๏ฟฝ๏ฟฝ็บบ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝสน๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝาปืน

สนทนาภาษาปืน => หลังแนวยิง => ข้อความที่เริ่มโดย: naisomchai ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 02:11:23 PM



หัวข้อ: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: naisomchai ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 02:11:23 PM
นายสมชายเอามาจากนี่ครับ... http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000020698

รายละเอียดข้างล่าง ตามตัวแดงครับ... นายสมชายอ่านแล้วมีเหตุผล โดยเฉพาะคุณทวิช จิตรสมบูรณ์ ผู้เขียนได้ทิ้งท้ายว่า"หลักฐานเหตุผลรายละเอียดยังมีอีกมาก แต่วันนี้เกินโควตาหน้ากระดาษแล้ว ขอจบเพียงเท่านี้ พร้อมนี้ขอท้าโต้วาทีกับนักวิชาการโปรเขมรแบบซึ่งหน้าที่ไม่ลอบกัดกันแบบที่ผ่านมา ทั้งที่ผมเป็นวิศวกร ส่วนพวกท่านเป็น ดร. ทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี กล้ารับคำท้าผมไหม ใครแพ้ให้ตัดหัวเสียประจานไว้ที่หน้าประตูนครวัด"...
************************************************************************************
สักสองปีก่อนผมได้เปิดประเด็นว่าคนสยามเป็นผู้สร้างนครวัด มีทั้งเสียงปรบมือและเสียงโห่พอกัน ...วันนี้ผมขอสรุปตอกย้ำแสดงหลักฐาน เหตุผล หลักๆ ห้วนสั้นอีกครั้ง ตัดเรื่องหยุมหยิมออกไป ดังนี้
       
       นักวิชาการไทยส่วนใหญ่ได้แต่เชื่อตามฝรั่งไปแบบเชื่องๆ ว่าเขมรเป็นผู้สร้างนครวัด แต่ความจริงแล้ว ขอมต่างหากเป็นคนสร้าง และขอมก็คือ สยามนี่แหละ ส่วนเขมรนั้นสมัยโน้นเป็นทาสขอม
       
       หลักฐานสำคัญที่สุดคือบันทึก ๔๐ หน้าของโจวตากวน (ทูตการค้าชาวจีน) ที่ทำให้คำนวณได้ว่าสมัยก่อนเมืองพระนครมีคนชั้นปกครอง ๓ แสน และทาสและคนพื้นเมือง ๗ แสน โดยคนพื้นเมืองนั้นใช้เข็มก็ไม่เป็น ทอผ้าก็ไม่เป็น ส่วนคนสยามนั้นใช้เข็มเป็น ทอผ้าก็เป็น เลี้ยงหม่อนไหมก็เป็น
       
       โดยชนชั้นปกครองนั้นคือขอม ซึ่งก็คือคนสยามนั่นเอง
       
       ส่วนคนพื้นเมืองนั้นขนาดชุนผ้ายังไม่เป็นแล้วจะไปสร้างนครวัด นครธมใหญ่โตได้อย่างไร เอาความรู้เทคโนโลยีไปจากไหน
       
       อยู่มาวันหนึ่งพวกทาสสบโอกาส ก็ทำการยึดอำนาจล้มล้างราชบัลลังก์ นำโดย ตระซอกประแอม (แตงหวาน) ที่ต่อมาสถาปนาตนเป็นกษัตริย์
       
       ที่สำคัญที่สุดคือ คำต่อท้ายกษัตริย์ “วรมัน” ทุกพระองค์ที่ผ่านมา ๖๐๐ ปีก็หายไปในปีนั้นนั่นเอง จากนั้นไม่มี “วรมัน” อีกเลย แสดงชัดว่าเขมรเป็นคนละเผ่าพันธุ์กับขอม
       
       พงศาวดารฉบับแรกของเขมรที่ประพันธุ์โดยนักองเอง (ที่มาพึ่งบารมี ร. ๑ ของไทย) ก็ระบุตรงกันว่า ตระซอกประแอม คือต้นกำเนิดของคนเขมร แต่ภายหลังฝรั่งเศสมายุให้ปรับเปลี่ยนว่าต้นตระกูลคือ วรมัน ทั้งที่เขมรฆ่าวรมันตายเรียบ แล้วเปลี่ยนชื่อเมืองว่า “สยามราบ” (หรือเสียมเรียบ ในวันนี้)
       
       เสียม ไม่ได้ เรียบ หมดหรอก จากสามแสน อาจถูกฆ่าตายสัก ๕ หมื่น ที่เหลือรอดตายก็หนีมาก่อตั้งกรุงศรีอยุธยา นำทัพโดยพระเจ้าอู่ทองนั่นแล
       
       ยังถกเถียงกันอยู่มากว่าพระเจ้าอู่ทองคือใคร มาจากไหน ที่สอนกันมานานว่ามาจากเมืองอู่ทอง สุพรรณบุรีนั้น บัดนี้สรุปกันได้แล้วว่าผิด เพราะเมืองอู่ทองเป็นเมืองร้างมาก่อนหน้านี้แล้วสองร้อยปี อีกทั้งเป็นเมืองเล็กมีคนประมาณ ๕ หมื่นเท่านั้น แต่อยุธยาเริ่มต้นก็มีพลเมืองสามแสนแล้ว ถามว่าเอาคนสามแสนมาจากไหนในละแวกนั้น
       
       พระเจ้าอู่ทองทรงสร้างเมืองอยู่ ๑๔ ปี พอสร้างเสร็จแทนที่จะเฉลิมฉลอง พักผ่อนไพร่พล กลับยกทัพไปตีเมืองพระนครทันที (เมืองเสียมเรียบ) ซึ่งผิดวิสัยมาก เพราะเป็นเมืองเล็กๆ สร้างใหม่ ไฉนเลยจะกล้าไปตีเมืองใหญ่เก่าแก่ที่มีกองทัพเกรียงไกรเช่นพระนคร ซึ่งประเพณีการสงครามเดิมมานั้นมีแต่เมืองเก่าใหญ่จะยกทัพมาถล่มเมืองสร้างใหม่ เพื่อไม่ให้เป็นศูนย์อำนาจมาแข่งบารมี
       
       ที่พระเจ้าอู่ทองยกทัพไปตีเขมรนั้นเป็นเพราะทรงแค้นใจหนักที่อัดอั้นมานาน ๑๔ ปีไงเล่า ทรงต้องรีบเพราะทรงชราภาพมากแล้ว เกรงว่าจะล้างแค้นเขมรไม่ทันที่พวกมันฆ่าวรมันตายเรียบนั่นไง
       
       พอรบชนะเขมรเบ็ดเสร็จ ก็ทรงสร้างเมือง “อู่ทองมีชัย” (อุดงเมียนเชย ในวันนี้) เข้าใจว่าทรงตั้งชื่อนี้เพื่อข่มนาม “เสียมเรียบ” นั่นเอง เมืองนี้จำลองแบบไปจากอยุธยา และกลายเป็นเมืองหลวงเขมรนานถึง ๒๐๐ กว่าปี จนขณะนี้กลายเมืองมรดกโลกไปแล้ว
       
       พระเจ้าอู่ทองเป็นขอม ดังนั้นเมื่อมาอยุธยาก็ทรงพูดภาษาขอม จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมคำราชาศัพท์ของเราวันนี้จึงเต็มไปด้วยภาษาขอมและสันสกฤต เป็นเพราะสืบทอดมาจากภาษาพระเจ้าอู่ทองนี่เอง ส่วนเขมรเป็นทาสขอมมานานก็ย่อมรับเอาภาษาขอมไปพูดด้วยเป็นธรรมดา อย่าลืมด้วยว่าภาษาขอมเองก็ยืมเอาคำ “ไต” ไปใช้มากพอกัน
       
       เทคโนโลยีการตัดหิน ลากหิน สลักหินนั้นชาวขอมพิมาย ลพบุรี ได้ฝึกปรือมานานก่อนสร้างนครวัด นครธม เช่น ปราสาทหินพิมาย ก็สร้างก่อนนครวัด โดยตัดหินมาจากอ.สีคิ้ว แล้วลากไปอีก ๑๐๐ กม. เพื่อไปสร้างที่พิมาย คนเขมรเย็บผ้ายังไม่เป็นแล้วจะตัดลากยกหินก้อนมหึมาเหล่านี้เป็นหรือ
       
       หลักฐานจากการสลักบนแผ่นหินระบุว่ากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เช่น สุริยวรมันที่ ๒ เป็นคนลพบุรี ชัยวรมันที่ ๕ เป็นคนพิมาย ส่วนผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ ชัยวรมันที่ ๗ ไม่ทราบว่ามาจากไหน ผมตอบให้เลยว่ามาจากพิมาย ด้วยหลักฐานผูกมัดมากหลายเกินจะกล่าวในที่นี้ ที่สำคัญคือทรงเป็นพุทธ สร้างนครธม และเปลี่ยนชาวพระนครให้มาเป็นพุทธจนถึงวันนี้
       
       อันคำว่า “นครธม” นั้น นักวิชาการฝรั่งแปลกันแบบเซ่อๆ ว่า “เมืองใหญ่” เพราะเขาวิจัยกันทึ่มๆ ว่า ทม นั้นเป็นภาษาเขมร แปลว่า ใหญ่ ซึ่งนักวิชาการไทยก็เชื่อตามกันแบบงมงาย แต่ผมขอแย้งหัวชนฝาว่า ธม นั้นคือ ธมฺ ในภาษาบาลี ซึ่งคือ ธรรม ในภาษาสันสกฤตนั่นเอง ดังนั้นนครธม คือ นครธรรม นั่นเอง
       
       มันเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ จะสร้างวัดพุทธยักษ์แล้วตั้งชื่อซื้อบื้อว่า เมืองใหญ่ มันต้องเมืองธรรมแน่นอน อีกทั้งพิมาย ลพบุรี นั้นเป็นพุทธที่ใช้บาลี ก็เลยต้องกลายเป็นนครธมฺ
       
       ภาพสลักนูนต่ำที่ทหารละโว้ และสยามไปเดินสวนสนามต่อหน้าพระพักตร์นั้น สำคัญมาก คือ ทหารจากลพบุรี และสยามไปรบเพื่อกู้เมืองคืนจากพวกแขกจามที่มายึดพระนครนั่นเอง จากนั้นก็เดินสวนสนามเฉลิมฉลองชัยชนะ ทหารลพบุรีมีวินัยมาก เดินหน้าตรง ด้ามหอกทุกคนเรียงเป็นมุมแนวเดียวกัน แต่พอมาถึงกระบวนทหารสยาม มีคำสลักว่า “เนะ สยำกุก” (ประมาณว่า นี่ไงกองทัพสยาม) แต่ปรากฏว่า หันหน้ากันคนละทาง ปลายหอกก็ระเกะกะ นักวิชาการฝรั่งว่า ทหารสยามไม่มีวินัย แต่ผมว่า......
       
       ..ผมว่า ทหารลพบุรี ไม่มีคนรู้จักไม่รู้จะทักใคร ส่วนทหารสยาม เป็นคนพื้นเมือง มีญาติมิตรมายืนดูมาก ก็หันหน้าไปยิ้มแย้มทักทาย ก็เลยทำให้ดูไม่มีระเบียบ สรุปคือ สยำกุก เป็นคนพื้นเมืองพระนคร
       
       พระเจ้าชัยวรมันที่ ๒ ที่ถือกันว่าเป็นผู้ให้กำเนิดนครวัดนั้น ฝรั่งว่ามาจากชวา (แต่บางคน เช่น ชาร์ล ไฮแอม ก็ว่า มาจาก ชามา หรือ แขกจาม) สำหรับผมเสนอว่า มาจากไชยา (ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัย)
       
       ชื่อท่านก็บอกชัดๆ ว่า ไชยาวรมัน (พระผู้เป็นเจ้าจากเมืองไชยา) ศรีวิชัย กับทวาราวดี เป็นพี่น้องกัน มีไชยา ศรีธรรมราช นครปฐม ลพบุรี พิมาย ต่อกันเป็นห่วงโซ่ แล้วให้กำเนิดนครวัดนั่นแล รวมทั้งช่วยปกป้องกอบกู้ยามสงครามกับแขกจามทางตอนใต้ของเวียดนาม
       
       คำว่า วรมัน นักวิชาการฝรั่งก็ผิดอีก ไปแปลกันว่า โล่ (shield) แต่คำนี้ผมฟันธงว่าเป็นคำเดียวกับ พรหมมัน เพราะสยามเรานั้น พ กับ ว ใช้แทนกันได้ เช่น วิเศษ พิเศษ วิจิตร พิจิตร
       
       ชื่อปราสาทต่างๆ ในนครวัด นครธม ยังมีร่องรอยภาษาสยามแทบทุกแห่ง เช่น พิมานอากาศ นาคพัน ปักษีจำกรง เชื้อสายเทวดา เสาเปรต พระรูป ตาแก้ว ตาพรม
       
       หลักฐานเหตุผลรายละเอียดยังมีอีกมาก แต่วันนี้เกินโควตาหน้ากระดาษแล้ว ขอจบเพียงเท่านี้ พร้อมนี้ขอท้าโต้วาทีกับนักวิชาการโปรเขมรแบบซึ่งหน้าที่ไม่ลอบกัดกันแบบที่ผ่านมา ทั้งที่ผมเป็นวิศวกร ส่วนพวกท่านเป็น ดร. ทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี กล้ารับคำท้าผมไหม ใครแพ้ให้ตัดหัวเสียประจานไว้ที่หน้าประตูนครวัด


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: จอยฮันเตอร์ ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 02:58:09 PM
ผมเคยฟังผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องประเทศไทย มีหลายเรื่ิองที่เล่าไม่ได้แต่ก็มีบางเรื่องที่เล่าได้ ท่านบอกว่านครวัดนครธม และอีกหลายๆที่ รอบประเทศไทย  สร้างขึ้นใน

สมัย อาณาจักรศรีวิชัย หรือพระองค์ดำ(จตุคามรามเทพ) ;D


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: pranburi ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 03:02:52 PM
มีอีกหลายเรื่องที่ยิ่งค้นคว้าหาคำตอบ กลับไม่ใช่ประวัติศาสตร์ที่เรียนมา


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: จอยฮันเตอร์ ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 03:21:38 PM
เห็นมั้ยฝรั่งมายืนยันแล้ว ::007::


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: Southlander ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 03:25:25 PM
น่าสนใจมาก


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: SillyOldMan ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 03:40:18 PM
นครวัดสร้างโดยเผ่าอะไร มีคนฟื้นขึ้นมาให้ถกกันแล้ว

แต่ที่เป็นความจริงโดยไม่ต้องถก คือนครวัด"ล่มสลาย"เพราะเงื้อมมือสยามครับ เล่นฆ่าล้างผลาญเสียหลายยก กวาดต้อนเชลยมาทีละเป็นแสนๆอีก2ยก แถมยังทิ้ง"นายแบน"ไว้เป็นข้าหลวง...รายนี้ฆ่าล้างผลาญอย่างต่อเนื่องมาอีกหลายปี ลูกหลานสืบตำแหน่งข้าหลวงครองครึ่งประเทศส่วนที่เป็นอู่ข้าวอู่น้ำแล้วคอยรีดส่วนส่งมาให้สยามอีก100ปีเกินๆ

ประวัติศาสตร์ไทยไม่ยอมให้เด็กๆของเราได้เรียนเหมือนกัน  ::012::






หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: SillyOldMan ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 03:42:34 PM
ที่แสบที่สุดคือ....

ชั้นโหลนยังอุตส่าห์ตั้งพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาไว้เป็นคู่กัดกับฮุนเซนอีก  ::007::




ทายาทของนายแบนพออพยพมาอยู่สยามแล้วเค้าใช้นามสกุลสกุล"อภัยวงศ์"กันหน่ะ  ::005::  ::007::  ::005::


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 03:57:35 PM
นครวัด,ปีรามิด,หอเอนปิซ่า,สโตนเฮ้นท์,โคลีเซี่ยม,..ฯลฯ อันไหนยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะอะไรครับ  


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: แปจีหล่อ คนสันขวาน ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 04:02:30 PM
เดี๋ยวเค้าก็บ้าคลั่งออกมาเผาสถานทูตโรงแรมกันอีกหรอกครับ ๕๕๕


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: naisomchai ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 04:05:26 PM
ที่แสบที่สุดคือ....

ชั้นโหลนยังอุตส่าห์ตั้งพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาไว้เป็นคู่กัดกับฮุนเซนอีก  ::007::

ทายาทของนายแบนพออพยพมาอยู่สยามแล้วเค้าใช้นามสกุลสกุล"อภัยวงศ์"กันหน่ะ  ::005::  ::007::  ::005::

นายสมชายเอามาขยายฯ ให้ท่านอื่นอ่านจากที่คุณจ้าวขึ้นเรื่องเอาไว้ครับ... ตามตัวน้ำเงินข้างล่าง...
ที่มา... http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=1343.0

http://www.matichon.co.th/art/art.php?srctag=0602010949

วันที่ 01 กันยายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 27 ฉบับที่ 11 ศิลปวัฒนธรรม
ไกรฤกษ์ นานา
วารสาร "นักล่าอาณานิคม" ตีแผ่สัญญารัชกาลที่ ๕ ทำไมสยามสละ "นครวัด"?

เรื่องของเมืองเขมรที่เกี่ยวข้องกับสยาม ดูผิวเผินเหมือนจบลงตั้งแต่ในรัชกาลที่ ๔ การ
ที่สมเด็จพระนโรดมพรหมบริรักษ์ พระราชบุตรบุญธรรมของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงตัดสินพระทัยขอความคุ้มครองจากฝรั่งเศส และตัดความสัมพันธ์กับทางกรุงเทพฯ อย่างไม่เหลือเยื่อใย
การโยกย้ายเมืองหลวงเก่าที่สยามตั้งให้จากอุดงมีชัยมาเป็นพนมเปญ จบลงด้วยการที่สยามเสียดินแดน
เขมรส่วนนอกในรัชกาลนั้น พงศาวดารไทยก็แทบจะไม่กล่าวถึงราชสำนักเขมรอีกเลย จวบจนปี พ.ศ. ๒๔๔๙
เหตุการณ์บางอย่างกดดันให้ครอบครัวขุนนางสยามสายสกุลอภัยวงศ์ต้องอพยพออกมาจากเมืองพระตะบอง
และสยามจำต้องสละเมืองเสียมราฐ อันเป็นที่ตั้งของมรดกโลกคือนครวัดอย่างอาลัยอาวรณ์
ซึ่งทั้งหมดมาสิ้นสุดเอาเมื่อปลายรัชกาลที่ ๕ นี่เอง เกิดอะไรขึ้นกับประวัติศาสตร์อันสับสนช่วงนั้น?
บทความนี้คือองค์ความรู้ที่ขาดหายไป

เมื่อ ๑๐๐ ปีมาแล้วนับถึงปีนี้ คือวันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ (นับอย่างตะวันตก คือปี ค.ศ. ๑๙๐๖)
สยามและฝรั่งเศสตกลงทำสัญญาฉบับหนึ่งร่วมกัน ใจความสำคัญในสัญญามีผลให้สยามได้จังหวัดตราดคืน
แต่ต้องสูญเสียเมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ให้แก่ฝรั่งเศส ต่อมาในวันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๔๙
สัญญาฉบับนี้ได้รับการอนุมัติ (หรือที่เรียกให้สัตยาบัน-ผู้เขียน) โดยรัฐสภาฝรั่งเศส
ครั้นต่อมาในวันที่ ๖ กรกฎาคม ปีเดียวกัน ทางการของทั้งสองฝ่ายจึงรับและส่งคืนดินแดนให้แก่กัน
อย่างเป็นทางการ อันเป็นสาเหตุให้ "นครวัด" ซึ่งอยู่ ณ เมืองเสียมราฐต้องหลุดลอยไปด้วย

เกิดอะไรขึ้นในปีนั้น ที่ทำให้มีการแลกเปลี่ยนดินแดนกัน? และสัญญาฉบับนี้สำคัญอย่างไรถึงขนาดที่
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จไปลงพระนามกำกับถึงกรุงปารีส?
เป็นเหตุการณ์ที่น่าพิจารณาอย่างยิ่ง และเพื่อให้ผู้อ่านสามารถลำดับเรื่องราวก่อน-หลังทัน
มีความจำเป็นต้องอธิบายที่มาของดินแดนเจ้าปัญหาตั้งแต่ต้นดังนี้

พงศาวดารเขมร
ในประวัติศาสตร์ไทย

ประวัติศาสตร์การเมืองของเขมรที่เกี่ยวข้องกับสยาม เริ่มประมาณสมัยอยุธยาช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖
(ต่อไปจะใช้ปี ค.ศ. เพื่อให้สอดคล้องกับเอกสารฝรั่งเศส-ผู้เขียน) เมื่อนักองค์จัน (Ang Chan)
กษัตริย์เขมรผู้เข้มแข็งและมีอำนาจที่สุดใน "ยุคหลังนครวัด" รุกล้ำเข้ามาหลายครั้ง
และกลายเป็นความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ ต่อมาแม้เมื่อสิ้นรัชสมัยของกษัตริย์องค์นั้นแล้ว
ความกดดันจากเขมรในช่วงดังกล่าวเกิดขึ้นระยะเดียวกับที่สยามเผชิญกับการคุกคามของพม่า
จนต้องเสียกรุงครั้งแรก ในปี ค.ศ. ๑๕๖๙ แต่ภายหลังที่พระเจ้าบุเรงนอง (Bayinnaung)
กษัตริย์พม่าสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. ๑๕๘๑ อำนาจพม่าที่มีต่อสยามก็เสื่อมคลายลง
และเป็นโอกาสให้สยามได้หันมาต่อสู้อย่างเต็มที่ต่อการคุกคามจากเขมร โดยในปี ค.ศ. ๑๕๙๓
สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงจัดทัพไปตีเขมรยึดได้เสียมราฐ (Siemreab) จำปาศักดิ์
(Champassak-ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของลาว และเคยเป็นศูนย์อำนาจสำคัญของเขมรโบราณ-ผู้เขียน)
รวมทั้งพระตะบอง (Battambang) และโพธิสัตว์ (Pursat)

สรุปได้ว่า เหตุการณ์ช่วงนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการที่พระตะบองได้กลายเป็นศูนย์กลางของอิทธิพลของสยาม
และได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ และ ๑๙
ปัญหาเขมรกลายเป็นชนวนสำคัญของการแข่งขันทางอำนาจระหว่างสยามกับญวน และดินแดนภาคตะวันตก
ของกัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "พระตะบอง" ก็กลายมาเป็นฐานปฏิบัติการของสยามสำหรับการเข้าไป
มีบทบาทในเขมร(๘)

เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (ครั้งดำรงพระยศเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก)
เสด็จออกไปปราบกบฏเมืองเขมรปี ค.ศ. ๑๗๘๐ ไม่ทันไรก็ต้องเสด็จกลับเข้ามาระงับยุคเข็ญในกรุงธนบุรี
เมื่อกองทัพสยามกลับมาแล้ว ประเทศเขมรก็ตกอยู่ในอำนาจของเจ้าฟ้าทะละหะ (มู) ผู้สำเร็จราชการเมืองเขมร
และสมเด็จเจ้าพระยา (ซู) ขุนนางเขมร สมเด็จ เจ้าพระยา (ซู) ลอบมีหนังสือเข้ามาทูลขอพระยายมราช (แบน)
ผู้เป็นเพื่อนกันให้ออกไปปราบพวกกบฏที่เหลืออยู่ พระยายมราช (แบน) จึงยกทัพไปยังเมืองพระตะบองเป็นครั้งแรก
และได้ปะทะกับทัพเจ้าฟ้าทะละหะ (มู) จับตัวได้แล้วฆ่าเสีย แล้วพระยายมราช (แบน)
ก็ทำการในตำแหน่งผู้สำเร็จราชการประเทศเขมรไปพลางๆ

ต่อมาประเทศเขมรก็แตกแยกกันเป็นก๊กเป็นเหล่า ประจวบกับมีสงครามแขกจามจะยกมาตีเขมร
พระยายมราช (แบน) เห็นจะสู้ไม่ได้จึงพาเจ้านายเชื้อพระวงศ์เขมรที่เหลืออยู่มีนักองค์เอง
เจ้าชายองค์น้อยมีพระชันษาเพียง ๑๐ ปี อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารอยู่ในกรุงเทพฯ รัชกาลที่ ๑
ได้ทรงพระกรุณาชุบเลี้ยงเป็นพระราชบุตรบุญธรรม นอกจากนั้นเจ้าหญิงซึ่งเป็นพระเชษฐภคินีของนักองค์เอง
อีก ๒ องค์ คือ นักองค์อีและนักองค์เภานั้น สมเด็จพระอนุชา ธิราช (กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท)
ทรงรับไปเลี้ยงเป็นพระสนมเอก ส่วนพระยายมราช (แบน) ได้รับแต่งตั้งจากความดีความชอบเป็น
เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ ต้นตระกูลอภัยวงศ์ นับแต่นั้น

เมื่ออำนาจแขกจามในเขมรเสื่อมลง เหล่าขุน นางจึงได้ร้องขอพระราชทานรัชทายาท คือนักองค์เอง
ออกไปครองประเทศเขมร รัชกาลที่ ๑ ยังไม่ทรงอนุญาตเพราะทรงเห็นว่านักองค์เองยังทรงพระเยาว์อยู่มาก
เกรงจะมีอันตราย แต่ได้โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ออกไปรั้งราชการกรุงกัมพูชาอยู่
ณ เมืองอุดงฤาชัย ตั้งแต่ปีมะโรงฉศก ตรงกับปี ค.ศ. ๑๗๘๔ ต่อมาเมื่อนักองค์เองทรงเจริญพระชันษา
และได้ทรงผนวชแล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้ออกมาครองเขมรสืบทอดต่อมา โดยได้รับพระราชทานนามว่า
สมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดี(๔)

จากการที่สมาชิกในราชวงศ์เขมรเข้ามาสมานสัมพันธ์กับพระราชวงศ์จักรีทั้งทางตรงคือนักองค์อีและนักองค์เภา
ได้เป็นพระสนมเอกในกรมพระราชวังบวรฯ และทางอ้อมคือนักองค์เองได้รับสถาปนาเป็นพระราชบุตรบุญธรรม
ในรัชกาลที่ ๑ ทำให้เชื้อพระวงศ์เขมรถือเป็นประเพณีที่จะจัดส่งกุลบุตรกุลธิดาเข้ามาฝากตัวในราชสำนักกรุงเทพฯ
และพระเจ้าแผ่นดินไทยได้กลายเป็นผู้อุปถัมภ์และผู้แต่งตั้งกษัตริย์เขมรนับแต่นั้น การเมืองที่เกิดจาก
ระบบพ่อปกครองลูกได้ผูกมัดจิตใจให้เกิดความจงรักภักดีระหว่างสองราชอาณาจักรตลอดมา
กษัตริย์เขมรที่เคยเสด็จมาพำนักและเจริญพระชันษาในกรุงเทพฯ สืบสันตติวงศ์ต่อกันมาในระยะนั้น
มีสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดี (นักองค์เอง) สมเด็จพระหริรักษ์รามาธิบดี (นักองค์ด้วง)
สมเด็จพระนโรดมพรหมบริรักษ์ (นักองค์ราชาวดี) และสมเด็จพระศรีสวัสดิ์ (นักองค์สีสุวัตถิ์)

มีต่อ...


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: naisomchai ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 04:06:35 PM
ต่อครับ...

ประเพณี "กินเมือง"
กับสายสกุลอภัยวงศ์

การแต่งตั้งเจ้าเมืองในสมัยโบราณ ที่สืบเนื่องกันลงมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์นี้
ปรากฏว่าได้แต่งตั้งกันมาแล้วแต่ความเหมาะสมของบุคคล และสภาพความเป็นไปของท้องถิ่น
แต่ส่วนมากแล้วพระเจ้าแผ่นดินมักจะทรงแต่งตั้งพระราชวงศ์ หรือไม่ก็ข้าราชการคนสำคัญออกไปเป็น
เจ้าเมืองตามหัวเมืองน้อยใหญ่ ให้มีอำนาจบังคับบัญชาสิทธิ์ขาดแทนพระองค์ ผู้ได้รับแต่งตั้งมักเป็น
ผู้ที่เข้มแข็งในการรบทัพจับศึก จึงเห็นได้ว่าเจ้าเมืองเก่าๆ มีชื่อเป็นนายทหารแทบทั้งสิ้น เช่น
เจ้าเมืองนครราชสีมาเป็นพระยาคำแหงสงคราม เป็นต้น

ครั้นต่อมา เมื่อการศึกสงครามคลายความจำเป็นและห่างออกไปตามกาลสมัย
ผู้ที่ได้แต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองต่อมา มักจะเป็นผู้ที่มีความสามารถในการหาผลประโยชน์ให้แก่
ท้องพระคลังหลวง และเป็นผู้ที่ไพร่บ้านพลเมืองรักใคร่นับถือเป็นสำคัญ ระบบการตั้งเจ้าเมืองแบบนี้
เรียกประเพณีกินเมือง

นอกจากนั้นในสมัยก่อนยังมีหัวเมืองอีกประเภทหนึ่งเรียกหัวเมืองประเทศราช เป็นเมืองชนต่างชาติต่างภาษา
อยู่ชายแดนติดต่อกับประเทศอื่น หัวเมืองเหล่านี้มีเจ้าเมืองซึ่งเป็นท้าวพระยาหรือเจ้านายของชนชาตินั้นๆ
เป็นผู้ปกครองตามจารีตประเพณีของท้องถิ่น แต่ผู้ที่เป็นเจ้าเมืองนั้น จะต้องบอกเข้ามาทูลขอให้
พระเจ้าแผ่นดินทรงตั้ง และเจ้าเมืองนั้นจะต้องถวายต้นไม้ทองเงินกับเครื่องราชบรรณาการมีกำหนด ๓ ปีต่อครั้ง
มิฉะนั้นพระเจ้าแผ่นดินก็จะทรงแต่งตั้งขุนนางจากส่วนกลางออกไปปกครองเช่นในกรณีของหัวเมืองเขมร
ที่กำลังกล่าวถึงนี้ รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้ขุนนางไทยออกไปกินเมือง(๖)

เพื่อตอบแทนความดีความชอบแก่เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ในฐานะที่ประเทศเขมรเรียบร้อยก็ได้อาศัย
น้ำพักน้ำแรงของท่านผู้นี้อยู่มาก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ จึงได้ทรงขอเมืองพระ ตะบองกับเมืองเสียมราฐ
ให้พระยาอภัยภูเบศร์เป็น บำเหน็จรางวัลครอบครอง และให้ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ โดยตรง เพื่อคอยคุ้มครอง
ประเทศเขมรอย่างใกล้ชิด สมเด็จพระนารายณ์ฯ (นักองค์เอง) ก็ทรงยินดียกเมืองพระตะบองกับเสียมราฐ
รวมทั้งนครวัดและนครธม ถวายตามพระราชประสงค์ เขมรจึงถูกแบ่งออกเป็น ๒ ส่วนตั้งแต่นั้นมา คือ
ส่วนที่ขึ้นกับสยามโดย ตรงเรียกว่า "เขมรส่วนใน" ประกอบด้วยหัวเมืองหลักๆ คือ พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ
โปริสาท และอุดงฤาไชย มีเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) เป็นเจ้าเมือง ส่วนที่เหลือเรียก "เขมรส่วนนอก" คือ
หัวเมืองตั้งแต่พนมเปญไปจนจรดเขตแดนภาคตะวันออกติดชายแดนญวน มีเจ้าเขมรปกครองต่างหาก
อนึ่ง ประเพณีกินเมืองสิ้นสุดลงภายหลังปี ค.ศ. ๑๘๙๒ (พ.ศ. ๒๔๓๕) เมื่อเกิดการปฏิรูปการปกครองขึ้น

การกินเมืองของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) มีลักษณะพิเศษคือ ถึงแม้จะขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ
แต่เพราะเป็นเมืองเขมร จึงโปรดให้ปกครองกันเองตามประเพณีเขมร และให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน)
เก็บภาษีอากรใช้จ่ายในการปกครองโดยลำพัง ตำแหน่งเจ้าเมืองพระตะบอง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการปกครอง
เขมรส่วนในจึงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของลูกหลานเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ต้นสกุลอภัยวงศ์ตลอดมา
รวมเวลา ๑๑๒ ปี (ค.ศ. ๑๗๙๔-๑๙๐๖) นับได้ ๕ รัชกาล มีชื่อเจ้าเมืองสืบกันลงมาดังนี้

เจ้าเมืองคนที่ ๑ เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน)

คนที่ ๒ พระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) (เดิมชื่อพระยาพิบูลย์ราช ชื่อแบนเหมือนบิดา)

คนที่ ๓ พระยาอภัยภูเบศร์ (รส)

คนที่ ๔ พระยาอภัยภูเบศร์ (เชด)

คนที่ ๕ เจ้าองค์อิ่ม พระมหาอุปราช

คนที่ ๖ พระยาอภัยภูเบศร์ (ม่วง)

คนที่ ๗ เจ้าพระยาคทาธรธรณินทร์ (เยีย)

คนที่ ๘ เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (ชุ่ม) (เป็นเจ้าเมืองคนสุดท้าย ก่อนคืนดินแดนให้ฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๙๐๖)(๓)

ฝรั่งเศสเล็งเห็นความสำคัญของดินแดนเขมรความสำเร็จของเซอร์จอห์น เบาริ่ง (Sir John Bowring)
ผู้แทนพระองค์สมเด็จพระราชินีอังกฤษในการทำสัญญาเบาริ่งกับสยามในปี ค.ศ. ๑๘๕๕ สร้างความหนักใจ
ให้ฝรั่งเศส เพราะฝรั่งเศสก็เป็นหนึ่งในผู้นำลัทธิจักรวรรดินิยมเช่นเดียวกับอังกฤษ ฝรั่งเศสไม่สามารถนิ่งเฉยอยู่ได้
จึงส่งมงติญี (Monsieur de Montigny) ทูตของตนเข้ามายังราชสำนักสยามบ้างในปี ค.ศ. ๑๘๕๖

ฝรั่งเศสพุ่งเป้าหมายอย่างรวดเร็วไปยังราชอาณา จักรเขมร ความทะเยอทะยานด้านอาณานิคมของฝรั่งเศส
ปรากฏชัดเจนขึ้น เมื่อบรรดานักการเมืองของฝรั่งเศสเข้าใจถึงความสำคัญของแม่น้ำโขง โดยหวังที่จะใช้แม่น้ำนี้
เป็นเส้นทางใหม่เข้าสู่เมืองจีนและทิเบตอันอุดมสมบูรณ์และเป็นดินแดนในฝันของบรรดามหาอำนาจในยุโรป
ความมั่งคั่งของทะเลสาบเขมร และแหล่งจับปลาขนาดใหญ่ดึงดูดความสนใจของฝรั่งเศสมากขึ้นเป็นลำดับ
เพราะมองเห็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่จะได้จากเขมร นอกจากชัยภูมิอันล้ำเลิศของเขมรที่ตั้งอยู่
ปากแม่น้ำโขงแล้ว เขมรยังมีทรัพยากรป่าไม้และแหล่งอัญมณีอันประเมินค่ามิได้ จำพวกพลอย ไพลินและนิล
จำนวนมหาศาล ซึ่งจะนำความมั่งคั่งร่ำรวยมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ

ก่อนหน้านั้นเขมรเป็นอาณาจักรกว้างใหญ่กอปรด้วยเดชานุภาพ มาบัดนี้ลดอำนาจลงเหลือเพียงหัวเมืองไม่กี่แห่ง
ซึ่งทั้งญวนและสยามต่างก็แย่งชิงกันครอบครองช่วงต้นรัตนโกสินทร์ ภายหลังที่ฝรั่งเศสรบชนะญวนจึงยึด
โคชินไชนา (ญวนใต้) ไป ฝ่ายสยามก็ได้เมืองมโนไพร ท่าราชปริวัตร พระตะบอง และเสียมราฐรวมทั้งนครวัด(๕)

ราชอาณาจักรเขมรจึงเป็นเพียง "รัฐกันชน" ระหว่างชาติทั้งสอง รัฐกันชนนี้เองจึงเป็นที่ฝรั่งเศสหมายมั่นที่จะได้ไป
ทั้งนี้เพราะต้องการสถาปนาโคชินไชนาให้สมบูรณ์ ซึ่งก็ใกล้จะเป็นของฝรั่งเศสในไม่ช้าและจะได้ใช้เป็นฐานสำหรับ
ขยายอิทธิพลให้กว้างไกลยิ่งขึ้นไปทางเหนือ

อย่างไรก็ดี สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ฉบับวันที่ ๑๕ สิงหาคม ค.ศ. ๑๘๕๖ แทนที่จะกระชับสัมพันธไมตรีระหว่าง
สยามกับฝรั่งเศส กลับเปิดโอกาสให้ฝรั่งเศสยึดกรุงเทพฯ เป็นที่มั่น อันเป็นที่ที่ฝรั่งเศสจะใช้ก่อความเดือดร้อน
และความระแวงสงสัยแก่พระ บาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ดังที่ทรงหวาดระแวงอยู่แล้ว ทั้งยังเปิดโอกาสให้
ฝรั่งเศสเข้าใจถึงผลประโยชน์ อันจะเกิดจากการแผ่อำนาจไปยังราชอาณาจักรเขมร ซึ่งบังเอิญโชคร้ายที่ตกเป็น
ประเทศราชของสยาม การอ้างสิทธิ์ของฝรั่งเศสทำให้สยามลุกขึ้นต่อต้าน ด้วยสยามเป็นชาติที่หวงแหนสิทธิ
ความเป็นเจ้าอธิราชของตน และเคร่งครัดต่อการเคารพบูรณภาพแห่งดินแดนที่ตนครอบครองอยู่(๕)

มีต่อ...


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: naisomchai ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 04:07:34 PM
ต่อครับ...

รักสามเส้า
สยาม-เขมร-ฝรั่งเศส สมัย ร.๔

ในสมัยรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงตระหนักถึงพิษภัยจากการคุกคามของฝรั่งเศส
มีมากกว่าอังกฤษ ในขณะที่พระองค์ทรงแสวง หาหนทางที่จะป้องกันมิให้ฝรั่งเศสคุกคามสยามประเทศ
พระองค์ก็ยังต้องทรงพะว้าพะวังกับการกีดขวางมิให้เขมรหันไปคบค้ากับฝรั่งเศส ทั้งๆ ที่รู้ว่าจะไม่ทรง
สามารถต้านทานความดื้อดึงของฝรั่งเศสได้ ท่าทีของสยามในยุคนี้ดำเนินอยู่แบบรักสามเส้าคือ
ไม่มีใครสมหวังได้ทั้งหมด กล่าวคือถึงแม้ว่ารัชกาลที่ ๔ จะทรงรักษาสัมพันธภาพกับฝรั่งเศสไว้ได้
พระองค์ก็ต้องทรงยอมให้ฝรั่งเศสเฉือนประเทศเขมรออกไปจากขอบขัณฑสีมาด้วยความขมขื่นพระทัย

เมื่อสิ้นสมเด็จพระหริรักษ์ฯ ในปี ค.ศ. ๑๘๖๐ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงสถาปนาพระนโรดมฯ
ผู้ซึ่งเติบโตในกรุงเทพฯ ให้ออกไปครองเมืองเขมร พระราชทานพระนามว่าสมเด็จพระนโรดมพรหมบริรักษ์
กรุงปารีสเห็นเป็นจังหวะดีจึงส่งนายพลกรองดิแยร์เข้ามาขอเฝ้ากษัตริย์เขมรองค์ใหม่ แล้วเลยถือโอกาส
แย้มให้เห็นผลประโยชน์ที่เขมรจะได้รับถ้าทำสัญญากับฝรั่งเศส ข่าวนี้รั่วไหลเข้ามายังกรุงเทพฯ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงเล็งเห็นถึงอันตรายที่เมืองประเทศราชเขมรอันเป็นที่รัก
กำลังใกล้ที่จะแยก ตัวออกไปในไม่ช้า

ในปีเดียวกันนั้นเอง มีพระราชดำริให้รื้อปราสาทเขมร ๒ องค์ เข้ามาไว้ในกรุงเทพฯ
เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการรำลึกถึงตลอดไป ทรงกำหนดให้ขนย้ายมาไว้ที่เขามหาสวรรค์องค์หนึ่ง
และที่วัดปทุมวันอีกองค์หนึ่ง ทรงคัดเลือกปราสาทตาพรหมอันงดงามเป็นองค์แรกแต่ก็ไม่สำเร็จ
บังเอิญเกิดอาเพศมีกองทหารเขมรโบราณฮือออกมาจากป่าฆ่าขุนนางไทยผู้ควบคุมการรื้อถอนจนเสียชีวิต
จึงโปรดให้ระงับแผนทั้งหมดทันที แล้วโปรดให้จำลองปราสาทนครวัดอย่างย่อ เข้ามาสร้างไว้แทนภายใน
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีปรากฏอยู่จนทุกวันนี้

กระทั่งปี ค.ศ. ๑๘๖๓ สมเด็จพระนโรดมฯ ทรงยอมทำสัญญาอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของรัฐบาลกรุงปารีส
ฝ่ายฝรั่งเศสประกาศว่าเป็นไปโดยความสมัครใจของสมเด็จพระนโรดมฯ เอง เพราะอยู่ภายใต้อารักขาของ
สยามไม่ผาสุก ในขณะที่ตัวสมเด็จพระนโรดมฯ ทรงส่งพระราชสาส์นเข้ามากราบทูลว่า ถูกแม่ทัพฝรั่งเศส
บีบบังคับให้ทำสัญญาฉบับนี้ นายเดวิด แชนด์ เลอร์ ผู้เชี่ยวชาญพงศาวดารเขมรบันทึกเพิ่มเติมอีกว่า
สมเด็จพระนโรดมฯ ทรงยอมยกกรุงกัมพูชาให้อยู่ในความคุ้มครองของฝรั่ง เศส เพื่อปกป้องความมั่นคงของ
ราชบัลลังก์และพิทักษ์อำนาจสิทธิ์ขาดในการปกครองของพระองค์ แต่ก็ระบุไว้อย่างสงสัยว่า
ไม่มีใครรู้อย่างแน่ชัดถึงพระราชประสงค์ที่แท้จริงในการตัดสินพระทัยครั้งนี้

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ มีพระราชประสงค์ที่จะรักษาฐานะเจ้าอธิราชอันชอบธรรมของพระองค์ไว้
เพื่อผูกมัดราชสำนักเขมรไว้กับสยามต่อไป จึงได้ทำ "สัญญาลับ" กับเขมรขึ้นฉบับหนึ่ง
ในวันที่ ๑ ธันวาคม ค.ศ. ๑๘๖๓ ในสัญญานั้น ฝ่ายสยามอ้างสิทธิ์ในการประกอบพิธีราชาภิเษกกษัตริย์เขมร
ซึ่งในขณะนั้นพระนโรดมฯ ยังไม่ได้รับการราชาภิเษก แต่ฝรั่งเศสก็หาทางขัดขวางไว้เช่นเคย ในที่สุดฝ่ายไทย
ก็ต้องยอมให้พระนโรดมฯ ทำพิธีราชาภิเษกที่เมืองอุดงมีชัยในเขมรแทนที่กรุงเทพฯ

กงสุลฝรั่งเศสชื่อนายโอบาเรต์ (M. Aubaret) พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะทำให้สัญญาลับฉบับนี้เป็นโมฆะ
เพื่อให้รวดเร็วขึ้นฝรั่งเศสส่งเรือรบชื่อ "มิตราย" เข้ามาข่มขู่ในน่านน้ำเจ้าพระยา ในที่สุดเจ้าพระยากลาโหม
(ช่วง บุนนาค) จำยอมลงนามในสัญญากับฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน ค.ศ. ๑๘๖๕ สาระสำคัญ
มีเพียง ๔ ข้อ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เขมรและสยามขาดกันโดยเด็ดขาด คือ

๑. พระเจ้าแผ่นดินไทยยอมรับว่าเขมรตกเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศส

๒. สัญญาลับระหว่างสยามกับเขมรเป็นโมฆะ

๓. อาณาจักรเขมรเป็นอิสระ อยู่ระหว่างดินแดนในครอบครองของฝรั่งเศสและสยาม

๔. เขตแดน "เมืองบัตบอง นครเสียมราบ" และเมืองลาวของสยาม ซึ่งติดต่อเขตแดนเขมร
ฝรั่งเศสยอมรับให้คงอยู่กับสยามต่อไป(๕)

นับแต่นั้นมาฝรั่งเศสก็เดินหน้าขยายอำนาจในอินโดจีนให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยมีเขมรเป็นที่มั่นใหม่
และฐานส่งกำลังบำรุงอันแข็งแกร่ง ในขณะที่ฝ่ายสยามหันหลังกลับไปล้อมรั้วเมืองพระตะบอง
และเสียมราฐให้มั่นคง เพียงแค่รักษากรรมสิทธิ์ของขุนนางสยามเอาไว้ แต่ก็แทบจะไร้ความหมาย
ในระหว่างนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เสด็จสวรรคตกะทันหัน ในปี ค.ศ. ๑๘๖๘ ภายหลังเสด็จไป
ทอดพระเนตรสุริยุปราคา ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ศักยภาพของสยามเหนือเขมรเข้าสู่ยุคอ่อนแอ
แบบไม่ทันตั้งตัวจนแทบจะเอาตัวไม่รอดเช่นกัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงเสวยราชย์
ขณะพระชนมายุเพียง ๑๕ พรรษา พระองค์ทรงไม่แข็งแรงพอที่จะเป็นเสาหลักให้หัวเมืองประเทศราช
ยึดเหนี่ยวได้เหมือนรัชกาลก่อนๆ

ความสัมพันธ์ระหว่าง ๒ ราชสำนักขาดสะบั้นลงแบบหักลำ เขมรส่วนในบัดนี้ตกอยู่ในความดูแลของครอบครัว
เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์โดยสิ้นเชิง ตามกติกาเดิมสมัยรัชกาลที่ ๑ ที่ทุกฝ่ายยืนยันที่จะเคารพต่อไป
แต่ท่ามกลางบรรยากาศอึมครึมเต็มที

ความตกลงฉันมิตรอังกฤษ-ฝรั่งเศส กดดันให้สยามหาทางออกเรื่องเมืองเขมรในสมัยรัชกาลที่ ๕
ฝรั่งเศสยังเป็นประเทศที่น่ากลัว และแสดงความก้าวร้าวเชิงนโยบายอย่างไม่ลดละ

ภายหลังการเสด็จประพาสยุโรป ในรัชกาลที่ ๕ ครั้งแรกในปี ค.ศ. ๑๘๙๗ สถานภาพของสยาม
เริ่มเป็นที่ยอมรับของผู้นำยุโรปชั้นแนวหน้ามากขึ้น แต่ชั่วเวลาไม่ถึง ๗ ปี หลังจากนั้นเมื่อปรากฏว่า
อิทธิพลของมหาอำนาจขั้วใหม่ คือรัสเซียและเยอรมนีเริ่มเข้ามามีบทบาทในภูมิภาคแถบนี้ อังกฤษ-ฝรั่งเศส
จึงหาวิธี ปรองดองกันเพื่อกีดกันกระแสนิยมของชาติยุโรปอื่นๆ ออกไป

Anglo-French Entente หรือบางทีเรียก Entente Cordiale 1904 เป็นความตกลงระหว่าง
อังกฤษกับฝรั่งเศส ภายหลังจากที่ทั้งสองมหาอำนาจตระหนักว่าผลประโยชน์ของตน
เร่งเร้าให้ต่างฝ่ายต่างต้องสามัคคีกันแทนที่จะเป็นปฏิปักษ์ต่อกันดังที่แล้วๆ มา
โดยมีเจตนารมณ์แห่งการประนีประนอม เพื่อขจัดปัญหาข้อพิพาทเกี่ยวกับอียิปต์ โมร็อกโก
แอฟริกาตะวันตก มาดากัสการ์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือประเทศสยาม(๗)

ท่ามกลางบรรยากาศของความสมานฉันท์ ซึ่งเป็นอานิสงส์ที่ได้มาจากการที่ฝรั่งเศสเองก็ต้องการ
ปรับความเข้าใจกับอังกฤษ ตามแนวคิดของความตกลงฉันมิตรนั่นเอง ในปีเดียวกันนั้นรัฐบาลสยาม
ก็สามารถตกลงกับทางฝรั่งเศส เพื่อผ่อนปรนความเสียเปรียบบางประการโดยเฉพาะเรื่องสิทธิสภาพ
นอกอาณาเขต และการให้ฝรั่งเศสถอนทหารออกจากจันทบุรี อันเป็นหอกข้างแคร่ของฝ่ายไทยตั้งแต่
อนุสัญญา ฉบับ ร.ศ. ๑๑๒ ถูกบังคับใช้เป็นต้นมา ข้อผ่อนผันนี้เรียกอนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๙๐๔
ฝรั่งเศสเร่งรัดอนุสัญญาฉบับนี้ให้เสร็จเร็วขึ้น ก็เพื่อรีบจัดโซนแนวชายแดนกับอังกฤษให้เป็นสัดส่วน
โดยเร็วตามข้อตกลงอังกฤษ-ฝรั่งเศส

ทว่าอนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๙๐๔ ก็ยังมีจุดอ่อนเป็นข้อผูกมัดที่ฝ่ายไทยกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ดี
กล่าวคือ ฝรั่งเศสยอมถอนทหารออกจากจันทบุรี แต่มีข้อแม้ว่าจะสามารถไปตั้งค่ายใหม่ไว้ที่ตราดแทน
นอกจากนั้นยังแสดงว่า ฝรั่งเศสเองก็ยังมีแผนการที่จะคงไว้ซึ่งอิทธิพลของตนในเขตแดนเขมรของไทยต่อไป
เช่น การเรียกร้องสิทธิ์ที่จะสร้างทางรถไฟ เส้นทางฮานอย-พนมเปญ-พระตะบอง และร้องขอสิทธิ์ในการ
บังคับบัญชาตำรวจท้องที่ ในเขตเขมรส่วนในซึ่งที่จริงยังเป็นกรรมสิทธิ์ของสยาม

ความตั้งใจของฝรั่งเศสในการครอบครองเขมรส่วนที่เหลือ กดดันให้สยามผ่อนปรนอภิสิทธิ์เหนือเขตปกครองพิเศษ
พระตะบองและเสียมราฐ ฝรั่งเศสเกรงว่าการผูกขาดของสยามแต่เพียงผู้เดียวย่อมเป็นตัวถ่วงความเจริญ
มิให้อาณาจักรอินโดจีนของฝรั่งเศสครบถ้วนสมบูรณ์ได้ จึงพยายามทุกวิถีทางที่จะยกเลิกเอกสิทธิ์พิเศษของ
ขุนนางตระกูลอภัยวงศ์ในรัชสมัยนี้

มีต่อครับ...


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: naisomchai ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 04:08:27 PM
ต่อครับ...

เอกสารที่จิตร ภูมิศักดิ์ ตามหา

จิตร ภูมิศักดิ์ นักประวัติศาสตร์ไทยวิจารณ์ประเพณีกินเมืองสมัยรัตนโกสินทร์
ในหนังสือโฉมหน้าศักดินาไทยเขียนพาดพิงถึงเขตปกครองพิเศษด้านพระตะบองและเสียมราฐเอาไว้
ผู้เขียนเห็นว่าเป็นเนื้อหาน่ารู้ จึงนำมาเผยแพร่ไว้ ณ ที่นี้ด้วย

"การแบ่งสัดส่วนที่ดินยกให้แก่ข้าราชบริพารครอบครอง เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ครั้งยิ่งใหญ่
ในประวัติศาสตร์ไทย ก็คือ การยกเขตแดนเมืองพระตะบองและเสียมราฐให้แก่เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน)
ในสมัยรัชกาลที่ ๑ เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๓๗ ครั้งนั้นทรงพระราชดำริว่า เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน)
ได้รั้งราชการกรุงกัมพูชาอยู่ช้านาน มีบำเหน็จความชอบแต่มิใช่พวกนักองค์เอง ซึ่งเป็นเจ้ากรุงกัมพูชาขึ้นใหม่
จึงมีพระราชดำรัสขอเมืองพระตะบอง เสียมราฐ ให้เจ้า พระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) เป็นผู้สำเร็จราชการขึ้นตรงต่อ
กรุงเทพฯ นักองค์เองก็ยินดีถวายตามพระราชประสงค์ เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) จึงได้เป็นผู้สำเร็จราชการ
เมืองพระตะบอง และเป็นต้นตระกูลวงศ์เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (ชุ่ม) ซึ่งได้สำเร็จราชการเมืองพระตะบองสืบมา

นี่เป็นหลักฐานเพียงบางส่วนเท่าที่หาได้จากเอกสารอันกระท่อนกระแท่นของเรา และก็เพราะเรามีเอกสาร
เหลืออยู่น้อยนี้เอง จึงทำให้เรามองไม่ค่อยเห็นกระจ่างชัดนักว่าเราได้เคยมีการมอบที่ดินให้แก่กันจริงจัง
ในครั้งใดเท่าใด และบางทีก็มองไม่เห็นว่าจะมอบให้กันอย่างไร แต่อย่างไรก็ดี ถ้าหากเราจะหันไปมองดู
ในประวัติศาสตร์ต่างประเทศที่มีการเก็บรักษาเอกสารไว้อย่างครบถ้วน เราก็จะมองเห็นได้ชัดขึ้น"(๒)

ความรู้ที่ได้จากสำนวนนี้ คือ

๑. การครอบครองพระตะบองและเสียมราฐของขุนนางไทย เป็นการแสวงหาผลประโยชน์ครั้งยิ่งใหญ่
ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ตรงนี้เราไม่เคยทราบมาก่อน

๒. ข้อมูลเชิงลึกในเอกสารบ้านเราหาอ่านไม่ค่อยได้ ทำให้ต้องวิเคราะห์หาความจริงเอาเอง
ในขณะที่เอกสารจากต่างประเทศเปิดกว้างมากกว่า แต่ก็หาอ่านลำบากอยู่ดี

วารสารร่วมสมัยที่พบต่อไปนี้ จึงน่าจะเป็นฐานข้อมูลที่คุณจิตรถามหาอยู่บ่อยๆ ในสมัยของคุณจิตร

วารสารนักล่าอาณานิคม ตีแผ่สัญญารัชกาลที่ ๕ ค.ศ. ๑๙๐๗
การตอบโต้ความตกลงฉันมิตรอังกฤษ-ฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๙๐๔ คือการนำเอานโยบาย "ลู่ตามลม"
กลับมาใช้ตามแผน "ยุทธศาสตร์กันชน" อีกครั้ง เพื่อที่จะอยู่ได้ท่ามกลางมวลหมู่จักรวรรดินิยม
ที่จ้องเอารัดเอาเปรียบตลอดเวลา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงตัดสินพระทัยเสด็จประพาสยุโรป
อีกเป็นครั้งที่ ๒ ในปี ค.ศ. ๑๙๐๗ ก็เพื่อเดินหน้าหาเสียงสนับสนุนจากบรรดาผู้นำประเทศในยุโรป
ที่ฝรั่งเศสเกรงใจ และต่อรองกับฝรั่งเศสโดยตรงเพื่อแก้ไขปัญหาเก่าๆ ที่ยังตกลงกันไม่ได้

การเสด็จไปเยือนผู้นำยุโรปของรัชกาลที่ ๕ ในครั้งนี้สร้างความหนักใจให้ทางฝรั่งเศสอย่างมาก
พันโทแบร์นาร์ (Colonel Bernard) หัวหน้าคณะปักปันเขตแดนของฝรั่งเศสเตือนรัฐบาลกรุงปารีสว่า
การเสด็จมาจะเป็นอันตรายต่อแผนการของฝรั่งเศส เพราะพระเจ้าแผ่นดินสยามสามารถร้องขอความเป็นธรรม
ให้ชาติที่เป็นกลาง (หมายถึง เยอรมนี เดนมาร์ก และอิตาลี) ยอมสละสิทธิสภาพนอกอาณาเขตของตน
อันจะเป็นการทำให้สิ่งที่ฝรั่งเศสพร้อมที่จะเสนอให้สยามหมดคุณค่าไป ดังนั้นการเจรจาใดๆ
เพื่อให้รัชกาลที่ ๕ ทรงตัดสินพระทัยโดยรีบด่วน จึงมีความสำคัญเพื่อตกลงกันให้เรียบร้อย
ก่อนการเสด็จประพาสยุโรปจะเกิดขึ้น

วารสารนักล่าอาณานิคม ชื่อ La D"pche Coloniale ฉบับวันที่ ๓๐ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๐๗
ชี้เบื้องหลังการเสด็จฯ ครั้งนี้ว่ามีเหตุผลทางการเมืองแฝงอยู่อย่างมาก ทั้งนี้เนื่องจากบรรยากาศ
ทางการเมืองที่เปลี่ยนไปในยุโรป โดยเฉพาะความตกลงฉันมิตรอังกฤษ-ฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๙๐๔
เพิ่มความกดดันให้ผู้นำประเทศเล็กๆ แสวงหาความชอบธรรมที่จะคงอยู่บนแผนที่โลกต่อไป
หนึ่งในหนทางที่เลือกใช้กันก็คือ "การประนีประนอม"(๙)

"แท้จริงแล้ว สนธิสัญญาฉบับวันที่ ๒๓ มีนาคม ๑๙๐๗ ระหว่างฝรั่งเศสและสยามก็คือ
เพชรจากยอดมงกุฎ ที่แสดงให้เห็นคุณค่าของความพยายามที่จะตกลงกันที่ต่อยอดมาจาก
สนธิสัญญา ฉบับวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๑๙๐๔ และจากความพยายามที่จะปรองดองกัน
ทำให้ได้ข้อยุติอย่างเป็นเอกฉันท์ โดยที่จะไม่มีการเสียเปรียบเกิดขึ้นอีกเลย...
เรายินดีที่จะยุติบทบาทของเราในเวลานี้ ขณะที่อำนาจของเรายังมีอยู่แลกกับดินแดนในอารักขาของเรา...
หากสยามคล้อยตามสิ่งที่เราเสนอแล้ว สยามเองก็จะได้ข้อยุติที่ชาวสยามปรารถนา"(๙)

และเนื่องจากวารสารฉบับนี้เป็นเอกสารกึ่งทางการ กึ่งข่าวสารมวลชน เนื้อหาของข่าวจึงได้รับ
การวิเคราะห์ให้เข้าใจง่ายสำหรับคนทั่วไป มากกว่าที่จะเป็นเอกสารของรัฐบาลอันกำกวม
ดังใจความบางตอนที่จะไม่พบในต้นฉบับของสัญญาตัวจริงดังนี้

"การรื้อฟื้นเขตแดนเขมรในคราวนี้ จะทำให้เราได้จังหวัดอันมีค่า
ที่เราสูญเสียไปกลับคืนมาด้วย รวมทั้ง

๑. ขวัญและกำลังใจของชนชาวเขมรโดยรวม

๒. ทรัพย์ในดินสินในน้ำอันมั่งคั่งร่ำรวยที่สุดของอินโดจีน

๓. โบราณสถานอันล้ำเลิศของนครวัด(๙)

เพื่อขจัดความบาดหมางและกินใจที่เคยมีต่อกันมา รัฐบาลฝรั่งเศสเสนอให้มีการแลกเปลี่ยนดินแดนกัน
แต่ในตอนแรกก็มีปัญหาอีกจนได้ เพราะเขมรส่วนในที่ฝรั่งเศสต้องการเป็นดินแดนกว้างใหญ่
ถึง ๓๐,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร และประชากรราว ๓ แสนคน ประกอบด้วยเมืองพระตะบอง เสียมราฐ
และศรีโสภณนั้นไม่สมดุลกับการแลกเปลี่ยนกับเมืองตราด ที่มีเนื้อที่เล็กน้อยเพียง ๔,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร
กับประชากรเพียง ๓ หมื่นคน ฝรั่งเศสจึงตกลงที่จะคืนเมืองด่านซ้าย (ในจังหวัดเลย) เพิ่มให้อีกและ
ยอมยกเลิกสิทธิสภาพ นอกอาณาเขตให้ ซึ่งทำให้ฝ่ายสยามพอใจ"(๙)

หนังสือพิมพ์ข่าวสารอาณานิคมอีกฉบับหนึ่งชื่อ Le Petit Journal MILITAIRE MARITIME COLONIAL
ระบุอย่างโจ่งแจ้งว่า การเสด็จประพาสกรุงปารีสในรัชกาลที่ ๕ เป็นเหตุผลทางราชการมากกว่า
การเสด็จส่วนพระองค์ตามที่เข้าใจกัน และเพื่อจะได้ลงพระนามในสนธิสัญญาแลกเปลี่ยนดินแดน
กับทางฝรั่งเศส(๑๐)

ข้อต่อรองในสนธิสัญญาฉบับสุดท้ายนี้ ไม่เป็นที่เปิดเผยต่อสาธารณชนจนนาทีสุดท้าย
แต่ก็พอมีร่องรอยปรากฏอยู่บ้างในพระราชนิพนธ์ไกลบ้าน เช่น "อันที่จริงก็ไม่ใช่จะเที่ยวอย่างเดียว
เป็นราชการอยู่บ้าง" (พระราชหัตถเลขาฉบับที่ ๒๔ ในไกลบ้าน)

นายควง อภัยวงศ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ๔ สมัยของไทย บุตรชายของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (ชุ่ม อภัยวงศ์)
ผู้เป็นเจ้าเมืองพระตะบองคนสุดท้าย เล่าเหตุการณ์ขณะที่ครอบครัวของท่านกำลังถอยออกมา
และสยามยอมสละดินแดนประเทศราชที่สยามหวง แหนที่สุดให้คนอื่นไป

"เรา [หมายถึงบรรพชนของท่าน] ได้ช่วยกันรักษาพระราชอาณาจักรให้ตลอดรอดฝั่งมาจนกระทั่ง
ตอนหลังเขมรก็กลายเป็นประเทศในอารักขาของฝรั่งเศส ฝรั่งเศสก็พยายามที่จะเอาแผ่นดินเหล่านี้
กลับคืนจึงขอตั้งกงสุลขึ้นที่จังหวัดพระตะบอง แล้วก็หาเรื่องหาราวต่างๆ ตระกูลของผมก็ช่วยกัน
ผ่อนหนักผ่อนเบาตลอดมา ภายหลังสัญญาปี ๑๙๐๔ ฝ่ายเราเจรจากันจนฝรั่งเศสยอมถอนทหาร
ออกจากจันทบุรี แต่ดันไปยึดตราดไว้แทน และขอเจรจาเรื่องมณฑลบูรพา (เขมรส่วนใน) ต่อไป
ทางไทยเราก็ไม่มีหนทางที่จะทำอย่างอื่น ต้องเอากุ้งฝอยแลกปลากะพง

ตามที่ผู้ใหญ่เล่าให้ผมฟังนั้น ได้มีพระบรมราชโองการเรียกเจ้าคุณพ่อของผมลงมากรุงเทพฯ
และทรงรับสั่งถามความเห็น คุณพ่อของผมก็กราบบังคมทูลว่า เราควรจะเอาจังหวัดที่เป็นของไทยไว้
ส่วนที่เป็นจังหวัดเขมรถ้าจำเป็นจะต้องเสีย ก็ควรยอมเสียจังหวัดที่เป็นเขมร รักษาจังหวัดไทยไว้ดีกว่า
ก็เป็นอันตกลงทำสัญญาคืนมณฑลบูรพาให้แก่เขมรไป ในการเจรจาขั้นต่อไปฝรั่งเศสได้บอกว่า
สำหรับเจ้าคุณพ่อผมนั้นจะอยู่ที่พระตะบองต่อไปก็ได้ เขาขอร้องให้อยู่ ส่วนเกียรติยศเกียรติศักดิ์
เคยมีมาอย่างไรก็จะขอให้อย่างนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ก็ทรงรับสั่งเรียกเข้ามาถามว่า
ว่ายังไงจะอยู่ทางโน้นหรือจะคิดอย่างไร แต่เจ้าคุณพ่อของผมได้กราบบังคมทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้ามีนาย
แต่เพียงคนเดียว ขอกลับบ้านเดิม และเราก็อพยพมาในเวลานั้น...แน่ละการที่เราไปอยู่เมืองเขมรมา
ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ จนกระทั่งปลายรัชกาลที่ ๕ นั้น การปะปนระหว่างเขมรกับพวกผมนี่มีมากมาย
ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร คราวนี้ท่านก็พิจารณาเอาเองเถิดว่าผมจะเป็นเขมรหรือเป็นไทย"(๑)

ภายหลังเขมรตกเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศสโดยสมบูรณ์แล้ว สื่อมวลชนฝรั่งเศสตั้งตัวเป็นคนกลาง
สร้างกระแสนครวัด ให้เป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองของกษัตริย์เขมร นโยบายดังกล่าวคือ
การรณรงค์ให้มีการเพิ่มสำนึกในเอกลักษณ์ของชาติ โดยเชื่อมโยงเขมรเข้ากับยุคของเมืองพระนคร
การหยิบยกนครวัดขึ้นมาก็เพื่อใช้เป็นภาพแทนศักดิ์ศรีของชาติ ซึ่งสื่อความหมายได้โดยง่าย

แต่สำหรับชาวฝรั่งเศสแล้ว เมืองพระตะบองและเสียมราฐดูจะมีประโยชน์และความสำคัญ
แก่ระบบการปกครอง และนักวิชาการชาวฝรั่งเศสมากกว่าชาวเขมรทั่วไป ภาพของอารยธรรม
อันรุ่งโรจน์ของนครวัด จึงถูกดึงขึ้นมาแทนที่สัญลักษณ์อื่นๆ ที่อธิบายจุดมุ่งหมายไม่ได้
การที่ชาวเขมรได้นครวัดกลับคืนไป ก็เท่ากับฝรั่งเศสได้ดินแดนที่นครวัดตั้งอยู่คืนไปด้วย
ซึ่งหมายถึงอาณาเขตที่สมบูรณ์แบบของอินโดจีนที่ ฝรั่งเศสต้องการ ทฤษฎีอื่นๆ ที่ฝรั่งเศส
ใช้ในการปลุกจิตสำนึกอย่างได้ผลสำหรับการสร้างสัญลักษณ์ก็คือ การสร้างอนุสาวรีย์เจ้าศรีสวัสดิ์
รับมอบดินแดนคืนจากสยาม ในปี ค.ศ. ๑๙๐๗ และการสร้างนครวัดจำลองไปอวดสายตาคนทั้งโลก
ตามงานมหกรรมโลกที่ตนถนัด ซึ่งจัดอย่างสม่ำเสมอในฝรั่งเศส เช่น ในปี ค.ศ. ๑๘๖๗, ๑๘๗๘, ๑๙๐๐,
๑๙๒๒ และ ๑๙๓๑ ตามลำดับ

สำหรับชาวสยาม การโอนคืนพระตะบองและเสียมราฐ ถือเป็นการตัดสินใจเพื่อเกียรติภูมิของชาติเช่นกัน
ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่ต้องปกปักรักษาไว้ก็คือเขตแดนสยามของเราเองโดยพฤตินัย ดังนั้นเมื่อข้อแลกเปลี่ยน
อยู่ในวิสัยที่เป็นไปได้ การเก็บรักษานครวัด ซึ่งมิใช่ของของสยามแต่ดั้งเดิมจึงไม่มีคุณค่าและ
ไม่มีความหมายอีกต่อไป ในสถานการณ์เช่นนี้

มีต่อบรรณานุกรม...


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: SillyOldMan ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 04:08:33 PM
ตอบแบบคนไม่เคยสนใจเรื่องสถาปัตยกรรม ผมยกให้"กำแพงเมืองจีน"ยิ่งใหญ่ที่สุดครับ

สร้างขึ้นด้วยอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ คือเพื่อปกป้องประชาชนในชาติให้ปลอดภัยจากการปล้นฆ่าข่มขืนของผู้รุกราน

สิ่งก่อสร้างประเภทมหาวิหาร/มหาโปรเจกต์ทั้งหลายแหล่อื่นๆ ล้วนเพื่อตอบสนองกิเลสส่วนตัวเต็มที่ก็เพื่อผู้คนในกลุ่มเล็กๆ,ความอยากได้อยากมี,ความอยากโชว์,อยากขึ้นสวรรค์ส่วนบุคคลทั้งนั้น


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: naisomchai ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 04:09:16 PM
บรรณานุกรม...

เอกสารประกอบการค้นคว้า
(๑) ควง อภัยวงศ์, พันตรี. สุนทรพจน์เรื่องชีวิตของข้าพเจ้า.
พิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพ คุณหญิงเลขา อภัยวงศ์, ๒๕๒๖.

(๒) จิตร ภูมิศักดิ์. โฉมหน้าศักดินาไทย. กรุงเทพฯ : ศรีปัญญา, ๒๕๔๘.

(๓) ณัฐวุฒิ สุทธิสงคราม. ๒๙ เจ้าพระยา (ฉบับพิสดาร). กรุงเทพฯ, ๒๕๐๙.

(๔) เติม สิงหัษฐิต. ฝั่งขวาแม่น้ำโขง, กรุงเทพฯ : คลังวิทยา, ๒๔๙๐.

(๕) เพ็ญศรี ดุ๊ก, ศ.ดร. ความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙.
กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๓๙.

(๖) สอ สัจจวาที. ความรู้เรื่องเมืองสยาม. กรุงเทพฯ : สาส์นสวรรค์, ๒๕๐๗.

(๗) สารานุกรมประวัติศาสตร์สากลสมัยใหม่ : ยุโรป เล่ม ๑ อักษร A-B.
กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๓๑.

(๘) สารานุกรมประวัติศาสตร์สากลสมัยใหม่ : เอเชีย เล่ม ๑.
กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๓๙.

(๙) La D"pche Coloniale. Paris, 30 Juin 1907.

(๑๐) Le Petit Journal MILITAIRE MARITIME, COLONIAL, Paris, 30 Juin 1907.

จบครับ... เย้...


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: urtkop ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 04:12:18 PM
ที่แสบที่สุดคือ....

ชั้นโหลนยังอุตส่าห์ตั้งพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาไว้เป็นคู่กัดกับฮุนเซนอีก  ::007::




ทายาทของนายแบนพออพยพมาอยู่สยามแล้วเค้าใช้นามสกุลสกุล"อภัยวงศ์"กันหน่ะ  ::005::  ::007::  ::005::

ว่าจะ +1 ให้, แต่เสียดายคะแนน 1111 เลยขอติดไว้ก่อนละกันครับ


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 04:17:59 PM
ขอบพระคุณทุกๆท่าน ที่มอบความรู้ดีๆให้ครับ

 ::014::


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: SillyOldMan ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 04:18:44 PM
ขอบคุณครับพี่สมชาย

เล่มที่ผมอ่านมา ท่านแบนปกครองเขมรอย่างกดขี่จนเกิดกบฏขึ้นในเขตปกครองหลายครั้งจนถูกเรียกตัวกลับมาที่กรุงเทพฯ ล้นเกล้ารัชกาลที่1สั่งลงโทษ"ตัดหู ตีตรวนแล้วส่งเข้าคุก"...ไม่ทราบว่าด้วยเหตุใด ไม่นานต่อมาก็กลับโปรดฯอภัยโทษแล้วส่งกลับไปให้ปกครองเขมรอีกครั้ง

คราวนี้ละโหดมาก ท่านแบนเล่นฆ่าดะจนเมืองแทบร้าง ในบันทึกของฝ่ายเขมรเขียนไว้ว่าท่านฆ่าเป็นว่าเล่นจน"เงิน1 ตำลึงซื้อหญิงสาวได้20คน , หญิงหม้าย1คนมีราคาแค่หมากทะลายหนึ่ง"

เขมรมันเลยรักสยามแทบตาย และยิ่งรักประชาธิปัตย์ลึกซึ้งเป็นพิเศษ  ::005::


ป.ล.อัตราแลกเปลี่ยนอาจจะคลาดเคลื่อนบ้างนะครับ แต่ก็ราวๆนี้แหละ  ;D


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: SillyOldMan ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 04:19:49 PM


ว่าจะ +1 ให้, แต่เสียดายคะแนน 1111 เลยขอติดไว้ก่อนละกันครับ

ขอบคุณครับ  :D




ขอบพระคุณทุกๆท่าน ที่มอบความรู้ดีๆให้ครับ

 ::014::

เจี๊ยก  :OO


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 04:35:18 PM
ที่แสบที่สุดคือ....

ชั้นโหลนยังอุตส่าห์ตั้งพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาไว้เป็นคู่กัดกับฮุนเซนอีก  ::007::

ทายาทของนายแบนพออพยพมาอยู่สยามแล้วเค้าใช้นามสกุลสกุล"อภัยวงศ์"กันหน่ะ  ::005::  ::007::  ::005::

เดี๋ยวขอนับญาติก่อน แสดงว่านายแบนเป็นบรรพบุรุษของ ชุ่ม อภัยวงศ์(เจ้าพระยาอภัยภูเบศร)
แต่เป็นอะไรกันครับ เพราะผู้ปกครองคนสุดท้ายที่ออกจากพระตะบอง(เนื่องจากเสียดินแดนไปให้ฝรั่งเศส)
นำไพร่พลมาอยู่ปราจีนบุรีคือ เจ้าพระยาอภัยภูเบศร


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: naisomchai ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 05:34:45 PM
ขอบพระคุณทุกๆท่าน ที่มอบความรู้ดีๆให้ครับ

 ::014::

 ::014:: ::014:: ::014::


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: naisomchai ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 05:38:07 PM
ที่แสบที่สุดคือ....

ชั้นโหลนยังอุตส่าห์ตั้งพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาไว้เป็นคู่กัดกับฮุนเซนอีก  ::007::

ทายาทของนายแบนพออพยพมาอยู่สยามแล้วเค้าใช้นามสกุลสกุล"อภัยวงศ์"กันหน่ะ  ::005::  ::007::  ::005::

เดี๋ยวขอนับญาติก่อน แสดงว่านายแบนเป็นบรรพบุรุษของ ชุ่ม อภัยวงศ์(เจ้าพระยาอภัยภูเบศร)
แต่เป็นอะไรกันครับ เพราะผู้ปกครองคนสุดท้ายที่ออกจากพระตะบอง(เนื่องจากเสียดินแดนไปให้ฝรั่งเศส)
นำไพร่พลมาอยู่ปราจีนบุรีคือ เจ้าพระยาอภัยภูเบศร

เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์คือชื่อตำแหน่ง เขาถึงใส่ชื่อจริงในวงเล็บเอาไว้ครับ... ทีนี้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ก็มีหลายคนหากไม่ดูชื่อในวงเล็บปุ๊บ ก็ดูเหมือนคนเดียวอายุยืนข้ามช่วงอายุคนปรกติ(เหมือนแวมไพร์)ครับ... แฮ่ๆ...


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: bobphasit-รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 05:40:53 PM
   ขอบคุณสำหรับความรู้อีกด้านหนึ่งครับ  ::014::


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: ค..ควาย...ใส่ชฎา ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 07:20:17 PM
นายสมชายเอามาจากนี่ครับ... http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000020698

รายละเอียดข้างล่าง ตามตัวแดงครับ... นายสมชายอ่านแล้วมีเหตุผล โดยเฉพาะคุณทวิช จิตรสมบูรณ์ ผู้เขียนได้ทิ้งท้ายว่า"หลักฐานเหตุผลรายละเอียดยังมีอีกมาก แต่วันนี้เกินโควตาหน้ากระดาษแล้ว ขอจบเพียงเท่านี้ พร้อมนี้ขอท้าโต้วาทีกับนักวิชาการโปรเขมรแบบซึ่งหน้าที่ไม่ลอบกัดกันแบบที่ผ่านมา ทั้งที่ผมเป็นวิศวกร ส่วนพวกท่านเป็น ดร. ทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี กล้ารับคำท้าผมไหม ใครแพ้ให้ตัดหัวเสียประจานไว้ที่หน้าประตูนครวัด"...
************************************************************************************



Ha Ha Ha  ฮา  "ฮั่นแน่"  นายสมชาย(ฮา)  อ่ะ ฮา

"เซียนหุ้น"  มาคุยเรื่อง ประวัติศาสตร์ อ่ะ ฮา
แล้วยิ่งเอามาจาก "หมา เน เจอ "  ฮา
เจ้าของคือ  "มนุษย์พิศดาร"  เจ้าของตำรา  "โรคเลื่อน"  ฮา
โทษของเขา  รวมกันแล้ว  ติดคุก รวม "สามร้อยปี" อ่ะ ฮา

มันจะเชื่อได้เร๊อะ  ฮา

5555 ยายว่า  พรุ่งนี้  ทั้งกระดาน "แดงเถือก"  อ่ะ  ฮา   ::005:: ::007:: ::007:: ::007::

ถ้าอย่างนั้น  ยาย "เดา"  ว่า ฮา  ::007::
นายสมชาย(ฮา)  เคยเกิด และโตที่ "ตลาด ในเขื่อน ยัน ฮิ"  อ่ะ ฮา  ::006::


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: Southlander ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 07:44:26 PM
นายสมชายเอามาจากนี่ครับ... http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000020698

รายละเอียดข้างล่าง ตามตัวแดงครับ... นายสมชายอ่านแล้วมีเหตุผล โดยเฉพาะคุณทวิช จิตรสมบูรณ์ ผู้เขียนได้ทิ้งท้ายว่า"หลักฐานเหตุผลรายละเอียดยังมีอีกมาก แต่วันนี้เกินโควตาหน้ากระดาษแล้ว ขอจบเพียงเท่านี้ พร้อมนี้ขอท้าโต้วาทีกับนักวิชาการโปรเขมรแบบซึ่งหน้าที่ไม่ลอบกัดกันแบบที่ผ่านมา ทั้งที่ผมเป็นวิศวกร ส่วนพวกท่านเป็น ดร. ทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี กล้ารับคำท้าผมไหม ใครแพ้ให้ตัดหัวเสียประจานไว้ที่หน้าประตูนครวัด"...
************************************************************************************



Ha Ha Ha  ฮา  "ฮั่นแน่"  นายสมชาย(ฮา)  อ่ะ ฮา

"เซียนหุ้น"  มาคุยเรื่อง ประวัติศาสตร์ อ่ะ ฮา
แล้วยิ่งเอามาจาก "หมา เน เจอ "  ฮา
เจ้าของคือ  "มนุษย์พิศดาร"  เจ้าของตำรา  "โรคเลื่อน"  ฮา
โทษของเขา  รวมกันแล้ว  ติดคุก รวม "สามร้อยปี" อ่ะ ฮา

มันจะเชื่อได้เร๊อะ  ฮา

5555 ยายว่า  พรุ่งนี้  ทั้งกระดาน "แดงเถือก"  อ่ะ  ฮา   ::005:: ::007:: ::007:: ::007::

ถ้าอย่างนั้น  ยาย "เดา"  ว่า ฮา  ::007::
นายสมชาย(ฮา)  เคยเกิด และโตที่ "ตลาด ในเขื่อน ยัน ฮิ"  อ่ะ ฮา  ::006::
ขนาดคนที่ศาลตัดสินแล้วแค่สองปี ยังเชื่อไม่ได้เลย หนีหายจนบัดนี้


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: ค..ควาย...ใส่ชฎา ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 08:17:56 PM

ขนาดคนที่ศาลตัดสินแล้วแค่สองปี

ยังเชื่อไม่ได้เลย หนีหายจนบัดนี้

Ha Ha Ha  ฮา  "ฮั่นแน่"  พี่  Southlander อ่ะ  ฮา

5555 ก็หนี  ไป "ตั้งหลัก" งัย  ฮา
เพราะมี "ประเทศเดียว"  ที่มีกฎหมาย บล้า บล้า งัย ฮา

555  แค่ "Cooking"  ทำอาหาร ออกทีวี ยังร่วงจากตำแหน่ง นายก เรย ฮา
แล้ว  พี่แม้ว  ของยาย  แค่ "เซ็นต์ชื่อ" 
ยินยอมให้เมีย  เข้าสู้ราคา "ประมูลที่ดิน"  แค่นั้นแหละ ฮา

โด๊น โดน  "เจ็ดร้อย  สามสิบวัน"  ฮา
แล้วก็  "แปล๊ก  แปลก"  ไอ้รัฐมนตรี อาหารดี  ดนตรีไพเราะ ฮา
มันบอกว่า  "ตำรวจสากล" ออกหมายจับแล้ว  ฮา  ::007::

พี่แม้วของยาย  นั่งเกาไข่  บนเครื่อง "เจ็ท จะ ย่อง"  สบายใจเฉิบ อ่ะ ฮา  ::007:: ::007::
ไป ยู เอ อี ก็แล้ว  ไปจีนกิน ติ๋มซำ ก็แล้ว   ไปขะแมร์ก็แล้ว ฮา
อ้าว  ดั๊นไปซื้อ  "หงส์แดง" อีก ฮา

แต่พี่แม้วของยาย  ไม่กล้าไป "เมียนม่าร์"  ฮา
เพราะ กลัว ระเบิด งัย   ฮา   ::004:: ::004::
 
55 แล้วที่บอกว่า  พี่แม้ว เป็นโรค  "อัณฑะ โอฬาร"
เป็นมะเร็งไข่  ผมร่วง หัวล้าน  จะตายมิตายแหล่ ฮา

พี่แม้วบอกว่า  ไข่ "ยังเหมือนเดิม" ฮา
แต่ "จรวด"  โตขึ้น สามสิบเปอร์เซ็นต์ อ่ะ ฮา  ::007:: ::007:: ::007::


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: zamphol ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 09:33:52 PM
ขอบคุณทุกท่านครับ ที่มาให้ความรู้ โดยเฉพาะพี่สมชาย  ::002:: ::014::

+1ล้านไปเลย ยกเว้นขี้ข้าไอ้แม้ว


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: dignitua-รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 10:08:27 PM

ขนาดคนที่ศาลตัดสินแล้วแค่สองปี

ยังเชื่อไม่ได้เลย หนีหายจนบัดนี้

Ha Ha Ha  ฮา  "ฮั่นแน่"  พี่  Southlander อ่ะ  ฮา

5555 ก็หนี  ไป "ตั้งหลัก" งัย  ฮา
เพราะมี "ประเทศเดียว"  ที่มีกฎหมาย บล้า บล้า งัย ฮา

555  แค่ "Cooking"  ทำอาหาร ออกทีวี ยังร่วงจากตำแหน่ง นายก เรย ฮา
แล้ว  พี่แม้ว  ของยาย  แค่ "เซ็นต์ชื่อ" 
ยินยอมให้เมีย  เข้าสู้ราคา "ประมูลที่ดิน"  แค่นั้นแหละ ฮา

โด๊น โดน  "เจ็ดร้อย  สามสิบวัน"  ฮา
แล้วก็  "แปล๊ก  แปลก"  ไอ้รัฐมนตรี อาหารดี  ดนตรีไพเราะ ฮา
มันบอกว่า  "ตำรวจสากล" ออกหมายจับแล้ว  ฮา  ::007::

พี่แม้วของยาย  นั่งเกาไข่  บนเครื่อง "เจ็ท จะ ย่อง"  สบายใจเฉิบ อ่ะ ฮา  ::007:: ::007::
ไป ยู เอ อี ก็แล้ว  ไปจีนกิน ติ๋มซำ ก็แล้ว   ไปขะแมร์ก็แล้ว ฮา
อ้าว  ดั๊นไปซื้อ  "หงส์แดง" อีก ฮา

แต่พี่แม้วของยาย  ไม่กล้าไป "เมียนม่าร์"  ฮา
เพราะ กลัว ระเบิด งัย   ฮา   ::004:: ::004::
 
55 แล้วที่บอกว่า  พี่แม้ว เป็นโรค  "อัณฑะ โอฬาร"
เป็นมะเร็งไข่  ผมร่วง หัวล้าน  จะตายมิตายแหล่ ฮา

พี่แม้วบอกว่า  ไข่ "ยังเหมือนเดิม" ฮา
แต่ "จรวด"  โตขึ้น สามสิบเปอร์เซ็นต์ อ่ะ ฮา  ::007:: ::007:: ::007::

โลกไปถึงไหนแล้วยาย ยังงมงายกับประมูลที่ดิน...

พูด "หลวมๆ" ควายเชื่อว่าแม๊วไม่ผิดนะยาย... ::013:: ::007:: ::007::


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: ค..ควาย...ใส่ชฎา ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 10:14:52 PM
ขอบคุณทุกท่านครับ ที่มาให้ความรู้ โดยเฉพาะพี่สมชาย  ::002:: ::014::

+1ล้านไปเลย ยกเว้นขี้ข้าไอ้แม้ว


Ha Ha Ha  ฮา  "ฮั่นแน่"  พี่ แซม แปน ซี  อ่ะ ฮา

555 คนดี คนเก่ง ของ "แผ่นดิน"  ฮา
เผลอ  แป๊ปเดียว  ลากปืนไปยิง  "สัตว์สงวน"  ฮา  ::009:: ::010:: ::010:: ::010::

พี่  ซิม แปน ซี่ เนี่ยะ  ฮา
ยายชมว่า  "เก่ง"  แค่หา  ปลาเหยี่ยน ปลาไหล
แถว "ซากศพ" กินเท่านั้นแหละ ฮา

เดินไปตลาด "บอง มา เซ" ประชานิเวศน์  ไม่เป็นหรอก อ่ะ  ฮา  ::007:: ::007:: ::007::

ยายเห็นภาพ  "จับปลาไหล" ขึ้นเตาไฟย่าง ฮา
แล้วบอกว่า  "อร่อย" เหมือน ในเหลา  ฮา
เอ็งรู้จัก  "Villa market" สุขุมวิทมั้ย  ฮา  ::007:: ::007::

โถ....... บอกว่าอยู่  ........กรุงเทพ ฮา
มีเมีย  .............. เชื้อ  จ้าว 55555555555
มีเมียเป็น  "มะเหสี"   ฮา
55555 " เจ้า เจี้ยว"  ตรา พระถัง ซัง จั๋ง ขี่ "ซิม แปน ซี"   ม๊างส์   ฮา  ::007:: ::007:: ::007::

ยายว่า  "ตรุษจีน"  เป็ดไก่ กระดาษอั้งจั้ว  เต็มโต๊ะ อ่ะ   ฮา

555 มึงต้องไปเดินห้าง  "Zen"  อ่ะ ฮา
ซื้อซี่อิ้ว ที่เขาทำมา  "ย่างปลาไหล"  โดยเฉพาะ โว้ยฮา   ::007:: ::007::
แค่เอา  ซี่อิ้ว  "หยั่น หว่อ หยุ่น"  มาทา  แล้วบอกว่า  "เหมือน" ฮา
มัน  "ตื้น"   ไปหน่อยมั้ง   ซิม แปน ซี   5555  ฮา

5555 เขาอาจ  "มีโฉนด" มาก่อน ก็ได้น๊าาาาาาาาาาาาาาาา ฮา

เฮ้ย  "ปลาไหล" 
เขาต้องเอา ใบข่อยรูด  ถึงจะหมด "เมือก" โว้ย อ่ะ ฮา 55555

555 ไม่ใช่ว่า  เอา  "ลิ้นเลีย"  เหมือนอย่าง  ที่เคยทำ อ่ะ ฮา  ::007:: ::007::


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: naisomchai ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 10:46:44 PM
บอกตรงๆว่าเบื่อยายบ๊าบมาก, เข้ากระทู้ไหนก็น่าเบื่อกระทู้นั้น... แต่ก่อนยังพอมีความรู้เข้ามาแชร์ให้ผู้อื่นได้ประโยชน์บ้าง, แต่ช่วงหลังๆเหมือนคนฟุ้งซ่านจับโน่นมาต่อนี่ จับนี่ไปต่อนั่น ทำนองเดียวกับเห็นหมามี 4 ขา แล้วเห็นวัวมี 4 ขาเหมือนกันก็เอามาเป็นเหตุผลว่าวัวมันจะเห่าได้ กับน่าที่จะมีเขางอกบนหัวหมาก็มั่ง...

เรื่องหุ้นจะเขียวหรือจะแดงน่ะ มันแดงได้ก็ดีจะได้พักกันบ้าง, มันเขียวอยู่ตลอดก็ต้องตามซื้อมันอีกร่ำไปไม่รู้จักหยุดจักหย่อน... พอถึงเวลาหนึ่งคนมันก็เบื่อทำกำไรบ้าง บอกตรงๆว่ามีกำไรตลอดแค่หยุดพักครั้งเดียวที่ล้างพอร์ตช่วงฝรั่งขายรอบแรก(บ่นในกระทู้หุ้น) หลังจากนั้นก็กำไรมาตลอดตั้งแต่รู้ว่าหุ้นมันจะโกงตายเสียอย่าง โดยไม่ต้องกังวลเรื่องฝรั่งจะซื้อหรือขาย...

เรื่องนี้หากยายบ๊าบข้องใจก็กลับไปดูวันเวลาที่ Post ในกระทู้หุ้นใหม่ได้ทุกเมื่อ เพราะในนั้นบอกเอาไว้"ก่อน"เหตุการณ์จริงเสมอ มันหลอกใครไม่ได้หรอกเพราะระบบของบอร์ดมันบันทึกเอาไว้... ว่าแต่ยายบ๊าบเดือดร้อนเรื่องเงินทองเมื่อไหร่ก็ขอให้ PM มา จะรับจำนองบ้านยายบ๊าบเอาไว้เองแบบเอาเงินสดไปวางชนิดที่ไม่ต้องขายหุ้นในพอร์ตแม้แต่หุ้นเดียว, ย่านที่ยายบ๊าบอยู่น่ะ มีเงินพอสามารถ"ซื้อสด"ได้พร้อมๆกันไม่เกิน 10 หลังแบบไม่ต้องเสียเวลาไปกู้แบ็งค์เลย แล้วเงินทั้งหมดนั่นน่ะมาจากกราฟหุ้นทุกบาททุกสตางค์เชียวนะเออ...

ว่าแต่ยายบ๊าบเชื่อหรือไม่เล่า... หากเชื่อและเดือดร้อนเงินทองเมื่อไหร่ ก็ลอง PM มา จะได้รู้กันว่าโม้หรือไม่... ฮา...

ปล.วันนี้ซื้อ ADVANC, INTUCH, กับ SCB ... ฮา(อีกที)...


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: naisomchai ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 10:50:18 PM
นี่ยังเห็นว่าแต่ก่อนยังคุยกันรู้เรื่อง มาช่วงหลังนี่ฟุ้งซ่านมากเกิน... หากยังไม่เลิกป่วนกระทู้ก็จะด่าแรงๆ ให้ยายบ๊าบอายเขามั่ง(ตีกินคนอื่นมาหลาย Post แล้ว)...


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: deang ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2013, 11:35:19 PM
เคย นึกสงสัยมานาน แล้ว ว่า
พวกขอมที่สร้าง นครวัด ลพบุรี พิมาย ปราสาทเมืองสิงห์ ฯลฯ
เป็นพวกที่เจริญ ไอคิวสูง
เทียบ กะคนในเขมร ปัจจุบัน ต่างกันมาก ไม่น่าจะเป็นคนที่สืบสันดาน
ต่อกันมาทางใด ๆ ได้   

ทำนองเดียวกับ คนไอยคุปต์โบราณ ที่ต่างไปจาก
ชาวอียิปต์ที่อยู่ในพื้นที่นั้น ๆ ในปัจุจุบัน
ซึ่งไม่น่าจะเป็นคนเชื้อสายเดียวกัน


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ กุมภาพันธ์ 21, 2013, 12:35:58 AM
จำได้ว่าเขมรเคยพูดไว้ว่าพวกเขาไม่ใช่ขอม


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: อิติปิโสธงชัย รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 21, 2013, 05:50:38 AM
 ::011::เกิดโรคระบาด จนต้องทิ้งให้ล่มสลาย ย้ายถิ่นฐานไปตั้งเมืองใหม่ ไม่ไช่ขเเมร์ในปัจจุบันเเน่นอน ผุ็้ยิ่งใหญ่เท่านั้นที่จะสร้างอาณาจักรได้ใหญ่ขนาดนี้ ประเทศที่คอยเชลียชาวโลกอยู่อย่างนี้ไม่มีทางสร้างอาณาจักรใด้หรอก ฮุนเซ็งไม่เกี่ยว เพราะมันอพยพมากลืนชาติขเเมร์เมื่อไม่นานนี่เอง ::008:: ::008:: ::008:: ::008:: ::008:: ::008::


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: deang ที่ กุมภาพันธ์ 21, 2013, 07:03:33 AM
ก็ยังนึกไม่ออกว่า ชาว ขอมที่ตัดหินเป็นแท่ง ขนย้ายหินขนาดใหญ่ ไปได้ไกล เป็นร้อยกิโลได้. จะเป็นคนพวกใหน
. เพราะคนสยามเองในระยะเวลาใกล้กันนั้นก็ไม่มีผลงานในลักษณะแบบเดียวกันออกมาอีก.   

ที่น่าสนใจ คือ. งานหนักและใหญ่. คนเราทำได้มานานแล้ว. แต่ไนปั่นด้าย ที่สามารถปั่นทีละมาก ๆ เพิ่งเริ่มราวสองร้อยปีนี่เอง
เริ่มแรกของการปฏิวัตือุตสาหกรรม


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: zamphol ที่ กุมภาพันธ์ 21, 2013, 08:13:11 AM
ขอสนับสนุนแนวคิดของหลายท่านครับ  ::002:: ::014::

เหมือนกับหลายๆสถานที่ทั่วโลก คนสร้างกับคนที่อยู่ปัจจุบันเป็นคนละพวกกัน

อาจจะเกิดสงคราม โรคระบาด ขาดอาหาร ทำให้ต้องย้ายถิ่น นานวันหลายปีต่อมา

พวกใหม่ก็ย้ายเข้าไปแทนที่....

ปล. งดพาดพิงถึงเขมรนะครับ เพราะมีเขมรเข้ามาอ่านแล้วสติแตก ฟุ้งซ่านฟาดงวงฟาดงา  ::012::

กลัวว่าจะเสียกระทู้ เกรงใจพี่สมชาย  ::014::



หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: จอยฮันเตอร์ ที่ กุมภาพันธ์ 21, 2013, 09:02:24 AM
นี่ยังเห็นว่าแต่ก่อนยังคุยกันรู้เรื่อง มาช่วงหลังนี่ฟุ้งซ่านมากเกิน... หากยังไม่เลิกป่วนกระทู้ก็จะด่าแรงๆ ให้ยายบ๊าบอายเขามั่ง(ตีกินคนอื่นมาหลาย Post แล้ว)...
::007::


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: bigbang ที่ กุมภาพันธ์ 21, 2013, 09:22:40 AM
ขอบคุณครับ คุณสมชาย
อาณาจักรขอมสมัยนั้น คงจะรุ่งเรืองมาก มีสิ่งปลูกสร้าง ปราสาทหินจำนวนมาก
ตั้งในอาณาเขตไกลเข้าไปในพื้นที่ตอนกลางประเทศลาว และเวียดนาม
เลยไม่รู้ว่า พวกขอม ได้กลืน พวกจาม ภายหลังไปด้วยรึปล่าวครับ


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: SillyOldMan ที่ กุมภาพันธ์ 21, 2013, 09:50:37 AM
เคย นึกสงสัยมานาน แล้ว ว่า
พวกขอมที่สร้าง นครวัด ลพบุรี พิมาย ปราสาทเมืองสิงห์ ฯลฯ
เป็นพวกที่เจริญ ไอคิวสูง
เทียบ กะคนในเขมร ปัจจุบัน ต่างกันมาก ไม่น่าจะเป็นคนที่สืบสันดาน
ต่อกันมาทางใด ๆ ได้   

ทำนองเดียวกับ คนไอยคุปต์โบราณ ที่ต่างไปจาก
ชาวอียิปต์ที่อยู่ในพื้นที่นั้น ๆ ในปัจุจุบัน
ซึ่งไม่น่าจะเป็นคนเชื้อสายเดียวกัน
ก็ยังนึกไม่ออกว่า ชาว ขอมที่ตัดหินเป็นแท่ง ขนย้ายหินขนาดใหญ่ ไปได้ไกล เป็นร้อยกิโลได้. จะเป็นคนพวกใหน
. เพราะคนสยามเองในระยะเวลาใกล้กันนั้นก็ไม่มีผลงานในลักษณะแบบเดียวกันออกมาอีก.   

ที่น่าสนใจ คือ. งานหนักและใหญ่. คนเราทำได้มานานแล้ว. แต่ไนปั่นด้าย ที่สามารถปั่นทีละมาก ๆ เพิ่งเริ่มราวสองร้อยปีนี่เอง
เริ่มแรกของการปฏิวัตือุตสาหกรรม

นานๆจะชอบโพสท์ของลุงเดี้ยงแกที +1ให้ด้วยเอ้า  ;D


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: SillyOldMan ที่ กุมภาพันธ์ 21, 2013, 09:52:30 AM
จำได้ว่าเขมรเคยพูดไว้ว่าพวกเขาไม่ใช่ขอม


ถ้ามีขอมชั้นดีคืนชีพขึ้นมาได้ซักคน อีก็คงจะพูดเหมือนกันครับว่า"ไอ้ขี้ข้ากระจอกพวกนี้มันไม่ใช่ลูกใช่หลานช้านนนน"  ::005::


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: จอยฮันเตอร์ ที่ กุมภาพันธ์ 21, 2013, 10:16:56 AM
ผมยังสงสัยที่ว่า อาณาจักรศรีวิชัยรุ่งเรืองขีดสุดสมัยนั้น แต่วสงสัยว่า เมือง(ไชยา)สมัยนั้นไปใหนหมด :OO


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: Southlander ที่ กุมภาพันธ์ 21, 2013, 10:20:11 AM
ผมยังสงสัยที่ว่า อาณาจักรศรีวิชัยรุ่งเรืองขีดสุดสมัยนั้น แต่วสงสัยว่า เมือง(ไชยา)สมัยนั้นไปใหนหมด :OO
ดองไข่เค็มขายเพลินอยู่



จริงๆไชยาเป็นเมืองท่าที่มีเรือสำเภาต่างประเทศค้าขายเข้าออกมากมายหลักฐานยังมีซากเรือล่ม ซากลูกปัดถ้วยโถโอชาม
ที่เข้ามาจากแดนไกลเยอะแยะ


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: จอยฮันเตอร์ ที่ กุมภาพันธ์ 21, 2013, 10:30:11 AM
ผมยังสงสัยที่ว่า อาณาจักรศรีวิชัยรุ่งเรืองขีดสุดสมัยนั้น แต่วสงสัยว่า เมือง(ไชยา)สมัยนั้นไปใหนหมด :OO
ดองไข่เค็มขายเพลินอยู่



จริงๆไชยาเป็นเมืองท่าที่มีเรือสำเภาต่างประเทศค้าขายเข้าออกมากมายหลักฐานยังมีซากเรือล่ม ซากลูกปัดถ้วยโถโอชาม
ที่เข้ามาจากแดนไกลเยอะแยะ
อยู่ใกล้ๆจะจับตีก้นสะให้เข็ด ::008::


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: พญาจงอาง +รักในหลวง+ ที่ กุมภาพันธ์ 21, 2013, 10:40:34 AM
นี่ยังเห็นว่าแต่ก่อนยังคุยกันรู้เรื่อง มาช่วงหลังนี่ฟุ้งซ่านมากเกิน... หากยังไม่เลิกป่วนกระทู้ก็จะด่าแรงๆ ให้ยายบ๊าบอายเขามั่ง(ตีกินคนอื่นมาหลาย Post แล้ว)...
พวกใจตุ๊ดก็อย่างนี้และพี่สมชาย(ฮา) ตีกินได้ทุกเรื่อง หน้าการเมืองก็มีแต่ไม่กล้าไปแสดงตัวคุยในนั้น คะนองปากไปทั่วเดี่ยวโดนข้อเท็จจริงหลักฐานมัดดิ้นไม่หลุด แถไม่เก่งเหมือนไอ้มด ข้าวมีไม่ทานดันไปทานหญ้า มิน่าที่บ้านผมพี่เขยไปราชการที่จังหวัด หญ้ากินนีหญ้ารูซี่ที่เขยซื้อมาให้ไอ้เขาเลของพ่อผม ทำไมราคามันเพิ่มขึ้นจากแต่ก่อนเยอะ สาเหตุมาจากพวกนี้แย่งกินนี้เองเลยขาดแคลนราคาก็เลยต้องแพงขึ้น ;D ::005::


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: EAK1980 รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 21, 2013, 06:30:32 PM
บอกตรงๆว่าเบื่อยายบ๊าบมาก, เข้ากระทู้ไหนก็น่าเบื่อกระทู้นั้น... แต่ก่อนยังพอมีความรู้เข้ามาแชร์ให้ผู้อื่นได้ประโยชน์บ้าง, แต่ช่วงหลังๆเหมือนคนฟุ้งซ่านจับโน่นมาต่อนี่ จับนี่ไปต่อนั่น ทำนองเดียวกับเห็นหมามี 4 ขา แล้วเห็นวัวมี 4 ขาเหมือนกันก็เอามาเป็นเหตุผลว่าวัวมันจะเห่าได้ กับน่าที่จะมีเขางอกบนหัวหมาก็มั่ง...

เรื่องหุ้นจะเขียวหรือจะแดงน่ะ มันแดงได้ก็ดีจะได้พักกันบ้าง, มันเขียวอยู่ตลอดก็ต้องตามซื้อมันอีกร่ำไปไม่รู้จักหยุดจักหย่อน... พอถึงเวลาหนึ่งคนมันก็เบื่อทำกำไรบ้าง บอกตรงๆว่ามีกำไรตลอดแค่หยุดพักครั้งเดียวที่ล้างพอร์ตช่วงฝรั่งขายรอบแรก(บ่นในกระทู้หุ้น) หลังจากนั้นก็กำไรมาตลอดตั้งแต่รู้ว่าหุ้นมันจะโกงตายเสียอย่าง โดยไม่ต้องกังวลเรื่องฝรั่งจะซื้อหรือขาย...

เรื่องนี้หากยายบ๊าบข้องใจก็กลับไปดูวันเวลาที่ Post ในกระทู้หุ้นใหม่ได้ทุกเมื่อ เพราะในนั้นบอกเอาไว้"ก่อน"เหตุการณ์จริงเสมอ มันหลอกใครไม่ได้หรอกเพราะระบบของบอร์ดมันบันทึกเอาไว้... ว่าแต่ยายบ๊าบเดือดร้อนเรื่องเงินทองเมื่อไหร่ก็ขอให้ PM มา จะรับจำนองบ้านยายบ๊าบเอาไว้เองแบบเอาเงินสดไปวางชนิดที่ไม่ต้องขายหุ้นในพอร์ตแม้แต่หุ้นเดียว, ย่านที่ยายบ๊าบอยู่น่ะ มีเงินพอสามารถ"ซื้อสด"ได้พร้อมๆกันไม่เกิน 10 หลังแบบไม่ต้องเสียเวลาไปกู้แบ็งค์เลย แล้วเงินทั้งหมดนั่นน่ะมาจากกราฟหุ้นทุกบาททุกสตางค์เชียวนะเออ...

ว่าแต่ยายบ๊าบเชื่อหรือไม่เล่า... หากเชื่อและเดือดร้อนเงินทองเมื่อไหร่ ก็ลอง PM มา จะได้รู้กันว่าโม้หรือไม่... ฮา...

ปล.วันนี้ซื้อ ADVANC, INTUCH, กับ SCB ... ฮา(อีกที)...
+2325 ให้พี่สมชายครับ


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: Ghostreporting ที่ กุมภาพันธ์ 21, 2013, 08:03:32 PM
ถ้าถือว่าขอมกับเขมรมันไม้ป่าเดียวกัน งั้นชาวลาตินกับชาวอิตาลีก็พวกเหมือนกันสิครับ


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: ค..ควาย...ใส่ชฎา ที่ กุมภาพันธ์ 21, 2013, 09:05:38 PM


ปล.วันนี้ซื้อ ADVANC, INTUCH, กับ SCB ... ฮา(อีกที)...


Ha Ha Ha  ฮา  "ฮั่นแน่" นายสมชาย (ฮา) อ่ะ ฮา
"ซื้อปุ๊บ" ร่วงโครม  เลยอ่ะ  ฮา  55555  ::008:: ::007:: ::007:: ::007::

"โก 6" ม๊างส์  ฮา

"ตีกิน"  ที่ไหน ทำอย่างกับเล่นไผ่ "เผ"  เลย  ฮา
ไอ้ที่เรี่ยกว่า  "ตีกิน"  ฮา
ยายให้คำ  "กำกวม" ว่า ฮา
"หักล้าง" อ่ะ  ฮา   ::001:: ::001:: ::007:: ::007::

แล้วที่บอก  "ซื้อ"  ทีละ สิบยูนิต  ฮา
ช้า..... ไปแล้วล่ะ  "ต๋อย"    ฮา

ยายเผา  ส่งไป "เมืองจีน" แล้วอ่ะ  ฮา    ::005:: ::007:: ::007:: ::007::

555 ลำพัง  "กำไร"  แค่ซื้อมา ขายไป ฮา
มันไม่ได้เยอะ   หรอก  อ่ะ ฮา  ::007:: ::007:: ::007::


55 รู้มาก ยากนาน  ฮา    ::009::
"เซียนอยู่รู  หมูอยู่ตึก"  อ่ะ  ฮา:<><> :OO ::007:: ::007::


5555 เย้ เย้  ฮา 55555


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: ณัฐพล - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 21, 2013, 09:38:40 PM
บอกตรงๆว่าเบื่อยายบ๊าบมาก, เข้ากระทู้ไหนก็น่าเบื่อกระทู้นั้น... แต่ก่อนยังพอมีความรู้เข้ามาแชร์ให้ผู้อื่นได้ประโยชน์บ้าง, แต่ช่วงหลังๆเหมือนคนฟุ้งซ่านจับโน่นมาต่อนี่ จับนี่ไปต่อนั่น ทำนองเดียวกับเห็นหมามี 4 ขา แล้วเห็นวัวมี 4 ขาเหมือนกันก็เอามาเป็นเหตุผลว่าวัวมันจะเห่าได้ กับน่าที่จะมีเขางอกบนหัวหมาก็มั่ง...

เรื่องหุ้นจะเขียวหรือจะแดงน่ะ มันแดงได้ก็ดีจะได้พักกันบ้าง, มันเขียวอยู่ตลอดก็ต้องตามซื้อมันอีกร่ำไปไม่รู้จักหยุดจักหย่อน... พอถึงเวลาหนึ่งคนมันก็เบื่อทำกำไรบ้าง บอกตรงๆว่ามีกำไรตลอดแค่หยุดพักครั้งเดียวที่ล้างพอร์ตช่วงฝรั่งขายรอบแรก(บ่นในกระทู้หุ้น) หลังจากนั้นก็กำไรมาตลอดตั้งแต่รู้ว่าหุ้นมันจะโกงตายเสียอย่าง โดยไม่ต้องกังวลเรื่องฝรั่งจะซื้อหรือขาย...

เรื่องนี้หากยายบ๊าบข้องใจก็กลับไปดูวันเวลาที่ Post ในกระทู้หุ้นใหม่ได้ทุกเมื่อ เพราะในนั้นบอกเอาไว้"ก่อน"เหตุการณ์จริงเสมอ มันหลอกใครไม่ได้หรอกเพราะระบบของบอร์ดมันบันทึกเอาไว้... ว่าแต่ยายบ๊าบเดือดร้อนเรื่องเงินทองเมื่อไหร่ก็ขอให้ PM มา จะรับจำนองบ้านยายบ๊าบเอาไว้เองแบบเอาเงินสดไปวางชนิดที่ไม่ต้องขายหุ้นในพอร์ตแม้แต่หุ้นเดียว, ย่านที่ยายบ๊าบอยู่น่ะ มีเงินพอสามารถ"ซื้อสด"ได้พร้อมๆกันไม่เกิน 10 หลังแบบไม่ต้องเสียเวลาไปกู้แบ็งค์เลย แล้วเงินทั้งหมดนั่นน่ะมาจากกราฟหุ้นทุกบาททุกสตางค์เชียวนะเออ...

ว่าแต่ยายบ๊าบเชื่อหรือไม่เล่า... หากเชื่อและเดือดร้อนเงินทองเมื่อไหร่ ก็ลอง PM มา จะได้รู้กันว่าโม้หรือไม่... ฮา...

ปล.วันนี้ซื้อ ADVANC, INTUCH, กับ SCB ... ฮา(อีกที)...

ขออนุญาต+2367 ครับ  ฮาาาา ... เอิ้กๆ


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: ค..ควาย...ใส่ชฎา ที่ กุมภาพันธ์ 22, 2013, 07:27:57 AM


ขออนุญาต+2367 ครับ  ฮาาาา ... เอิ้กๆ


Ha Ha Ha  ฮา  "ฮั่นแน่"  พี่ ณัฐพล  อ่ะ  ฮา

ยาย เผ่นดีกว่า   "พวก ยึด สนามบิน"  มาแย้ว  ฮา   ::007:: ::007:: ::007::

โถ  ๆๆๆๆ  "พ่อทูนหัว"    ฮา
ยายแนะนำว่า  "ผ้าโพกหัว"  เอาออก เปลี่ยนสี เถอะ  ฮา

สียี่ห้อนี้  "ไม่ดี"  สีตก  เสื่อมแล้วอ่ะ  ฮา  ::007:: ::007:: ::007::

ยายถามหน่อย อ่ะจิ  ฮา
เรื่อง "แป๊ะ"   โดนยิง  จริง อ่ะ เปล่า ฮา

ยายว่าแป๊ะ "โก 6"  อ่ะ ฮา
555 สงสัย  เอา  "ดินสอ"  ทิ่มหัวตัวเอง  ฮา   ::007:: ::007:: ::007:: ::008:: ::009::


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: ป้อมทอง พรานชุมไพร ที่ กุมภาพันธ์ 22, 2013, 08:22:15 AM
แต่ที่แน่ ๆ   ตามประวัติศาสตร์ไทย   พวกคิดคด  เอาความดีเข้าหาตัว 

เอาความชั่วให้ผู้อื่น ทรยศเป็นนิจ    ก็เผ่าพันธ์ที่ถูกตัดหัวเอาเลือดล้างพระบาทนั่นแล


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: zamphol ที่ กุมภาพันธ์ 22, 2013, 08:29:14 AM
พี่สมชายล่อเป้า.... ::005:: ::014::

ไอ้เขมรมันแค้น ผูกใจเจ็บ มันไม่ยอมหนีไปไหนหรอกครับ  ::012:: ::012::


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: จอยฮันเตอร์ ที่ กุมภาพันธ์ 22, 2013, 09:20:01 AM
แต่ที่แน่ ๆ   ตามประวัติศาสตร์ไทย   พวกคิดคด  เอาความดีเข้าหาตัว 

เอาความชั่วให้ผู้อื่น ทรยศเป็นนิจ    ก็เผ่าพันธ์ที่ถูกตัดหัวเอาเลือดล้างพระบาทนั่นแล
ได้ฟังผู้ใหญ่ท่านเดิมเล่าว่า เจดีย์บูโรพุทโธ สร้างในสมัยอาณาจักรศรีวิชัย ถ้ามองกันตรงๆ อิโดฯเป็นเมืองที่นับถือศาสนาอิสลาม คงไม่น่ามาสร้างเจดีย์ทรงพุทธ และมีข้อความ

จารึกใว้ ถ้าจำไม่ผิดจะมีอยู่ 10 ข้อ ทางอินโดฯแปลทุกข้อ แต่มีอยู่ข้อเดียวที่ไม่แปล ท่านบอกว่าข้อความคือ "ผู้ใดคิดคตทรยศต่อศรีวิชัย ขอให้มันล่มสลาย"


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: naisomchai ที่ กุมภาพันธ์ 22, 2013, 09:51:31 AM
ปล.วันนี้ซื้อ ADVANC, INTUCH, กับ SCB ... ฮา(อีกที)...
Ha Ha Ha  ฮา  "ฮั่นแน่" นายสมชาย (ฮา) อ่ะ ฮา
"ซื้อปุ๊บ" ร่วงโครม  เลยอ่ะ  ฮา  55555  ::008:: ::007:: ::007:: ::007::

"โก 6" ม๊างส์  ฮา

"ตีกิน"  ที่ไหน ทำอย่างกับเล่นไผ่ "เผ"  เลย  ฮา
ไอ้ที่เรี่ยกว่า  "ตีกิน"  ฮา
ยายให้คำ  "กำกวม" ว่า ฮา
"หักล้าง" อ่ะ  ฮา   ::001:: ::001:: ::007:: ::007::

แล้วที่บอก  "ซื้อ"  ทีละ สิบยูนิต  ฮา
ช้า..... ไปแล้วล่ะ  "ต๋อย"    ฮา

ยายเผา  ส่งไป "เมืองจีน" แล้วอ่ะ  ฮา    ::005:: ::007:: ::007:: ::007::

555 ลำพัง  "กำไร"  แค่ซื้อมา ขายไป ฮา
มันไม่ได้เยอะ   หรอก  อ่ะ ฮา  ::007:: ::007:: ::007::


55 รู้มาก ยากนาน  ฮา    ::009::
"เซียนอยู่รู  หมูอยู่ตึก"  อ่ะ  ฮา:<><> :OO ::007:: ::007::

5555 เย้ เย้  ฮา 55555

ยายบ๊าบเคยดูการ์ตูนเรื่องหนูน้อยอาราเร่หรือเปล่าหว่า... มันมีการ์ตูนอยู่ตัวนึงเอาตูดชี้ฟ้า มีอยู่สองตัวสีเขียวกับสีเหลือง ตามท้องเรื่องเป็นมนุษย์ต่างดาวหลงทางติดอยู่ในโลกมนุษย์, นั่นแหละหน้ายายบ๊าบตัวจริง “มนุษย์ต่างดาวหน้าตูด”...

ทำไมยายบ๊าบถึงได้หน้าตาเหมือนมนุษย์ต่างดาวตัวนี้“มนุษย์ต่างดาวหน้าตูด” ก็เพราะคนอื่นเขามีปากเอาไว้พูด มีตูดเอาไว้นั่ง, แต่ยายบ๊าบเอาตูดชี้ฟ้ามีหน้าแถวๆตูด ปากพูดปู้ดๆ มีแต่กลิ่นตดโชยออกมาเพราะเอารูตูดพูดไม่ได้ใช้ปากพูด, ก็เอาตูดชี้ฟ้าออกแบบนั้นพูดทีไรก็เหม็นเหมือนตด(คนอื่นเอาลมจากปอดพูด แต่ยายบ๊าบเอาลมจากลำไส้ใหญ่พูด) มันก็เลยเหม็นไปทั่วกระทู้ เข้ากระทู้ไหนเหม็นกระทู้นั้น... คนเขาคุยกันอยู่ดีๆก็เข้ามาป่วนลากเข้าเรื่องอื่นทำให้เสียบรรยากาศหมด...

ที่ยายบ๊าบเข้ามาป่วนก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าต่อมอิจฉามันปรี๊ดดดด อิจฉาไปหมดทุกเรื่องทุกประเด็น โดยเฉพาะเรื่องทำมาหากินนี่ตัวเองทำมาหากินไม่ขึ้น โชคดีหน่อยที่มีงานมีการทำในองค์กรใหญ่ บังเอิญได้เศษหุ้นกระเด็นมาเพราะเขาเล่นพวกเล่นพ้องกันช่วงกระจายหุ้น(เลยกลายเป็นเสื้อแดงเพราะมีประโยชน์ร่วม) ก็เลยลืมตาอ้าปากได้จากหุ้นนี่แหละ... ทั้งที่ก่อนหน้านี้กระเสือกกระสนสารพัดพยายามทำมาหากินไม่เคยเจริญ ก็เพราะจิตใจไม่สะอาด จ้องแต่อิจฉาตาร้อนปากร้อนทะเลาะกับผู้คนเขาไปทั่ว ทั้งที่ทะเลาะแล้วก็ไม่ได้อะไรขึ้นมากับชีวิตนอกจากความสะใจตามประสาคนเจ้าอารมณ์...

เด็กมันเกิดมาลืมตาดูโลกได้สามขวบสี่ขวบเข้าโรงเรียนอนุบาลมันก็ยังมีสมอง หากเด็กโรงเรียนอนุบาลมันทะเลาะกันก็เดาได้ว่ามันทะเลาะแย่งอะไรกันสักอย่าง เช่นแย่งของเล่น แย่งของกิน แย่งเพื่อนเล่น ฯลฯ สรุปว่าเด็กมันทะเลาะก็เพราะมีเดิมพัน... แต่ยายบ๊าบเอาตูดชี้ฟ้าเอาหน้าเป็นตูด พูดปู้ดๆ เป็นตดนี่ทะเลาะกับคนอื่นเข้ามาป่วนกระทู้ทั้งที่ไม่ได้อะไรขึ้นมาแก่ชีวิตเลย แสดงว่าคนหน้าตูด(ยายบ๊าบนั่นแหละ) โง่กว่าเด็กอนุบาล เพราะทะเลาะโดยไม่มีเดิมพันอะไร นอกจากต่อมอิจฉามันปรี๊ดแตก...

ถ้ายายบ๊าบเลิกป่วนกระทู้เมื่อไหร่ เราก็จะกลับมาดีกันเหมือนเดิม เพราะยังไงยายบ๊าบก็เป็นคนมีความรู้... หากพูดอะไรที่มันเกิดประโยชน์แก่ผู้อื่น ก็ยังพูดจาน่าฟังอยู่เสมอ...

ที่นี้เอาเรื่องหุ้น, ใครก็ตามที่อ่านกระทู้หุ้นจะรู้ว่าเขามีวิธีเข้าซื้อคือเมื่อเกิด New High คือทะลุแนวเส้นประสีเขียวเข้ม(มีกราฟให้ดูข้างล่าง), วิธีขายมีอยู่ 3 วิธีคือ 1) ขายทำกำไรเล่นสั้นในช่วงไม่ชัวร์ว่าตลาด(Set)เป็นขาขึ้นหรือไม่ ให้ขายเมื่อหลุดแนวเส้นประสีเขียวเข้ม, วิธีที่ 2) เมื่อรู้ว่าตลาดเป็นขาขึ้นให้ถือครองเอาไว้แล้วขายเมื่อหลุด New Low (แนวเส้นประสีน้ำตาลไหม้), วิธีที่ 3) เมื่อ Panic Sell ให้ขายทุกราคา...

รูปข้างล่างนี้ยังถือครองอยู่ทุกตัว... อย่าบอกเลยว่ากำไรกี่เปอร์เซ็นต์แล้ว, ลองเทียบดูกับราคาซื้อเมื่อทะลุแนวเส้นประสีเขียวเข้ม กับราคาปิดเมื่อวานนี้ที่ตัวสีแดงซ้ายมือสุดของกราฟ แล้วก็คำนวณดูว่ามันกี่เปอร์เซ็นต์หว่า... ฮา...

ช่วงนี้มือใหม่อย่าเพิ่งเข้าเลยครับ... Set สูงมากแล้วไม่ยอมลงสักที, นี่ก็ขี่หลังเสือซื้อ CFRESH เข้าไปอีกแหล่วครับ... เฮ้อ...
รูปแรก CFRESH …
(http://image.ohozaa.com/i/g89/rHmnRM.gif) (http://image.ohozaa.com/view2/wF8aHkHnpnC32Frd)

วันนี้เข้า SMT ที่ 11.30 ครับ...
รูปสอง SMT …
(http://image.ohozaa.com/i/acd/COngjS.gif) (http://image.ohozaa.com/view2/wF8aE8TeR5B5TpzV)

ภาพรวมตลาดน่าจะไปต่อครับ...

ช่วงหลังนายสมชายคาดการณ์ไม่ถูกอยู่เรื่อย ตอนนี้ทำได้แค่เล่นตามกราฟ... เมื่อวานนี้พอกราฟ Set เกิด New High ก็จ้องซื้อ BH แต่ซื้อไม่ทันเพราะมันวิ่งตั้งแต่บ่ายแก่ๆ เลยเข้า Makro กับ Advanc ครับ(ตัวหลังนี่เล่นเด้งที่เส้น 7 วัน)...

คราวก่อนทิ้ง DSGT ขาดทุนไป 2 ช่อง... วันถัดมามันวิ่ง 10 เปอร์เซ็นต์... ฮา...

รูปสาม BH นี่ก็ไล่ซื้อใหม่, เมื่อทะลุแนวเส้นประสีเขียวเข้มครั้งหลัง...
(http://image.ohozaa.com/i/afe/7h6Hrj.gif) (http://image.ohozaa.com/view2/wF8aGCK0QaDDmZWW)

รูปสี่ DSGT นี่ก็ไล่ซื้อใหม่, เมื่อทะลุแนวเส้นประสีเขียวเข้มครั้งหลัง...
(http://image.ohozaa.com/i/8e7/bIGscb.gif) (http://image.ohozaa.com/view2/wF8aIKC6xJX4wKXV)

สามตัวนี่เพิ่งซื้อใหม่ตามกระทู้นี้แหละ... มันยังถือได้อยู่...
(http://image.ohozaa.com/i/cf2/o4SniU.gif) (http://image.ohozaa.com/view2/wF8aFcPhHZDNoSzR)

(http://image.ohozaa.com/i/c43/Yb5lDq.gif) (http://image.ohozaa.com/view2/wF8aJOy9oqnZY5wV)

(http://image.ohozaa.com/i/c62/9qaZts.gif) (http://image.ohozaa.com/view2/wF8puLGngVfHHzHS)


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: bigbang ที่ กุมภาพันธ์ 22, 2013, 10:36:15 AM
เรียนถาม คุณสมชาย 

DSGT นี้ผลประกอบการนั้นโอเค แต่การบริหารของผู้บริหาร
ยังน่าเชื่อถืออยู่รึครับ ไม่เห็นแถลงเรื่องเหตุผลซื้อคอนโดหรูทำไม เลย


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: SillyOldMan ที่ กุมภาพันธ์ 22, 2013, 10:46:41 AM
ผมว่าเจ้านนท์(น้องเมีย)น่าจะเคยอ่านตำรา/ไปอบรมกับพี่สมชายมาบ้างแล้วนะ

หมอนี่เริ่มเล่นหุ้นเมื่อ7ปีที่แล้วด้วยต้นทุน1แสนบาท ผลประเมินปีที่แล้วทำค่าเฉลี่ยได้+98%...คุยกันเมื่อปลายเดือนก่อนเห็นว่าหลังจากซื้อบ้าน+รถ , ซื้อหัวลาก+รถยกให้พ่ออีกอย่างละ2คัน+ออกค่าก่อสร้างโกดังใหม่ให้อีก1หลังใหญ่ๆแล้ว ยังเหลืออีกเกือบๆร้อย


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: SillyOldMan ที่ กุมภาพันธ์ 22, 2013, 10:53:24 AM
แหม....พี่สมชายเฉาะเอาทื่อๆยังงี้เลย  ::005::


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: naisomchai ที่ กุมภาพันธ์ 22, 2013, 10:57:42 AM
เรียนถาม คุณสมชาย  

DSGT นี้ผลประกอบการนั้นโอเค แต่การบริหารของผู้บริหาร
ยังน่าเชื่อถืออยู่รึครับ ไม่เห็นแถลงเรื่องเหตุผลซื้อคอนโดหรูทำไม เลย

โอ้... นายสมชายก็เพิ่งไปเปิดหาดูการจัดอันดับธรรมาภิบาลจากรายงานของโบรคเกอร์นี่แหละครับ...

เพิ่งพบว่าโบรคเกอร์ บ.ฟิลลิปส์ แจ้งว่า"ไม่พบรายงานบริษัทภิบาลจาก CGR", แสดงว่าเขามีปัญหาแล้วครับ(ฮา)... ลิ้งก์นี้ครับ http://www.settrade.com/brokerpage/AnalystConsensus/Research/pst_dsgt.pdf...

นายสมชายเองเล่นจากกราฟครับ ดังนั้นเลยไม่ได้ดูเรื่องนี้เลย... แฮ่ๆ...


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: naisomchai ที่ กุมภาพันธ์ 22, 2013, 11:05:20 AM
ผมว่าเจ้านนท์(น้องเมีย)น่าจะเคยอ่านตำรา/ไปอบรมกับพี่สมชายมาบ้างแล้วนะ

หมอนี่เริ่มเล่นหุ้นเมื่อ7ปีที่แล้วด้วยต้นทุน1แสนบาท ผลประเมินปีที่แล้วทำค่าเฉลี่ยได้+98%...คุยกันเมื่อปลายเดือนก่อนเห็นว่าหลังจากซื้อบ้าน+รถ , ซื้อหัวลาก+รถยกให้พ่ออีกอย่างละ2คัน+ออกค่าก่อสร้างโกดังใหม่ให้อีก1หลังใหญ่ๆแล้ว ยังเหลืออีกเกือบๆร้อย

โอ๋ย... คุณนนท์ นั่นเซียนเหนือเซียนแล้วครับ ปรกติคนเล่นหุ้นจะเจอกับดักตัวเอง 2 อย่างคือ, 1) ถ้าวินัยไม่สูงพอ เวลาได้เงินแล้วมักใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเพราะได้มาเร็ว(เพราะหุ้นคล้ายการพนัน) กับพวกสุดโต่งอีกด้านนึงคือ 2) ไม่กล้าไปเลย ใช้ชีวิตสมถะ เช่นลุงโฉลกฯหรือหมอฟันแถวบางบัวทองครับ... ฮา...

แต่คุณนนท์นี่วินัยสูง ได้มาแล้วเก็บ+ใช้ประโยชน์ตามความเหมาะสม อย่างนี้ความสุขยั่งยืนครับ...

แหม....พี่สมชายเฉาะเอาทื่อๆยังงี้เลย  ::005::

แฮ่ๆ...


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: นายกระจง ที่ กุมภาพันธ์ 22, 2013, 11:45:54 AM
ผมว่าเจ้านนท์(น้องเมีย)น่าจะเคยอ่านตำรา/ไปอบรมกับพี่สมชายมาบ้างแล้วนะ

หมอนี่เริ่มเล่นหุ้นเมื่อ7ปีที่แล้วด้วยต้นทุน1แสนบาท ผลประเมินปีที่แล้วทำค่าเฉลี่ยได้+98%...คุยกันเมื่อปลายเดือนก่อนเห็นว่าหลังจากซื้อบ้าน+รถ , ซื้อหัวลาก+รถยกให้พ่ออีกอย่างละ2คัน+ออกค่าก่อสร้างโกดังใหม่ให้อีก1หลังใหญ่ๆแล้ว ยังเหลืออีกเกือบๆร้อย

โอ๋ย... คุณนนท์ นั่นเซียนเหนือเซียนแล้วครับ ปรกติคนเล่นหุ้นจะเจอกับดักตัวเอง 2 อย่างคือ, 1) ถ้าวินัยไม่สูงพอ เวลาได้เงินแล้วมักใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเพราะได้มาเร็ว(เพราะหุ้นคล้ายการพนัน) กับพวกสุดโต่งอีกด้านนึงคือ 2) ไม่กล้าไปเลย ใช้ชีวิตสมถะ เช่นลุงโฉลกฯหรือหมอฟันแถวบางบัวทองครับ... ฮา...

แต่คุณนนท์นี่วินัยสูง ได้มาแล้วเก็บ+ใช้ประโยชน์ตามความเหมาะสม อย่างนี้ความสุขยั่งยืนครับ...

แหม....พี่สมชายเฉาะเอาทื่อๆยังงี้เลย  ::005::

แฮ่ๆ...


พี่สมชายเปิดคอร์สอบรมเมื่อไหร่ ผมจะไปรับการอบรมให้ได้ครับ


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: จอยฮันเตอร์ ที่ กุมภาพันธ์ 22, 2013, 11:51:55 AM
อะแอ้มอย่าออกทะเล ::007::


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: นายกระจง ที่ กุมภาพันธ์ 22, 2013, 12:40:16 PM
อะแอ้มอย่าออกทะเล ::007::


ครับพี่ ไม่ออกทะเลแล้วจะให้ผมไปทำงานที่ภาคเหนือเหมือนเดิมหรือครับ ;D ;D  ผบ. ไม่ปลื้มครับ ;D ;D  คนหน้าตาดีก็แบบนี้ละครับ

ต้องขออภัยเจ้าของกระทู้ด้วยครับ  ต่อไปนี้จะพยายามติดตามกระทู้ของพี่สมชายทางกระทู้หุ้นครับ ::014::


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: Southlander ที่ กุมภาพันธ์ 22, 2013, 12:52:24 PM
อะแอ้มอย่าออกทะเล ::007::


ครับพี่ ไม่ออกทะเลแล้วจะให้ผมไปทำงานที่ภาคเหนือเหมือนเดิมหรือครับ ;D ;D  ผบ. ไม่ปลื้มครับ ;D ;D  คนหน้าตาดีก็แบบนี้ละครับ

ต้องขออภัยเจ้าของกระทู้ด้วยครับ  ต่อไปนี้จะพยายามติดตามกระทู้ของพี่สมชายทางกระทู้หุ้นครับ ::014::
ชอบหุ้นเหรอ ติดตามอย่าให้ขาดนะ ไม่เช่นจะเกิดอาการที่เขาเรียกว่า ขาดหุ้น


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: bigbang ที่ กุมภาพันธ์ 22, 2013, 02:12:28 PM
ขอบคุณ คุณสมชายครับ  ขออภัยนอกเรื่องเงินๆทอง นิดหน่อยครับ

กลับมาที่ยุคขอมดีกว่า  ผมยังสงสัยว่าแต่ทำไมยุคนั้น ขอมเอาเครื่องมืออะไรตัดหินได้เรียบ
แล้ว ขอมไม่รู้จักวิธีการใช้ปูนปั้นหรือฉาบ ขณะที่ญวนหรือจีน เริ่มมีใช้มานานแล้ว...


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: ณัฐพล - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 22, 2013, 03:07:52 PM


ขออนุญาต+2367 ครับ  ฮาาาา ... เอิ้กๆ


Ha Ha Ha  ฮา  "ฮั่นแน่"  พี่ ณัฐพล  อ่ะ  ฮา

ยาย เผ่นดีกว่า   "พวก ยึด สนามบิน"  มาแย้ว  ฮา   ::007:: ::007:: ::007::

โถ  ๆๆๆๆ  "พ่อทูนหัว"    ฮา
ยายแนะนำว่า  "ผ้าโพกหัว"  เอาออก เปลี่ยนสี เถอะ  ฮา

สียี่ห้อนี้  "ไม่ดี"  สีตก  เสื่อมแล้วอ่ะ  ฮา  ::007:: ::007:: ::007::

ยายถามหน่อย อ่ะจิ  ฮา
เรื่อง "แป๊ะ"   โดนยิง  จริง อ่ะ เปล่า ฮา

ยายว่าแป๊ะ "โก 6"  อ่ะ ฮา
555 สงสัย  เอา  "ดินสอ"  ทิ่มหัวตัวเอง  ฮา   ::007:: ::007:: ::007:: ::008:: ::009::

แหมยายบ๊าบบ .. ยายยังไม่ถอดผ้าโพกหัวยายออกเลย ถึงจะไมโพกหัวแบบรูปธรรมก็ตามเหอะ รู้กันน่าาา
แล้วจะให้ผมถอดผมไม่ถอดอ่ะ ;P

ส่วนเรื่องแปะลิ้มจัดฉากหรือเปล่า ผมตอบให้ไม่ได้นะ รู้แต่ว่าถ้่าจัดฉากยิงตัวเองจริงๆก็คงทำได้เหมือนมากๆเหมือนของจริง
เพราะยิงจริง รูกระสุนจริง รถพรุนจริง ไม่เหมือนไอ่ตัวที่เอาระเบิดไปยัดท้ายรถหรอก นี่ถ้าจุดปะทัดยักษ์ซะหน่อยประกอบความน่าเชื่อถือ ป่านนี้คนเชื่อกันหมดแล้วว่าจะ"โดน"จริงๆ


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: naisomchai ที่ กุมภาพันธ์ 22, 2013, 04:19:58 PM
ขอบคุณ คุณสมชายครับ  ขออภัยนอกเรื่องเงินๆทอง นิดหน่อยครับ

กลับมาที่ยุคขอมดีกว่า  ผมยังสงสัยว่าแต่ทำไมยุคนั้น ขอมเอาเครื่องมืออะไรตัดหินได้เรียบ
แล้ว ขอมไม่รู้จักวิธีการใช้ปูนปั้นหรือฉาบ ขณะที่ญวนหรือจีน เริ่มมีใช้มานานแล้ว...

นายสมชายว่าวัตถุประสงค์ของขอมไม่เหมือนกันกระมังครับ เพราะปรัชญาเบื้องหลังคือกษัตริย์ขอมต้องการให้คงทนแสดงความยิ่งใหญ่น่ะครับ... แต่ที่มหัศจรรย์พอๆกันคือเรื่องเทคโนโลยีการวางแปลนให้สอดคล้องกับหลักดาราศาสตร์ที่สืบเนื่องมาจากศาสนานี่ซิครับ...

ตัวอย่างเช่น"อโรคยาศาล"ซึ่งเป็นปราสาทอีกประเภทหนึ่งสำหรับเป็นโรงพยาบาลจะหันหน้าไปทางทิศเหนือเป๊ะๆ(ล็อกเอาไว้กับดาวเหนือเลย) โดยทิศตะวันออกก็จะเป็นตะวันออกแท้ๆ แบบที่"ดวงอาทิตย์ขึ้น"ในวันที่กลางวันกับกลางคืนเท่ากันเป๊ะ(วันอื่นของปีดวงอาทิตย์จะขึ้นไม่ตรงทิศตะวันออกแท้)...

นอกจากนี้ยังมีเรื่องเทคนิคการตอกลิ่มอัดเข้ากับซอกแท่งหินให้ค้ำกันรับน้ำหนัก, เซาะร่องให้หินเข้ามุมกัน, เซาะร่องแล้วเอาโลหะเสียบ ฯลฯ... เทคโนโลยีต่างๆที่ว่านั้น มีผู้เขียนอธิบายเอาไว้ในนี้ครับ"เผยเทคนิคการออกแบบก่อสร้างปราสาทภูเพ็ก" ลิ้งก์นี่... http://www.yclsakhon.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539370258...


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: naisomchai ที่ กุมภาพันธ์ 22, 2013, 04:20:59 PM
พี่สมชายเปิดคอร์สอบรมเมื่อไหร่ ผมจะไปรับการอบรมให้ได้ครับ

นายสมชายไปตอบในกระทู้หุ้นแล้วครับ... เย้...


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: naisomchai ที่ กุมภาพันธ์ 22, 2013, 05:52:22 PM
เรื่องของอโรคยาศาลอีกครับ... http://www.oknation.net/blog/voranai/2012/02/03/entry-2

ยาวมาก Copy มาที่นี่ไม่ไหวครับ...


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: ค..ควาย...ใส่ชฎา ที่ กุมภาพันธ์ 22, 2013, 07:40:45 PM


ยายบ๊าบเคยดูการ์ตูนเรื่องหนูน้อยอาราเร่หรือเปล่าหว่า... มันมีการ์ตูนอยู่ตัวนึงเอาตูดชี้ฟ้า มีอยู่สองตัวสีเขียวกับสีเหลือง ตามท้องเรื่องเป็นมนุษย์ต่างดาวหลงทางติดอยู่ในโลกมนุษย์, นั่นแหละหน้ายายบ๊าบตัวจริง “มนุษย์ต่างดาวหน้าตูด”...

ทำไมยายบ๊าบถึงได้หน้าตาเหมือนมนุษย์ต่างดาวตัวนี้“มนุษย์ต่างดาวหน้าตูด” ก็เพราะคนอื่นเขามีปากเอาไว้พูด มีตูดเอาไว้นั่ง, แต่ยายบ๊าบเอาตูดชี้ฟ้ามีหน้าแถวๆตูด ปากพูดปู้ดๆ มีแต่กลิ่นตดโชยออกมาเพราะเอารูตูดพูดไม่ได้ใช้ปากพูด, ก็เอาตูดชี้ฟ้าออกแบบนั้นพูดทีไรก็เหม็นเหมือนตด(คนอื่นเอาลมจากปอดพูด แต่ยายบ๊าบเอาลมจากลำไส้ใหญ่พูด) มันก็เลยเหม็นไปทั่วกระทู้ เข้ากระทู้ไหนเหม็นกระทู้นั้น... คนเขาคุยกันอยู่ดีๆก็เข้ามาป่วนลากเข้าเรื่องอื่นทำให้เสียบรรยากาศหมด...

ที่ยายบ๊าบเข้ามาป่วนก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าต่อมอิจฉามันปรี๊ดดดด อิจฉาไปหมดทุกเรื่องทุกประเด็น โดยเฉพาะเรื่องทำมาหากินนี่ตัวเองทำมาหากินไม่ขึ้น โชคดีหน่อยที่มีงานมีการทำในองค์กรใหญ่ บังเอิญได้เศษหุ้นกระเด็นมาเพราะเขาเล่นพวกเล่นพ้องกันช่วงกระจายหุ้น(เลยกลายเป็นเสื้อแดงเพราะมีประโยชน์ร่วม) ก็เลยลืมตาอ้าปากได้จากหุ้นนี่แหละ... ทั้งที่ก่อนหน้านี้กระเสือกกระสนสารพัดพยายามทำมาหากินไม่เคยเจริญ ก็เพราะจิตใจไม่สะอาด จ้องแต่อิจฉาตาร้อนปากร้อนทะเลาะกับผู้คนเขาไปทั่ว ทั้งที่ทะเลาะแล้วก็ไม่ได้อะไรขึ้นมากับชีวิตนอกจากความสะใจตามประสาคนเจ้าอารมณ์...

เด็กมันเกิดมาลืมตาดูโลกได้สามขวบสี่ขวบเข้าโรงเรียนอนุบาลมันก็ยังมีสมอง หากเด็กโรงเรียนอนุบาลมันทะเลาะกันก็เดาได้ว่ามันทะเลาะแย่งอะไรกันสักอย่าง เช่นแย่งของเล่น แย่งของกิน แย่งเพื่อนเล่น ฯลฯ สรุปว่าเด็กมันทะเลาะก็เพราะมีเดิมพัน... แต่ยายบ๊าบเอาตูดชี้ฟ้าเอาหน้าเป็นตูด พูดปู้ดๆ เป็นตดนี่ทะเลาะกับคนอื่นเข้ามาป่วนกระทู้ทั้งที่ไม่ได้อะไรขึ้นมาแก่ชีวิตเลย แสดงว่าคนหน้าตูด(ยายบ๊าบนั่นแหละ) โง่กว่าเด็กอนุบาล เพราะทะเลาะโดยไม่มีเดิมพันอะไร นอกจากต่อมอิจฉามันปรี๊ดแตก...

ถ้ายายบ๊าบเลิกป่วนกระทู้เมื่อไหร่ เราก็จะกลับมาดีกันเหมือนเดิม เพราะยังไงยายบ๊าบก็เป็นคนมีความรู้... หากพูดอะไรที่มันเกิดประโยชน์แก่ผู้อื่น ก็ยังพูดจาน่าฟังอยู่เสมอ...


(http://image.ohozaa.com/i/2ee/bjnKHG.gif) (http://image.ohozaa.com/view2/wFbDFjsgxwnLLsOE)


หัวข้อ: Re: คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)
เริ่มหัวข้อโดย: zamphol ที่ กุมภาพันธ์ 22, 2013, 09:31:41 PM
อ้อ...มันเป็นเช่นนี้เอง  ::007:: ::007::

ข้อมูลพี่สมชายมีความน่าเชื่อถือและใช้อ้างอิงได้เสมอครับ  ::002::

ผมติดตามอ่านโพสพี่สมชายมาหลายปีแล้ว ชอบวิธีคิด วิเคราะห์และสังเคราะห์เหตุผล

เคยก็อปปี้แนวคิดของพี่สมชายไปใช้แก้ปัญหาหลายครั้ง +1ล้านให้ไปเลยครับ... ::002:: ::002:: ::014::

ปล.เมื่อสี่ปีที่แล้ว เคยตามหุ้นที่พี่สมชายแนะนำอยู่ตัวนึง ถอยไม่ทัน เลือดสาดเต็มจอเลยครับ  ::012:: ::012::