนายน 19, 2016, 09:06:05 PM
 ขอบคุณครับท่าน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ มิถุนายน 20, 2016, 09:47:27 AM
ที่เรียกไทยใหญ่ว่าเงี้ยวนั้นมีที่มายังไงครับ

ฟังได้ความมา 2 กระแสครับ  คือเรียกเชิงดูถูก กับตามนิทานชาติกำเนิดว่ามาจากงู
เรื่องบรรพบรุษเป็นงู  ก็ยังมีพวกจามกับเขมรอีกด้วย  คือมีกำเนิดจากนางพญานาคกับฤาษี

เรื่องนี้ ผมก็แปลกใจ ทำไมภูมิภาคนี้ ต้องมีความเชื่อมาจากสัตว์เลื้อยคลานกันเยอะจัง
ลาวไทย เชื่อว่ามาจากนาค จากงู อาจเพราะนับถือพุทธ ซึ่งปรากฎนาคในพงศาวดารศาสนา
ส่วนเขมร ผมยังหาเหตุไม่ได้ว่า ทำไมเชื่อว่าบรรพบุรุษมาจากเหี้ย


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 20, 2016, 10:45:13 AM
ที่เรียกไทยใหญ่ว่าเงี้ยวนั้นมีที่มายังไงครับ

ฟังได้ความมา 2 กระแสครับ  คือเรียกเชิงดูถูก กับตามนิทานชาติกำเนิดว่ามาจากงู
เรื่องบรรพบรุษเป็นงู  ก็ยังมีพวกจามกับเขมรอีกด้วย  คือมีกำเนิดจากนางพญานาคกับฤาษี

เรื่องนี้ ผมก็แปลกใจ ทำไมภูมิภาคนี้ ต้องมีความเชื่อมาจากสัตว์เลื้อยคลานกันเยอะจัง
ลาวไทย เชื่อว่ามาจากนาค จากงู อาจเพราะนับถือพุทธ ซึ่งปรากฎนาคในพงศาวดารศาสนา
ส่วนเขมร ผมยังหาเหตุไม่ได้ว่า ทำไมเชื่อว่าบรรพบุรุษมาจากเหี้ย

เขมร  เขาเชื่อว่าบรรพบรุษมาจากนาคเพศเมีย (เนียงเนียก) นะครับ   ไม่ใช่เหี้ยมม้าหาย
ถึงกับมีธรรมเนียมว่า  ก่อนที่กษัตริย์จะไปรับบริการจากเหล่าสนมนางใน  จะต้องไปปฏิบัติกิจที่ปราสาทนาคพัน (ปราสาทเนียกปวน) เสียก่อน  หากขาดตกบกพร่องเรื่องนี้ อาจจะเกิดวิบัติภัยต่อบ้านเมืองได้เลย

ส่วนลาว  มีนิทานโบราณ พญาแถนสร้างโลก  ว่าไทย ลาว ข่า ขมุ เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน เกิดจากน้ำเต้าลูกเดียวกัน   ข้อความข้างล่าง ผมคัดลอกมาจาก สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ / เล่มที่ ๒๖ / เรื่องที่ ๑ นิทานพื้นบ้านไทย  :-http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=26&chap=1&page=t26-1-infodetail02.html


ในท้องถิ่นอีสานยังมีความเชื่อเรื่องมนุษย์เกิดจากน้ำเต้า ซึ่งตรงกับความเชื่อของคนลาวโบราณ ตำนานนี้ เล่าถึงกำเนิดมนุษย์เผ่าพันธุ์ต่างๆ ว่า เดิมทีมนุษย์บูชาแถน และต้องเซ่นไหว้แถน แต่ต่อมามนุษย์ลืมเซ่นไหว้แถน แถนจึงโกรธ และบันดาลให้น้ำท่วมบ้านท่วมเมือง มนุษย์จึงได้ต่อแพ แล้วล่องแพขึ้นไปเฝ้าพญาแถน ซึ่งเป็นเทวดาอยู่เมืองสวรรค์ ต่อมาแถนจึงบันดาลให้น้ำลด และให้ควายลงมาช่วยมนุษย์ทำนา ต่อมาควายตาย และเกิดมีน้ำเต้าลูกใหญ่ออกมาทางรูจมูก แล้วแถนได้ใช้เหล็กเจาะน้ำเต้า ปรากฏว่า มีคนไหลออกมาจากน้ำเต้าสามวันสามคืน เป็นคนที่มีผิวคล้ำ คือ พวกลาวเทิง ข่า ขมุ ครั้งที่สอง ใช้สิ่วเจาะ มีคนผิวขาวไหลออกมาสามวันสามคืน คือ พวกลาวลุ่ม ไทดำ ไทขาว ไทพวน ไทลื้อ แถนยังได้สอนวิธีการทำนา การเพาะปลูก การสร้างบ้านเรือน และการทอผ้าให้แก่มนุษย์


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ มิถุนายน 20, 2016, 04:01:41 PM
ในฐานะที่เป็นทหาร  อาจารย์คิดว่ามีโอกาสเกิดความขัดแย้งจนเกิดสงครามใหญ่ได้ไหมครับ  จากนี้ไปอีกสัก10-20ปี

ไม่ถึงสิบปีหรอกครับ
ถ้าไม่เกิน10ปี ผมยังแบกปืนไหวครับอาจารย์
คู่ต่อไป จีน vs อินโด อินโดไล่จับเรือประมงจีน 12 ลำแถวเกาะ Natuna ของอินโด ส่วนจีนก็อ้างว่าแถวนั้นเป็นเขตอธิปไตยของจีน งานนี้อินโดมีเรือให้ระเบิดเล่นอีกแล้ว
ส่วนกองเรือสหรัฐก็เริ่มซ้อมรบร่วมกับปินส์


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ มิถุนายน 20, 2016, 05:45:12 PM
. จีนเขาบอกเป็นของเค้าตั้งแต่สมัยที่ เจิ่งเหอเดินเรือสำรวจตามที่ต่างๆ สารคดีฝรั่งทำออกมาได้ชัดเจน อย่างนี้เรียกทับซ้อนรึเปล่าครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 20, 2016, 06:40:54 PM
. จีนเขาบอกเป็นของเค้าตั้งแต่สมัยที่ เจิ่งเหอเดินเรือสำรวจตามที่ต่างๆ สารคดีฝรั่งทำออกมาได้ชัดเจน อย่างนี้เรียกทับซ้อนรึเปล่าครับ

กฎหมายระหว่างประเทศ  เป็นเรื่องการตกลงกันมากกว่าตีความตามตัวอักษร
ตากปกติ  ทะเลอาณาเขตคือ 12 ไมล์ทะเลนับจากชายฝั่ง  แต่ก็มีข้อยกเว้นหลายเรื่อง เช่นกรรมสิทธิ์ทางประวัติศาสตร์  ตัวอย่างเช่นอ่าวไทยชั้นใน  เราถือเป็นอาณาเขตของไทย ขีดเส้นตรงจากแหลมแสมสารไปถึงสามร้อยยอด (รายละเอียดตาม พระราชบัญญัติกำหนดเขตจังหวัดในอ่าวไทยตอนใน พ.ศ. 2502)  ถึงแม้จะเกิน 12 ไมล์จากก้นอ่าวก็ตาม

แต่จะใช้แนวคิดนี้ไปใช้กับมหาสมุทรอินเดีย ว่าควรจะต้องเป็นของอินเดีย   หรือทะเลจีนควรจะเป็นของจีน  แบบนั้นคงไม่ได้


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ มิถุนายน 20, 2016, 08:51:31 PM
  ขอบคุณครับผู้การ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ มิถุนายน 20, 2016, 08:56:45 PM
ถ้าจะอ้างเจิ้งเหอก็มีอีกผ่ายอ้างพวก Polynesian ที่เดินเรือแถวนี้สมัยโบราณ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ มิถุนายน 21, 2016, 09:03:01 AM
ที่เรียกไทยใหญ่ว่าเงี้ยวนั้นมีที่มายังไงครับ

ฟังได้ความมา 2 กระแสครับ  คือเรียกเชิงดูถูก กับตามนิทานชาติกำเนิดว่ามาจากงู
เรื่องบรรพบรุษเป็นงู  ก็ยังมีพวกจามกับเขมรอีกด้วย  คือมีกำเนิดจากนางพญานาคกับฤาษี

เรื่องนี้ ผมก็แปลกใจ ทำไมภูมิภาคนี้ ต้องมีความเชื่อมาจากสัตว์เลื้อยคลานกันเยอะจัง
ลาวไทย เชื่อว่ามาจากนาค จากงู อาจเพราะนับถือพุทธ ซึ่งปรากฎนาคในพงศาวดารศาสนา
ส่วนเขมร ผมยังหาเหตุไม่ได้ว่า ทำไมเชื่อว่าบรรพบุรุษมาจากเหี้ย

เขมร  เขาเชื่อว่าบรรพบรุษมาจากนาคเพศเมีย (เนียงเนียก) นะครับ   ไม่ใช่เหี้ยมม้าหาย
ถึงกับมีธรรมเนียมว่า  ก่อนที่กษัตริย์จะไปรับบริการจากเหล่าสนมนางใน  จะต้องไปปฏิบัติกิจที่ปราสาทนาคพัน (ปราสาทเนียกปวน) เสียก่อน  หากขาดตกบกพร่องเรื่องนี้ อาจจะเกิดวิบัติภัยต่อบ้านเมืองได้เลย


ผมเข้าใจผิดมานานเลย คิดว่านาคสร้างเมืองและเหี้ยมม้าหายมาจุติเป็นกษัตริย์ปกครอง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 21, 2016, 09:55:04 AM
ที่เรียกไทยใหญ่ว่าเงี้ยวนั้นมีที่มายังไงครับ

ฟังได้ความมา 2 กระแสครับ  คือเรียกเชิงดูถูก กับตามนิทานชาติกำเนิดว่ามาจากงู
เรื่องบรรพบรุษเป็นงู  ก็ยังมีพวกจามกับเขมรอีกด้วย  คือมีกำเนิดจากนางพญานาคกับฤาษี

เรื่องนี้ ผมก็แปลกใจ ทำไมภูมิภาคนี้ ต้องมีความเชื่อมาจากสัตว์เลื้อยคลานกันเยอะจัง
ลาวไทย เชื่อว่ามาจากนาค จากงู อาจเพราะนับถือพุทธ ซึ่งปรากฎนาคในพงศาวดารศาสนา
ส่วนเขมร ผมยังหาเหตุไม่ได้ว่า ทำไมเชื่อว่าบรรพบุรุษมาจากเหี้ย

เขมร  เขาเชื่อว่าบรรพบรุษมาจากนาคเพศเมีย (เนียงเนียก) นะครับ   ไม่ใช่เหี้ยมม้าหาย
ถึงกับมีธรรมเนียมว่า  ก่อนที่กษัตริย์จะไปรับบริการจากเหล่าสนมนางใน  จะต้องไปปฏิบัติกิจที่ปราสาทนาคพัน (ปราสาทเนียกปวน) เสียก่อน  หากขาดตกบกพร่องเรื่องนี้ อาจจะเกิดวิบัติภัยต่อบ้านเมืองได้เลย


ผมเข้าใจผิดมานานเลย คิดว่านาคสร้างเมืองและเหี้ยมม้าหายมาจุติเป็นกษัตริย์ปกครอง

ความเชื่อส่วนใหญ่ในเอเชีย เรื่องมีบรรพบรุษเป็นหมา จะมีมากกว่างูครับ
และที่ตรงกันเกือบทั้งหมดคือการนับถือกบ
มาจากการที่เป็นสังคมเกษตรกรรม ต้องพึ่งฝน   และก่อนฝนตกจะมีเสียงกบร้อง จึงเข้าใจว่ากบนำฝนมา
ภาพวาดตามผนังถ้ำในเอเชีย  จะเป็นภาพคนยืนย่อตัว ยกแขน   ซึ่งนักประวัติศาสตร์ตีความว่าเป็นท่าบูชากบ  รวมทั้งท่าไหว้ครูของโขน  ที่เรียกว่า "ตั้งเหลี่ยม" ก็น่าจะมาจากท่าแสดงความนับถือกบดั้งเดิม


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: โทน73 -รักในหลวง- ที่ มิถุนายน 21, 2016, 11:56:40 AM
เรื่องนับถือกบ นี้เจอกะตัวเลย ปะหร่อง ก็ไม่อยู่ใกล้ที่มีเสียงกบร้อง นัยว่าไม่ให้ตั้งบ้านเรือนในที่ชื้นแฉะ เพราะเกรงโรคภัยจากแมลงและยุง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ มิถุนายน 21, 2016, 04:34:38 PM
. จีนเขาบอกเป็นของเค้าตั้งแต่สมัยที่ เจิ่งเหอเดินเรือสำรวจตามที่ต่างๆ สารคดีฝรั่งทำออกมาได้ชัดเจน อย่างนี้เรียกทับซ้อนรึเปล่าครับ
กฎหมายระหว่างประเทศ  เป็นเรื่องการตกลงกันมากกว่าตีความตามตัวอักษร
ตากปกติ  ทะเลอาณาเขตคือ 12 ไมล์ทะเลนับจากชายฝั่ง  แต่ก็มีข้อยกเว้นหลายเรื่อง เช่นกรรมสิทธิ์ทางประวัติศาสตร์  ตัวอย่างเช่นอ่าวไทยชั้นใน  เราถือเป็นอาณาเขตของไทย ขีดเส้นตรงจากแหลมแสมสารไปถึงสามร้อยยอด (รายละเอียดตาม พระราชบัญญัติกำหนดเขตจังหวัดในอ่าวไทยตอนใน พ.ศ. 2502)  ถึงแม้จะเกิน 12 ไมล์จากก้นอ่าวก็ตามแต่จะใช้แนวคิดนี้ไปใช้กับมหาสมุทรอินเดีย ว่าควรจะต้องเป็นของอินเดีย   หรือทะเลจีนควรจะเป็นของจีน  แบบนั้นคงไม่ได้
อินเดียก็กินแดนทางทะเลมาไกลมากเหมือนกัน เช่น เกาะอันดามัน เกาะนิโคบาร์


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 21, 2016, 08:01:14 PM
. จีนเขาบอกเป็นของเค้าตั้งแต่สมัยที่ เจิ่งเหอเดินเรือสำรวจตามที่ต่างๆ สารคดีฝรั่งทำออกมาได้ชัดเจน อย่างนี้เรียกทับซ้อนรึเปล่าครับ
กฎหมายระหว่างประเทศ  เป็นเรื่องการตกลงกันมากกว่าตีความตามตัวอักษร
ตากปกติ  ทะเลอาณาเขตคือ 12 ไมล์ทะเลนับจากชายฝั่ง  แต่ก็มีข้อยกเว้นหลายเรื่อง เช่นกรรมสิทธิ์ทางประวัติศาสตร์  ตัวอย่างเช่นอ่าวไทยชั้นใน  เราถือเป็นอาณาเขตของไทย ขีดเส้นตรงจากแหลมแสมสารไปถึงสามร้อยยอด (รายละเอียดตาม พระราชบัญญัติกำหนดเขตจังหวัดในอ่าวไทยตอนใน พ.ศ. 2502)  ถึงแม้จะเกิน 12 ไมล์จากก้นอ่าวก็ตามแต่จะใช้แนวคิดนี้ไปใช้กับมหาสมุทรอินเดีย ว่าควรจะต้องเป็นของอินเดีย   หรือทะเลจีนควรจะเป็นของจีน  แบบนั้นคงไม่ได้
อินเดียก็กินแดนทางทะเลมาไกลมากเหมือนกัน เช่น เกาะอันดามัน เกาะนิโคบาร์

ทะเลอาณาเขตของอินเดียก็มีแต่เพียงรอบ ๆ หมู่เกาะเท่านั้นครับ   ไม่ใช่ลากเส้นมาจาก Main land

การจะควบคุมดินแดนใด ๆ ก็ตาม  ใช้กฎหมายอย่างเดียวไม่ได้ จะต้องมีอำนาจทางทหารมาคุ้มครองด้วย  ตัวอย่างเช่นราชอาณาจักรฮาวาย มีชาวผิวผาวเข้ามาทำธุรกิจ  รุกคืบจนเกิดความขัดแย้งกับชาวพื้นเมือง  และเมื่อทหารสหรัฐเข้าตั้งฐานทัพในปลายศตวรรษที่ 19 ทำให้ชาวผิวขาวทำการล้มล้างราชอาณาจักร และจัดตั้งเป็นสาธารณรัฐฮาวายขึ้น โดยมีกองทัพสหรัฐให้ความคุ้มครอง   คลุม ๆ เคลือ ๆ อยู่แบบนั้นหกสิบกว่าปี  เพิ่งจะผนวกเข้าเป็นรัฐที่ 50 ของอเมริกาเมื่อ พ.ศ.2502 นี่เอง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ มิถุนายน 21, 2016, 10:12:22 PM
จาก Hawaii 50 ก็ยังมี Guam, Saipan เกาะรอบๆอีกแต่ยังไม่เป็นรัฐ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 22, 2016, 10:24:04 AM
จาก Hawaii 50 ก็ยังมี Guam, Saipan เกาะรอบๆอีกแต่ยังไม่เป็นรัฐ

สถานะทางกฎหมายไม่ค่อยเหมือนกัน
Guam เป็นดินแดนใหญ่กว่าเพื่อน   และอยู่ในรายชื่อ United Nations list of Non-Self-Governing Territories ของยูเอ็น  เช่นเดียวกับเกาะฟอล์คแลนด์, เบอร์มิวดา,  เวอร์จินไอส์แลนด์ (ทั้ง US และ UK)   แต่อเมริกาถือว่าเป็น Territories of the United States   ที่อเมริกาเข้าไปยึดครองพร้อมกับฮาวายและเปอร์โตริโกตั้งแต่ศตวรรษที่ 19   กวมนี่อเมริกาเข้าไปตั้งฐานทัพเอาดื้อ ๆ  ส่วนฮาวายแย่งเจ้าของเดิมเขามาเหมือนเท็กซัสและคาลิฟอร์เนีย  แต่เปอร์โตริโกได้มาจากสเปนหลังชนะสงคราม

ส่วนไซปัน  เป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะมาริอานา เดิมเป็นของญี่ปุ่น  และสหรัฐยึดมาในสงครามโลกครั้งที่ 2   ภายหลังจึงได้รับมาดูแลตามข้อตกลง Trust Territory of the Pacific Islands ของยูเอ็น ไม่กี่สิบปีมานี้เอง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ มิถุนายน 22, 2016, 04:55:03 PM
lสรุปว่าหมู่เกาะที่มีการสู้รบแล้วอเมริกายึดได้อยู่ในความดูแลทั้งหมด


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ มิถุนายน 22, 2016, 05:00:47 PM
...ไซปัน อเมริกาเสียทหารไปเยอะ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: montri รักในหลวง ที่ มิถุนายน 22, 2016, 07:04:42 PM
อาจารย์ครับ ผมอ่านหนังสือสงครามหลายเล่มเขียนถึงทหารญี่ปุ่นกระทำการขมขืนหญิงพลเรือนของจีน เกาหลี เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าครับ ตอนที่ญี่ปุ่นยึดไทยได้ ผมกลับไม่เคยได้ยินได้อ่านเรื่องแบบนี้ ย่าผมเคยขายกล้วยให้ทหารญี่ปุ่น ก็ไม่เคยเล่าเรื่องร้ายๆเกี่ยวกับทหารญี่ปุ่นให้ฟังเลย ย่าเล่าว่าพวกนี้มีระเบียบมาก เคยจับคนไทยตัดหัว เพราะโขมยของ และใส่ผ้าเตี่ยวไม่นุ่งกางเกงใน ชอบลงอาบน้ำในคลอง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 22, 2016, 09:10:15 PM
อาจารย์ครับ ผมอ่านหนังสือสงครามหลายเล่มเขียนถึงทหารญี่ปุ่นกระทำการขมขืนหญิงพลเรือนของจีน เกาหลี เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าครับ ตอนที่ญี่ปุ่นยึดไทยได้ ผมกลับไม่เคยได้ยินได้อ่านเรื่องแบบนี้ ย่าผมเคยขายกล้วยให้ทหารญี่ปุ่น ก็ไม่เคยเล่าเรื่องร้ายๆเกี่ยวกับทหารญี่ปุ่นให้ฟังเลย ย่าเล่าว่าพวกนี้มีระเบียบมาก เคยจับคนไทยตัดหัว เพราะโขมยของ และใส่ผ้าเตี่ยวไม่นุ่งกางเกงใน ชอบลงอาบน้ำในคลอง

ไทยไม่ได้อยู่ในสภาพถูกยึดครอง  แต่ยินยอมให้ญี่ปุ่นตั้งฐานทัพ กับใช้ไทยเป็นทางผ่าน  หลังสงครามไทยถึงอยู่ในสภาพประเทศแพ้สงคราม และต้องจ่ายค่าปฏิมากรรมสงครามให้อังกฤษ
นอกจากนั้น ญี่ปุ่นลงโทษคนไทยตามมาตรฐานของญี่ปุ่นเอง   คือทหารญี่ปุ่นทำผิด ก็ถูกลงโทษแบบเดียวกับคนไทยโดน

ส่วนเรื่องที่ทำกับจีน  นักประวัติศาสตร์เรียกว่า The Rape of Nanjing  ภาษาไทยแปลว่าสังหารหมู่ที่นานกิง   แต่จริง ๆ แล้ว Rape แปลว่าข่มขืน    เป็นเรื่องที่ญี่ปุ่นทำเพื่อเป็นตัวอย่าง ไม่ให้เมืองอื่นต่อต้าน  ไม่ได้มีแต่การข่มขืน  แต่ฆ่าอย่างทารุณทุกรูปแบบ  เช่นพนันกันว่าลูกในท้องเป็นหญิงหรือชาย แล้วผ่าออกมาดู,  เอาคนเป็น ๆ มามัดกับหลักให้ฝึกแทงด้วยดาบปลายปืน,  โยนเด็กให้ลอยขึ้นไป แล้วแข่งกันเอาดาบปลายปืนเสียบ   นอกจากนั้น ยังมีการใช้คนจีนแทนสัตว์ทดลอง อาวุธเคมี เชื้อโรค

เรื่องนี้  เปิดขึ้นมาทีไร  ชุมชนญี่ปุ่นในจีนลุกเป็นไฟทุกที


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Nero Angel01 ที่ มิถุนายน 22, 2016, 10:03:31 PM
กษัตริย์กับจักรพรรดิต่างกันยังไงครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: montri รักในหลวง ที่ มิถุนายน 23, 2016, 10:02:11 AM
อาจารย์ครับ ผมอ่านหนังสือสงครามหลายเล่มเขียนถึงทหารญี่ปุ่นกระทำการขมขืนหญิงพลเรือนของจีน เกาหลี เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าครับ ตอนที่ญี่ปุ่นยึดไทยได้ ผมกลับไม่เคยได้ยินได้อ่านเรื่องแบบนี้ ย่าผมเคยขายกล้วยให้ทหารญี่ปุ่น ก็ไม่เคยเล่าเรื่องร้ายๆเกี่ยวกับทหารญี่ปุ่นให้ฟังเลย ย่าเล่าว่าพวกนี้มีระเบียบมาก เคยจับคนไทยตัดหัว เพราะโขมยของ และใส่ผ้าเตี่ยวไม่นุ่งกางเกงใน ชอบลงอาบน้ำในคลอง

ไทยไม่ได้อยู่ในสภาพถูกยึดครอง  แต่ยินยอมให้ญี่ปุ่นตั้งฐานทัพ กับใช้ไทยเป็นทางผ่าน  หลังสงครามไทยถึงอยู่ในสภาพประเทศแพ้สงคราม และต้องจ่ายค่าปฏิมากรรมสงครามให้อังกฤษ
นอกจากนั้น ญี่ปุ่นลงโทษคนไทยตามมาตรฐานของญี่ปุ่นเอง   คือทหารญี่ปุ่นทำผิด ก็ถูกลงโทษแบบเดียวกับคนไทยโดน

ส่วนเรื่องที่ทำกับจีน  นักประวัติศาสตร์เรียกว่า The Rape of Nanjing  ภาษาไทยแปลว่าสังหารหมู่ที่นานกิง   แต่จริง ๆ แล้ว Rape แปลว่าข่มขืน    เป็นเรื่องที่ญี่ปุ่นทำเพื่อเป็นตัวอย่าง ไม่ให้เมืองอื่นต่อต้าน  ไม่ได้มีแต่การข่มขืน  แต่ฆ่าอย่างทารุณทุกรูปแบบ  เช่นพนันกันว่าลูกในท้องเป็นหญิงหรือชาย แล้วผ่าออกมาดู,  เอาคนเป็น ๆ มามัดกับหลักให้ฝึกแทงด้วยดาบปลายปืน,  โยนเด็กให้ลอยขึ้นไป แล้วแข่งกันเอาดาบปลายปืนเสียบ   นอกจากนั้น ยังมีการใช้คนจีนแทนสัตว์ทดลอง อาวุธเคมี เชื้อโรค

เรื่องนี้  เปิดขึ้นมาทีไร  ชุมชนญี่ปุ่นในจีนลุกเป็นไฟทุกที
เป็นทหาร เป็นนักรบ ทำไมทำเรื่องเลวทรามแบบนั้น การฆ่าเด็กเล็ก การขืนใจหญิง เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจจริงๆ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 23, 2016, 10:09:39 AM
กษัตริย์กับจักรพรรดิต่างกันยังไงครับ

ชนวนเสียกรุงครั้งที่ 1 เกิดจากเรื่องนี้ด้วย
จักรพรรดิหมายถึงกษัตริย์ที่อยู่เหนือกษัตริย์อื่น ๆ   ซึ่งในทวีปหนึ่ง ควรจะมีจักรพรรดิแต่เพียงพระองค์เดียว
พระเทียรราชา ท่านได้ช้างเผือก 7 เชือก  ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณลักษณะของจักรพรรดิ   ท่านก็เฉลิมพระนามว่าเป็นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ   คือไม่ใช่จักรพรรดิธรรมดาแต่เป็นมหาจักรพรรดิ
จึงทำให้เกิดประเด็นทางการเมืองกับราชวงศ์ตองอู  ซึ่งเป็นมหาอำนาจทางทหารในขณะนั้น


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ มิถุนายน 23, 2016, 10:33:49 AM
อาจารย์ครับ ผมอ่านหนังสือสงครามหลายเล่มเขียนถึงทหารญี่ปุ่นกระทำการขมขืนหญิงพลเรือนของจีน เกาหลี เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าครับ ตอนที่ญี่ปุ่นยึดไทยได้ ผมกลับไม่เคยได้ยินได้อ่านเรื่องแบบนี้ ย่าผมเคยขายกล้วยให้ทหารญี่ปุ่น ก็ไม่เคยเล่าเรื่องร้ายๆเกี่ยวกับทหารญี่ปุ่นให้ฟังเลย ย่าเล่าว่าพวกนี้มีระเบียบมาก เคยจับคนไทยตัดหัว เพราะโขมยของ และใส่ผ้าเตี่ยวไม่นุ่งกางเกงใน ชอบลงอาบน้ำในคลอง

ไทยไม่ได้อยู่ในสภาพถูกยึดครอง  แต่ยินยอมให้ญี่ปุ่นตั้งฐานทัพ กับใช้ไทยเป็นทางผ่าน  หลังสงครามไทยถึงอยู่ในสภาพประเทศแพ้สงคราม และต้องจ่ายค่าปฏิมากรรมสงครามให้อังกฤษ
นอกจากนั้น ญี่ปุ่นลงโทษคนไทยตามมาตรฐานของญี่ปุ่นเอง   คือทหารญี่ปุ่นทำผิด ก็ถูกลงโทษแบบเดียวกับคนไทยโดน

ส่วนเรื่องที่ทำกับจีน  นักประวัติศาสตร์เรียกว่า The Rape of Nanjing  ภาษาไทยแปลว่าสังหารหมู่ที่นานกิง   แต่จริง ๆ แล้ว Rape แปลว่าข่มขืน    เป็นเรื่องที่ญี่ปุ่นทำเพื่อเป็นตัวอย่าง ไม่ให้เมืองอื่นต่อต้าน  ไม่ได้มีแต่การข่มขืน  แต่ฆ่าอย่างทารุณทุกรูปแบบ  เช่นพนันกันว่าลูกในท้องเป็นหญิงหรือชาย แล้วผ่าออกมาดู,  เอาคนเป็น ๆ มามัดกับหลักให้ฝึกแทงด้วยดาบปลายปืน,  โยนเด็กให้ลอยขึ้นไป แล้วแข่งกันเอาดาบปลายปืนเสียบ   นอกจากนั้น ยังมีการใช้คนจีนแทนสัตว์ทดลอง อาวุธเคมี เชื้อโรค

เรื่องนี้  เปิดขึ้นมาทีไร  ชุมชนญี่ปุ่นในจีนลุกเป็นไฟทุกที

ที่เกาหลีนี่ ของจริงครับ ข่มขืนจริง และก็ใช้แรงงานคนเกาหลีในการสะสมเสบียงอาหาร รวมถึงแรงงานในกองทัพ
ที่ชุดฮันบกของสตรีชาวเกาหลีคล้ายชุดคลุมท้องก็ด้วยเหตุนี้ พรางตาทหารญี่ปุ่นให้คิดว่าตั้งครรภ์


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 23, 2016, 11:22:19 AM
เป็นเพราะลัทธิชาตินิยมของญี่ปุ่น สอนให้เชื่อว่าชาวญี่ปุ่นเหนือว่าชาติพันธุ์อื่น  ทำให้มองคนอื่นต่ำกว่า ปฏิบัติด้วยเหมือนกับเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง
ตอนแม็คอาเธอร์ยึดครองญี่ปุ่น  จึงได้ให้เลิกลัทธิความเชื่อหลายเรื่อง  ปฏิรูประบบการศึกษา กับระบบการทำงานของญี่ปุ่นใหม่หมด

บางเรื่อง  พอญี่ปุ่นเป็นอิสระ ก็แก้ไขให้ดีกว่าเดิม   ตัวอย่างเช่นศาลปกครอง  แมคอาเธอร์ตั้งไว้ให้ได้ไม่กี่ปี  ญี่ปุ่นก็เลิกระบบศาลปกครอง  แต่ออกแบบระบบราชการใหม่ ให้มีข้าราชการระดับครีม  คัดตัวกันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย  พอเข้ามารับราชการ ก็มีเส้นทางเติบโตของตัวเอง ไม่ต้องกังวล   ข้าราชการระดับครีม มักจะมาทำงานสาย เพราะเลิกงานตีสอง  ตีสาม  แต่ทำงานจริงจังมาก เข้าไปแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง จนไม่ต้องใช้ศาลปกครอง   ประชาชนก็ให้การยอมรับระบบราชการ  จนนักการเมืองญี่ปุ่นไม่กล้าแตะต้องข้าราชการประจำ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ มิถุนายน 23, 2016, 11:41:50 AM
ทั้งญี่ปุ่นและเยอรมันต่างมีแนวคิดว่า ชาติพันธุ์ตนเองเหนือกว่าชาติอื่นโดยสายเลือด
เคยพยายามค้นหาที่มาของชนชาติที่เรียกว่า อารยัน
คำอารยันคำเดียว ทำผมปวดหัว เพราะบ้างก็ว่าอยู่อินเดีย บ้างก็ว่าอยู่อิหร่าน
แต่เยอรมันมีความเชื่อว่าพวกเขาเป็นอารยัน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Nero Angel01 ที่ มิถุนายน 23, 2016, 11:59:07 AM
กษัตริย์กับจักรพรรดิต่างกันยังไงครับ

ชนวนเสียกรุงครั้งที่ 1 เกิดจากเรื่องนี้ด้วย
จักรพรรดิหมายถึงกษัตริย์ที่อยู่เหนือกษัตริย์อื่น ๆ   ซึ่งในทวีปหนึ่ง ควรจะมีจักรพรรดิแต่เพียงพระองค์เดียว
พระเทียรราชา ท่านได้ช้างเผือก 7 เชือก  ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณลักษณะของจักรพรรดิ   ท่านก็เฉลิมพระนามว่าเป็นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ   คือไม่ใช่จักรพรรดิธรรมดาแต่เป็นมหาจักรพรรดิ
จึงทำให้เกิดประเด็นทางการเมืองกับราชวงศ์ตองอู  ซึ่งเป็นมหาอำนาจทางทหารในขณะนั้น

ขอบคุณครับ พอดีมีการคุยเรื่องนี้ในเพจประวัติศาสตร์จีน ซึ่งบางยุคมีกษัตริย์ทำไมนับเป็นจักรพรรดิ หรือของกษัตริย์สยามยุคเจ้าต่างรัฐอย่างอยุธยา สุโยไทยนับเป็นจักรพรรดิมั้ย อย่างสมเด็จพระนเรศวรก็น่าจะเป็นจักรพรรดิได้ หรือทางญี่ปุ่นก็เรียกจักรพรรดิ ผมก็งงครับไม่รู้ว่าระบบปกครองของญี่ปุ่นโชกุนสถานะใหนกัน เป็นกษัตริย์รัฐหรือเป็นแบบเจ้าเมืองแบบจีน(ที่มีเมืองย่อยๆในควบคุมอีกที)


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: วีระศักดิ์ รักในหลวงครับ ที่ มิถุนายน 23, 2016, 01:02:09 PM
กรณีญี่ปุ่นกับจีน เห็นจากหนังสือหลายเล่มแล้วเหมือนไม่ใช่คนทำกับคน โหดร้ายมาก ไม่ทราบว่าหลังแพ้สงครามญี่ปุนต้องชดใช้ให้จีนเยอะไหมครับ   เห็นเวลานายกญี่ปุ่นไปคารวะศาลเจ้าทหารทีไร เป็นเรื่องเป็นราวทุกที


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 23, 2016, 01:09:39 PM
กษัตริย์กับจักรพรรดิต่างกันยังไงครับ

ชนวนเสียกรุงครั้งที่ 1 เกิดจากเรื่องนี้ด้วย
จักรพรรดิหมายถึงกษัตริย์ที่อยู่เหนือกษัตริย์อื่น ๆ   ซึ่งในทวีปหนึ่ง ควรจะมีจักรพรรดิแต่เพียงพระองค์เดียว
พระเทียรราชา ท่านได้ช้างเผือก 7 เชือก  ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณลักษณะของจักรพรรดิ   ท่านก็เฉลิมพระนามว่าเป็นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ   คือไม่ใช่จักรพรรดิธรรมดาแต่เป็นมหาจักรพรรดิ
จึงทำให้เกิดประเด็นทางการเมืองกับราชวงศ์ตองอู  ซึ่งเป็นมหาอำนาจทางทหารในขณะนั้น

ขอบคุณครับ พอดีมีการคุยเรื่องนี้ในเพจประวัติศาสตร์จีน ซึ่งบางยุคมีกษัตริย์ทำไมนับเป็นจักรพรรดิ หรือของกษัตริย์สยามยุคเจ้าต่างรัฐอย่างอยุธยา สุโยไทยนับเป็นจักรพรรดิมั้ย อย่างสมเด็จพระนเรศวรก็น่าจะเป็นจักรพรรดิได้ หรือทางญี่ปุ่นก็เรียกจักรพรรดิ ผมก็งงครับไม่รู้ว่าระบบปกครองของญี่ปุ่นโชกุนสถานะใหนกัน เป็นกษัตริย์รัฐหรือเป็นแบบเจ้าเมืองแบบจีน(ที่มีเมืองย่อยๆในควบคุมอีกที)


ไม่ควรเอาแนวความคิดในปัจจุบันของเราไปตัดสินอดีต  ควรเรียนรู้จากสภาพความเป็นจริงในยุคนั้น
สมัยสุโขทัย  เป็นแนวคิดแบบพ่อปกครองลูก หรือ "ธรรมราชา"   สถาบันกษัตริย์ของไทยเราก็รับรู้เรื่องนี้มาโดยตลอด  เช่นขุนพิเรนทรเทพ ช่วยรัฐประหาร ยกพระเทียรราชาขึ้นครองกรุงศรีอยุธยา  พระเทียรราชาก็ตอบแทนด้วยการให้ไปครองพิษณุโลก  และเฉลิมพระนามว่า "พระมหาธรรมราชา"   ตามแบบอย่างราชวงศ์สุโขทัยดั้งเดิม
แม้แต่สมัยรัชกาลที่ 5  เมื่อ ร.7 ผ่านพิธีโสกันต์  ร.5 ก็โปรดเกล้า ฯ ให้เป็นเจ้าต่างกรม เฉลิมพระนามเป็นกรมขุนสุโขทัย  กับต่อท้ายพระนามว่า "ธรรมราชา"

ส่วนสมัยอยุธยา  รับเอาลัทธิเทวราชามาจากขอม  จึงออกไปทางรามาอวตาร  เช่นราม, รามา, ราเมศวร เป็นทั้งพระรามกับพระอิศวร  หรือเอกาทศรถ ซึ่งแปลว่ามีรถศึก 11 คัน  มากกว่าพ่อพระราม 1 คัน  (พ่อพระรามชื่อท้าวทศรถ  ภาษาสันสกฤษ ทศ=10  เอกาทศ=11  ทวาทศ =12  แล้ว 13 ก็ไตรทศ ตรีทศ  เจ้านายไทยใช้ชื่อนี้เยอะเหมือนกัน)


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 23, 2016, 01:12:21 PM
กรณีญี่ปุ่นกับจีน เห็นจากหนังสือหลายเล่มแล้วเหมือนไม่ใช่คนทำกับคน โหดร้ายมาก ไม่ทราบว่าหลังแพ้สงครามญี่ปุนต้องชดใช้ให้จีนเยอะไหมครับ   เห็นเวลานายกญี่ปุ่นไปคารวะศาลเจ้าทหารทีไร เป็นเรื่องเป็นราวทุกที

ชดใช้อะไรละครับ  จีนยังเอาตัวไม่รอด  เกิดสงครามกลางเมืองต่ออีกเป็นสิบปี
เรื่องมันซับซ้อน  อย่างเช่นในอินโดนีเซีย  นอกจากไม่เล่นงานญี่ปุ่นแล้ว  ยังใช้ทหารญี่ปุ่น ช่วยกู้อิสรภาพจากพวกดัทช์อีกตะหาก


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ มิถุนายน 23, 2016, 02:37:21 PM
   อยู่ฝ่ายแพ้สงครามแทบหมดตัว ต้องคืนดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงไปด้วย


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 23, 2016, 02:54:33 PM
   อยู่ฝ่ายแพ้สงครามแทบหมดตัว ต้องคืนดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงไปด้วย

เราเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงไปตอนวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112  ก่อนหน้านั้น 50 ปี
ที่เราต้องคืนหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีสหรัฐไทยเดิมในรัฐฉาน,  3 เมืงในเขมร กับตอนเหนือของมาเลเซีย


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ มิถุนายน 23, 2016, 04:32:04 PM
บิดาเคยไปรบเชียงตุงโดนยิงแขนแหว่งไปหน่อย ขากลับถูกปลดยกกองทัพออกมาทำนาอยู่พักหนึ่งจนเขาเรียกกลับไปรบต่อที่เกาหลี ท้ายสุดก็ต้องคืนเชียงตุงไป


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: วีระศักดิ์ รักในหลวงครับ ที่ มิถุนายน 23, 2016, 04:33:19 PM
ถ้าญี่ปุ่นไม่โดนอ้วนดำไปซะ 2 ลูก ประวัติศาสตร์คงเปลี่ยนไปอีกแบบ แสดงว่าตอนนั้นญี่ปุ่นคงมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ.ทางทหาร มีเทคโนโลยีที่ดี เป็นอันดับต้นๆใช่ไหมครับ ถึงได้กล้าเก๋ามาไกลบ้านตัวเอง
น่ะครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: วีระศักดิ์ รักในหลวงครับ ที่ มิถุนายน 23, 2016, 04:42:22 PM
บิดาเคยไปรบเชียงตุงโดนยิงแขนแหว่งไปหน่อย ขากลับถูกปลดยกกองทัพออกมาทำนาอยู่พักหนึ่งจนเขาเรียกกลับไปรบต่อที่เกาหลี ท้ายสุดก็ต้องคืนเชียงตุงไป
พี่ชายของตาผมก็ไปรบที่เกาหลีครับ. ไม่ตายแต่กลับมาขาพิการไปข้างหนึ่ง แกเล่าให้ฟังว่ายิงฝ่ายตรงข้ามแล้วกระโดดหลบ เลยตกจากที่สูง ขาข้างที่กระแทกลงมาจะเล็กกว่าอีกข้างนึงครับ หน้าหนาวก็จะปวด


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 23, 2016, 05:31:40 PM
ถ้าญี่ปุ่นไม่โดนอ้วนดำไปซะ 2 ลูก ประวัติศาสตร์คงเปลี่ยนไปอีกแบบ แสดงว่าตอนนั้นญี่ปุ่นคงมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ.ทางทหาร มีเทคโนโลยีที่ดี เป็นอันดับต้นๆใช่ไหมครับ ถึงได้กล้าเก๋ามาไกลบ้านตัวเอง
น่ะครับ

ไม่โดนระเบิดปรมาณูก็แพ้ครับ...

ปี1945 อักษะจอดกันหมดแล้ว...

สงครามแปซิฟิกเป็นแนวรบสุดท้าย...


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 23, 2016, 05:38:36 PM
ถ้าญี่ปุ่นไม่โดนอ้วนดำไปซะ 2 ลูก ประวัติศาสตร์คงเปลี่ยนไปอีกแบบ แสดงว่าตอนนั้นญี่ปุ่นคงมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ.ทางทหาร มีเทคโนโลยีที่ดี เป็นอันดับต้นๆใช่ไหมครับ ถึงได้กล้าเก๋ามาไกลบ้านตัวเอง
น่ะครับ

อ้วน ๆ กลม ๆ มีลูกเดียว ที่นางาซากิ  เป็น plutonium implosion ชื่อ Fat Man   ส่วนที่ฮิโรชิมา เป็นลูกยาว ๆ แบบ gun-type weapons ชื่อ Little Boy (ใช้ uranium) ครั้งนั้นที่เตรียมไว้ยังเหลือแบบ Gun-type อีกลูกนึง เป็น plutonium gun-type ชื่อ Thin Man


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: วีระศักดิ์ รักในหลวงครับ ที่ มิถุนายน 23, 2016, 08:04:11 PM
ถ้าญี่ปุ่นไม่โดนอ้วนดำไปซะ 2 ลูก ประวัติศาสตร์คงเปลี่ยนไปอีกแบบ แสดงว่าตอนนั้นญี่ปุ่นคงมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ.ทางทหาร มีเทคโนโลยีที่ดี เป็นอันดับต้นๆใช่ไหมครับ ถึงได้กล้าเก๋ามาไกลบ้านตัวเอง
น่ะครับ

ไม่โดนระเบิดปรมาณูก็แพ้ครับ...

ปี1945 อักษะจอดกันหมดแล้ว...

สงครามแปซิฟิกเป็นแนวรบสุดท้าย...
::014:: จอดเพราะอะไรครับพี่ ตังค์หมด เด็กๆอ่อนล้า หรืออุปกรณ์หมดมือครับ เคยดูในสารคดีครับว่าช่วงสงครามผู้ชายที่ประเทศญี่ปุ่นเหลือน้อยครับ ส่งออกไปรุกรานชาวบ้านเขาหมดครับ ::014::


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: วีระศักดิ์ รักในหลวงครับ ที่ มิถุนายน 23, 2016, 08:07:51 PM
ถ้าญี่ปุ่นไม่โดนอ้วนดำไปซะ 2 ลูก ประวัติศาสตร์คงเปลี่ยนไปอีกแบบ แสดงว่าตอนนั้นญี่ปุ่นคงมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ.ทางทหาร มีเทคโนโลยีที่ดี เป็นอันดับต้นๆใช่ไหมครับ ถึงได้กล้าเก๋ามาไกลบ้านตัวเอง
น่ะครับ

อ้วน ๆ กลม ๆ มีลูกเดียว ที่นางาซากิ  เป็น plutonium implosion ชื่อ Fat Man   ส่วนที่ฮิโรชิมา เป็นลูกยาว ๆ แบบ gun-type weapons ชื่อ Little Boy (ใช้ uranium) ครั้งนั้นที่เตรียมไว้ยังเหลือแบบ Gun-type อีกลูกนึง เป็น plutonium gun-type ชื่อ Thin Man
::014::ลูกที่เหลือ ในยุคนี้ยังพอเอามารบกับใครได้ไหมครับ เทคโนโลยีต่างจากนุ๊กปัจจุบันเยอะไหมครับ ::014::


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: montri รักในหลวง ที่ มิถุนายน 23, 2016, 08:15:47 PM
กรณีญี่ปุ่นกับจีน เห็นจากหนังสือหลายเล่มแล้วเหมือนไม่ใช่คนทำกับคน โหดร้ายมาก ไม่ทราบว่าหลังแพ้สงครามญี่ปุนต้องชดใช้ให้จีนเยอะไหมครับ   เห็นเวลานายกญี่ปุ่นไปคารวะศาลเจ้าทหารทีไร เป็นเรื่องเป็นราวทุกที

ชดใช้อะไรละครับ  จีนยังเอาตัวไม่รอด  เกิดสงครามกลางเมืองต่ออีกเป็นสิบปี
เรื่องมันซับซ้อน  อย่างเช่นในอินโดนีเซีย  นอกจากไม่เล่นงานญี่ปุ่นแล้ว  ยังใช้ทหารญี่ปุ่น ช่วยกู้อิสรภาพจากพวกดัทช์อีกตะหาก
อาจารย์กล่าวถึงสงครามกลางเมืองในจีน  มีเพียงการรบกันระหว่างก๊กมินตั๋งกับคอมมิวนิส หรือมีก๊กอื่นๆรบกันด้วยหรือเปล่าครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 23, 2016, 09:01:45 PM
ถ้าญี่ปุ่นไม่โดนอ้วนดำไปซะ 2 ลูก ประวัติศาสตร์คงเปลี่ยนไปอีกแบบ แสดงว่าตอนนั้นญี่ปุ่นคงมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ.ทางทหาร มีเทคโนโลยีที่ดี เป็นอันดับต้นๆใช่ไหมครับ ถึงได้กล้าเก๋ามาไกลบ้านตัวเอง
น่ะครับ

อ้วน ๆ กลม ๆ มีลูกเดียว ที่นางาซากิ  เป็น plutonium implosion ชื่อ Fat Man   ส่วนที่ฮิโรชิมา เป็นลูกยาว ๆ แบบ gun-type weapons ชื่อ Little Boy (ใช้ uranium) ครั้งนั้นที่เตรียมไว้ยังเหลือแบบ Gun-type อีกลูกนึง เป็น plutonium gun-type ชื่อ Thin Man
::014::ลูกที่เหลือ ในยุคนี้ยังพอเอามารบกับใครได้ไหมครับ เทคโนโลยีต่างจากนุ๊กปัจจุบันเยอะไหมครับ ::014::

plutonium implosion แบบ Fat Man ทำไว้ 120 ลูก  ถอดทำลายไปหมดแล้ว
Fat Man  ใช้พลูโตเนียม 6.2 กก.แต่ทั้งลูกหนัก 4.6 ตัน มีอำนาจการระเบิดเทียบเท่า TNT 21 กิโลตัน   เทคโนโลยีปัจจุบัน ลดน้ำหนักได้ 100 เท่าตัว โดยทีอำนาจเท่าเดิม


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 23, 2016, 09:06:16 PM
กรณีญี่ปุ่นกับจีน เห็นจากหนังสือหลายเล่มแล้วเหมือนไม่ใช่คนทำกับคน โหดร้ายมาก ไม่ทราบว่าหลังแพ้สงครามญี่ปุนต้องชดใช้ให้จีนเยอะไหมครับ   เห็นเวลานายกญี่ปุ่นไปคารวะศาลเจ้าทหารทีไร เป็นเรื่องเป็นราวทุกที

ชดใช้อะไรละครับ  จีนยังเอาตัวไม่รอด  เกิดสงครามกลางเมืองต่ออีกเป็นสิบปี
เรื่องมันซับซ้อน  อย่างเช่นในอินโดนีเซีย  นอกจากไม่เล่นงานญี่ปุ่นแล้ว  ยังใช้ทหารญี่ปุ่น ช่วยกู้อิสรภาพจากพวกดัทช์อีกตะหาก
อาจารย์กล่าวถึงสงครามกลางเมืองในจีน  มีเพียงการรบกันระหว่างก๊กมินตั๋งกับคอมมิวนิส หรือมีก๊กอื่นๆรบกันด้วยหรือเปล่าครับ

แค่ 2 ก๊ก ก็อ่วมแล้วครับ  ตายไป 5 ล้านคน
เขารบกัน 2 ช่วง  1927-1937  แล้วพักรบ ไปรบกับญี่ปุ่นแทน  พอญี่ปุ่นแพ้แล้วก็กลับมาฆ่ากันต่อ 1946-1950


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ มิถุนายน 23, 2016, 09:42:31 PM
   ทำไมต้องทิ้งที่ญี่ปุ่นถึงสองลูกครับ จริงหรือไม่ครับที่ลูกเดียวยังไม่ยอมแพ้


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ มิถุนายน 23, 2016, 10:10:49 PM
ลูกแรกญี่ปุ่นยังงงอยู่มั้งเลยไม่ยอมแพ้
อันที่จริงก่อนหน้าอเมริกันบอมบ์โตเกืยวไปคนตายมากกว่าแสนคนเสียอีกมีนักวิชาการว่าไม่จำเป็นต้องใช้ Nuke เลย


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: พญาจงอาง +รักในหลวง+ ที่ มิถุนายน 23, 2016, 10:20:57 PM
เคยอ่านเจอในโซเชียล เห็นว่าไอ้กันจะซ้ำดอก 3 แต่หยุ่นยอมแพ้ซะก่อน ถ้าไม่ยอมแพ่คงเจอดอก 3 ซ้ำ ตัวที่ 3น่าจะชื่อ Mini Boy (ไม่รู้จริงหรือเปล่า ชื่อผมตั้งเอง เพราะ 2 ลูก ชื่อ Fat Man กลับ Little Boy)//ท่านผู้การตอบไปแล้วในคอมเม๊นต์บนสุดของหน้านี้ ;D


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Nero Angel01 ที่ มิถุนายน 23, 2016, 11:56:20 PM
สงสัยกลัวญี่ปุ่นไปยอมแพ้หมีเลยจัดหนัก


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ มิถุนายน 24, 2016, 12:23:53 AM
  เมือง Dresden ของเยอรมันเป็นเมืองมรดกโลกก็ราบพอๆกัน ทั้งๆที่ไม่ใช่จุดยุทธศาสตร์เลย เหตุต่องการทำลายขวัญกำลังใจประชาชนรึเปล่าครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 24, 2016, 12:29:44 AM
  ทำไมต้องทิ้งที่ญี่ปุ่นถึงสองลูกครับ จริงหรือไม่ครับที่ลูกเดียวยังไม่ยอมแพ้
ลูกแรกญี่ปุ่นยังงงอยู่มั้งเลยไม่ยอมแพ้
อันที่จริงก่อนหน้าอเมริกันบอมบ์โตเกืยวไปคนตายมากกว่าแสนคนเสียอีกมีนักวิชาการว่าไม่จำเป็นต้องใช้ Nuke เลย

น่าจะเป็นเรื่องต้องการทดลองระเบิดด้วย  เพราะเตรียมระเบิดไว้ 3 แบบ   เมืองที่จะทิ้ง ก็เตรียมไว้ 3 เมือง   ปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้โจมตีทางอากาศมาก่อน เพื่อต้องการทราบอำนาจการทำลายจริง ๆ
การใช้นิวเคลียร์  ก็ช่วยลดการเสียชีวิตของทหารอเมริกันลง  ยอมแพ้เร็วขึ้น 1 วัน ก็เซฟชีวิตทหารอเมริกันไปหลายร้อยคน
อันที่จริง โดนลูกที่สองไปแล้ว   ทหารก็ยังไม่ยอมแพ้   พยายามบุกเข้าพระราชวัง เพื่อแย่งแผ่นเสียงคำประกาศยอมแพ้


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 24, 2016, 12:52:20 AM
ถ้าญี่ปุ่นไม่โดนอ้วนดำไปซะ 2 ลูก ประวัติศาสตร์คงเปลี่ยนไปอีกแบบ แสดงว่าตอนนั้นญี่ปุ่นคงมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ.ทางทหาร มีเทคโนโลยีที่ดี เป็นอันดับต้นๆใช่ไหมครับ ถึงได้กล้าเก๋ามาไกลบ้านตัวเอง
น่ะครับ

ไม่โดนระเบิดปรมาณูก็แพ้ครับ...

ปี1945 อักษะจอดกันหมดแล้ว...

สงครามแปซิฟิกเป็นแนวรบสุดท้าย...
::014:: จอดเพราะอะไรครับพี่ ตังค์หมด เด็กๆอ่อนล้า หรืออุปกรณ์หมดมือครับ เคยดูในสารคดีครับว่าช่วงสงครามผู้ชายที่ประเทศญี่ปุ่นเหลือน้อยครับ ส่งออกไปรุกรานชาวบ้านเขาหมดครับ ::014::

ก็ไม่เหลืออะไรแล้วนี่ครับ...

อาวุธยุทโธปกรณ์ ทหารชำนาญการรบ...

เสบียงอาหาร น้ำมัน ยารักษาโรค...

เหลือแต่ตัวกับหัวใจ...


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ มิถุนายน 24, 2016, 09:40:28 AM
ถ้าญี่ปุ่นไม่โดนอ้วนดำไปซะ 2 ลูก ประวัติศาสตร์คงเปลี่ยนไปอีกแบบ แสดงว่าตอนนั้นญี่ปุ่นคงมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ.ทางทหาร มีเทคโนโลยีที่ดี เป็นอันดับต้นๆใช่ไหมครับ ถึงได้กล้าเก๋ามาไกลบ้านตัวเอง
น่ะครับ
ญี่ปุ่นสร้างเรือประจันบานที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ ชื่อเรือยามาโตะ สร้างปืนเรือขนาด18นิ้ว ที่ยิงได้ไกล25ไมล์ทะเล
แต่ช่วงหลังของสงครามโลกครั้งที่2 เรือบรรทุกเครื่องบินกลับเป็นผู้พลิกเกมส์ของสงคราม


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ มิถุนายน 24, 2016, 10:52:37 AM
   ทำไมต้องทิ้งที่ญี่ปุ่นถึงสองลูกครับ จริงหรือไม่ครับที่ลูกเดียวยังไม่ยอมแพ้
   ทำไมต้องทิ้งที่ญี่ปุ่นถึงสองลูกครับ จริงหรือไม่ครับที่ลูกเดียวยังไม่ยอมแพ้
ลูกแรกญี่ปุ่นยังงงอยู่มั้งเลยไม่ยอมแพ้
อันที่จริงก่อนหน้าอเมริกันบอมบ์โตเกืยวไปคนตายมากกว่าแสนคนเสียอีกมีนักวิชาการว่าไม่จำเป็นต้องใช้ Nuke เลย
น่าจะเป็นเรื่องต้องการทดลองระเบิดด้วย  เพราะเตรียมระเบิดไว้ 3 แบบ   เมืองที่จะทิ้ง ก็เตรียมไว้ 3 เมือง   ปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้โจมตีทางอากาศมาก่อน เพื่อต้องการทราบอำนาจการทำลายจริง ๆ
การใช้นิวเคลียร์  ก็ช่วยลดการเสียชีวิตของทหารอเมริกันลง  ยอมแพ้เร็วขึ้น 1 วัน ก็เซฟชีวิตทหารอเมริกันไปหลายร้อยคน
อันที่จริง โดนลูกที่สองไปแล้ว   ทหารก็ยังไม่ยอมแพ้   พยายามบุกเข้าพระราชวัง เพื่อแย่งแผ่นเสียงคำประกาศยอมแพ้
เขาว่าระเบิดปรมาณู 2 ลูกนั้นช่วยเซฟชีวิตเด็กหนุ่มอเมริกันไปได้หลายแสนคน สหรัฐ ฯ คงอยากสั่งสอนญี่ปุ่นด้วยที่โดนลูบคมที่เพิร์ลฮาเบอร์(แกทำชั้นได้ชั้นก็ทำแกมั่ง..นี่แน่ะ)  


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ มิถุนายน 24, 2016, 02:59:15 PM
ช่วงท้ายๆญี่ปุ่นสูญเสียทหารเก่งไปมากโดยเฉพาะนักบิน นักบินญึ่ปุ่นเก่งแล้วก็ต้องรบไปเรื่อยๆจนตัวตายไม่หมุนเวียน ฝ่ายอเมริกาหมุนเวียนเอาคนเก่งและยังไม่ตายกลับไปสอนคนที่จะมาแทน คือเปลี่ยนห้ามาชนเลยไม่แปลกที่นักบินหน้าใหม่จะสอยนักบินญี่ปุ่นมือเก่าได้ คนเก่าอยู่นานก็จะล้าพลาดท่าได้ จุดเปลี่ยนน่าจะเป็นที่นายพลยามาโมโต้ถูกซุ่มโจมตีกลางอากาศเพราะหลังจากนั้นแต่ละเหล่าต่างตัวใครตัวมันไม่มีใครควบคุมในภาพรวม


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 24, 2016, 04:09:23 PM
ถ้าญี่ปุ่นไม่โดนอ้วนดำไปซะ 2 ลูก ประวัติศาสตร์คงเปลี่ยนไปอีกแบบ แสดงว่าตอนนั้นญี่ปุ่นคงมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ.ทางทหาร มีเทคโนโลยีที่ดี เป็นอันดับต้นๆใช่ไหมครับ ถึงได้กล้าเก๋ามาไกลบ้านตัวเอง
น่ะครับ
ญี่ปุ่นสร้างเรือประจันบานที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ ชื่อเรือยามาโตะ สร้างปืนเรือขนาด18นิ้ว ที่ยิงได้ไกล25ไมล์ทะเล
แต่ช่วงหลังของสงครามโลกครั้งที่2 เรือบรรทุกเครื่องบินกลับเป็นผู้พลิกเกมส์ของสงคราม

ทุกชาติได้บทเรียนตั้งแต่เริ่มสงครามครับ
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1   ปืนใครยิงไกล ก็ได้เปรียบ เพราะยิงเขาอยู่ข้างเดียว  แต่ปืนยิงไกล ต้องลูกใหญ่  ต้องอยู่ในเรือใหญ่  จึงออกมาเป็นเรือประจัญบาน
เยอรมันไม่มีเรือบรรทุกเครื่องบิน เพราะถูกจำกัดด้วยสัญญาแวร์ซาย   จึงแก้เกมส์ด้วยเรือดำน้ำ  กับออกแบบเรือประจัญบานขนาดเล็ก  ไม่ให้ละเมิดสัญญา  แต่ปืนยิงได้เร็ว กับใช้เครื่องยนต์ดีเซลรอบสูง  ทำให้เรือคล่องแคล่ว


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: วีระศักดิ์ รักในหลวงครับ ที่ มิถุนายน 27, 2016, 05:06:13 AM
สนธิสัญญาแวร์ซายต่างจากสนธิสัญญาเจนีวาอย่างไรครับ เยอรมันถูกจำกัดด้วยสนธิสัญญาดังกล่าวแล้วคู่สงครามถูกจำกัดด้วยไหมครับ ::014::


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Cajun ที่ มิถุนายน 27, 2016, 09:19:59 AM
ช่วงท้ายๆญี่ปุ่นสูญเสียทหารเก่งไปมากโดยเฉพาะนักบิน นักบินญึ่ปุ่นเก่งแล้วก็ต้องรบไปเรื่อยๆจนตัวตายไม่หมุนเวียน ฝ่ายอเมริกาหมุนเวียนเอาคนเก่งและยังไม่ตายกลับไปสอนคนที่จะมาแทน คือเปลี่ยนห้ามาชนเลยไม่แปลกที่นักบินหน้าใหม่จะสอยนักบินญี่ปุ่นมือเก่าได้ คนเก่าอยู่นานก็จะล้าพลาดท่าได้ จุดเปลี่ยนน่าจะเป็นที่นายพลยามาโมโต้ถูกซุ่มโจมตีกลางอากาศเพราะหลังจากนั้นแต่ละเหล่าต่างตัวใครตัวมันไม่มีใครควบคุมในภาพรวม
เคยดูสารคดี เขาวิเคราะห์เครื่องบินในยุคนั้น  พบว่า ทางญี่ปุ่น ได้ลดน้ำหนักเครื่องบินด้วยการไม่ติดตั้งเกราะ หรือติดเกราะบาง ๆ ที่ด้านหลังนักบิน และถังน้ำมัน ทำให้บินได้เร็วและคล่องตัวกว่าเครื่องบินอเมริกัน แต่ถ้าถูกยิง นักบินมักไม่รอด ตัวนักบินก็ไม่ยอมทิ้งเครื่องง่าย ๆ  ส่วนเครื่องบินอเมริกัน จะเสริมเกราะหนาทั้งที่หลังที่นั่งนักบิน และ ถังน้ำมัน ทำให้บินได้ช้ากว่าเครื่องบินญี่ปุ่น แต่นักบินรอดตายกลับมาสู้ใหม่ได้ ทำให้ นักบินอเมริกันที่รอดก็มีประสบการณ์มากขึ้น และช่วงกลาง ๆ ของสงคราม อเมริกา พัฒนาเครื่องบินที่บินได้เร็วขึ้นโดยที่ยังใส่ใจเรื่องการความปลอดภัยของนักบินเหมือนเดิม
สร้างคนที่มีคุณภาพใช้เวลาหลายสิบปี  สร้างวัตถุใช้เวลาน้อยกว่า 


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 27, 2016, 09:47:39 AM
สนธิสัญญาแวร์ซายต่างจากสนธิสัญญาเจนีวาอย่างไรครับ เยอรมันถูกจำกัดด้วยสนธิสัญญาดังกล่าวแล้วคู่สงครามถูกจำกัดด้วยไหมครับ ::014::

สัญญาแวร์ซายเป็นข้อตกลงทวิภาคีระหว่างคู่สงคราม เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการจำกัดการผลิตอาวุธของเยอรมัน   ส่วนอนุสัญญาเจนีวา 4 ฉบับ กับยังมีพิธีสารต่อท้ายอีก 3 ฉบับ  เป็นข้อตกลงสากล หรือจะเรียกว่าเป็นกฎหมายระหว่างประเทศก็ได้  เนื้อหาเป็นการวางมาตรฐานในการปฏิบัติต่อผู้เป็นเหยื่อของสงครามอย่างมีมนุษยธรรม
Geneva Conventions เป็นเรื่องสำคัญสำหรับทหาร โดยเฉพาะนักกฎหมายทหารที่ต้องศึกษาให้ละเอียด


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 27, 2016, 10:00:25 AM
เยอรมันถูกจำกัดการสร้างอาวุธตามสัญญาแวร์ชาย   แต่หลังจากนั้นไม่นานได้เกิดข้อตกลง  Treaty for the Limitation and Reduction of Naval Armament และ Washington Naval Treaty จำกัดการสร้างเรือรบใหญ่เกิน 35,000 ตัน กับปืน 16 นิ้ว  ประเทศเข้าร่วม 5 ประเทศ  อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส  ญี่ปุ่น กับอิตาลี    แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เหลือแต่ฝรั่งเศสกับอิตาลี ที่รักษาสัญญา อาจจะเป็นเพราะไม่มีปัญญาจะแข่งกับเขาก็เป็นได้


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ มิถุนายน 27, 2016, 11:50:07 AM
          เยอรมันทำไมถึงแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ครับ ดูจากการรบใหญ่ๆอย่างที่ somme ฝ่ายตรงข้ามสูญเสียเยอะมาก เยอรมันมาพลาดท่าตอนไหนครับ(http://i1268.photobucket.com/albums/jj577/kaiser2801169/GIF%20Maker/_74269218_co_002533_iwm_highres_zpsky6keykr.jpg) (http://s1268.photobucket.com/user/kaiser2801169/media/GIF%20Maker/_74269218_co_002533_iwm_highres_zpsky6keykr.jpg.html)


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ มิถุนายน 27, 2016, 01:01:55 PM
กำลังฝ่ายสัมพันธมิตรสี่สิบกว่าล้านต่อฝ่าย Central power ยี่สิบกว่าล้าน ต่างฝ่ายต่างสูญเสียไปครึ่งหนึ่งเป็นสงครามที่เปลืองทหารมาก
เหตุผลที่แพ้อย่างหนึ่งคือเปิดแนวรบสองด้านตะวันตกและตะวันออก ในระยะสี่ปีนี่สู้ไม่ไหว


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ มิถุนายน 27, 2016, 01:45:32 PM
  ขอบคุณครับ ทหารเยอะขนาดนั้นอัตราสูญเสีย น่ากลัวมาก


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ มิถุนายน 27, 2016, 05:36:33 PM
ไทยเข้าร่วมในปีสุดท้าย ทางโน้นใช้คำว่า Siamese Expeditionary Forces แปลว่าอะไรหนอ รู้แต่ความหมายว่าเป็น ทหารที่ส่งไปรบต่างปรเทศ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 27, 2016, 07:40:23 PM
กำลังฝ่ายสัมพันธมิตรสี่สิบกว่าล้านต่อฝ่าย Central power ยี่สิบกว่าล้าน ต่างฝ่ายต่างสูญเสียไปครึ่งหนึ่งเป็นสงครามที่เปลืองทหารมาก
เหตุผลที่แพ้อย่างหนึ่งคือเปิดแนวรบสองด้านตะวันตกและตะวันออก ในระยะสี่ปีนี่สู้ไม่ไหว

Expeditionary warfare การรบนอกประเทศ

สงครามโลกครั้งที่สอง  พลเรือนตายมากกว่าทหารหลายเท่า
สัมพันธมิตร  ทหารตาย 16 ล้าน  พลเรือนตาย 45 ล้าน
Axis ทหารตาย 8 ล้าน  พลเรือนตาย 4 ล้าน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ มิถุนายน 28, 2016, 03:44:53 PM
ไม่ได้ขุดสนามเพลาะรบกันพลเรือนเลยโดนไปเยอะ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ มิถุนายน 28, 2016, 04:28:36 PM
All Quiet on the Western Front เปิดแนวรบสองด้านคงแย่(http://i1268.photobucket.com/albums/jj577/kaiser2801169/Mobile%20Uploads/6184744_orig_zps15bidaa0.jpg) (http://s1268.photobucket.com/user/kaiser2801169/media/Mobile%20Uploads/6184744_orig_zps15bidaa0.jpg.html)


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ มิถุนายน 28, 2016, 04:42:16 PM
(http://i1268.photobucket.com/albums/jj577/kaiser2801169/Mobile%20Uploads/2615156_zpsuxk0nttt.gif) (http://s1268.photobucket.com/user/kaiser2801169/media/Mobile%20Uploads/2615156_zpsuxk0nttt.gif.html)


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 28, 2016, 04:54:44 PM
ไม่ได้ขุดสนามเพลาะรบกันพลเรือนเลยโดนไปเยอะ


ส่วนใหญ่เสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศ  ยกเว้นยิว 5 ล้านคน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: แปจีหล่อ คนสันขวาน ที่ มิถุนายน 28, 2016, 05:22:37 PM
 คนตายเยอะแบบนั้นจัดการกับศพยังไงครับเผาหรือฝัง แล้วยิวที่ถูกฆ่าเยอรมันจัดการกับศพยังไงหมดครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ มิถุนายน 28, 2016, 05:38:14 PM
    พี่แปผมเดาว่าฝังกลบ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: montri รักในหลวง ที่ มิถุนายน 28, 2016, 07:57:57 PM
คนยิวที่ตายในค่าย จะเผาครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: แปจีหล่อ คนสันขวาน ที่ มิถุนายน 28, 2016, 09:02:44 PM
    พี่แปผมเดาว่าฝังกลบ
คนตั้งหลายล้านถ้าฝังคงใช้พื้นที่ไม่ใช่น้อยๆถ้าเผาก็คงใช้เชื้อไฟมาก หรือจะขนทิ้งทะเลครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Nero Angel01 ที่ มิถุนายน 28, 2016, 09:31:27 PM
ขุดหลุมใหญ่แล้วฝังรวมกันมั้งครับ เหมือนเคยเห็นในสารคดี


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ มิถุนายน 28, 2016, 11:47:29 PM
ไม่ได้ขุดสนามเพลาะรบกันพลเรือนเลยโดนไปเยอะ



ส่วนใหญ่เสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศ  ยกเว้นยิว 5 ล้านคน

ทีโดนโจมตีทางอากาศแล้วตายเยอะน่ะจะเป็นเยอรมันเพราะอังกฤษจะออกตอนกลางคืนเป้าหมายคือเมืองนัยว่าจะล้างแค้นที่มาบอมบ์ลอนดอน ส่วนอเมริกันออกตอนกลางวันเน้นโรงงานและเป็าหมายทางทหาร


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 29, 2016, 12:30:01 PM
ไม่ได้ขุดสนามเพลาะรบกันพลเรือนเลยโดนไปเยอะ



ส่วนใหญ่เสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศ  ยกเว้นยิว 5 ล้านคน

ทีโดนโจมตีทางอากาศแล้วตายเยอะน่ะจะเป็นเยอรมันเพราะอังกฤษจะออกตอนกลางคืนเป้าหมายคือเมืองนัยว่าจะล้างแค้นที่มาบอมบ์ลอนดอน ส่วนอเมริกันออกตอนกลางวันเน้นโรงงานและเป็าหมายทางทหาร

คงไม่ใช่หรอกครับ  พลเรือนเยอรมันตายไม่มากนัก   เครื่องบินทิ้งระเบิดก็มุ่งต่อเป้าหมายที่เอื้อประโยชน์ในทางทหารเหมือนกัน   แต่ที่เครื่องบินอังกฤษต้องทิ้งระเบิดกลางคืน ก็เพราะเทคโนโลยีต่ำกว่าอเมริกัน ต้องทิ้งระเบิดจากระดับต่ำ  เสี่ยงต่อ ปตอ.มากกว่า

ยังไง ๆ คนอังกฤษ อเมริกัน กับเยอรมัน  ก็ชาติพันธุ์เดียวกันมาในอดีตอยู่แล้ว  พลเอก Eisenhauer ผบ.กองกำลังสัมพันธมิตรในยุโรป  ก็เป็นคนเชื้อสายเยอรมัน  ชื่อก็ยังเป็นภาษาเยอรมันอยู่เลย (Eisenhauer แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า Iron miner)   คนอังกฤษเองก็อพยพไปจากแคว้นแซกซอน ตอนเหนือของเยอรมัน  แม้แต่ราชวงศ์วินเซอร์ของอังกฤษ  ก็เปลี่ยนชื่อมาจากราชวงศ์แซกโคเบิร์กของเยอรมัน
สถาบันพระมหากษัตริย์ของอังกฤษ  ไม่ค่อยจะเป็นอังกฤษเท่าไหร่หรอกครับ  ที่ยาวนานกว่าเพื่อนจะเป็นราชวงศ์สจ๊วตของสก็อตแลนด์  แต่ช่วงกลางกรุงศรีอยุธยาของเรา  เจ้านายในราชวงศ์สจ๊วตที่จะขึ้นครองราชเป็นคาธอลิก ซึ่งต้องห้ามตามกฎมณเทียรบาลของอังกฤษ (Act of Settlement 1701)  จึงต้องคัดสรรจากญาติที่ใกล้ชิด ราชสมบัติอังกฤษไปตกแก่ราชวงศ์ฮานโอเวอร์ของเยอรมัน  ครองราชต่อกัน 6 รัชกาล ถึงควีนส์วิคตอเรีย ที่ไปแต่งงานกับเจ้าชายในราชวงศ์แซกโคเบิร์ก (เยอรมันอีกเหมือนกัน)  ชื่อราชวงศ์จึงเปลี่ยนเป็นแซกโคเบิร์ก  แต่พออังกฤษรบกับเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง  เจ้านายทางอังกฤษจึงสละยศตำแหน่งและฐานนันดรศักดิ์ทางเยอรมัน  และเปลี่ยนชื่อเป็นราชวงศ์วินเซอร์จนถึงปัจจุบัน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ มิถุนายน 29, 2016, 04:09:17 PM
 Anglo Saxon : บรรพบุรุษของชาวเยอรมัน อังกฤษ สวีเดน( Dic.คุณสอ เสถบุตร) โดยรวม ๆ คนอังกฤษก็คือเผ่าเยอรมันที่ไปตั้งรกรากอยู่บนเกาะบริเตน แกว่ายังงั้นนะ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 29, 2016, 04:56:35 PM
Anglo Saxon : บรรพบุรุษของชาวเยอรมัน อังกฤษ สวีเดน( Dic.คุณสอ เสถบุตร) โดยรวม ๆ คนอังกฤษก็คือเผ่าเยอรมันที่ไปตั้งรกรากอยู่บนเกาะบริเตน แกว่ายังงั้นนะ

น่าจะไม่ใช่
ชนพื้นเมืองบนเกาะอังกฤษเป็นพวก Celt ปัจจุบันก็ยังมีอยู่  เมื่อสองอาทิตย์ก่อน  ลูกสาวไปเที่ยวสโตนเฮนจ์ ก็ยังเจอ Druid (พระของพวก Celt) ไปทำพิธีกันที่สโตนเฮนจ์
ต่อมาพวกแองเกิล กับแซกซอน อพยพจาก Jutland peninsula เข้าไปอยู่ในอังกฤษ  คนสองเผ่านี้ไม่ใช่เยอรมัน อาจจะมีเชื้อสายเกี่ยวพันกันบ้าง แต่ไม่ใช่ชาวเยอรมันแน่ ๆ และไม่ได้พูดภาษาเยอรมัน เขามีภาษาของตัวเอง และใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางติดต่อกัน

สองเผ่านี้ คงจะไม่ใช่สวีเดน  ถ้าจะนับญาติกับทางยุโรปเหนือ  น่าจะเป็นเดนมาร์กมากกว่า เพราะปัจจุบัน Jutland peninsula คือประเทศเดนมาร์ก (แซกซอนไม่มีแล้ว เยอรมันเหลือแต่โลเวอร์แซกซอน)  นอกจากนั้น เมื่อแองโกลแซกซอนยึดอำนาจจากพวกโรมันเข้าปกครองอังกฤษ ก็อัญเชิญเจ้านายจากราชวงศ์เดนมาร์กมาเป็นกษัตริย์


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ กรกฎาคม 01, 2016, 08:59:52 PM
    King Arthur น่าจะเป็นแองโกลแซกซอนมากกว่าชาวโรมัน ถ้ามีตัวตนจริงๆ ในหนังฝรั่ง King Arthur เป็นโรมันที่ถูกส่งมาเฝ้ากำแพง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ กรกฎาคม 02, 2016, 06:58:26 PM
    King Arthur น่าจะเป็นแองโกลแซกซอนมากกว่าชาวโรมัน ถ้ามีตัวตนจริงๆ ในหนังฝรั่ง King Arthur เป็นโรมันที่ถูกส่งมาเฝ้ากำแพง

ในหนัง น่าจะเป็นทหารรับจ้าง หรือไม่ก็ทหารต่างด้าวในสังกัดกองทัพโรมัน มากกว่า


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ กรกฎาคม 06, 2016, 12:10:56 PM
    King Arthur น่าจะเป็นแองโกลแซกซอนมากกว่าชาวโรมัน ถ้ามีตัวตนจริงๆ ในหนังฝรั่ง King Arthur เป็นโรมันที่ถูกส่งมาเฝ้ากำแพง

หนังฝรั่ง King Arthur เดิมเป็นชนชาติที่แพ้สงคราม(ในหนังกล่าวถึงหรือเปล่าก็จำไม่ได้) เลยต้องส่งส่วยด้วยการเป็นทหารให้
ชนแซกซอนในหนังก็กล่าวถึง แต่ก็จำไม่ได้อีกแหละ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Nero Angel01 ที่ กรกฎาคม 06, 2016, 09:53:40 PM
อาเธอร์คล้ายๆเป็นชาวโรมันที่มาตั้งรกรากครับแล้วโดนเมอร์ลินโจมตีหมู่บ้าน เขาดึงดาบออกมาเพื่อช่วยแม่แต่ไม่ทัน เมอร์ลินน่าจะเป็นชาวCeltส่วนแซกซอนจะเป็นอีกพวกที่เพิ่งยกพลกันมา หน่วยของอาเธอร์จะมีหลายชนชาติไปๆมาๆก็ร่วมมมือกับเมอร์ลินประมาณนี้ครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ กรกฎาคม 07, 2016, 11:30:53 AM
ทำไมเขาถึงเรียกเมอร์ลินเป็นพ่อมด หรือว่ามีความรู้แตกต่างจากคนอื่น


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ กรกฎาคม 07, 2016, 01:57:45 PM
ทำไมเขาถึงเรียกเมอร์ลินเป็นพ่อมด หรือว่ามีความรู้แตกต่างจากคนอื่น

เป็นตำนานเกี่ยวกับกษัตริย์อาร์เธอร์กับอัศวินโต๊ะกลม เมอร์ลินเป็นผู้ที่พากษัตริย์อาร์เธอร์ไปหาดาบเอกซ์แคลิเบอร์  เป็นเรื่องราวที่เชื่อกันว่าอยู่ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 5  บางตำนานก็ระบุว่าเมอร์ลินมีอายุแบบย้อนหลัง   และยังพัวพันไปถึง Holy Grail อีกด้วย

จะมากจะน้อย   เรื่องราวพวกนี้ก็มีอิทธิพลต่อชาวอังกฤษเป็นอย่างมาก  ของสำคัญหลายอย่างถูกตั้งชื่อตามเรื่องราวเหล่านี้ แม้กระทั่งเรือรบของอังกฤษจำนวนหนึ่ง ก็ตั้งชื่อเรือตามชื่ออัศวินโต๊ะกลม


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ กรกฎาคม 07, 2016, 02:14:28 PM
  เครื่องยนต์สปิตไฟร์ ยังเรียกว่าเครื่องเมอร์ลิน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ กรกฎาคม 07, 2016, 04:06:31 PM
  เครื่องยนต์สปิตไฟร์ ยังเรียกว่าเครื่องเมอร์ลิน

เรื่องพวกนี้ ศึกษาไว้ไม่เสียหลายครับ โดยเฉพาะคนที่ต้องติดต่อกับฝรั่ง เพราะมันจะโผล่ขึ้นมาในการสนทนาอยู่เรื่อย ๆ
อย่างเช่นเซอร์ลานสลอต  อัศวินที่เก่งที่สุดของอาเธอร์  แต่ดันไปมีความสัมพันธ์ชู้สาวกับราชินี  ก็มักจะถูกนำมาเปรียบเทียบกับคนในยุคนี้ที่มีบุคลิกภาพในลักษณะเดียวกัน   หรือกรณีที่ลานสลอต  เข้าใกล้จอกศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่ไม่สามารถนำกลับมาให้อาเธอร์ได้ เพราะจิตใจไม่บริสุทธิ์เรื่องชู้สาว ก็ถูกนำมาเปรียบเทียบในสำนวนต่าง ๆ อยู่เสมอ (กลาฮัต ลูกของลานสลอต เป็นผู้อัญเชิญจอกได้สำเร็จ)
หรืออย่างชื่อของเซอร์เบดิเวียร์  ก็น่าจำไว้ เพราะเป็นผู้ขว้างดาบเอกซ์แคลิเบอร์ลงในทะเลสาบตอนที่อาร์เธอร์สิ้นพระชนม์


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ กรกฎาคม 08, 2016, 04:12:08 PM
   ครับผู้การยิ่งอ่านยิ่งเจออะไรเยอะ มาเติมในกระทู้นี่ละครับ บางอย่างถ้าไม่คิดไม่คุยกันนานๆเลือนๆไป บางทีรุ่นน้องที่ทำงานมาถามว่าซีเรียอยู่ตรงไหน มอร็อกโคกับไคโรเป็นเมืองหลวงประเทศไหน ได้นึกได้คิดก็ลับสมองไปด้วย


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: montri รักในหลวง ที่ ตุลาคม 09, 2016, 04:32:08 PM
อาจารย์ครับ ภาษามคตหรือคำบาลีที่พระสวดกัน ดั้งเดิมมาจากอินเดียหรือครับ ตอนนี้ยังมีภาษานี้ใช้กันหรื่อไม่ครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 09, 2016, 05:55:24 PM
อาจารย์ครับ ภาษามคตหรือคำบาลีที่พระสวดกัน ดั้งเดิมมาจากอินเดียหรือครับ ตอนนี้ยังมีภาษานี้ใช้กันหรื่อไม่ครับ

ภาษาบาลีมีกำเนิดจากแคว้นมคธ เป็นภาษาในกลุ่มภาษาอินโด-อารยัน  แต่คงไม่ใช่ภาษามคธ เพราะในแคว้นมคธ ใช้กันหลายภาษา
พระพุทธเจ้า ท่านถือกำเนิดในวรรณะกษัตริย์ของชาวอารยัน  พูดและเขียนภาษาสันสกฤตได้ดี แต่ท่านเจตนาเผยแพร่ศาสนาพุทธด้วยภาษาบาลี ที่เป็นภาษาของชนชั้นล่าง เพื่อประโยชน์แก่มหาชน  แต่ในยุคนั้นภาษาบาลียังไม่มีตัวอักษร จึงต้องอาศัยการท่องจำ และแปลงคำสอนเป็นบทสวดมนต์เพื่อให้จดจำได้ง่ายขึ้น  จนกระทั่งเริ่มเกิดนิกายมหายาน จึงได้บันทึกพระไตรปิฏกด้วยภาษาสันสกฤต  แต่ฝ่ายเถรวาทไม่ยอมรับ เพราะถือว่าภาษาบาลีเป็น "สกานิรุตติ" คือภาษาที่พระพุทธเจ้าตรัส

ต่อมาฝ่ายเถรวาทจึงได้มีการเขียนภาษาบาลีด้วยตัวอักษรพราหมี อักษรเทวนาครี จนถึง อักษรล้านนา อักษรขอม อักษรมอญ อักษรไทย และอักษรโรมัน (ฝรั่งเรียกว่า Pali) และในปัจจุบันยังใช้กันอยู่ และมีการศึกษาภาษาบาลีในระดับปริญญาโท ปริญญาเอก  ทั้งในอินเดีย ไทย ศรีลังกา ยุโรป สหรัฐอเมริกาและประเทศอังกฤษ นอกจากนั้นสำนักงานใหญ่ของสมาคมบาลีปกรณ์ ก็ตั้งอยู่ที่เมืองอ๊อกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ ตุลาคม 10, 2016, 12:52:29 PM
วิทยากรท่านหนึ่ง(ดร.พฤทธิ์ ศิริบรรณพิทักษ์ คณะบดี คณะครุศาสตร์ จฬ.)เล่าว่าท่านไปพบหมู่บ้านในชนบทที่อินเดียหมู่บ้านหนึ่ง ชาวบ้านยังสนทนากันด้วยภาษาสันสกฤต
ผู้เข้ารับการอบรมท้วงว่า สันสกฤตเป็นภาษาที่ตายแล้วไม่ใช่หรือครับ ?  แกตอบว่าภาษาสันสกฤตยังไม่ตาย ที่ตายแล้วคือภาษาบาลี..เป็นจริงแค่ไหนครับ ?   


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 11, 2016, 01:21:41 PM
วิทยากรท่านหนึ่ง(ดร.พฤทธิ์ ศิริบรรณพิทักษ์ คณะบดี คณะครุศาสตร์ จฬ.)เล่าว่าท่านไปพบหมู่บ้านในชนบทที่อินเดียหมู่บ้านหนึ่ง ชาวบ้านยังสนทนากันด้วยภาษาสันสกฤต
ผู้เข้ารับการอบรมท้วงว่า สันสกฤตเป็นภาษาที่ตายแล้วไม่ใช่หรือครับ ?  แกตอบว่าภาษาสันสกฤตยังไม่ตาย ที่ตายแล้วคือภาษาบาลี..เป็นจริงแค่ไหนครับ ?   

จริงบางส่วนครับ
เพราะไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวัน  และถ้าใช้หลักคิดเดียวกัน ภาษาสันสกฤตก็ตายไปแล้วเหมือนกัน
แต่ที่ยังเหลือใช้กันอยู่ จะเรียกว่าอย่างไร  เคยไปวันตรีทศเทพไหมครับ ตรีทศเป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า 13 เจ้านายไทยใช้เป็นชื่อกันเยอะมาก  เอกาทศรถก็ใช่ (แปลว่า 11) คือมีรถศึกมากกว่าพ่อพระราม 1 คัน  ชื่อท้าวทศรถแปลว่ามีรถศึก 10 คัน  ไทยเสียกรุงในแผ่นดินพระเจ้าเอกทัศน์  ก็เป็นภาษาสันสกฤต แปลว่ามีตาข้างเดียว
และถ้าเคยไปอินเดีย  จะแปลกใจมาก  แค่เรานั่งรถไป 200-300 กม.  ภาษาเปลี่ยนแล้ว  คือไม่ใช่สำเนียงเปลี่ยน แต่เปลี่ยนภาษาคนละตระกูลกันเลย


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: montri รักในหลวง ที่ ตุลาคม 11, 2016, 01:37:06 PM
อาจารย์ครับ แล้วภาษาเขียนของอียิปโบราณที่เขียนไว้ในปิรามิด มีการแปลความหมายใด้ถูกต้องหรือไม่ครับ มีหลักฐานใดที่สามารถออกเสียงใด้ตามที่เขียนไว้มั้ยครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 11, 2016, 05:13:49 PM
เอาคำตอบขนาดนี้ ต้องถามคนที่เกิดทันแล้วละครับ
ประวัติศาสตร์อียิปต์ยาวนานกว่าชาติอื่น  ยุคโบราณยังไม่ชัดเจนนัก ที่มาชัดเจนมาคือในยุคที่ชาวกรีกและชาวโรมันเข้าไปปกครองประมาณหนึ่งพันปี (เริ่ม พ.ศ.200)


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ ตุลาคม 11, 2016, 05:30:52 PM
อาจารย์ครับ แล้วภาษาเขียนของอียิปโบราณที่เขียนไว้ในปิรามิด มีการแปลความหมายใด้ถูกต้องหรือไม่ครับ มีหลักฐานใดที่สามารถออกเสียงใด้ตามที่เขียนไว้มั้ยครับ
น่าเชื่อว่าถูก ขนาดใน ต่วย'ตูนพิเศษ ยังมีสอนอักษรภาพอียิปต์เลยครับ..แต่ผมไม่สนใจรู้ลึกขนาดนั้นเลยอ่านผ่าน ๆ ไป แต่จำได้แม่นอยู่คำหนึ่งมีความหมายว่าสามี(ออกเสียงอย่างไรไม่ทราบ) เป็นรูปคนนั่งคุกเข่า 1 ข้าง ข้างล่างตัวคนมีปลัดขิก 1 อัน..    ;D


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: montri รักในหลวง ที่ ตุลาคม 12, 2016, 08:17:16 AM
ขอบคุณครับ เรื่องโบราณนี่มันช่างลึกลับจริงๆ
จากนี้ไปอีกสักพันปี คนรุ่นนั้นคงศึกษาเรื่องราวรุ่นเราได้ไม่ยากนัก


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Nero Angel01 ที่ ตุลาคม 12, 2016, 08:33:17 AM
อาจารย์ครับ แล้วภาษาเขียนของอียิปโบราณที่เขียนไว้ในปิรามิด มีการแปลความหมายใด้ถูกต้องหรือไม่ครับ มีหลักฐานใดที่สามารถออกเสียงใด้ตามที่เขียนไว้มั้ยครับ
น่าเชื่อว่าถูก ขนาดใน ต่วย'ตูนพิเศษ ยังมีสอนอักษรภาพอียิปต์เลยครับ..แต่ผมไม่สนใจรู้ลึกขนาดนั้นเลยอ่านผ่าน ๆ ไป แต่จำได้แม่นอยู่คำหนึ่งมีความหมายว่าสามี(ออกเสียงอย่างไรไม่ทราบ) เป็นรูปคนนั่งคุกเข่า 1 ข้าง ข้างล่างตัวคนมีปลัดขิก 1 อัน..    ;D
ผมเคยซื้อหนังสือถอดความภาษาโบราณมาของสำนักนี้มาอ่านครับสนุกดี หนังสือหายไปใหนแล้วไม่รู้


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 12, 2016, 11:31:24 AM
สองอาทิตย์ก่อน ผมไปเที่ยวอุทยานคานาสือ เป็นอุทยานกลางทะเลทรายทากลามากันในมณฑลซินเจียง  ป้ายเส้นทางข้างถนนมีภาษาอังกฤษอยู่บ้าง ตามนโยบาย วันเบลท์วันโร๊ด ของ ปธน.สี่เจิ้นผิง  แต่ที่แปลกใจก็คือทุกป้ายจะมีภาษาอาหรับอยู่  และส่วนใหญ่อยู่เหนือภาษาจีนด้วย

คำว่า "ทากลามากัน" เป็นภาษาอุยกูร์ แปลว่าเข้ามาแล้วจะกลับออกไปไม่ได้  ซึ่งคงเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเมื่อสามพันปีก่อน แต่สองพันปีที่แล้วตอนที่จีนเข้าครอบครองดินแดนนี้ ก็ได้เริ่มทำระบบชลประทานประมาณสี่ร้อยสาย ความยาวรวมห้าพันกิโลเมตร แล้วก็มีการพัฒนาตลอดมา  ที่เห็นด้วยตาตัวเองก็คือ สองข้างทางถ้าใกล้แหล่งน้ำก็เป็นสีเขียวหมดแล้ว  และมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังลมหลายหมื่นตัว   ชื่อทากลามากันกลายเป็นอดีตไปแล้ว ผมเข้าไปทางเครื่องบิน และกลับออกมาด้วยรถไฟความเร็วสูง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ ตุลาคม 12, 2016, 04:32:55 PM
สองอาทิตย์ก่อน ผมไปเที่ยวอุทยานคานาสือ เป็นอุทยานกลางทะเลทรายทากลามากันในมณฑลซินเจียง  ป้ายเส้นทางข้างถนนมีภาษาอังกฤษอยู่บ้าง ตามนโยบาย วันเบลท์วันโร๊ด ของ ปธน.สี่เจิ้นผิง  แต่ที่แปลกใจก็คือทุกป้ายจะมีภาษาอาหรับอยู่  และส่วนใหญ่อยู่เหนือภาษาจีนด้วย คำว่า "ทากลามากัน" เป็นภาษาอุยกูร์ แปลว่าเข้ามาแล้วจะกลับออกไปไม่ได้  ซึ่งคงเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเมื่อสามพันปีก่อน แต่สองพันปีที่แล้วตอนที่จีนเข้าครอบครองดินแดนนี้ ก็ได้เริ่มทำระบบชลประทานประมาณสี่ร้อยสาย ความยาวรวมห้าพันกิโลเมตร แล้วก็มีการพัฒนาตลอดมา  ที่เห็นด้วยตาตัวเองก็คือ สองข้างทางถ้าใกล้แหล่งน้ำก็เป็นสีเขียวหมดแล้ว  และมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังลมหลายหมื่นตัว   ชื่อทากลามากันกลายเป็นอดีตไปแล้ว ผมเข้าไปทางเครื่องบิน และกลับออกมาด้วยรถไฟความเร็วสูง
ท่านผู้การครับ ปัญหาภาคอีสานของเราขาดน้ำนั้น ควรแก้อย่างไรครับ ตัวอย่างความสำเร็จทั่วโลกมีมากมาย ทำไมเราเราจึงแก้ไม่ได้สักทีครับ ?..(โฮ..โฮ..ฮือ..)
ยุคหนึ่งบิ๊กจิ๋วเสนอนโยบายอีสานเขียว ถ้าทำไม่สำเร็จจะไปโดดน้ำตายให้คนกรี๊ดกร๊าดกัน..แล้วก็ไม่เห็นว่าแกจะไปโดด


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 12, 2016, 07:06:44 PM
สองอาทิตย์ก่อน ผมไปเที่ยวอุทยานคานาสือ เป็นอุทยานกลางทะเลทรายทากลามากันในมณฑลซินเจียง  ป้ายเส้นทางข้างถนนมีภาษาอังกฤษอยู่บ้าง ตามนโยบาย วันเบลท์วันโร๊ด ของ ปธน.สี่เจิ้นผิง  แต่ที่แปลกใจก็คือทุกป้ายจะมีภาษาอาหรับอยู่  และส่วนใหญ่อยู่เหนือภาษาจีนด้วย คำว่า "ทากลามากัน" เป็นภาษาอุยกูร์ แปลว่าเข้ามาแล้วจะกลับออกไปไม่ได้  ซึ่งคงเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเมื่อสามพันปีก่อน แต่สองพันปีที่แล้วตอนที่จีนเข้าครอบครองดินแดนนี้ ก็ได้เริ่มทำระบบชลประทานประมาณสี่ร้อยสาย ความยาวรวมห้าพันกิโลเมตร แล้วก็มีการพัฒนาตลอดมา  ที่เห็นด้วยตาตัวเองก็คือ สองข้างทางถ้าใกล้แหล่งน้ำก็เป็นสีเขียวหมดแล้ว  และมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังลมหลายหมื่นตัว   ชื่อทากลามากันกลายเป็นอดีตไปแล้ว ผมเข้าไปทางเครื่องบิน และกลับออกมาด้วยรถไฟความเร็วสูง
ท่านผู้การครับ ปัญหาภาคอีสานของเราขาดน้ำนั้น ควรแก้อย่างไรครับ ตัวอย่างความสำเร็จทั่วโลกมีมากมาย ทำไมเราเราจึงแก้ไม่ได้สักทีครับ ?..(โฮ..โฮ..ฮือ..)
ยุคหนึ่งบิ๊กจิ๋วเสนอนโยบายอีสานเขียว ถ้าทำไม่สำเร็จจะไปโดดน้ำตายให้คนกรี๊ดกร๊าดกัน..แล้วก็ไม่เห็นว่าแกจะไปโดด

ความจำเป็นของเรายังน้อยกว่าอิสราเอลหรือจีนครับ  ก็เลยไม่ตั้งใจกันเท่าที่ควร
ส่วนจีนมีพื้นที่ 9.6 ล้าน ตร.กม.กับประชากร 1,377 ล้านคน มีความหนาแน่นทางตัวเลข 143 คน/ตร.กม. ยั้วเยี้ยมากกว่าไทยราว 10%  แต่ในความเป็นจริงจะเลวร้ายกว่านั้นมาก เพราะจีนมีอัตราส่วนพื้นที่ใช้สอยได้จริงน้อยกว่าไทย เนื่องจากเป็นทะเลทรายกับภูเขาน้ำแข็งราว 1/3 ของพื้นที่ และยังมีอัตราขยายตัวของทะเลทรายจากพายุทราย 4,000 ตร.กม./ปี
จีนจึงต้องเร่งทำทะเลทรายให้เป็นสีเขียว เพื่อสร้างแนวกำบังป้องกันพายุทราย  ต้นไม้ที่ใช้ปลูก ผมฟังไกด์จีนออกเสียงว่าต้นไป่ซู่ ไปที่ไหนก็เห็นแต่ต้นไม้ชนิดนี้  ขึ้นง่าย โตเร็ว ทนแล้งได้ดี โคนต้นไป่ซู่ก็มีต้นไม้อื่นขึ้นได้ ไม่มีพืษเหมือนกับยูคา ในบ้านเรา

วิธีใช้พื้นที่ทะเลทราย จีนทำแบบเดียวกับหนังคาวบอย (ที่จริงอเมริกันออกแบบจีนมากกว่า เพราะจีนทำแบบนี้มาสองพันปีแล้ว)  คือไปตั้งค่ายทหารก่อน จากนั้นก็สร้างเมือง แล้วส่งคนเข้าไปอยู่ โดยใช้วิธีชักจูงใจ ให้เงินเดือนสูงกว่าอยู่ในเมือง เจ้าของกิจการก็ยกเว้นค่าเช่าที่ดิน (คนจีนไม่มีกรรมสิทธิ์ที่ดิน ได้แต่เช่าระยะยาว)  ถ้าทำกิจการที่ส่งเสริมอาชีพให้กับคนท้องถิ่น เช่นทอผ้า หรือทำผลไม้แห้ง ก็ยิ่งได้รับสิทธิยกเว้นภาษีหรือค่าสัมปทานมากกว่าปกติ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: โทน73 -รักในหลวง- ที่ ตุลาคม 13, 2016, 08:51:45 AM
สองอาทิตย์ก่อน ผมไปเที่ยวอุทยานคานาสือ เป็นอุทยานกลางทะเลทรายทากลามากันในมณฑลซินเจียง  ป้ายเส้นทางข้างถนนมีภาษาอังกฤษอยู่บ้าง ตามนโยบาย วันเบลท์วันโร๊ด ของ ปธน.สี่เจิ้นผิง  แต่ที่แปลกใจก็คือทุกป้ายจะมีภาษาอาหรับอยู่  และส่วนใหญ่อยู่เหนือภาษาจีนด้วย คำว่า "ทากลามากัน" เป็นภาษาอุยกูร์ แปลว่าเข้ามาแล้วจะกลับออกไปไม่ได้  ซึ่งคงเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเมื่อสามพันปีก่อน แต่สองพันปีที่แล้วตอนที่จีนเข้าครอบครองดินแดนนี้ ก็ได้เริ่มทำระบบชลประทานประมาณสี่ร้อยสาย ความยาวรวมห้าพันกิโลเมตร แล้วก็มีการพัฒนาตลอดมา  ที่เห็นด้วยตาตัวเองก็คือ สองข้างทางถ้าใกล้แหล่งน้ำก็เป็นสีเขียวหมดแล้ว  และมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังลมหลายหมื่นตัว   ชื่อทากลามากันกลายเป็นอดีตไปแล้ว ผมเข้าไปทางเครื่องบิน และกลับออกมาด้วยรถไฟความเร็วสูง
ท่านผู้การครับ ปัญหาภาคอีสานของเราขาดน้ำนั้น ควรแก้อย่างไรครับ ตัวอย่างความสำเร็จทั่วโลกมีมากมาย ทำไมเราเราจึงแก้ไม่ได้สักทีครับ ?..(โฮ..โฮ..ฮือ..)
ยุคหนึ่งบิ๊กจิ๋วเสนอนโยบายอีสานเขียว ถ้าทำไม่สำเร็จจะไปโดดน้ำตายให้คนกรี๊ดกร๊าดกัน..แล้วก็ไม่เห็นว่าแกจะไปโดด


วิธีคิด ? ทำไม่ถึงคิดว่าภาคอีสานของไทยขาดน้ำ ครับ ทำไมไม่คิดว่าธรรมชาติเขาเป็นอย่างนั้นเอง ทุกอย่างเป็นไปตาทฤดูกาลของมัน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ ตุลาคม 15, 2016, 10:49:17 PM
ข่วงนึ้เขียวไปหมดเพิ่งบินไปนครพนมวันจันทร์กลับเมื่อเย็นนี้เองระหว่างเดินทางทั้งทางอากาศและพื้นดีนก็เขียวดีนี่น้ำเยอะหมดฝนเกี่ยวข้าวแล้วก็ดูแห้งแต่ต้นไม้เขีนวก็ยังอยู่
แถวนั้นปลูกข้าวไว้กินปลูกอย่างอื่นขายเช่นอ้อย ถึงธันวาก็จะมีคนมีเงินหลักล้านเพิ่มขึ้นทุกวันจนถึงเมษาโน่น


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Nero Angel01 ที่ ตุลาคม 16, 2016, 04:19:59 PM
กองเรือรบสมัยโบราณเขาให้สัญญาณกันยังไงครับ แบบลำใหนไปทางใหนลำใหนจะไปรบกับลำใหน อันนี้หมายถึงกองเรือยุคใช้ดาบสู้กันนะครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 16, 2016, 07:38:00 PM
กองเรือรบสมัยโบราณเขาให้สัญญาณกันยังไงครับ แบบลำใหนไปทางใหนลำใหนจะไปรบกับลำใหน อันนี้หมายถึงกองเรือยุคใช้ดาบสู้กันนะครับ

ธงประมวลครับ เป็นคำสั่งสำเร็จรูป
ข้อความอย่างอื่นก็ใช้คนตีธง  คนเดียว ถือธงสองธง บนกับข้างเป็นรหัส  กลางคืนก็สัญญาณไฟ สมัยโบราณใช้ตะเกียง ปัจจุบันเป็นไฟฉายพิเศษ มีแผ่นเปิดปิด
ทุกวันนี้ ระบบสัญญาณสั้ง 3 แบบก็ยังใช้กันอยู่


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ ตุลาคม 17, 2016, 07:47:52 AM
ธงประมวลสองมือภาษาไทยก็มีนะ เวลาส่งจะใช้เป็นคำง่ายๆแค่เข้าใจตัดตัวควบกล้ำออกเช่น เชิญรับประทาน เป็น เชินรับปะทาน
ทัศนสัญญาณมือใหม่ชอบทีจะไปส่งตัวอักษรสามตัวที่กราบเรือให้ลำอื่นกัน ในไม่ช้ามือใหม่ลำอื่นๆก็จะส่งกลับคืนมาแจกกันว่อนเต็มท้องน้ำ
ส่วนสัญญาณไฟสั้นยาวภาษาไทยก็มีเหมือนกันเคยเห็นใช้จริงมาแล้วเพราะหลงช่อง ว. กัน
ธงประมวลบนเสาที่จำได้ก็ Bravo สีแดง ครึ่งเสากราบขวา เตรียมใช้อาวุธกราบขวา เต็มเสา ยิง ในสมัยโบราณจะยิงกันก็จะชักธงกันก่อน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 17, 2016, 02:33:16 PM
ธงประมวลสองมือภาษาไทยก็มีนะ เวลาส่งจะใช้เป็นคำง่ายๆแค่เข้าใจตัดตัวควบกล้ำออกเช่น เชิญรับประทาน เป็น เชินรับปะทาน
ทัศนสัญญาณมือใหม่ชอบทีจะไปส่งตัวอักษรสามตัวที่กราบเรือให้ลำอื่นกัน ในไม่ช้ามือใหม่ลำอื่นๆก็จะส่งกลับคืนมาแจกกันว่อนเต็มท้องน้ำ
ส่วนสัญญาณไฟสั้นยาวภาษาไทยก็มีเหมือนกันเคยเห็นใช้จริงมาแล้วเพราะหลงช่อง ว. กัน
ธงประมวลบนเสาที่จำได้ก็ Bravo สีแดง ครึ่งเสากราบขวา เตรียมใช้อาวุธกราบขวา เต็มเสา ยิง ในสมัยโบราณจะยิงกันก็จะชักธงกันก่อน

ธง B บราโว สีแดง  แปลว่ามีวัตถุอันตรายครับ
E เอคโค กำลังจะเลี้ยวขวา
I อินเดีย กำลังจะเลี้ยวซ้าย
O ธงออสกา แดง/เหลือง  มีคนตกน้ำ
V วิคเตอร์ ตัว X สีแดง ขอความช่วยเหลือ
X แต่ถ้าเป็นเอ็กเรย์ คือกากบาทสีน้ำเงิน  แปลว่าให้หยุดเรือ เขากำลังจะเข้าจับกุมแล้ว
ธงที่แปลง่ายที่สุด คือ N หรือ November แปลว่า No


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ ตุลาคม 18, 2016, 08:24:17 AM
  เห็นทหารเรือตีธงกันเร็วมาก ถ้าอ่านไม่ทันคงจะแย่นะครับ รบกวนสอบถามในงานราชพิธี ทหารเรือใส่รองเท้าสีขาวรึเปล่าครับ ตอนเด็กๆคุ้นๆว่าลุงมีหลายคู่อยู่


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ ตุลาคม 18, 2016, 08:54:49 AM
 :OO(http://i1268.photobucket.com/albums/jj577/kaiser2801169/Mobile%20Uploads/Masch78_zpsc1f8c8f0-1_zpsdbksqbpv.jpg) (http://s1268.photobucket.com/user/kaiser2801169/media/Mobile%20Uploads/Masch78_zpsc1f8c8f0-1_zpsdbksqbpv.jpg.html) ทหารเยอรมันหันมาใส่ชุดเกราะแบบนี้อีกในสงครามโลก ท่าจะหนักแย่คงไม่ต่ำกว่า ๒๐ กิโล


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 18, 2016, 09:10:24 AM
  เห็นทหารเรือตีธงกันเร็วมาก ถ้าอ่านไม่ทันคงจะแย่นะครับ รบกวนสอบถามในงานราชพิธี ทหารเรือใส่รองเท้าสีขาวรึเปล่าครับ ตอนเด็กๆคุ้นๆว่าลุงมีหลายคู่อยู่

ใช่ครับ ทหารเรือใช้รองเท้าสีขาวทั้งโลก
สมัยก่อน ทหารเรือไทยใช้รองเท้าสีน้ำตาลด้วย  จัดกระเป๋าไปต่างประเทศวุ่นวายมาก ต้องมีรองเท้า 4 คู่  ทหารบกกับทหารอากาศเอารองเท้าคอมแบทใส่กระเป๋าไปคู่เดียว แล้วใส่รองเท้าหุ้มข้อติดเท้าไป ใส่กับเครื่องแบบได้ครบทุกชุด


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ ตุลาคม 18, 2016, 09:59:01 AM
  ขอบคุณครับ ชุดทหารเรือสีขาวดูเด่นสะดุดตาที่สุด


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: หนานมา ที่ ตุลาคม 18, 2016, 12:24:12 PM
  เห็นทหารเรือตีธงกันเร็วมาก ถ้าอ่านไม่ทันคงจะแย่นะครับ รบกวนสอบถามในงานราชพิธี ทหารเรือใส่รองเท้าสีขาวรึเปล่าครับ ตอนเด็กๆคุ้นๆว่าลุงมีหลายคู่อยู่

ใช่ครับ ทหารเรือใช้รองเท้าสีขาวทั้งโลก
สมัยก่อน ทหารเรือไทยใช้รองเท้าสีน้ำตาลด้วย  จัดกระเป๋าไปต่างประเทศวุ่นวายมาก ต้องมีรองเท้า 4 คู่  ทหารบกกับทหารอากาศเอารองเท้าคอมแบทใส่กระเป๋าไปคู่เดียว แล้วใส่รองเท้าหุ้มข้อติดเท้าไป ใส่กับเครื่องแบบได้ครบทุกชุด

ขออนุญาตเสริมอีกนิดหนึ่งครับ   ::014::

ทหารเรือตั้งแต่ยศ จ่าเองลงมาถึงพลทหาร เวลาแต่งขาว ใส่รองเท้าคอมแบทหุ้มข้อสีดำครับ
แล้วก้อ  ชั้นยศพันจ่าตรีขึ้นไปถึงใส่รองเท้าสีขาวครับ   ::014::

เรื่องการตีธง ทหารเรือก้อจะมีเหล่าทัศนสัญญาณโดยตรงเลยครับ เรียนสัญญาณมอส  ธงสัญญาณเป็นวิชาหลักกันสองปี  สำหรับนักเรียนจ่าทหารเรือ
   ::014:: ::014:: ::014::


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: GUNRUNNER ที่ ตุลาคม 18, 2016, 01:57:00 PM
ขออนุญาตครับ   ::014::

https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%98%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%
A1%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A5

http://zedth.exteen.com/20060317/signal-flags

(http://postto.me/1g/l9n.jpg)


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ ตุลาคม 18, 2016, 02:35:24 PM
อีกอย่างที่ควรรู้เกี่ยวกับเรือ

เรียกกราบขวาว่า Starboard Side นัยว่ายุคเรือแจว ใช้ไม้คัดท้ายน้ำด้านขวาเพราะคนส่วนใหญ่ถนัดขวา ไม้คัดท้ายนั้นเรียกว่า Steorbord มายุคหลังเพี้ยนมาเป็น Starboard Side
เรียกกราบซ้ายว่า Port Side เพราะด้านนี้เอาไว้เทียบท่าเพื่อโหลดสัมภาระลงเรือได้โดยไม่มีไม้คัดท้ายมาเกะกะ

(https://qph.ec.quoracdn.net/main-qimg-4e762505e6cac5e06e3db9705ca3e41a-c?convert_to_webp=true)



หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Nero Angel01 ที่ ตุลาคม 18, 2016, 03:57:20 PM
ขอบคุณทุกท่านครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ ตุลาคม 18, 2016, 04:10:25 PM
ขึ้นบก ลงเรือ นะ กราบขวา Starboard สัญญาบัตรเดิน ต่ำกว่า กราบซ้าย Port หะเบส หะเรีย โฮ ต๋ง ศัพท์เยอะไปหมด อาหารชื่อแปลกๆ เช่น ยาหมอสี อะไรเอ่ย
สิ่งของในถุงเรือบตมีหลายอย่างจำได้แต่ว่ามี ขี้ ด้วย 15 วันในเรือหลวงลืมหลายอย่างไปแล้ว จำได้บ้างก็ประกาสตอนเช้าหลังเสียงนกหวีด ตื่น ตื่น ตื่นหมดคน แล้วรีบลุกขึ้นมาส่งเสียง สวัสดีครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 18, 2016, 11:28:57 PM
ขึ้นบก ลงเรือ นะ กราบขวา Starboard สัญญาบัตรเดิน ต่ำกว่า กราบซ้าย Port หะเบส หะเรีย โฮ ต๋ง ศัพท์เยอะไปหมด อาหารชื่อแปลกๆ เช่น ยาหมอสี อะไรเอ่ย
สิ่งของในถุงเรือบตมีหลายอย่างจำได้แต่ว่ามี ขี้ ด้วย 15 วันในเรือหลวงลืมหลายอย่างไปแล้ว จำได้บ้างก็ประกาสตอนเช้าหลังเสียงนกหวีด ตื่น ตื่น ตื่นหมดคน แล้วรีบลุกขึ้นมาส่งเสียง สวัสดีครับ

เรือรบสมัยใหม่ เขาเดินกราบเรือไม่ได้แล้วครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ ตุลาคม 19, 2016, 10:13:51 PM
ภายในน่าจะมีช่องเดินอยู่นะ
สังเกตุว่าทหารเรือรุ่นปัจจุบันไม่ค่อยดำสักเท่าไรคงไม่โดนแดดอยู่ห้องแอร์


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 20, 2016, 12:17:16 AM
ข้างในจัดเหมือนเรือดำน้ำ  เรือรุ่นใหม่เป็นทรงแบบนี้หมดแล้ว หวังผลลดเป้าเรดาร์
เครื่องยนต์ก็มักจะเป็น Water jet


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ ตุลาคม 20, 2016, 07:42:59 AM
ทหารเรือมีแบบธรรมเนียมปฏิบัติมากมาย

ขนาดทหารบกเองยังต้องมีชั่วโมงเรียนและอบรมเรื่องแบบธรรมเนียมทหารเรือเลย


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 20, 2016, 01:01:11 PM
ทหารเรือมีแบบธรรมเนียมปฏิบัติมากมาย

ขนาดทหารบกเองยังต้องมีชั่วโมงเรียนและอบรมเรื่องแบบธรรมเนียมทหารเรือเลย

ต้องเรียนครับ  ไปขึ้นเรือเขา ยศต่ำ/ยศสูง ขึ้นก่อน/ขึ้นทีหลัง ผิดพลาดเข้าละก็ เรือออกไปเลย คนอื่นไม่ต้องขึ้นเรือกันพอดี


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ ตุลาคม 20, 2016, 06:09:40 PM
เป็นเหล่าเดียวมั้งที่ปลดจากพลทหารแล้วสามารถไปหางานทำเดินเรือพานิชย์ได้และเป็นเหล่าเดียวที่มีโรงเรียนสอนก่อนเข้าประจำการ
ถ้าเหล่าพลาโรงแรมรับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ ตุลาคม 22, 2016, 01:02:28 AM
 มีอยู่ลำที่บางส่วนสร้างจากเศษเหล็กจากตึกworld trade center จำชื่อเรือไม่ได้ครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ ตุลาคม 22, 2016, 01:07:01 AM
(http://i1268.photobucket.com/albums/jj577/kaiser2801169/Mobile%20Uploads/alg-navy-jpg_zpsgy8lbvih.jpg) (http://s1268.photobucket.com/user/kaiser2801169/media/Mobile%20Uploads/alg-navy-jpg_zpsgy8lbvih.jpg.html) USS NEWYORK ครับไม่รู้ว่าเป็นเรือฟริเกตรึเปล่า


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 22, 2016, 08:46:10 AM
(http://i1268.photobucket.com/albums/jj577/kaiser2801169/Mobile%20Uploads/alg-navy-jpg_zpsgy8lbvih.jpg) (http://s1268.photobucket.com/user/kaiser2801169/media/Mobile%20Uploads/alg-navy-jpg_zpsgy8lbvih.jpg.html) USS NEWYORK ครับไม่รู้ว่าเป็นเรือฟริเกตรึเปล่า

อุ้ยอ้ายขนาดนั้น ไม่ใช่เรือรบหรอกครับ
เป็นเรือสนับสนุนการยกพลขึ้นบก (amphibious transport dock)
ตามปกติ  การใช้ชื่อรัฐมาตั้งชื่อเรือ อเมริกันจะใช้กับเรือประจัญบาน  พอเลิกใช้เรือประจันบานก็เอามาตั้งชื่อเรือดำน้ำ   แต่เรือลำนี้เป็นกรณีพิเศษ ตรงที่ใช้เหล็กจากซากตึกในรัฐนิวยอร์ก


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ ตุลาคม 22, 2016, 12:28:30 PM
  ขอบคุณครับผู้การ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: แปจีหล่อ คนสันขวาน ที่ ตุลาคม 22, 2016, 03:53:12 PM
ท่อไอเสียเรือรบยุคใหม่อยู่ตรงไหนครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: หนานมา ที่ ตุลาคม 22, 2016, 04:22:22 PM
ท่อไอเสียเรือรบยุคใหม่อยู่ตรงไหนครับ
หลักๆ มีอยู่สองจุดใหญ่ครับน้าฯ

กลางลำเรือชี้ขึ้นฟ้าโดยมากเป็นเรือขนาดใหญ่  กับกลางลำข้างตัวเรือในระดับแนวน้ำเรือขนาดเล็ก
::014:: ::014:: ::014::


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 22, 2016, 06:24:16 PM
ท่อไอเสียเรือรบยุคใหม่อยู่ตรงไหนครับ

ปล่องใหญ่เบ้อเริ่ม


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 22, 2016, 06:40:41 PM
ถึงเป็นเรือรุ่นใหม่ล่สุด ท่อไอเสียก็สูตรเดียวกัน
แต่ระบบเครื่องยนต์จะประหลาดกว่าเรือรุ่นเก่า คือเขาจะใช้เครื่องยนต์แกสเทอร์ไบน์แบบเฮลิคอปเตอร์ เอาไปปั่นไฟ แล้วเอาไฟฟ้าไปหมุนมอเตอร์ขับใบจักร คล้ายกับระบบเครื่องยนต์ของหัวรถจักรขนาดใหญ่ ลากขบวนรถไฟได้ยาวเป็นกิโล  แต่ของเรือหลบเรดาร์เขาจะทำปรานีตกว่า คือเอาแรงอัดท้ายเครื่องยนต์แกสเทอร์ไบน์ที่ยังมีแรงอัดสูง มีความร้อนสูง  เอามาเดินเครื่องยนต์สตีมเทอร์ไบน์ เพิ่มแรงขับอีกต่อหนึ่ง ทั้งประหยัดเชื้อเพลิง และช่วยลดความร้อนไอเสีย ทำให้ตรวจจับทางอินฟราเรดได้ยากขึ้นไปอีก


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 22, 2016, 06:54:01 PM
นี่ไงครับ เครื่องยนต์ Mt-30 ของเรือชั้น Zumwalt เครื่องเล็กนิดเดียว แต่ให้กำลัง 48,000 แรงม้า อังกฤษเอาไปใช้กับเรือบรรทุกเครื่องบินด้วยซ้ำ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ ตุลาคม 22, 2016, 11:45:31 PM
หลักการของระบบ Combine Cycle generator ในโรงไฟเดิน Gas turbine ก่อนเอาไอเสียที่ร้อนมากไปผ่าน coil น้ำได้ไอน้ำไปใช้อีกที ไปผ่าน Heat exchanger เพื่อทำความเย็นก็ได้หรือจะเอาไปปันไฟฟ้าร่วมก็ได้ เรือของเราใช้ GE LM2500 กำลังสามหมื่นกว่าม้าหรือยี่สิบเมกะวัตต์ ส่วนพวกโรงระดับกลางหรือ SPP ใช้ LM6000 Sprint ขนาด 50 เมกกะวัต์กันเยอะ สองเครื่องแล้วรวมไอเสียไปต้มน้ำปั่นร่วมได้ทั้งหมดร้อยกว่าเมกกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพวกนี้ในบ้านเราเยอะมากใช้ NGV จาก PTT นั่นแหละ
 


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ ตุลาคม 23, 2016, 02:25:12 AM
   เครื่องเรือขนาดใหญ่ แบบTANKER บรรทุกน้ำมัน ตลาดยังนิยมใช้เครื่องที่ผลิตในนอร์เวย์ รึเปล่าครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: หนานมา ที่ ตุลาคม 23, 2016, 06:18:41 AM
หลักการของระบบ Combine Cycle generator ในโรงไฟเดิน Gas turbine ก่อนเอาไอเสียที่ร้อนมากไปผ่าน coil น้ำได้ไอน้ำไปใช้อีกที ไปผ่าน Heat exchanger เพื่อทำความเย็นก็ได้หรือจะเอาไปปันไฟฟ้าร่วมก็ได้ เรือของเราใช้ GE LM2500 กำลังสามหมื่นกว่าม้าหรือยี่สิบเมกะวัตต์ ส่วนพวกโรงระดับกลางหรือ SPP ใช้ LM6000 Sprint ขนาด 50 เมกกะวัต์กันเยอะ สองเครื่องแล้วรวมไอเสียไปต้มน้ำปั่นร่วมได้ทั้งหมดร้อยกว่าเมกกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพวกนี้ในบ้านเราเยอะมากใช้ NGV จาก PTT นั่นแหละ
 

::003::  มิน่าหล่ะ ตอนเรือ(รล.นเรศวร) ใช้ความเร็วสูงสุดประมาณ 32 น๊อตฯ ด้วยเครื่องแก๊สเทอไบน์ ถึงกับยืนข้างกราบเรือไม่ได้ ถ้าไม่จับยึดอะไรไว้ มีปลิวกันบ้างหล่ะ
 ;D ;D ;D      ::014::



หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ ตุลาคม 23, 2016, 05:22:46 PM
   เครื่องเรือขนาดใหญ่ แบบTANKER บรรทุกน้ำมัน ตลาดยังนิยมใช้เครื่องที่ผลิตในนอร์เวย์ รึเปล่าครับ

ใช้เครื่องแถวๆยุโรปเหนือนั่นแหละมีไม่กี่เจ้า Sulzer, Fairbank Morse ไม่เห็นมีใครเอาเครื่องนิวเคลียร์มาใช้บ้างเลย


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ ตุลาคม 23, 2016, 05:25:41 PM
หลักการของระบบ Combine Cycle generator ในโรงไฟเดิน Gas turbine ก่อนเอาไอเสียที่ร้อนมากไปผ่าน coil น้ำได้ไอน้ำไปใช้อีกที ไปผ่าน Heat exchanger เพื่อทำความเย็นก็ได้หรือจะเอาไปปันไฟฟ้าร่วมก็ได้ เรือของเราใช้ GE LM2500 กำลังสามหมื่นกว่าม้าหรือยี่สิบเมกะวัตต์ ส่วนพวกโรงระดับกลางหรือ SPP ใช้ LM6000 Sprint ขนาด 50 เมกกะวัต์กันเยอะ สองเครื่องแล้วรวมไอเสียไปต้มน้ำปั่นร่วมได้ทั้งหมดร้อยกว่าเมกกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพวกนี้ในบ้านเราเยอะมากใช้ NGV จาก PTT นั่นแหละ
 

::003::  มิน่าหล่ะ ตอนเรือ(รล.นเรศวร) ใช้ความเร็วสูงสุดประมาณ 32 น๊อตฯ ด้วยเครื่องแก๊สเทอไบน์ ถึงกับยืนข้างกราบเรือไม่ได้ ถ้าไม่จับยึดอะไรไว้ มีปลิวกันบ้างหล่ะ
 ;D ;D ;D      ::014::


สมัยก่อนเห็น ร.ล. บางปะกง(ลำแรก) วิ่ง 15 น้อตน้ำบานก็ตื่นเต้นกันแล้ว


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 23, 2016, 08:44:57 PM
หลักการของระบบ Combine Cycle generator ในโรงไฟเดิน Gas turbine ก่อนเอาไอเสียที่ร้อนมากไปผ่าน coil น้ำได้ไอน้ำไปใช้อีกที ไปผ่าน Heat exchanger เพื่อทำความเย็นก็ได้หรือจะเอาไปปันไฟฟ้าร่วมก็ได้ เรือของเราใช้ GE LM2500 กำลังสามหมื่นกว่าม้าหรือยี่สิบเมกะวัตต์ ส่วนพวกโรงระดับกลางหรือ SPP ใช้ LM6000 Sprint ขนาด 50 เมกกะวัต์กันเยอะ สองเครื่องแล้วรวมไอเสียไปต้มน้ำปั่นร่วมได้ทั้งหมดร้อยกว่าเมกกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพวกนี้ในบ้านเราเยอะมากใช้ NGV จาก PTT นั่นแหละ
 

::003::  มิน่าหล่ะ ตอนเรือ(รล.นเรศวร) ใช้ความเร็วสูงสุดประมาณ 32 น๊อตฯ ด้วยเครื่องแก๊สเทอไบน์ ถึงกับยืนข้างกราบเรือไม่ได้ ถ้าไม่จับยึดอะไรไว้ มีปลิวกันบ้างหล่ะ
 ;D ;D ;D      ::014::



สเป็คเดิมเป็นเรือจีนครับ  ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 4 เครื่อง ให้กำลังรวมกัน 22,000 แรงม้า
ไทยอัพเกรด เปลี่ยนเป็นแกสเทอร์ไบน์ของอเมริกัน 33,600 แรงม้า กับเครื่องดีเซลของเยอรมันอีก 2 เครื่อง
อุปกรณ์อิเล็คโทรนิคส์ก็เปลี่ยนเป็นของสวีเดนกับของอเมริกัน ปืนใหญ่ก็เปลี่ยนเป็นปืน 5 นิ้ว Mk.45 แบบเดียวกับที่อเมริกันใช้กับเรือพิฆาต จรวดก็เป็น Harpoon ของอเมริกัน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ ตุลาคม 24, 2016, 08:25:50 AM
เรือชุดนี้ใช้ไปซ่อมปะผุไปวางระบบอาวุธเองน่าจะเอาแบบมาสร้างเองได้แล้วรูปทรงก็ไม่ขี้เหร่เลย
เรือใหม่ดูแล้วไม่น่ากลัวเสียเลย


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 24, 2016, 10:07:44 AM
เรือชุดนี้ใช้ไปซ่อมปะผุไปวางระบบอาวุธเองน่าจะเอาแบบมาสร้างเองได้แล้วรูปทรงก็ไม่ขี้เหร่เลย
เรือใหม่ดูแล้วไม่น่ากลัวเสียเลย

เรื่องขูดเพรียง ขัดสนิม ทาสี เป็นเรื่องปกติของเรือรบครับ
อังกฤษเคยใช้อลูมินั่มทำเรือฟริเกต (เรือมกุฎราชกุมารของเราก็น่าจะใช่)  ซึ่งทนสนิมดีกว่าเหล็ก ลดน้ำหนัก ได้เรือความเร็วสูง ลดสนามแม่เหล็กรอบตัวเรือ   แต่ปรากฏว่าในสงครามฟอล์คแลนด์ พบว่าเมื่อถูกอาวุธเรือจมเร็วมาก สูญเสียกำลังพลมากกว่าเรือเหล็ก


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: แปจีหล่อ คนสันขวาน ที่ ตุลาคม 25, 2016, 01:18:34 PM
ข้างในจัดเหมือนเรือดำน้ำ  เรือรุ่นใหม่เป็นทรงแบบนี้หมดแล้ว หวังผลลดเป้าเรดาร์
เครื่องยนต์ก็มักจะเป็น Water jet
ลำนี้ท่อไอเสียคือใกล้ๆแนวน้ำที่มีไอน้ำลอยอยู่ใช่ไหมครับ
รูปไม่มาครับ ???


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: หนานมา ที่ ตุลาคม 25, 2016, 03:06:17 PM
ข้างในจัดเหมือนเรือดำน้ำ  เรือรุ่นใหม่เป็นทรงแบบนี้หมดแล้ว หวังผลลดเป้าเรดาร์
เครื่องยนต์ก็มักจะเป็น Water jet
ลำนี้ท่อไอเสียคือใกล้ๆแนวน้ำที่มีไอน้ำลอยอยู่ใช่ไหมครับ
รูปไม่มาครับ ???

รูปนี้ น่าจะเห็นได้ชัดเจนครับน้าแปฯ

ตรงคราบดำๆนั่นแหละ  มีสองรู  รูหน้าผมเดาเอาว่าเป็นท่อไอเสียของเครื่องปั่นไฟฟ้า
ส่วนรูหลัง น่าจะเป็นท่อไอเสียของเครื่องจักรใหญ่ 
   ::014::

(http://www.uppic.org/image-8C76_580F11F1.jpg) (http://www.uppic.org/share-8C76_580F11F1.html)


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: แปจีหล่อ คนสันขวาน ที่ ตุลาคม 25, 2016, 05:00:33 PM
อ๋อครับ ขอบคุณครับ ::014::


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ ตุลาคม 26, 2016, 11:56:39 PM
 พรางแบบนี้วิ่งเร็วๆ ยิงด้วย RPG สงสัยยิงไม่โดน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ ตุลาคม 27, 2016, 07:39:40 AM
เรือเร็วๆท้ายสุดก็ต้องดวลกันด้วยปืนยิงเร็ว ฝั่งยุโรป 30 mm อเมริกัน 25 mm รัสเซีย 37 mm


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 27, 2016, 06:32:23 PM
พรางแบบนี้วิ่งเร็วๆ ยิงด้วย RPG สงสัยยิงไม่โดน

เรือรบ เขาไม่ให้ใครเข้าใกล้ถึงระยะยิงอาวุธทหารราบหรอกครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ ตุลาคม 27, 2016, 10:11:22 PM
 ผมกลัวว่าวิ่งเลียบอ่าว จะโดนยิงจากพวกประทับบ่าครับไม่แน่ใจว่ามีระบบตรวจจับอาวุธตามชายฝั่งรึเปล่าครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 28, 2016, 10:59:52 AM
ผมกลัวว่าวิ่งเลียบอ่าว จะโดนยิงจากพวกประทับบ่าครับไม่แน่ใจว่ามีระบบตรวจจับอาวุธตามชายฝั่งรึเปล่าครับ

เรือรบนะครับ ไม่ใช่เรือหางยาว ที่จะไปวิ่งเลียบอ่าว
เวลาจะจัดหมู่รบขึ้นฝั่งของประเทศไม่เป็นมิตร หรือเทา ๆ ดำ ๆ  เขาจะส่งไปด้วยเรือยาง (รุ่นใหม่ติดปืนกลแกตลิ่ง M134 ด้วย)  ส่งโดรนลาดตระเวณดูแล้ว ดูอีก  ส่วนเรือใหญ่ น่าจะจอดห่างฝั่งมากกว่า 12 ไมล์ทะเล ในเขต International sea  ใช้อาวุธได้เต็มที่
เหตุการณ์ USS Cole เมื่อปี 2000 เป็นบทเรียนที่ทุกประเทศศึกษา  คือทั้งป้องกันตัวเอง และหลายประเทศก็ศึกษาว่าโดนระเบิดตั้ง 700 ปอนด์ รูโตพอที่รถบรรทุก 6 ล้อวิ่งลอดเข้าไปได้ แต่ไม่ยักจม


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ ตุลาคม 28, 2016, 11:43:20 AM
รูระเบิดที่ USS.Cole ครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 28, 2016, 12:22:20 PM
ใช่ครับ 12x18 เมตร  สิบล้อวิ่งเข้าไปได้เลย ความเสียหายด้านในจะร้ายแรงกว่าที่มองเห็นจากข้างนอก เพราะเรือระเบิดที่เข้าชน จัดรูปร่างระเบิดเป็น Shape charge รวมแรงระเบิดส่วนใหญ่พุ่งไปด้านหน้า เหมือนถูกยิงด้วยตอร์ปิโด ไม่ใช่การจุดถังใส่ระเบิดข้างลำเรือ
กำลังพลตาย 17 คน (กับอัลไคดาอีก 2 คน) แสดงว่าอเมริกันฝึกคนให้ควบคุมความเสียหายได้ยอดเยี่ยมมาก  ตายมากขนาดนี้ ยังผนึกตัวเรือกันน้ำเข้าได้ทัน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ ตุลาคม 28, 2016, 01:09:33 PM
เรือ Blue Marlin ที่ให้บริการขน USS.Cole ไปซ่อมบอกว่าวัตถุขนาดเรือพิฆาตเป็นเรื่องหมู ๆ ของใหญ่กว่านี้ยังเคยขนมาแล้ว  


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: หนานมา ที่ ตุลาคม 28, 2016, 01:56:45 PM
ใช่ครับ 12x18 เมตร  สิบล้อวิ่งเข้าไปได้เลย ความเสียหายด้านในจะร้ายแรงกว่าที่มองเห็นจากข้างนอก เพราะเรือระเบิดที่เข้าชน จัดรูปร่างระเบิดเป็น Shape charge รวมแรงระเบิดส่วนใหญ่พุ่งไปด้านหน้า เหมือนถูกยิงด้วยตอร์ปิโด ไม่ใช่การจุดถังใส่ระเบิดข้างลำเรือ
กำลังพลตาย 17 คน (กับอัลไคดาอีก 2 คน) แสดงว่าอเมริกันฝึกคนให้ควบคุมความเสียหายได้ยอดเยี่ยมมาก  ตายมากขนาดนี้ ยังผนึกตัวเรือกันน้ำเข้าได้ทัน

ขออนุญาตเสริมนะครับ...  ::014::

เรือรบ ที่อยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ประตูทุกประตูที่ไม่มีการใช้งาน หรือเมื่อเปิดเดินผ่านแล้วจะต้องปิดหนึกตลอดเวลาครับ
แต่ละประตูจะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับ โชว์สถาณะ ทีห้องควบคุมหลัก หรือ ที่เรียกกันว่า ห้องMCR ครับ  ::014:: ::014:: ::014::


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ ตุลาคม 28, 2016, 01:58:50 PM
  ขอบคุณ ผู้การ ท่านR2D2 หนาดมา ครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ ตุลาคม 28, 2016, 02:15:47 PM
17 คนที่ตายส่วนหนึ่งน่าจะติดอยู่ในห้องที่ถูกผนึกเรือรบแท้ๆจะแบ่งซอยเป็นห้องเยอะมาก การควบคุมความเสียหายของอเมริกันยอดเยี่ยมมากเพราะรบกับญี่ปุ่นมามากประสพการณ์เยอะ
เรือรุ่นใหม่พวก LCS ที่กำลังทดลองกันอยู่ติดปืนไว้ยิงพวกเรือเล็กติด RPG โดยเฉพาะเรือพวกนี้ออกแบบมาให้ปฎิบัติการเขตน้ำตื้นชายฝั่ง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ ตุลาคม 28, 2016, 02:26:04 PM
ใช่ครับ 12x18 เมตร  สิบล้อวิ่งเข้าไปได้เลย ความเสียหายด้านในจะร้ายแรงกว่าที่มองเห็นจากข้างนอก เพราะเรือระเบิดที่เข้าชน จัดรูปร่างระเบิดเป็น Shape charge รวมแรงระเบิดส่วนใหญ่พุ่งไปด้านหน้า เหมือนถูกยิงด้วยตอร์ปิโด ไม่ใช่การจุดถังใส่ระเบิดข้างลำเรือ
กำลังพลตาย 17 คน (กับอัลไคดาอีก 2 คน) แสดงว่าอเมริกันฝึกคนให้ควบคุมความเสียหายได้ยอดเยี่ยมมาก  ตายมากขนาดนี้ ยังผนึกตัวเรือกันน้ำเข้าได้ทัน
ขออนุญาตเสริมนะครับ...  ::014::
เรือรบ ที่อยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ประตูทุกประตูที่ไม่มีการใช้งาน หรือเมื่อเปิดเดินผ่านแล้วจะต้องปิดหนึกตลอดเวลาครับ
แต่ละประตูจะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับ โชว์สถาณะ ทีห้องควบคุมหลัก หรือ ที่เรียกกันว่า ห้องMCR ครับ  ::014:: ::014:: ::014::

ผมเคยอ่านเหตุการณ์ USS.Cole เขาว่าลูกเรือดับไฟและจัดการอย่างอื่นในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานขนาดนั้นอย่างเสียสละและมีวินัยยิ่ง ไม่มีถอยหนี,ขี้เกียจ,เกี่ยงกัน..ฯ เลย..อีกอย่างหนึ่งที่นึกออกผมว่าเรือเขาออกแบบมาดีด้วยแหละจึงจมยาก 


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: หนานมา ที่ ตุลาคม 28, 2016, 02:57:35 PM
ใช่ครับ 12x18 เมตร  สิบล้อวิ่งเข้าไปได้เลย ความเสียหายด้านในจะร้ายแรงกว่าที่มองเห็นจากข้างนอก เพราะเรือระเบิดที่เข้าชน จัดรูปร่างระเบิดเป็น Shape charge รวมแรงระเบิดส่วนใหญ่พุ่งไปด้านหน้า เหมือนถูกยิงด้วยตอร์ปิโด ไม่ใช่การจุดถังใส่ระเบิดข้างลำเรือ
กำลังพลตาย 17 คน (กับอัลไคดาอีก 2 คน) แสดงว่าอเมริกันฝึกคนให้ควบคุมความเสียหายได้ยอดเยี่ยมมาก  ตายมากขนาดนี้ ยังผนึกตัวเรือกันน้ำเข้าได้ทัน
ขออนุญาตเสริมนะครับ...  ::014::
เรือรบ ที่อยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ประตูทุกประตูที่ไม่มีการใช้งาน หรือเมื่อเปิดเดินผ่านแล้วจะต้องปิดหนึกตลอดเวลาครับ
แต่ละประตูจะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับ โชว์สถาณะ ทีห้องควบคุมหลัก หรือ ที่เรียกกันว่า ห้องMCR ครับ  ::014:: ::014:: ::014::

ผมเคยอ่านเหตุการณ์ USS.Cole เขาว่าลูกเรือดับไฟและจัดการอย่างอื่นในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานขนาดนั้นอย่างเสียสละและมีวินัยยิ่ง ไม่มีถอยหนี,ขี้เกียจ,เกี่ยงกัน..ฯ เลย..อีกอย่างหนึ่งที่นึกออกผมว่าเรือเขาออกแบบมาดีด้วยแหละจึงจมยาก 

สมัยที่ผมเคยประจำการอยู่บน ร.ล.นเรศวร  จะมีการฝึก ปกส. กันวันละ ๒ รอบ ไม่แจ้งสถานที่และเวลาที่จะฝึก แล้วก้อจับเวลาด้วยครับ
ถ้าทำเวลาไม่ได้ ก้อฝึกใหม่  ;D  หน่วยหลักที่รับหน้าที่นี้ก้อคือ เหล่าพรรกลิน  ::014:: ::014:: ::014::


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ ตุลาคม 28, 2016, 04:18:56 PM
สมัยที่ผมเคยประจำการอยู่บน ร.ล.นเรศวร  จะมีการฝึก ปกส. กันวันละ ๒ รอบ ไม่แจ้งสถานที่และเวลาที่จะฝึก แล้วก้อจับเวลาด้วยครับ
ถ้าทำเวลาไม่ได้ ก้อฝึกใหม่  Grin  หน่วยหลักที่รับหน้าที่นี้ก้อคือ เหล่าพรรกลิน
เหมือนในภาพยนต์ Crimson Tide ใช่ไหมครับ ผู้การเรือ(แจ๊ก นิโคลสัน)สั่งซ้อมรับมือเหตุไฟไหม้ฉุกเฉิน เสียงหวอดังสนั่น ควันไฟพวยพุ่งเต็มลำ..ผลจากการซ้อมพ่อครัว(ไอ้อ้วน)ตาย พระเอก(แดนเซล วอชิงตัน)เป็นต้นเรือเลยบาดหมางเล็ก ๆ กับผู้การ ฯ ค่าที่มีคนตายโดยไม่สมควร 


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 28, 2016, 04:42:22 PM
ใช่ครับ 12x18 เมตร  สิบล้อวิ่งเข้าไปได้เลย ความเสียหายด้านในจะร้ายแรงกว่าที่มองเห็นจากข้างนอก เพราะเรือระเบิดที่เข้าชน จัดรูปร่างระเบิดเป็น Shape charge รวมแรงระเบิดส่วนใหญ่พุ่งไปด้านหน้า เหมือนถูกยิงด้วยตอร์ปิโด ไม่ใช่การจุดถังใส่ระเบิดข้างลำเรือ
กำลังพลตาย 17 คน (กับอัลไคดาอีก 2 คน) แสดงว่าอเมริกันฝึกคนให้ควบคุมความเสียหายได้ยอดเยี่ยมมาก  ตายมากขนาดนี้ ยังผนึกตัวเรือกันน้ำเข้าได้ทัน

ขออนุญาตเสริมนะครับ...  ::014::

เรือรบ ที่อยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ประตูทุกประตูที่ไม่มีการใช้งาน หรือเมื่อเปิดเดินผ่านแล้วจะต้องปิดหนึกตลอดเวลาครับ
แต่ละประตูจะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับ โชว์สถาณะ ทีห้องควบคุมหลัก หรือ ที่เรียกกันว่า ห้องMCR ครับ  ::014:: ::014:: ::014::


ปิดผนึกด้านที่ถูกระเบิดอย่างเดียวไม่พอครับ  ต้องมีการสูบน้ำเข้าอีกด้านหนึ่งเพื่อให้เรือสมดุลด้วย


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: thotsaporn ที่ ตุลาคม 28, 2016, 07:38:41 PM
ความรู้ทั้งนั้นเลย ::014:: ::014::


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ ตุลาคม 28, 2016, 09:29:38 PM
       นึกถึงเรือ OKLAHOMA (http://i1268.photobucket.com/albums/jj577/kaiser2801169/Mobile%20Uploads/oklahoma5_zps6wkpanha.jpg) (http://s1268.photobucket.com/user/kaiser2801169/media/Mobile%20Uploads/oklahoma5_zps6wkpanha.jpg.html)


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ ตุลาคม 29, 2016, 10:25:06 AM
ใช่ครับ 12x18 เมตร  สิบล้อวิ่งเข้าไปได้เลย ความเสียหายด้านในจะร้ายแรงกว่าที่มองเห็นจากข้างนอก เพราะเรือระเบิดที่เข้าชน จัดรูปร่างระเบิดเป็น Shape charge รวมแรงระเบิดส่วนใหญ่พุ่งไปด้านหน้า เหมือนถูกยิงด้วยตอร์ปิโด ไม่ใช่การจุดถังใส่ระเบิดข้างลำเรือ
กำลังพลตาย 17 คน (กับอัลไคดาอีก 2 คน) แสดงว่าอเมริกันฝึกคนให้ควบคุมความเสียหายได้ยอดเยี่ยมมาก  ตายมากขนาดนี้ ยังผนึกตัวเรือกันน้ำเข้าได้ทัน
ขออนุญาตเสริมนะครับ...  ::014::
เรือรบ ที่อยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ประตูทุกประตูที่ไม่มีการใช้งาน หรือเมื่อเปิดเดินผ่านแล้วจะต้องปิดหนึกตลอดเวลาครับ
แต่ละประตูจะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับ โชว์สถาณะ ทีห้องควบคุมหลัก หรือ ที่เรียกกันว่า ห้องMCR ครับ  ::014:: ::014:: ::014::

ผมเคยอ่านเหตุการณ์ USS.Cole เขาว่าลูกเรือดับไฟและจัดการอย่างอื่นในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานขนาดนั้นอย่างเสียสละและมีวินัยยิ่ง ไม่มีถอยหนี,ขี้เกียจ,เกี่ยงกัน..ฯ เลย..อีกอย่างหนึ่งที่นึกออกผมว่าเรือเขาออกแบบมาดีด้วยแหละจึงจมยาก 

สมัยที่ผมเคยประจำการอยู่บน ร.ล.นเรศวร  จะมีการฝึก ปกส. กันวันละ ๒ รอบ ไม่แจ้งสถานที่และเวลาที่จะฝึก แล้วก้อจับเวลาด้วยครับ
ถ้าทำเวลาไม่ได้ ก้อฝึกใหม่  ;D  หน่วยหลักที่รับหน้าที่นี้ก้อคือ เหล่าพรรกลิน  ::014:: ::014:: ::014::


แล้วโดนแตะน้ำแตะฟ้าด้วยไหม
เรื่่องนี้ถือเป็นความจำเป็นอันดับหนี่งเลย สมัยก่อนที่จะได้ออกเรือกันข้ามวันข้ามคืนมีการพาไปฝึกดับเพลิงที่สถานนีจำลอง จำได้ว่าอยู่แถวๆ นย.มั้งหรือที่อื่นแต่อยู่สัตหีบนั่นแหละ ระหว่างเรือเดินก็มีการฝึกอีก รวมทั้งฝึกช่วยคนตกน้ำด้วยโดยไม่แจ้งล่วงหน้า


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: หนานมา ที่ ตุลาคม 31, 2016, 09:34:23 AM
สมัยที่ผมเคยประจำการอยู่บน ร.ล.นเรศวร  จะมีการฝึก ปกส. กันวันละ ๒ รอบ ไม่แจ้งสถานที่และเวลาที่จะฝึก แล้วก้อจับเวลาด้วยครับ
ถ้าทำเวลาไม่ได้ ก้อฝึกใหม่  Grin  หน่วยหลักที่รับหน้าที่นี้ก้อคือ เหล่าพรรกลิน
เหมือนในภาพยนต์ Crimson Tide ใช่ไหมครับ ผู้การเรือ(แจ๊ก นิโคลสัน)สั่งซ้อมรับมือเหตุไฟไหม้ฉุกเฉิน เสียงหวอดังสนั่น ควันไฟพวยพุ่งเต็มลำ..ผลจากการซ้อมพ่อครัว(ไอ้อ้วน)ตาย พระเอก(แดนเซล วอชิงตัน)เป็นต้นเรือเลยบาดหมางเล็ก ๆ กับผู้การ ฯ ค่าที่มีคนตายโดยไม่สมควร 

ไม่ถึงขั้นฝึกกับสถาณการณ์จำลองครับน้าฯ  ฝึกแค่สถาณการณ์สมมุติ แต่อุปกรณ์เต็มเหมือนจริง

แล้วโดนแตะน้ำแตะฟ้าด้วยไหม
เรื่่องนี้ถือเป็นความจำเป็นอันดับหนี่งเลย สมัยก่อนที่จะได้ออกเรือกันข้ามวันข้ามคืนมีการพาไปฝึกดับเพลิงที่สถานนีจำลอง จำได้ว่าอยู่แถวๆ นย.มั้งหรือที่อื่นแต่อยู่สัตหีบนั่นแหละ ระหว่างเรือเดินก็มีการฝึกอีก รวมทั้งฝึกช่วยคนตกน้ำด้วยโดยไม่แจ้งล่วงหน้า

ไม่ถึงกับโดนครับน้าฯ  สถานที่ฝึก ก้ออยู่ที่ กองการฝึก กองเรือยุทธการ (กฝร.) แถวๆกองเรือฟรีเกตที่๒ ครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: โทน73 -รักในหลวง- ที่ พฤศจิกายน 01, 2016, 07:10:32 AM
เรือสำเภาจีนก็มีระบบแบ่งเป็นห้องๆ เพื่อผนึกกันน้ำเข้าเวลาประสบเหตุ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ พฤศจิกายน 02, 2016, 03:02:47 PM
เรือ Blue Marlin ที่ให้บริการขน USS.Cole ไปซ่อมบอกว่าวัตถุขนาดเรือพิฆาตเป็นเรื่องหมู ๆ ของใหญ่กว่านี้ยังเคยขนมาแล้ว  
Blue Marlin (กระโทงยักษ์)ของจริง..แต่รู้สึกว่าจะไม่มีตัวในทะเลไทย  


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ พฤศจิกายน 04, 2016, 07:49:04 AM
ฝั่งอันดามันน่าจะมีนะ ที่ปินส์เอามาขึ้นภัตาคารกันเลยโปรโมทเมนูด้วย แต่ปลาใหญ่แบบนี้คนแถวนั้นไม่ค่อยชอบกินกัน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ พฤศจิกายน 04, 2016, 09:19:53 AM
ฝั่งอันดามันน่าจะมีนะ ที่ปินส์เอามาขึ้นภัตาคารกันเลยโปรโมทเมนูด้วย แต่ปลาใหญ่แบบนี้คนแถวนั้นไม่ค่อยชอบกินกัน
ฺBlue Marlin เป็นปลาในท้องเรื่อง The Old Man And The Sea(รางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม 1954)ครับ ใหญ่กว่ามาร์ลินสายพันธุ์อื่น อาศัยในทะเลเปิดและมหาสมุทร ที่เกาะหนูสงขลาเพื่อนผมเคยตกได้ นน.7 กก.เข้าใจว่าไม่ใช่ Blue ครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Nero Angel01 ที่ พฤศจิกายน 05, 2016, 07:56:39 AM
จงอยปากยาวๆเอาไว้ทำอะไรครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ พฤศจิกายน 05, 2016, 01:30:28 PM
  เนื้อมันเหมือนทูน่าหรือแซลม่อนไหมครับ เป็นtrophyของนักตกปลาหรือเปล่าครับ :D~


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 05, 2016, 06:49:47 PM
  เนื้อมันเหมือนทูน่าหรือแซลม่อนไหมครับ เป็นtrophyของนักตกปลาหรือเปล่าครับ :D~

เหมือนทูน่าผสมปลาอินทรีย์  นักตกปลาชอบเพราะเวลาติดเบ็ด มันจะกระโจนขึ้นมาสะบัดให้หลุดเหนือน้ำ  สะใจคนที่ชอบดูสัตว์อื่นดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด
กระโทงจะเข้าน่านน้ำไทยช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ. ตามปลาอินทรีย์เข้ามา


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ พฤศจิกายน 05, 2016, 07:31:59 PM
มีข่าวจมูกมันแทงพุงนักตกปลาด้วยนี่


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Nero Angel01 ที่ พฤศจิกายน 05, 2016, 07:40:06 PM
ตกได้แล้วเอาไปทำอะไรกินครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ พฤศจิกายน 06, 2016, 12:41:05 PM
  ขอบคุณครับผู้การยังไม่เคยกินเห็นแต่ในหนังตกได้มา ห้อยโชว์ ถ้ามาทำแบบไทยๆน่าจะเป็นพวกยำพริกมะนาวข่าตะไคร์


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ พฤศจิกายน 06, 2016, 01:08:02 PM
 ขอสอบถามเรื่องเครื่องพ่นไฟว่าสมัยนี้เลิกใช้แล้วใช่รึเปล่าครับ เห็นในเวียดนาม แล้วสงครามอ่าวก็ไม่เห็นแล้วมันโบราณไม่เหมาะกับยุทธวิธีการรบสมัยใหม่หรือสัญญาเจนีวาห้ามใช้ครับ(http://i1268.photobucket.com/albums/jj577/kaiser2801169/Mobile%20Uploads/Flame-thrower-in-action-against-an-enemy-dugout_zpsw2wck8eo.jpg) (http://s1268.photobucket.com/user/kaiser2801169/media/Mobile%20Uploads/Flame-thrower-in-action-against-an-enemy-dugout_zpsw2wck8eo.jpg.html)


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 06, 2016, 04:36:22 PM
ขอสอบถามเรื่องเครื่องพ่นไฟว่าสมัยนี้เลิกใช้แล้วใช่รึเปล่าครับ เห็นในเวียดนาม แล้วสงครามอ่าวก็ไม่เห็นแล้วมันโบราณไม่เหมาะกับยุทธวิธีการรบสมัยใหม่หรือสัญญาเจนีวาห้ามใช้ครับ(http://i1268.photobucket.com/albums/jj577/kaiser2801169/Mobile%20Uploads/Flame-thrower-in-action-against-an-enemy-dugout_zpsw2wck8eo.jpg) (http://s1268.photobucket.com/user/kaiser2801169/media/Mobile%20Uploads/Flame-thrower-in-action-against-an-enemy-dugout_zpsw2wck8eo.jpg.html)

กฎหมายระหว่างประเทศห้ามเฉพาะการใช้กับคน แต่ใช้เผาอาคารสถานที่ได้
ปัจจุบันน่าจะยังใช้อยู่ แต่ในสมัยสงครามเวียดนาม อเมริกาพัฒนาเป็นจรวดยิงแบบ 4 ท่อ ประทับบ่ายิง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ พฤศจิกายน 06, 2016, 04:38:37 PM
 ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ พฤศจิกายน 06, 2016, 05:22:22 PM
ยังมีอยู่


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ พฤศจิกายน 06, 2016, 06:47:09 PM
เครื่องฉีดไฟ บรรจุอยู่ในหมวดช่างโยธา กองร้อยสนับสนุนการรบ กองพันทหารราบ(ยานยนต์)ครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Nero Angel01 ที่ พฤศจิกายน 06, 2016, 07:38:14 PM
เคยเห็นรถเกราะเมกาติดเครื่องพ่นน้ำมันในยูทูปจำรุ่นไม่ได้ พุ่งไกลเป็นร้อยๆเมตรน่ากลัวมากครับ


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 06, 2016, 08:18:47 PM
จรวดยิงไฟระยะ 200 หลา แบบ M202
https://www.youtube.com/watch?v=mkFU7o3IAaM


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Ghost of the darkness ที่ พฤศจิกายน 07, 2016, 12:31:25 AM
   ขอบคุณพี่กำลังนึกว่าน่าจะสังกัดทหารช่าง  กองทัพไทยมีประจำการไหมครับ ดูใน you tube ไม่ค่อยเห็นในการใช้งานภาคสนาม เห็นแต่รถถังกับสายพานลำเลียงพลติดตั้งปืนพ่นไฟเผาทำลายบังเกอร์ข้าศึกhttp://youtu.be/zc_lvEk4gP4


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ พฤศจิกายน 07, 2016, 09:43:19 AM
จงอยปากยาวๆเอาไว้ทำอะไรครับ
ใช้แทงเหยื่อและป้องกันตัวครับ..เป็นนักล่าส่วนบน ๆ ของห่วงโซ่อาหารเหมือนกัน


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 07, 2016, 10:18:40 AM
   ขอบคุณพี่กำลังนึกว่าน่าจะสังกัดทหารช่าง  กองทัพไทยมีประจำการไหมครับ ดูใน you tube ไม่ค่อยเห็นในการใช้งานภาคสนาม เห็นแต่รถถังกับสายพานลำเลียงพลติดตั้งปืนพ่นไฟเผาทำลายบังเกอร์ข้าศึกhttp://youtu.be/zc_lvEk4gP4

สงครามสมัยใหม่ใช้ยากครับ  ดีไม่ดีถูกยิงด้วยสไนเปอร์ กลายเป็นย่างสดพวกเดียวกันเอง


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ พฤศจิกายน 07, 2016, 02:43:34 PM
จงอยปากยาวๆเอาไว้ทำอะไรครับ
ใช้แทงเหยื่อและป้องกันตัวครับ..เป็นนักล่าส่วนบน ๆ ของห่วงโซ่อาหารเหมือนกัน
พอเสียบปลาแล้วเอาออกใส่ปายังไงนี่


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: montri รักในหลวง ที่ ธันวาคม 30, 2016, 12:20:12 PM
อาจารย์ครับ จีน กับ อินเดีย หากเทียบศักยภาพทางการทหาร ชาติใดเหนือกว่าครับ. (กำลังพล.  อาวุธ. เทคนิค  ความสามารถของกำลังพล)


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ ธันวาคม 30, 2016, 01:29:45 PM
อาจารย์ครับ จีน กับ อินเดีย หากเทียบศักยภาพทางการทหาร ชาติใดเหนือกว่าครับ. (กำลังพล.  อาวุธ. เทคนิค  ความสามารถของกำลังพล)

คงต้องเป็นจีนครับ
สองประเทศนี้เป็นต้นอารยธรรมใหญ่ด้วยกันทั้งคู่ มีภาษา มีตัวอักษรของตัวเอง  อินเดียมีมหาสมุทรที่ตั้งชื่อตามชื่อประเทศ ส่วนจีนก็มีชื่อทะเลตามชื่อประเทศเหมือนกัน  ซึ่งเป็นสิ่งบอกเหตุของความยิ่งใหญ่ในอดีต
อินเดียมีโครงการพัฒนาอาวุธร่วมกับรัสเซียหลายโครงการ แปลว่ามีรัสเซียเป็นหลังให้พิงอยู่  ส่วนจีนไม่มีปัญหาเรื่องศาสนา วรรณะ  และยังมีกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนั้นยังมีอัตราขยายตัวทางอุตสาหกรรมที่เร็วมาก ที่สำคัญคือจีนใช้งบประมาณทางทหารได้คุ้มค่ามาก จนกระทั่งมีสัดส่วนเพียง 1%-2% ต่อ GDP เท่านั้น


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: montri รักในหลวง ที่ ธันวาคม 30, 2016, 02:17:55 PM
เมื่อ20-25ปีก่อน. ผมจำได้ว่าค่าเงินหยวน หกสลึง ต่อหนึ่งบาท และ หนึ่งรูปีต่อหนึ่งบาท แต่ตอนนี้เงินหยวนแพงกว่าเงินบาทแต่รูปีตำ่กว่าเงินบาท. แบบนี้ถือว่าอินเดียไม่พัฒนาขึ้นใช่หรือเปล่าครับ และหากเทียบจีนกับไทยแล้ว จีนพัฒนาจนแซงหน้าไทยไปใช่ไหมครับอาจารย์.


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ ธันวาคม 30, 2016, 06:48:24 PM
เมื่อ20-25ปีก่อน. ผมจำได้ว่าค่าเงินหยวน หกสลึง ต่อหนึ่งบาท และ หนึ่งรูปีต่อหนึ่งบาท แต่ตอนนี้เงินหยวนแพงกว่าเงินบาทแต่รูปีตำ่กว่าเงินบาท. แบบนี้ถือว่าอินเดียไม่พัฒนาขึ้นใช่หรือเปล่าครับ และหากเทียบจีนกับไทยแล้ว จีนพัฒนาจนแซงหน้าไทยไปใช่ไหมครับอาจารย์.

อินเดียก็พัฒนาขึ้นมากแล้วครับ
ตัวอย่างเช่นสิกขิม ซึ่งเป็นประเทศอิสระ อยู่ระหว่างจีนกับอินเดียเหมือนกับธิเบตและภูฐาน  เมื่อจีนรุกรานธิเบต สิกขิมก็หันไปพึ่งอินเดีย ถึงขนาดยอมยกเลิกสถาบันกษัตริย์ เพื่อเข้ามารวมเป็นรัฐ ๆ หนึ่งของอินเดีย


หัวข้อ: Re: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: montri รักในหลวง ที่ ธันวาคม 30, 2016, 07:16:45 PM
ขอบพระคุณมากครับ. อาจารย์.