๏ฟฝ๏ฟฝ็บบ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝสน๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝาปืน
พฤษภาคม 06, 2024, 09:17:30 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.เป็นเพียงสื่อกลางช่วยให้ผู้ซื้อ และผู้ขาย ได้ติดต่อกันเท่านั้นและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับประโยชน์หรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น
ประกาศหรือแบนเนอร์ในเวบไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าสินค้านั้นมีคุณภาพหรือไม่
โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจซื้อด้วยตัวเอง
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1] 2 3
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ตะลุยเดี่ยวไปเมกา ตอน San Antonio (วันสุดท้ายใน san antonio ก่อนไป LA)  (อ่าน 6907 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
powerboy
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 52
ออฟไลน์

กระทู้: 412


« เมื่อ: กันยายน 24, 2007, 07:01:45 AM »

ต้องเกริินไว้ก่อนว่าผมไม่ใช่นักเขียนที่ดี ขอเล่าเรื่องในมุมของผม

ที่มาที่ไป: ได้รับมอบหมายให้มาทำธุระที่ San Antonio
จุดประสงค์หลัก: ติดต่อธุระกิจให้กับธุระกิจครอบครัว
จุดประสงค์รอง: หนีออกจากบ้านมาเที่ยว
จุดประสงค์รองลงไปอีก: มายิงปืนขนาด .50 ซักครั้งในชีวิต

ออกเดินทางจากเมืองไทย วันที่ 14 รอบเช้าแสนสุด ไปกับสายการบิน china airline สิ่งที่คิดไว้ในใจสิ่งแรกคือเค้าต้องคิดว่าข้านี่พูดจีนได้แน่ ๆ
เพราะว่าหน้าตาผมมันตี๋ซ่ะจนเวลาไปเดินเยาวราช บรรดาอาม่า อาเจ็กต้องคุยกับผมเป็นภาษาจีนอยู่เรื่อยไป (ไปทำไมเยาวราชกลับมาบนเครื่องบินก่อน)
หลังจากหาที่นั่งของตัวเองเจอก็เตรียมตัวรอเครื่องขึ้น หลังจากเครื่องออกจากสนามบินสุวรรณภูมิแล้วก็ถึงเวลาของว่าง
และแล้วสิ่งที่ผมคิดไว้ก็เป็นจริง แอร์หน้าหมวย ขาว สูง หุ่นนางแบบ ก็เข้ามาถามผมเป็นภาษาจีนกลาง เป็นไปอย่างที่ผมคิดไว้ผมเลย ก็เลยต้องบอกว่าภาษาอังกฤษเถอะผมหน่ะหน้าจีนแต่พูดได้แค่ภาษาแต้จิ๋ว แล้วก็ไม่รู้เป็นอะไรแอร์คนนี้เค้าก็คอยดูแลบริเวณที่ผมนั่งตลอดการบิน
ทุกครั้งที่มา take care ต้องพูดภาษาจีนทุกที ไม่รู้ว่าทำไมจำไม่ได้หรือจงใจแกล้งเรา มีอยู่รอบนึงเค้าถามมาว่าจะเอาข้าวหมูอบซอสหรือไก่
ผมกำลังนั่งนึกยังไม่ถึงห้าวินาที เจ้แกก็ยัดข้าวหน้าไก่มาเลย สงสัยคิดว่าผมฟังภาษาเ้ค้าไม่ได้  หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตาริน
นั่งบนทั้งหมดราว ๆ 26 ชั่วโมง กับการเปลี่ยนเครื่องสี่รอบ เหอะ เหอะ ทรมานดีแท้  Cry Cry

และแล้วก็มาเหยียบแผ่นดินอเมริกา แผ่นดินที่เจ้าของแผ่นดินโดนฆ่าล้างเผ่าพันธ์จนเกือบหมด
ทั้ง ๆ ที่เป็นคนแนะนำให้คนอเมริกาที่กำลังไม่มีอะไรกินกำลังจะอดตาย รู้จักไก่ตัวใหญ่ ๆ (ผมไม่รู้เรียกว่าอะไร)
แถมงานขอบคุณพระเจ้าก็ไม่ได้เอ่ยถึงเจ้าของแผ่นดินที่ทำให้อยู่รอด แต่กลับขอบคุณพระเจ้าว่าได้ประทานไก่ยักษ์ให้เค้าซ่ะงั้น
มาต่อที่ด่าน ตม. คิวยาวมากยืนเกือบชั่วโมงกว่าจะมาถึงคิวผม
เป็นครั้งแรกที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษแบบเต็ม ๆ โดยไม่มีตัวช่วย  ตกใจ ชักตื่นเต้นเหมือนกันแต่ก็คิดว่าอาเจ็กจากจีนแผ่นดินใหญ่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ยังกล้ามา
แต่เราอุตสาห์เรียนซ่ะสูงจะกลัวอะไร ( สายการบิน china airline มีล่ามคอยช่วยเหลือชาวจีนที่ด่าน ตม. ให้ด้วย) ถึงคิวผมแล้วตื่นเต้นเหมือนกัน มันจะกักเราไว้ที่ด่านเหมือนเรื่อง terminal หรือเปล่าน้อ (คิดไปถึงเรื่อง terminal) มาดูบทสนทนาดีกว่า

เจ้าหน้าที่: Hi
ผม:  Hi, good afternoon, I am find, thank you and You.     (ตื่นเต้นไปหน่อยมาเป็นชุดเลย หน้าแหกเลย)
เจ้าหน้าที่: Sir, don't exciting (เค้าคงเจอมาเยอะไอ้พวกถูกสอนมาให้ตอบแบบไม่สนใจ)
เจ้าหน้าที่: Why do you come to America?
ผม: I come here because of my family business, and travel.
เจ้าหน้าที่: What kind of business.
ผม: personal aviation sir.
เจ้าหน้าที่: ทำหน้าทึ่ง ๆ เล็กน้อย ประมาณว่าภาษาเอ็งแค่เนี้ยจะมาติดต่อธุระกิจแบบเนี้ยเลยเหรอ แล้วก็ตัดความรำคาญด้วย Welcome to America sir.
ผม: Thank you very much คิดในใจประเดี่ยวก็เป็น robin hood ซ่ะหรอกมามองหน้าเรา

แล้วเจ้าหน้าที่ก็ปั้ม ๆ วันที่เข้า ระยะเวลาให้อยู่ในประเทศ ถ่ายหน้าผม พิมพ์ลายนิ้วมือ เป็นอันเสร็จพิธีการ
ลงมารับกระเป๋า ฮือออ ฮือออ ของในกระเป๋าแตก เป็นเหล้าจีนเอามาฝากญาติผู้ใหญ่ โมโหมากเดินไปที่ bag service ถามเค้าว่าเกิดอะไรขึ้น
เค้ามาดูกระเป๋าผมแล้วถามว่ามากับ china airline ใช่มั้ย ผมบอกว่าใช่ แล้วก็ถามต่อว่ามีประกันกระเป๋าไว้หรือเปล่า ผมบอกว่าเปล่า เค้าบอกว่าไม่รับผิดชอบ  โดนชก โดนชก
แล้วให้ร้ายไปกว่านั้นกระเป๋าผมอีกใบไม่มากับเครื่องต้อนเปลี่ยนเครื่องภายในต้องรอพรุ่งนี้ให้ทิ้งที่อยู่ไว้จะเอาคนมาส่งของให้  โดนชก โดนชก โดนชก
พูดเหมือนกับว่าผมโชคร้ายแต่ไม่ต้องห่วงไม่ใช่คุณคนเดียวแล้วผมก็หันหลังไปมีคนรอคิวกระเป๋าหายอีกเจ็ดแปดคน เฮ้อ

หลังออกจากสนามบินก็มารอรถที่จะรับไปยังบริษัทเช่ารถ หลังจากไปถึงบริษัทิเ่ช่ารถก็มีเรื่องให้ตลึงอีกครั้ง
ตอนผมจองรถใน internet แปดวันเป็นราคา 180 เหรียญ แถมเขียนไว้ว่า total all charge. ผมก็คิดว่าเออไม่แพงเนอะ
แต่ที่ไหนได้ มาโดนค่าประกันภัยกับภาษีไปอีก 240 เหรียญ เฮ้อออ เล่นเอาจนเลยงานนี่ ร้อนน้องชายผมต้องรีบไปตัดบัตรเครดิตให้ก่อนก่อนจะเต็มวงเงิน
เพราะที่นี่จะทำอะไรก็ใช้บัตรเครดิตเป็นส่วนใหญ่ คิดในใจเสียตังค์ีค่าเช่าเยอะจะล่อขับให้คุ้มเลยงานนี้ เพราะเช็คราคาน้ำมันแล้วถูกกว่าบ้านเรา ที่นี่ gallon ล่ะ 2.92
หลังจากนั้นก็ขับรถมาเปิดแผนที่แบบงม ๆ มาจนถึงโรงแรมใช้เวลาขับไปเกือบสองชั่วโมงกับระยะทางจริง ๆ แค่ 10 กิโลเมตร ตอนนี้คิดถึง gps ที่สุดรู้งี้เตรียมมาก็ดีอ่ะ
คืนแรกก็โดน jet lack เข้าไปอย่างที่ใครหลาย ๆ คนบอก เด่วมาต่อท่าทางจะยาว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 25, 2007, 01:05:45 AM โดย powerboy » บันทึกการเข้า
แจ็ค
"กำบ่มีอย่าไปอู้...กำบ่ฮู้อย่าได้จ๋า"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 461
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 7529


« ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 24, 2007, 07:32:27 AM »


...... ขนาดออกตัวว่าเล่าเรื่องไม่ค่อยเก่งนะ  ยังสุดยอดเลยครับ  แถมอีกนิดถ้ามีภาพมาประกอบด้วยจะยิ่งสุดยอดเลยครับผม .....
บันทึกการเข้า

... เมื่อความกลัวถึงขีดสุด  มันจะเกิดเป็นความกล้าที่บ้าบิ่น ...
powerboy
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 52
ออฟไลน์

กระทู้: 412


« ตอบ #2 เมื่อ: กันยายน 24, 2007, 07:39:00 AM »

ต่อ
หลังจากมาถึงโรงแรมก็โดน jet lack ไปเต็มๆ  เพราะที่นี่ต่างจากไทย 12 ชั่วโมงเป๊ะ นาฬิกาไม่ต้องปรับ เออดีแฮ่ะ
ข่มตาหลับก็หลับไม่ลง เอาฟ่ะยานอนหลับอ่อน ๆ ซักเม็ดคงดี และแล้วก็หลับไปตื่นมาเที่ยงกว่า ๆ room service มาเคาะห้อง
มาถึงก็พูดภาษาอังกฤษเป็นชุดฟังไม่ทันคร๊าบเพ่ เลยบอกไปว่า only restroom แล้วผมก็มานั่งงงต่อ
ตั้งสติว่าเอาไงดีกับชีวิตเพราะว่ายังไม่ถึงวันนัดคุยงาน ก็เลยมาวางแผนจะต้องไปสนามยิงปืนก่อน เอ้ยไม่ใช่ ต้องเตรียมตัวการใช้ชีวิตที่นี่อาทิตย์กว่า ๆ ก่อน

ก็เลยใ้ช้ google map หาตัวเองว่าอยู่แห่งหนใดในโลกเป็นอันดับแรกก่อน และก็หา wal-mart เป็นอันดับถัดมาเพื่อจะตุนเสบียง
หลังจากได้คำตอบว่าจะไปทางใด ก็เริ่มต้นเดินทางกันเลย พอจับทิศทางขึ้น high-way ของเค้าได้ก็ใช้ high-way คิดว่าคงเหมือนบ้านเราดูไม่ยากแน่ ๆ ระยะทางแค่ สิบสองกิโล และแล้วพอขึ้น high way เท่านั้นงงอีกแล้ว ถนนหมายเลข 35 มีแยกไป north กับ south ไอ้เราก็เอาไงหว่า เงอะ เงอะ เงิ่น เงิ่น
คิดถึง gps อีกครั้ง มันน่าแขกหัวตัวเองนักน่ะ จังหวะที่เงอะง่ะนั้นเองรถมันก็เอียงไปคร่อมเลน เพราะผมยังไม่ชินกับการขับรถพวงมาลัยซ้าย เลยไปปาดวัยรุ่น
โดนนิ้วกลางมาหนึ่งที แหะแหะ งานนี้จำเลยรับผิดทุกข้อกล่าวหา แล้วก็ขับต่อไป สรุปว่า วนวนบน high-way ไปโผล่ wal-mart ใกล้ ๆ สนามบินซ่ะได้
ไอ้เราก็มาดูแผนที่ โหนี่เล่นเลยมาอีกเกือบสิบกิโลน่ะเนี้ย แต่ก็เอาน่ามาถึงแล้ว สิ่งแรกที่หาก่อนเลยคือ น้ำครับน้ำ เพราะน้ำข้างนอกแพงผมเลยเหมาแบบแพ็ค 24 ขวดมาสองแพ็ก แล้วก็ มาม่ากับข้าวกล่องสำหรับเวฟครับ ไม่งั้นจนแน่ ๆ กินข้าวนอกบ้านมือนึงน่าจะราว ๆ 20 เหรียญแพงเอาการ
หลังจากช๊อบเสร็จก็กลับมาโรงแรม สรุปว่าวันนี้ขับรถไปทั้งหมด เจ็ดสิบกิโลแต่ระยะทางจริงแค่ 28 กิโล ส่วนที่เหลือคือหลงครับ เกือบจะออกไปอีกเมืองนึงไปแล้ว

กลับมาถึงโรงแรมก็จัดข้าวจัดของเสร็จมีเรื่องต้องใช้มีด หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตาริน ไม่ได้หยิบมา ก็เลยคิดว่าเอาว่ะสั่งซักอันล่ะกันเอาแบบถูก ๆ
นั่งหาใน net ซักพักก็ไปได้ buck 285 ใบยาวสามนิ้วราคา 20 เหรียญ ก็เลยสั่งไว้ใช้เพราะถ้าโดนยึดที่สนามบินจะได้ไม่เสียดายนักก็เลยสั่งไป
ตลึงอีกแล้วค่าส่งฟรี รับประกันวันเดียวถึง คิดในใจเออดีแฮ่ะ ผลปรากฏว่า หลังจากกดปุ่มสั่งไปก็มีโทรศัพท์เข้ามาที่ห้องบอกลายละเอียดที่ผมสั่งมีด
พูดแบบเร็วปานสายฟ้า แล้วผมก็ฟังไม่ทันอีกแล้วคร๊าบ ได้แต่ตอบว่า yes yes yes ประโยคสุดท้ายมีเรื่องให้ทึ่งอีก เค้าบอกจะส่งให้ถึงห้องภายใน 45 นาที
ผมก็งงเป็นไก่ตาแตกว่าทำไมเร็วนักฟ่ะ สรุปว่าร้านที่สั่งอยู่ใน san antonio เหมือนกัน มีคนส่งของมาส่งให้เร็วปานสายฟ้าแลป

พอตกเย็นก็เลยขอเยี่ยมชม river walk ที่ฝรั่งที่ผมรู้จักเค้าแนะนำซักหน่อยว่า You will love it. มันจะซักแค่ไหน
เอ้าไปเดินตลุยหน่อย แล้วก็เจอดีอีกแล้ว ฝรั่งผิวขาวท่าทางมอมแมม เดินมาพูดอะไรไม่รู้กับผมฟังไม่ทันอีกเช่นเคย ก็เลยยิ้มให้ทีนึงแล้วเดินออกมา
มันก็เดินตาม ที่สำคัญตัวก็ใหญ่กว่าผมตั้งเยอะตามแบบไม่ลดละ ผมก็เลยหันไปมองหน้าทำหน้ามุ้ย ๆ ใส่มันเลยหลบไป กลับมาคิดมันคงขอตังค์มั้งเห็นเราหน้าใหม่

ไปดูรูป river walk กันดีกว่าครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 24, 2007, 09:37:14 AM โดย powerboy » บันทึกการเข้า
powerboy
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 52
ออฟไลน์

กระทู้: 412


« ตอบ #3 เมื่อ: กันยายน 24, 2007, 08:01:55 AM »

ถ่ายรูปมาไม่เยอะครับ
สรุปแล้ว ไอ้ river walk นี่คือในอดีตมันเป็นคลอง แล้วรัฐนี้ก็พัฒนาให้เป็นทางเดินริมน้ำ (ตังค์เยอะครับ) โดยที่มีพวกโรงแรม กับร้านอาหารรายล้อมเต็มไปหมด
อารมณ์ประมาณสวนสาธารณะริมคลองนี่เอง ออกแนวโรแมนติกนิด ๆ ถ้าใครมากับหวานใจผมแนะนำครับที่นี่ใช้ได้เลย

มาต่อกันวันถัดมาดีกว่า
ผมได้เป็นแขกรับเชิญของ Tower of Americas ในมื้อเย็น โดยทางคู่ค้าของผมเค้าออกค่าใช้จ่ายให้  น้ำลายหก น้ำลายหก
อารมณ์เหมือนตึกใบหยกบ้านเรานี่เองครับกินข้าวบนที่สูง ๆ เลยได้กินของแพง ราคาทั้ง package อยู่ที่ราว ๆ แปดสิบเหรียญเห็นจะได้ เริ่มต้นออกจากรถก็ได้เหยียบพรมแดง  หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตาริน เป็นครั้งแรกในชีวิต
ให้ความรู้สึกเหมือนคนสำคัญอย่างไรก็ไม่รู้ แหะแหะ  โดนชก โดนชก
มีพนักงานมาต่อแถวตรบมือต้อนรับ ยิ่งให้ความรู้สึกเป็นคนสำคัญอีก ความสูงไอ้ตึกนี่ก็ราว 200 เมตร เล่นเอาหูอื้อเหมือนกันแฮ่ะ
เข้ามาก็เจอพนักงานต้อนรับเอาอาหารย่าง ๆ มาให้ชิมก็เลย ลองเลยครับเนื้อย่างสไำตล์เมกซิกัน พร้อมน้ำจิ้ม กัดไปคำแรกรสชาติคุ้น ๆ แฮ่ะ
เลยถามไปว่า What kind of dipping? เค้าตอบมาเลยครับ ว่า Thai dipping โถ่ไอ้เราถ่อมาตั้งไกลทำไมเนี้ยบ้านเราก็มี
แล้วก็ลองเครื่องดื่มคล้าย ๆ มากาเร็ตต้า แบบประมาณว่าใส่ทุกอย่างที่ผมรู้จักลงไปในแก้วเดียวกัน ผมโดนไปสองแก้วเล่นเอาเดินเอียงแฮ่ะ แหะแหะ
และแล้วอาหารมื้อที่แพงที่สุดก็มาถึง กุ้งล๊อบสเตอร์ กับเนื้อที่แพงที่สุดของ texas นี่เอง  หลงรัก กัดไปคำแรกคาดหวังกับรสชาติ
ผลปรากฏว่าเค็มปี๋  Huh Huh  งงครับกำลังคิดว่าตัวเองซัดเครื่องดื่มเยอะไปหรือเปล่าก็เลยเบรคก่อน คิดขึ้นมาในใจเค้าบอกว่าต้องกินกับไวน์
ก็เลยเรียกพนักงานเสริฟ์ให้เอาไวน์มาเติม หลังจากจิบไปแล้วนั่งรอซัก 10 นาทีให้น้ำย่อยออกมาเรียกร้อง จึงเริ่มกินใหม่สรุปเค็มเหมือนเดิม แหะแหะ
ไม่ดีขึ้นเลยเป็นว่าก็กินให้หมดแบบผิดหวัง  หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตาริน
สุดท้ายก็ลงมาเยี่ยมข้างล่างมีขายของที่ละรึกก็เก็บภาพมาให้ชมกันครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 24, 2007, 10:18:42 AM โดย powerboy » บันทึกการเข้า
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: กันยายน 24, 2007, 08:32:48 AM »

เยี่ยมมากแล้วครับ...

นายสมชายไปครั้งแรกเมื่อปี 1993 แล้วอยู่ที่โน่นได้หลายเดือนกว่าจะกล้าขับรถครับ เอาแค่เดินข้ามถนนยังเผลอมองรถยนต์ทางฝั่งซ้ายก่อนทุกครั้งที่ข้าม... ฮา

เรื่องฟังฝรั่งพูดไม่ออกเนี่ย เป็นธรรมดาครับ... ฝรั่งที่เมืองไทยพูดอะไรมันตั้งใจง้อให้เราฟัง เพราะมันเหยียบแผ่นดินเรา... แต่พอไปที่โน่นแล้วมันพูดแบบไม่ง้อเรา นายสมชายฟังเป็นเดือน กว่าจะเข้าใจพอฟังเล็กเชอร์ในห้องเรียนครับ... ทั้งที่ TOEFL นายสมชายตั้งเกือบ 600 แน่ะ... เฮ้อ

ไปที่โน่นแล้วหากทำความเข้าใจกับระบบถนนหนทางของบ้านเขา เราจะไม่หลงทางในเมืองที่วางผังเมืองแบบใหม่เลยครับ... แค่จำว่าที่หมายอยู่บนถนนไหนตัดกับถนนไหน จะมีหลายเลขถนนบอกเป็นระยะพร้อมแจ้งว่าเป็น North East West South ตลอดทาง... เราก็วิ่งให้ตรงทิศ และนับตัวเลขไปเรื่อย... แม้แต่ทางขึ้นลงบนซุปเปอร์ไฮจ์เวย์ก็บอก Exit เป็นหมายเลขเช่นกันครับ...

ซึ่งนายสมชายชายหงุดหงิดมาหลายสิบปีกับวิธีการบอกทางแบบไทยๆ ในประเทศไทย เช่นเลี้ยวขวาสามหน เจอปั๊ม เลี้ยวขวาอีกหนึ่งทีมองหาต้นไม้ใหญ่ จากนั้นเลี้ยวซ้ายแล้ววิ่งไปเรื่อยจนเจอร้านก๋วยเตี๋ยวแล้วนับไปอีกสามป้ายรถเมล์ให้เลี้ยวซ้ายอีกครั้ง จากนั้นมองหาร้านขายเครื่องสุขภัณฑ์เจอแล้วให้เข้าซอยฝั่งขวามือจะพบหนองน้ำ... ฮา

ใน USA จะมีเมืองใหญ่ๆ ที่สร้างมานานเช่น Sacramento, Louisiana ฯลฯ เท่านั้นที่ถนนหนทางถูกสร้างมานานก่อนระบบผังเมืองสมัยใหม่... เมืองแบบนี้ต้องคลำทางเองครับ... ฮา

สำหรับเมืองไทยขอบ่นหน่อย คนไทยชอบบอกคนที่หลงทางว่า"ไม่คุ้นเส้นทางน่ะ"... ซึ่งนายสมชายจะต่อว่าในใจว่าอย่างนี้แปลว่าต้องหลงทางเสียก่อนหนึ่งครั้งใช่ไหมครับ... ฮา...

แถมยังมีป้ายบอกเส้นทางบนทางด่วนกระทันหันแบบตั้งใจสื่อสารว่า"ท่านหลงแล้ววอ่ะ ทางแยกที่ผ่านมาท่านเลี้ยวผิด เสร็จเราหนึ่งแต้ม... จ๊ากซ์"... วิธีแก้ก็แค่นิดเดียวคือบอกเนิ่นๆเท่านั้นเอง... ฮา
บันทึกการเข้า
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: กันยายน 24, 2007, 08:34:21 AM »

เยี่ยมมากแล้วครับ...

นายสมชายไปครั้งแรกเมื่อปี 1993 แล้วอยู่ที่โน่นได้หลายเดือนกว่าจะกล้าขับรถครับ เอาแค่เดินข้ามถนนยังเผลอมองรถยนต์ทางฝั่งซ้ายก่อนทุกครั้งที่ข้าม... ฮา

เรื่องฟังฝรั่งพูดไม่ออกเนี่ย เป็นธรรมดาครับ... ฝรั่งที่เมืองไทยพูดอะไรมันตั้งใจง้อให้เราฟัง เพราะมันเหยียบแผ่นดินเรา... แต่พอไปที่โน่นแล้วมันพูดแบบไม่ง้อเรา นายสมชายฟังเป็นเดือน กว่าจะเข้าใจพอฟังเล็กเชอร์ในห้องเรียนครับ... ทั้งที่ TOEFL นายสมชายตั้งเกือบ 600 แน่ะ... เฮ้อ

ไปที่โน่นแล้วหากทำความเข้าใจกับระบบถนนหนทางของบ้านเขา เราจะไม่หลงทางในเมืองที่วางผังเมืองแบบใหม่เลยครับ... แค่จำว่าที่หมายอยู่บนถนนไหนตัดกับถนนไหน จะมีหลายเลขถนนบอกเป็นระยะพร้อมแจ้งว่าเป็น North East West South ตลอดทาง... เราก็วิ่งให้ตรงทิศ และนับตัวเลขไปเรื่อย... แม้แต่ทางขึ้นลงบนซุปเปอร์ไฮจ์เวย์ก็บอก Exit เป็นหมายเลขเช่นกันครับ...

ซึ่งนายสมชายชายหงุดหงิดมาหลายสิบปีกับวิธีการบอกทางแบบไทยๆ ในประเทศไทย เช่นเลี้ยวขวาสามหน เจอปั๊ม เลี้ยวขวาอีกหนึ่งทีมองหาต้นไม้ใหญ่ จากนั้นเลี้ยวซ้ายแล้ววิ่งไปเรื่อยจนเจอร้านก๋วยเตี๋ยวแล้วนับไปอีกสามป้ายรถเมล์ให้เลี้ยวซ้ายอีกครั้ง จากนั้นมองหาร้านขายเครื่องสุขภัณฑ์เจอแล้วให้เข้าซอยฝั่งขวามือจะพบหนองน้ำ...

ใน USA จะมีเมืองใหญ่ๆ ที่สร้างมานานเช่น Sacramento, Louisiana ฯลฯ เท่านั้นที่ถนนหนทางถูกสร้างมานานก่อนระบบผังเมืองสมัยใหม่... เมืองแบบนี้ต้องคลำทางเองครับ...

สำหรับเมืองไทยขอบ่นหน่อย คนไทยชอบบอกคนที่หลงทางว่า"ไม่คุ้นเส้นทางน่ะ"... ซึ่งนายสมชายจะต่อว่าในใจว่าอย่างนี้แปลว่าต้องหลงทางเสียก่อนหนึ่งครั้งใช่ไหมครับ... ฮา...

แถมยังมีป้ายบอกเส้นทางบนทางด่วนกระทันหันแบบตั้งใจสื่อสารว่า"ท่านหลงแล้ววอ่ะ ทางแยกที่ผ่านมาท่านเลี้ยวผิด เสร็จเราหนึ่งแต้ม... จ๊ากซ์"... วิธีแก้ก็แค่นิดเดียวคือบอกเนิ่นๆเท่านั้นเอง... ฮา(อีกที)
บันทึกการเข้า
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #6 เมื่อ: กันยายน 24, 2007, 08:35:47 AM »

โอ๊ย... Post ดับเบิ้ลแล้วลบไม่ได้อ่ะ...
บันทึกการเข้า
ชัยบึงกาฬ รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1991
ออฟไลน์

กระทู้: 8962


ต้องรู้ให้ถึงแก่น...


« ตอบ #7 เมื่อ: กันยายน 24, 2007, 08:45:39 AM »

ต่อสิครับ.. Grin Grin Grin
บันทึกการเข้า
BADBOY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #8 เมื่อ: กันยายน 24, 2007, 08:52:11 AM »

ตื่นเต้น  ถ้านึกสภาพว่าเป็นผม คง...นั่งหมดอาลัยตายอยากตั้งแต่ก่อนลงเครื่องแล้วครับ...... หัวเราะร่าน้ำตาริน
บันทึกการเข้า
powerboy
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 52
ออฟไลน์

กระทู้: 412


« ตอบ #9 เมื่อ: กันยายน 24, 2007, 08:53:57 AM »

หลังจากที่ผมติดต่อธุระกิจเสร็จสรรพ เรียบร้อยด้วยดี ด้วยภาษาอังกฤษแบบ snake snake fish fish
ผมเลยบอกว่าผมพูดไ้ด้ไม่เร็วเท่าที่ผมคิด ฝรั่งใจดีบอกว่าไม่เป็นไรเค้าเข้าใจถ้ามีอะไรที่ติดใจก็สามารถ mail มาได้ยินดีที่จะร่วมธุระกิจด้วย ^_^'

แล้วผมก็ตะลอน ๆ อยู่รอบ ๆ เมืองได้ซักพักจึงเริ่มเข้าใจระบบถนนเค้า นั้นคือเรากำลังจะไปไหนเราต้องมีแผนที่ในหัวคร่าว ๆ
ถ้ามาเจอทางแยกบน high way แล้วเช่นมี 35 south กับ 35 north ให้เรายึดตัวเราเป็นหลักแล้วคิดว่าเราอยู่ตรงไหนจะขึ้นเหนือหรือลงใต้ แล้วก็ไปตามป้ายที่บอก
กว่าจะจับทิศทางได้ก็เล่นหลงทางรวม ๆ ไปเกือบ ๆ สองร้อยกิโล แหะ แหะ

มาถึงวันศุกร์อีกครั้ง
มีงาน jazz lover อะไรซักอย่าง ผมเลยเดินไปถามตำรวจว่างานจะเริ่มเมื่อไหร่เค้าก็ตอบแบบยาวยืดและก็ฟังไม่ทันอีกตามเคย
สรุปได้คร่าว ๆ ว่าจะมีงานสามวัน มีวงแจ๊สชื่อดังมาเล่น มีอาหารอร่อยพื้นเมืองมาขาย เลยได้เดินเล่นในงานตลอดสามวัน
ถึงจะไม่ค่อยรู้จัก jazz แต่ก็ชอบดนตรีสดมันได้อารมณ์ คนที่นี่เค้าจะหิ้วเก้าอี้ มานัี่งฟังกัน ได้ชิมอาหารของ maxican เยอะเลยครับ

มาเล่าไอ้ที่ขำ ๆ กันดีกว่า
ผมเดินรอบ ๆ งานเพื่อเล็งหาของกินในวันแรกด้วยความที่เป็นคนชอบทานเนื้อวัวเป็นทุนอยู่แล้วเลยเล็งไปที่ตระกูล beef เป็นส่วนใหญ่
อ้อจะบอกว่า beef ที่นี่เค้าไม่แยกเนื้อวัวหรือเนื้อควายนะครับ เค้าไ่ม่บอก มันจะรวม ๆ กันไป
ไปจะเอ๋ร้านนึงคนไม่เยอะเท่าไหร่เป็นคนผิวสี กลิ่นมาเตะจมูก มองไปที่ราคาไมแพงน่ะ สูงสุดที่ 5 เหรียญ ก็เลยคิดว่าเอา beef ล่ะกัน
เข้าไปสั่งด้วยความมั่นใจ beep smoke and tomato grill เค้าก็ตอบรับแล้วพูดกลับมาอีกอะไรไม่รู้ ได้ยินแค่ rip แล้วก็อะไรมาณ fault fault ไอ้เราก็ฟังไม่ทันอีกแล้วครับท่าน แล้วก็คิดว่าไอ้คำว่า fault fault คือซอสอะไรซักอย่าง เลยตอบ yes yes yes

จากนั้นมาเลยครับ beep rip มันคือซี่โครงวัว อันอย่างใหญ่ยาวราว ๆ สิบสองนิ้ว ทั้งหมด ห้าอัน ตกใจครับท่านพูดอะไรไม่ออก
เข้าใจว่าไอ้ที่ถามย้อนมานั้นคงเป็นประมาณว่า เนื้อหมดมีแต่ beef rip สนใจมั้ยจะแถมให้เพราะเป็นความผิดเค้าที่ของหมด
ถอนหายใจหนึ่งเฮือกแบบเบา ๆ คิดในใจว่าเอาแล้วสงสัยมือนี้ กระดูกย่าง แหะ แหะ
ก็เลยรับมาพร้อมจ่ายไปห้าเหรียญ แล้วก็ตัดสินใจออกจากงานกลับมาที่โรงแรมเพราะคิดไม่ออกว่าจะแทะอย่างไรอันใหญ่เหลือเกิน
มานั่งแทะีที่โรงแรมก็ได้อารมณ์แปลก ๆ เหงา ๆ แต่อร่อยมาก ซอสอบเนื้อของชาว mexican มีเสน่ห์มาก ชอบ ๆ ไม่ผิดหวังเหมือนที่ ตึกสูง
หลังจากแทะไปได้สองอันก็บอกตัวเองว่าไม่ไหวมันเยอะแฮ่ะเนื้อที่ได้มาน่าจะราว  ๆ เกือบสี่ขีดได้ไม่กล้ากินเยอะกลัวจะโดนสภาวะอาหารเป็นพิษ
เลยมองออกไปนอกเห็นเห็น น้องหมาพันธ์ทาง เลยโยนให้ (เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปเพราะผมอยู่ในห้องแต่น้องหมาอยู่หลังโรงแรม)
และแล้วคืนนี้ก็อิ่มฝันดีด้วย beef rip ขนาด 12 นิ้วห้าอัน เหอะ เหอะ

ตื่นเช้ามาเช้าวันเสาร์ ลงไปกินอาหารเช้าของโรงแรม (กินมาได้ หกวันแล้ว) เหมือนเดิมทุกวัน กาแฟหนึ่งแก้ว ขนมปังปิ้งสองแผ่น เนื้อย่างสองชิ้น นมกับซีเรียลหนึ่งชาม
วันนี้ผมตื่นเช้าไปเลยไม่ค่อยมีแขกของโรงแรมที่มาพักลงมากิน พนักงานที่ดูแลก็ใจดี มานั่งคุยประมาณว่าเค้าไม่ค่อยเจอใครอยู่นาน ๆ เพราะเมืองมันเล็กเดินวันเดียวก็หมด
ผมก็เลยตอบไปว่าผมวางแผนมาหมดแล้วว่าจะทำอะไรอยู่ที่นี่กี่วัน เค้าก็ใจดีคุยอยู่นานทั้ง ๆ ที่ผมก็ฟังทันบ้างไม่ทันบ้าง พูดผิดพูดถูก
แล้วสาย ๆ  ผมก็ออกไปร้านปืนอย่างที่ใจหวังและแล้วก็ไปถึงร้าน Dury's shop เป็นอารมณ์ประมาณครอบครัว ทำกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ
http://www.durysguns.com/
ตอนเดินเข้าไปตอนแรกเค้าก็มองหน้าผมแปลก ๆ คิดว่าผมเป็นเด็กมั้งเพราะหน้าตาผมจีน ๆ เลยดูออกเป็นวัยรุ่นไปหน่อย
เค้าก็ทำท่าจะตัดรำคาญด้วยการถาม Can i help you sir, ผมก็ตอบไป I am looking for gun accessories and knife.
พอเค้าได้ยินสำเนียงผมเท่านั้นเค้าก็ถามว่ามาจากไหนเหรอ ผมก็เลยบอกไปว่ามาจากเมืองไทย กำลังหาของไปขาย
เท่านั้นแหละครับ แทบจะเอาของทั้งร้านให้ผมดู ปืนรุ่นใหม่ ๆ ปืนแปลก ๆ สำหรับผม เลยได้ดูได้จับจนหน่ำใจ  หลงรัก หลงรัก
แล้วก็อุดหนุนเป็นของแต่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปราว  ๆ สองสามชิ้น ตอนออกจากร้านเริ่มหนักใจว่าจะเอากลับไทยได้มั้ยเนี้ย  หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตาริน ซื้อเพราะความอยากแท้ ๆ
ราคาก็ไม่ถูกกว่าที่เช็คจาก net เลยแต่ที่แน่ ๆ คือถ้าผมได้อยู่นี่คงมีความสุข เค้าขายกระสุนกับแบบตักขายครับ ประมาณชั่งกิโล  ตกใจ
หรืออยากได้แบบแพงนิดก็มีกล่องให้เรียบร้อย ที่สำคัญถูกกว่าบ้านเราเยอะ  โดนชก โดนชก
ได้จับกระสุน .50 bmg ด้วย ใหญ่มาก ด้วยความอยากลองเลยถามว่าแถว ๆ นี้มีที่ไหนให้เช่ายิงได้บ้าง เค้าก็ตอบมา่ว่าถ้าเป็นปืนสั้นก็มีอยู่ไม่ไกล
แต่ถ้า .50 นี่ท่าทางจะไม่มีเพราะไม่ค่อยมีคนมาซื้อเท่าไหร่ ลูกเค้าก็ขายได้น้อย ต้องลองถามหาจากชมรมว่ามีใครให้ยืมได้บ้าง  โดนชก โดนชก
คิดในใจท่าทางจะหมดหวังซ่ะแล้วสิเราที่จะโดนแรงถีบของ .50 ซักครั้งในชีวิต

ตกเย็นกลับมางาน jazz อีกครั้งคราวนี้ตั้งใจจะไม่ให้พลาดเรื่องของกิน
เอาเลยครับเดิน ๆ ก่อนอีกรอบ เจอร้านนึงกลิ่นเตะจมูกอีกแล้ว (ผมว่าชาติที่แล้วผมต้องเป็นหมาแน่ ๆ เลย ใช้จมูกดมกลิ่นว่าร้านไหนน่าจะอร่อย)
ป้ายเขียนไว้ว่า hamburger Old Style คนต่อคิวยาวมาก เลยอดทนลองต่อคิว และแล้วก็ถึงคิวเราไปดูบทสนทนาขำ ๆ ครับ

คนขาย: Hi sir,
ผม: Hi, I would like one berger with cheese and one with out cheese.
คนขาย: Fly sir    (ตอนนี้ผมงงครับอะไรฟ่ะ บินเอ๋หรือว่าจะเป็นแมลงวัน อึ้ง ๆ แล้วก็เหลือบไปเห็นเฟรนด์ฟรายเลยคิดได้ว่ามันคือไอ้นี้นี่เอง)
ผม: No
คนขาย: ถามมาอีกประโยค ทีนี้เร็วมาก ฟังไม่ทันอีกแล้วจับใจความไม่ได้เลยเพราะเค้าคิดว่าผมเป็นคนที่นี่เลยมีภาษา mexican มาผสม
ผม: Oh sorry, i don't under stand, again and slowly please.
คนขาย: Oh sorry, I though you are local citizen (ผมคิดในใจ อ้ออว่าเราบ้านนอก นี่เอง  โดนชก โดนชก)
คนขาย: Do you want some vegetable sir.
ผม: Everything excepts onion (ผมออกเสียง onion อยู่นานกว่าเค้าจะเข้าใจ โอเนี่ยน ออนเนี่ยน ออเนี่ยน และอีกหลาย ๆ คำ  หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตาริน)

ยืนรออยู่ห้านาทีพร้อมคำเรียก Thank you very much for waiting time พร้อมกับ เบอร์เกอร์ขนาดยักษ์สองอัน ในราคา 10 เหรียญ คิดในใจเบอร์เกอร์สองอัน สามร้อยห้าสิบอยากจะร้องให้
งานนี้ตั้งใจนั่งฟังไปกินไป พกของยังชีพมาครบ ผ้ารองนั่งหนึ่งผืน มีดหนึ่งเล่ม น้ำสองขวด (ซื้อในงานขวดละสองเหรียญ ซื้อจาก wal mart สามขวดหนึ่งเหรียญ)
แล้วก็นั่งกินเบอร์เกอร์ขนาดฝรั่งกินจนหมดใช้เวลาไปเกือบ 45 นาทีเหนื่อยเหมือนกันเยอะมาก  หัวเราะร่าน้ำตาริน คราวนี้ไม่ผิดหวังอร่อยอีกเช่นกัน
นั่งฟังเพลิน ๆ เวลาก็ราว ๆ สามทุ่มเลยเบื่อเพราะไม่ค่อยรู้จัก jazz แต่ชอบตอนเสียงเป่า แซกโซโฟน มากเพลินดี ราว ๆ สี่ทุ่มกลับถึงห้อง
ฟันร้ายว่าโดนปีศาจแฮมเบอร์เกอร์ไล่กิน ตกใจตื่นตอนตีสอง  Cry Cry มานั่งเหงา ๆ ต่ออยู่คนเดียวนี่เหงาพิกลเนอะ

วันนี้ไม่ได้ออกไปไหนกินอาหารเช้าโรงแรมเช่นเคย มื้อเที่ยงก็ข้าวกล่องไมโครเวฟ อ่านข้างกล่องได้ใจความว่ากระเพาไำก่ราดข้าว กินกันตาย
รสชาติเหมือนข้าวกล่อง 7-eleven บ้านเรา ตกเย็นมาเดินงาน jazz ซึ่งเป็นวันสุดท้ายอีกครั้ง

คราวนี้เจอนี่เลยครับไส้กรอกยักษ์ อันหล่ะ สามเหรียญห้าสิบ โอ้แม้เจ้าไส้กรอกอันละร้อย แพงฉิบเป๋ง แต่กลิ่นดีน่าลอง เลยเอาซ่ะรสชาติเยี่ยมเช่นเคยครับ
เล่นไปหนึ่งอันกับ hamberger เจ้าเก่าอีกหนึ่งอันอิ่มครับกลับมาห้องมานั่งเล่าให้เพื่อน ๆ พี่ ๆ ฟังแก้เหงา

 พี่พี่ คนไหนอยู่ใกล้ ๆ แวะมารับหน่อยผมเหงาครับ   Cry Cry
วันอังคารจะย้ายแหล่งที่อยู่ไป LA แล้วครับ แล้วมีเรื่องจะมาเล่าต่อ

ปล ไม่ได้ถ่ายรูปของกินไว้เพราะไม่รู้จะ่ถ่ายไงไม่มีมือครับบวกกับห่วงกินด้วยกลัวคนแย่งแหะแหะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 24, 2007, 08:27:42 PM โดย powerboy » บันทึกการเข้า
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #10 เมื่อ: กันยายน 24, 2007, 09:07:14 AM »

ก่อนออกจากซานอันโตนิโอ... น่าจะไปซึมซับบรรยากาศศึกอลาโมฯ เห็น จขกท. บอกว่าเล่นมีดด้วยนี่ครับ...

เผื่อได้ฝันคุยกับผีอีตาโบวี่เจ้าตำนานมีดโบวี่... อย่างน้อยก็ดีกว่าฝันถึงผีแฮมเบอร์เกอร์ครับ... เย้
บันทึกการเข้า
powerboy
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 52
ออฟไลน์

กระทู้: 412


« ตอบ #11 เมื่อ: กันยายน 24, 2007, 09:20:37 AM »

ก่อนออกจากซานอันโตนิโอ... น่าจะไปซึมซับบรรยากาศศึกอลาโมฯ เห็น จขกท. บอกว่าเล่นมีดด้วยนี่ครับ...

เผื่อได้ฝันคุยกับผีอีตาโบวี่เจ้าตำนานมีดโบวี่... อย่างน้อยก็ดีกว่าฝันถึงผีแฮมเบอร์เกอร์ครับ... เย้

ไปมาแล้วครับพี่ อ่านประวัติศาสตร์ที่นี่จับใจความได้ว่าถูกปกครองด้วยหกชนชาติ six flags over Texas แย่งกันไปแย่งกันมา
แต่ผมว่าประวัติศาสตร์บ้านเรายิ่งใหญ่กว่าครับ หรือว่าผมเป็นพวกชาตินิยมเกินไปก็ไม่รู้แฮะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 24, 2007, 10:34:45 AM โดย powerboy » บันทึกการเข้า
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #12 เมื่อ: กันยายน 24, 2007, 09:52:15 AM »

ดีจังครับ... อย่างน้อยก็ได้ชื่อว่าได้เหยียบแผ่นดินสุดท้ายของเจ้าตำนานมีดโบวี่แล้ว...

เหลืออีกแห่งครับ... ไปตะลุยสวนสนุกแบบโหดๆ "Six Flags Over the Texas"ครับ... เมื่อปี 1995 นายสมชายเคยไปมาหนนึงโหดมาก แบบที่ Disney Land ที่ LA เป็นสวนสนุกแบบเด็กๆเลย... และช่วงนั้นมี Virtual Reality มาโชว์แต่ยังทำไม่เสร็จทางสวนสนุกฝอยไว้ว่าสนุกมากครับ... นายสมชายกลับมาก่อนเขาทำเสร็จ...
บันทึกการเข้า
powerboy
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 52
ออฟไลน์

กระทู้: 412


« ตอบ #13 เมื่อ: กันยายน 24, 2007, 10:45:41 AM »

มาเพิ่มเติมครับ
เมื่อวานต้องไปคืนรถที่เช่ามา แล้วต้องเติมน้ำมันคืนเค้าให้เต็มถัง ไอ้ตอนเป็นวัยรุ่นก็เคยซ่าทำงานปั๊มมาแล้วคิดว่าไม่ยากที่ไหนได้
มาถึงงงเป็นไก่ตาแตกครับ เพราะบ้านเรามันแยกหัวจ่ายแต่ละอันแต่ที่นี่มันรวมเป็นอันเดียวครับ
บ้านเราพอยกหัวจ่ายมาก็กดได้เลย ที่นี่กดไม่ได้ครับต้องมาจิ้ม ๆ เลือกว่าจะจ่ายแบบไหน ใช้เงินสดหรือเครดิต น้ำมันอะไร
ยืนเงอะ ง่ะอยู่เกือบห้านาทีจนพนักงานในปั้มมาแนะนำ แหะแหะ พี่แกก็เล่นพูดซ่ะเร็วปรื๊ด ตอนนี้เริ่มจับสำเนียงเค้าได้แล้ว
แต่ก็ยังมึน ๆ เช่นเคย จับใจความได้ว่า

ถ้าจะจ่ายเงินสดต้องเดินไปที่จ่ายเงินแล้วบอกว่าจะเอาน้ำมันอะไร เท่าไหร่เค้าจะกดมาจากข้างไหน
ถ้าจะจ่ายแบบเครดิตก็เอาบัตรรูดที่หัวจ่ายเลย ยกหัวจ่าย เลือกน้ำมัน กดน้ำมัน รอจนเต็ม วางหัวจ่าย รอใบเสร็จ เป็นอันเสร็จสิ้น

ปล. ถ้าใครจะมาเมกา แนะนำว่าหาบัตรเครดิตวงเงินสูง ๆ ไว้ก็ดีครับเพราะที่นี่เกือบทุกอย่างใช้บัตรเครดิต
ถึงกับขนาดมีช่วงนึงของประเทศ ที่ใครใช้เงินสดจ่ายจะถูกมองแปลก ๆ ครับ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 24, 2007, 10:49:04 AM โดย powerboy » บันทึกการเข้า
BADBOY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #14 เมื่อ: กันยายน 24, 2007, 11:48:15 AM »

ขอบคุณข้อมูลอันเป็นประโยชน์มาก ๆ นะครับ   เผื่อมีโอกาส จับพลัดจับผลู ได้ไป แอ่ว เมกา กับเขาบ้าง...ขอบคุณครับ Grin
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.18 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.13 วินาที กับ 21 คำสั่ง