๏ฟฝ๏ฟฝ็บบ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝสน๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝาปืน
พฤษภาคม 09, 2024, 12:03:25 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: อวป. มีจำหน่ายที่ สนามยิงปืนราชนาวี/สนามยิงปืนบางบัวทอง/สนามยิงปืนศรภ./
/สนามยิงปืนทอ./
สิงห์ทองไฟร์อาร์ม
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: จิตวิญญาณธรรมศาสตร์ 4 รุ่น :เกษียร เตชะพีระ มติชนรายวัน : 22 ธค 44  (อ่าน 1353 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ทัดมาลา ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป
มืออ่อน หมัดแข็ง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 857
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6568


เตสาหัง สิรสา ปาเท วันทามิ ปุริสุตตเม


« เมื่อ: ตุลาคม 01, 2006, 11:31:02 AM »

เพิ่งจะได้อ่านครับ จึงนำมาให้พี่ๆน้องได้อ่านกัน

บทความนี้สะท้อนอะไรได้ดีทีเดียว



จิตวิญญาณธรรมศาสตร์ 4 รุ่น

เกษียร เตชะพีระ
มติชนรายวัน : 22 ธค 44


--------------------------------------------------------------------------------


เทอมที่แล้ว ผมตั้งโจทย์ข้อสอบไล่ข้อหนึ่งแบบบอกล่วงหน้าให้นักศึกษาวิชา ร.321 การเมืองการปกครองของไทย ราว 100 คน ไปค้นคว้าเรียบเรียงมาเขียนตอบในห้องสอบว่า-

จงเขียนบทสนทนาสมมุติขึ้นระหว่างบุคคล 4 คน ผู้เกี่ยวพันกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในประเด็น จิตวิญญาณความเป็นธรรมศาสตร์ และ อนาคตของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ใน 15-20 ปีข้างหน้า.....บุคคลทั้ง 4 ได้แก่- ก) ผู้ประศาสน์การปรีดี พนมยงค์ ข) ศิษย์เก่า ม.ธ.ก. กุหลาบ สายประดิษฐ์ ค) อธิการบดีป๋วย อึ๊งภากรณ์ ง) ให้นักศึกษาเลือกสมมุติเองว่าบุคคลที่ 4 จะเป็นใคร?.....

ในบรรดาคำตอบทั้งหลาย มีฉบับหนึ่งของนักศึกษาปีสี่เลขทะเบียน 4104612959 เขียนได้คมคายน่าคิด ช่วยสะท้อนสภาพและชีวทัศน์ของนักศึกษายุคปัจจุบัน จึงขออนุญาตคัดตัดต่อบางตอนมาเป็นกำนัลท่านผู้อ่านโดยเฉพาะชาวธรรมศาสตร์ทั้งอดีตและปัจจุบันดังนี้ : -

"วันนี้ผมก็เข้ามาเรียนในธรรมศาสตร์เหมือนอย่างเคยทุกวัน ... ผ่านมาจะครบ 4 ปี ผมก็ยังรู้สึกว่าผมยังไม่ได้เป็นนักศึกษาธรรมศาสตร์จริงๆ สักที ผมไม่เคยรู้จัก ม.ธ.ก. และความเป็นมา ผมไม่ซาบซึ้งกับคำที่พวกเขาพร่ำกล่าวว่า 'จิตวิญญาณธรรมศาสตร์' นั้นมันเป็นอย่างไร จนกระทั่ง...คืนนั้นผมเก็บเอาบทเรียนในชั้นไปฝันต่อ...

ณ คอมมอนรูมคณะเศรษฐศาสตร์ที่โต๊ะริมน้ำที่ผมชอบนั่งดูท้องฟ้า สายน้ำ แต่วันนี้ที่โต๊ะตัวนั้นมีใครคนหนึ่งนั่งอยู่

นักศึกษา : สวัสดีครับ... รอใครอยู่หรือเปล่าครับ?

ผู้ประศาสน์การ ปรีดี พนมยงค์ : ฉันกำลังรอเธออยู่ มาสิ มาคุยกัน

นักศึกษา : ท่านเป็นใครหรือครับ ผมไม่เห็นรู้จัก?

ปรีดี : ฉันเติบโตในระหว่างสงครามโลกสองครั้ง ในยุคที่มีการล่าอาณานิคมกันมาก ระบบทุนนิยมแพร่หลายและก็พังทลายพร้อมๆ กัน ฉันไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศสและได้รับเอาแนวคิดประชาธิปไตยมาทำการอภิวัฒน์เมื่อปี 2475

นักศึกษา : งั้นท่านก็คือปรีดี พนมยงค์ ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองสิครับ แต่เอ! ช่วงนั้นที่ท่านเป็นผู้ปกครองประเทศ ทำไมไม่พัฒนาแต่เศรษฐกิจ แต่มาตั้ง ม.ธ.ก. ล่ะครับ?

ปรีดี : ก็ฉันรู้น่ะสิว่าถ้าปล่อยให้ประเทศไทยมีประชาธิปไตยทั้งๆ ที่คนของเรายังไม่รู้ประสีประสาวิชาการเมือง คนที่รู้เรื่องมีแต่คนชั้นสูงแล้ว ประชาธิปไตยของเราจะอยู่ไปได้อย่างไร ฉันก็เลยตั้ง ม.ธ.ก. ขึ้นเพื่อให้เป็นตลาดวิชาแก่คนที่ใคร่กระหายอยากเรียน ม.ธ.ก. สมัยนั้นน่ะใครอยากเรียนก็ได้เรียน ไม่จำกัดอายุ เพศ ถิ่นที่อยู่ สถานะทางเศรษฐกิจและสังคม เพราะไม่ว่าเป็นใครก็มาตักน้ำในบ่อแห่งความรู้ที่ ม.ธ.ก. นี้กันได้ทุกคน

นักศึกษา : อย่างนี้คนก็เข้ามาสมัครเยอะแยะ แล้วมีคนจบมากไหมครับ?

ปรีดี : ในช่วงแรกมีคนสมัครเป็นหมื่น แต่จบกันปีละไม่กี่ร้อยคนเอง แต่ไม่เป็นไรหรอก เพราะว่าสิ่งที่ฉันต้องการไม่ใช่นักวิชาการดีเด่นอะไร เพียงแค่ให้ประชาชนมีสิทธิมีโอกาสเท่าเทียมกันก็พอแล้ว เพราะจิตวิญญาณของธรรมศาสตร์ในสมัยนั้นน่ะเป็นเหมือนบ่อน้ำแก้กระหายให้กับทุกคน ใครอยากจะมาดื่มมาอาบก็ได้

อ้าว คุณ กุหลาบ สายประดิษฐ์ มานั่งคุยกันก่อนสิ นี่น่ะพ่อหนุ่มคนนี้ช่างซักซะจริง เขาอยากรู้ว่า ม.ธ.ก. ในสมัยของพวกเราน่ะเป็นอย่างไร

นักศึกษา : ครับ คุณตากุหลาบ ผมเคยอ่านงานของคุณตาเรื่อง 'ดูนักศึกษา ม.ธ.ก. ด้วยแว่นขาว' เจอประโยคที่ว่า 'ชาว ม.ธ.ก. รักมหาวิทยาลัยของเขา เพราะว่ามหาวิทยาลัยของเขารู้จักรักคนอื่นด้วย' มันหมายถึงอะไรหรือครับ?

ศิษย์เก่า ม.ธ.ก. กุหลาบ สายประดิษฐ์ : อ้อ ก็ตอนนั้นนะธรรมศาสตร์ของเธอน่ะกำลังมีไฟ ชอบทำกิจกรรมโน่นนี่อยู่เรื่อยๆ เดี๋ยวก็ไปประท้วงสงครามเกาหลี ไปคัดค้านรัฐบาล เดี๋ยวก็ร่วมกับชาวนา กรรมกรมาเรียกร้องไงล่ะ ก็เพราะธรรมศาสตร์นี่แหละที่สอนให้พวกนักศึกษาที่เข้ามาหัดรู้จักสำนึกถึงผู้อื่น ถึงคนด้อยโอกาส สอนให้เขารู้ว่าเมื่อมีความรู้แล้ว ก็อย่าได้กักตัวไว้แต่ในอุปาทานเพื่อตนเอง แต่ใช้ความรู้ของตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมมากที่สุด

เพราะจิตวิญญาณของธรรมศาสตร์ในตอนนั้นเปรียบเหมือนน้ำในกระบวยให้นักศึกษาที่มีโอกาสดีกว่าคนอื่นในสังคมตักเอาวิชาความรู้ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ หรือก็คือตักน้ำไปให้คนอื่นเขาได้ดื่มกิน ได้ลดความกระหายลงไปบ้างไงล่ะ

นักศึกษา : แหม คุณตาเกิดความรักประชาชนและชาวนาคนยากจนขึ้นมาได้ยังไงครับ?

กุหลาบ : ก็ตอนเด็กๆ ฉันเคยลำบากมาก่อน กว่าจะโตมาได้แทบแย่ พอจบมัธยมฯ ก็ต้องออกมาเขียนหนังสือหากิน ชีวิตมันลำบากมาก เพราะอย่างนี้ไงฉันถึงได้ดีใจที่มีมหาวิทยาลัยที่คิดจะทำเพื่อสังคมบ้าง สังคมเราจะได้ดีขึ้น

อธิการบดี ป๋วย อึ๊งภากรณ์ : อ้าว ท่านปรีดี คุณกุหลาบ คุยอะไรกัน? ขอผมนั่งสนทนาด้วยสิ

กุหลาบ : เรากำลังถกกันเรื่อง 'จิตวิญญาณของธรรมศาสตร์' น่ะคุณป๋วย แล้วคุณล่ะเห็นเป็นยังไง?

ป๋วย : สำหรับผมน่ะหรือ ถ้าจะให้ดีขอผมแนะนำตัวก่อนก็แล้วกัน ผมเป็นลูกจีนที่มาเกิดในไทย ได้ดีก็เพราะว่าเป็นเด็กเรียนดี พอผมจบจากธรรมศาสตร์ก็เลยได้ไปเรียนต่อที่ LSE (London School of Economics and Political Science) จบมาจึงได้มีโอกาสนำความรู้ความสามารถที่ได้ไปศึกษามาใช้พัฒนาประเทศและสังคมของเรา

ผมเห็นความสำคัญของการศึกษามาก ดังนั้น ตอนที่ผมเป็นคณบดีอยู่ที่คณะเศรษฐศาสตร์ ผมจึงได้ส่งเสริมให้นักศึกษาไปเรียนต่อต่างประเทศให้จบกลับมา ส่งเสริมให้มีการวิจัยมากขึ้นเพื่อแก้ปัญหาในสังคม เน้นความเป็นวิชาการของมหาวิทยาลัย รวมทั้งส่งเสริมให้นักศึกษามีสำนึกต่อสังคมด้วยเพื่อที่จะได้เอาความรู้ที่ได้มาช่วยกันพัฒนามหาวิทยาลัยและบ้านเมืองของเรา

จิตวิญญาณธรรมศาสตร์ในสมัยผมจึงเป็นเหมือนเขื่อนกั้นน้ำที่ต้องใช้ความรู้ เทคโนโลยีขั้นสูงในการสร้าง แต่ว่ามันจะส่งผลประโยชน์ให้แก่คนหมู่มากถ้าเรามีคลองชลประทานที่ดี ก็เหมือนที่ผมสร้างนักศึกษาขึ้นมาให้มีความรู้ความสามารถ ให้ไปช่วยบริหารพัฒนาประเทศ โดยที่เขาจะต้องรู้จักขุดคลองให้น้ำไหลไปถึงคนยากจนด้วย นโยบายหรือการกระทำของเขาจะได้เกิดประโยชน์ตกถึงชาวนา กรรมกร

กุหลาบ : แล้วพ่อหนุ่มล่ะ มองมหาวิทยาลัยของเธออย่างไรบ้าง?

นักศึกษา : ผม... ผม...ไม่อยากจะบอกว่า...ผมต้องขอโทษทุกท่านด้วยที่ธรรมศาสตร์ที่ทุกท่านสร้างเอาไว้ตอนนี้ สำหรับผมมันเป็นเครื่องชุบตัว การที่คนชั้นกลางอย่างผมเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งนี้ก็เพียงเพื่อต้องการจะยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมของตัวเอง ผมหวังจะได้เกียรตินิยมเพื่อที่จะได้มีโอกาสดีกว่าเวลาไปสมัครงาน

ใช่ ถึงแม้ผมจะเคยทำกิจกรรมที่คณะมาบ้าง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมรักประชาชนขึ้นมาเท่าไรนัก หรือจะมีก็เพียงชั่วคราว ผมมองธรรมศาสตร์ไม่ต่างจากคนทั่วไปที่เห็นมันเป็นบันไดไปสู่เกียรติยศชื่อเสียง ใช่...พ่อแม่ ครอบครัวของผมก็คิดเช่นนี้ เขาอยากให้ผมได้เกียรตินิยม ไปเรียนต่อ พวกเขาพูดเสมอว่าอย่าได้ไปประท้วงกับคนอื่นนะเดี๋ยวโดนจับ

เปล่าเลย ผมไม่ได้โทษพวกท่าน เพียงแต่จะให้ผมกลายเป็นคนอย่างที่คุณตาบอก อย่างที่อาจารย์พูดได้อย่างไรในเมื่อผมขับรถมาเรียน ผมฟังเพลงฝรั่ง เพื่อนๆ ผมทุกคนต่างก็มีแนวความคิดไม่ต่างกัน คนอย่างที่คุณตาบอก ผมไม่ยักเจอ หรือถึงเจอผมก็คงไม่รู้จักเขา เพราะจิตวิญญาณธรรมศาสตร์ในสายตาของผมเป็นเหมือนน้ำบรรจุขวดที่มีใบรับประกันคุณภาพยี่ห้อธรรมศาสตร์ เป็นขวดน้ำที่ผมจะสามารถเอามันไปโชว์คนอื่นว่าผมมีน้ำนะ แต่คุณไม่ได้กินมันหรอก เพราะผมต้องใช้มันเพื่อยกฐานะของผม ของครอบครัวผม และญาติมิตรสนิททั้งหลาย รอให้ผมใช้เหลือก่อนก็แล้วกัน คุณอาจจะได้รับบริจาคบ้างก็ได้

ปรีดี : ฉันก็เห็นมานานแล้วล่ะความเป็นไปของที่นี่ ฉันเฝ้ามองผู้คนผ่านไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า ความคิดของแต่ละคนแต่ละยุคก็แตกต่างกันไปแล้วแต่ว่าพวกเขาจะเผชิญกับสถานการณ์อะไร ฉันไม่โทษเธอหรอกที่เธอเป็นและคิดแบบนี้ เพราะฉันเชื่อว่าคนอย่างเธอถ้าเกิดในตอน 14 ตุลาคม เธอก็คงเป็นคนหนึ่งที่ไปเดินประท้วงร่วมกับนักศึกษาสมัยนั้นแน่ๆ

นักศึกษา : แต่บางทีผมก็เป็นห่วงมหาวิทยาลัยของเราเหมือนกันนะครับ เดี๋ยวนี้แม้กระทั่งจะเข้าห้องสมุด คนที่ไม่ใช่นักศึกษายังเข้าไม่ได้เลย หรือเข้าได้ก็ต้องเสียสตางค์ แล้วอย่างนี้จะหวังให้เปิดโอกาสแก่คนชั้นล่างเข้ามาเรียนเหรอ อย่าฝันเลยดีกว่า ... แม่ค้าก็เป็นแม่ค้าเงินล้าน ต้องมีเงินทุนเป็นกระตั้ก อีกหน่อยสงสัยจะมี Pizza Hut เข้ามาขายในมหาวิทยาลัยด้วย ต่อไปใครจะเข้าหรือเดินผ่านมหาวิทยาลัยคงต้องตรวจบัตร เป็นมหาวิทยาลัยล้อมรั้ว ปิดกั้นจากสังคม นับวันเพื่อนๆ ของผมก็มักจะไม่ค่อยสนใจเรียน พวกเขาเอาแต่จะคอยอ่านสรุปเล็กเชอร์เพื่อน ไม่ได้สนใจความรู้อะไรอย่างที่อาจารย์ป๋วยกล่าวหรอกครับ เขาต้องการแต่วุฒิ เวลาผมชวนเรียนวิชาอะไรยากๆ แต่น่าสนใจ พวกเขาก็ไม่เอา เพราะกลัวได้เกรดไม่ดี ผมเห็นแล้วก็ยังเศร้าใจ หรือจะพูดถึงงานเพื่อสังคมซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผมไม่ค่อยสันทัดเท่าใดนัก ผมว่ามันก็ยังพอมีอยู่บ้างนะครับ พวกค่ายพัฒนาชนบท ค่ายอนุรักษ์ธรรมชาติพวกนี้ แต่ผมว่ามันกลายเป็นค่ายประเพณีมากกว่า คือคนจัดจัดค่ายโดยมีสำนึกว่าต้องจัดให้ได้เพื่อที่จะสานงานค่ายของคณะต่อ

สรุปแล้วผมว่าไม่ว่าจะมองด้านไหน จิตวิญญาณแบบของพวกท่านทุกคนได้เสื่อมไปหมดแล้ว มีแต่แบบของผมนี่ล่ะครับที่จะเฟื่องฟูขึ้นเรื่อยๆ ต่างคนต่างต้องการจะได้วุฒิ มหาวิทยาลัยเปิดภาคปริญญาโทมากขึ้น ภาคภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้น....."


http://www.thaitopic.com/mag/soc/dome03.htm

บันทึกการเข้า

บรรพบุรุษของไทยแต่โบราณ ปกบ้านป้องเมืองคุ้มเหย้า
เสียเลือดเสียเนื้อมิใช่เบา หน้าที่เรารักษาสืบไป
      
ลูกหลานเหลนโหลนภายหน้า จะได้มีพสุธาอาศัย
อนาคตจะต้องมีประเทศไทย มิยอมให้ผู้ใดมาทำลาย
วัฒน์
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4114
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 17223


เนรเทศยกโคตรดีกว่านิรโทษยกเข่ง


เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 01, 2006, 01:47:30 PM »

 Smiley ขอบคุณครับ เยี่ยมมากครับ บทความนี้
บันทึกการเข้า

ฟ้าและดินไม่เห็นไม่เป็นไร ไม่ได้หวังให้ใครจดจำ
แม้ยากเย็นแค่ไหน ไม่เคยบ่นสักคำ ไม่มีใครจดจำ แต่เราก็ยังภูมิใจ

จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา จะยอมรับโชคชะตาไม่ว่าดีร้าย
ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ถึงเวลาก็ต้องไป เหลือไว้แต่คุณงามความดี
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.18 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.106 วินาที กับ 22 คำสั่ง