Noi Thamsathien
3 hrs ·
ชาวลอนดอนเข้าชื่อเรียกร้องให้ซาดิค ข่าน นายกเทศมนตรีนครลอนดอน
ประกาศให้ลอนดอนแยกตัวจากอังกฤษการลงประชามติเมื่อวันที่ 23 มิย. ลอนดอนออกเสียงสวนกระแสสังคมที่เหลือ เป็นที่เดียวในอังกฤษ
ที่ออกเสียงให้ประเทศยังอยู่กับอียู ส่วนอื่นๆที่เหลือของประเทศ เสียงของกลุ่มให้แยกจากอียูชนะไป
จำนวนคนเข้าไปลงชื่อให้แยกลอนดอนเพิ่มจากแปดพันกว่าเมื่อวาน ตอนนี้กว่าแสนแล้ว
มันอาจฟังดูเป็นเรื่องเหลวไหล แต่มันเป็นมูฟที่สะท้อนภาพความแตกแยกทางการเมืองในอังกฤษตอนนี้
อีกอย่างคนที่ไปร่วมลงชื่อบางคนคิดว่ามันเป็นมูฟกดดันให้สภาจัดลงประชามติหนที่สอง
ข่าวอีกด้านบอกว่า รัฐสภาจะเรียกประชุมในอีกวันสองวันข้างหน้า เพื่อประเมินผลจากการลงประชามติ
หนึ่งในหัวข้อการพูดคุยคือ ความเป็นไปได้ของการเรียกลงประชามติรอบสองนั่นเอง
เพราะหลายคนเริ่มรู้สึกว่า ที่ออกเสียงไปไม่ได้คิดอย่างถี่ถ้วน
ที่สำคัญผู้คนไม่มีใครรู้ผลของการออกเสียงแยกว่ามันจะเป็นอย่างไร
จนกระทั่งเมื่อมันเกิดขึ้นจริงๆ เข้าทำนองสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น
ตอนนี้ความเป็นจริงกำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา คนอังกฤษบางคนเริ่มตระหนักว่าตัวเองทำอะไรลงไป
แม้จะมีคนบอกว่า มันยังเร็วไปต้องรอให้สงบลงก่อนแล้วจะเห็นผลดีระยะยาว
แต่ผลเสียที่มันเกิดแน่ๆตอนนี้มันชัดว่ามากกว่าที่คิด
สื่อหลายแห่งลงข่าวเรื่องคนอังกฤษจำนวนหนึ่งที่ออกเสียงโหวตให้แยก
เริ่มใจเสียเพราะเห็นแล้วว่าทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง บางคนบอกว่า โหวตไปงั้นเองคิดว่ายังไงก็ไม่ชนะ
เชื่อว่าน่าจะเข้าทำนองโหวตประท้วง คนที่โหวตแตกต่างฟังแล้วยิ่งมีโมโห ตามอัดตามจิกกันแหลก
ที่ชอคมากหน่อย น่าจะเป็นการให้สัมภาษณ์ของไนเจล ฟาราจ หน.พรรคเอกราชยูเคหรือพรรคยูคิพ
ที่เป็นหัวหน้าค่ายรณรงค์ให้โหวตแยก ซึ่งก่อนหน้านี้สัญญากับปชช.ว่า ถ้าแยกตัว จะเซฟเงินได้กว่าสองร้อยล้านปอนด์
แล้วจะเอาเงินนั้นมาใช้จ่ายในเรื่องต่างๆในประเทศเช่นบริการด้านสุขภาพเพื่อให้บริการคนในประเทศมากขึ้น
ในการให้สัมภาษณ์หลังจากผลลงประชามติออกมา
ฟาราจกลับยอมรับว่า ที่โฆษณาไปนั้นเป็นความผิดพลาดของค่ายรณรงค์โหวตแยก เพราะว่ามันไม่มี และมันทำไม่ได้
http://www.motherjones.com/
/nigel-farage-admits-his-bold-b
ในขณะที่สส.ซีกสนับสนุนให้โหวตแยกที่อยู่ในพรรครัฐบาลมีท่าทีเริ่มกรรเชียงถอยตัวตั้งแต่เมื่อวาน
บอริส จอห์นสัน หัวขบวนรณรงค์ให้แยกตัว คนที่ว่ากันว่าจะมารับหน้าที่นายกรมต.แทนเดวิด คาเมรอน
ออกมาบอกว่า ไม่ต้องรีบร้อนเริ่มต้นกระบวนการเจรจากับอียูเพื่อแยกตัวก็ได้ เรามีเวลาตั้งสองปี เขาว่า
ที่ไหนได้ พวกประเทศอื่นๆในอียูคงอยากให้สมาชิกที่เหลือเห็นแบบอย่างความบอบช้ำที่จะเกิดจากการตัดสินใจแยกตัว
เมื่อวานกลุ่มผู้นำอียูเลยประชุมกันแล้วออกแถลงการณ์ ประเด็นสำคัญที่สุดคือบอกให้รีบเริ่มเจรจาทันที
จะออกก็ให้ออกโดยเร็วไม่ต้องพิรี้พิไรเพราะถ้าขืนเป็นเช่นนั้น ความไม่แน่นอนยิ่งสร้างความเสียหาย โหดจริง
แต่ก็ต้องเข้าใจว่า พวกเขาต้องเอาสมาชิกที่เหลือของอียูไว้ให้ได้ ถ้ามีคนมาตีฆ้องเรื่องผลดีของการแยกตัวและรณรงค์กันต่อ
เหมือนที่กลุ่มฝ่ายขวาในฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์เริ่มออกมาเชิญชวน จะยิ่งทำให้ปชช.ในประเทศถูกชักจูงให้อยากแยกบ้าง
และถ้าผลของการประกาศแยกมันไม่ชัด อาจจะมีคนทำตามอังกฤษจริงๆ ดังนั้นต้องให้อียูที่เหลือ
ได้เห็นตัวอย่างของผลการตัดสินใจแล้วเลิกคิดจะทำตาม พวกผู้นำยุโรปคงคิดเช่นนี้หรือเปล่า
เลยบอกว่าจะแยกก็รีบแยกซะ อีกอย่าง ผลกระทบอย่างหนักที่เกิดกับตลาดหุ้น การเงิน ฯลฯ
ที่เป็นเรื่องของความเชื่อมั่นมันปรากฎชัดเมื่อวาน เพราะภาคธุรกิจไม่ชอบสถานะที่ไม่ชัดเจน ไม่ว่าจะดีขึ้นหรือแย่ลง
ให้มันชัดเจนมันจะดีกว่าสำหรับการทำธุรกิจ มันจึงเป็นเรื่องเข้าใจได้ที่ผู้นำอียูเรียกร้องให้รีบดำเนินการ
ก่อนที่จะพายุโรปทั้งแผงให้ล่มไปด้วย
อังกฤษจึงโดดเดี่ยว แม้หลายประเทศจะพยายามออกมายืนยันว่ายังเป็นเพื่อนกันอยู่ ยังมีความสัมพันธ์ที่ดี
ในทางปฏิบัติ ผู้คนจะให้น้ำหนักกับคุณเหมือนที่เคยหรือไม่ หลังจากนี้จะได้เห็นกัน
ส่วนเดวิด คาเมรอนที่ไม่ยอมเป็นนายกต่อไป อาจไม่ใช่แค่เพราะปชช.ตัดสินใจสวนทางกับสิ่งที่ตนเองคิด
แต่เพราะว่าถ้ายังอยู่ งานเอาอังกฤษออกจากอียูผสมกับการที่ต้องพยุงนาวารัฐให้ผ่านวิกฤตินี้ไปได้
ศึกนี้ใหญ่หลวงนัก ถ้าดูสเกลของปัญหา ความแตกแยกในประเทศที่ตามมา งานเก็บกวาดแบบนี้สงสัยจะมีน้อยคนที่อยากทำ
มันเป็นอุทธาหรณ์สำหรับคนที่บริหารประเทศ คนที่มองข้ามสถานะความเป็นรัฐในกลไกสากล
คิดว่าจะทำอะไรก็ได้เพื่อฐานะการเมืองของตัวเอง
คาเมรอน อาจจะได้รับการยกย่องว่าเป็นสุภาพบุรุษ แต่กำลังโดนด่าอย่างหนักจากการที่ตัดสินใจให้มีประชามติแต่แรก
หลายเสียงชี้ว่า เพราะความขัดแย้งภายในพรรคคอนเซอร์เวทีฟที่ทำให้คาเมรอนตัดสินใจให้มีการลงประชามติ
มันเริ่มมาจากความต้องการที่จะกลบเสียงค้านตัวเองภายในพรรค เพราะคิดว่าผลจะออกมาว่าปชช.สนับสนุนให้อยู่ต่อ
ก็จะได้เพิ่มน้ำหนักอำนาจต่อรองของตัวเอง ประเมินผิดพลาดไปว่า ปชช.จะเห็นด้วย
และประเมินความสามารถของค่ายรณรงค์โหวตแยกต่ำ ตลอดจนมองข้ามจิตวิทยามวลชนในเรื่องที่ต้องการแยกว่า
ต่างตัดสินใจบนพื้นฐานต่างๆกันไป หลายคนมองแต่ด้านที่ตัวเองเห็นอย่างเดียวว่าการออกจากอียูจะดีอย่างนั้นอย่างนี้
แต่ไม่มีภาพรวม แคมเปญให้แยกตัวก็มีข้อมูลแบบที่เราเห็นในบทสัมภาษณ์ไนเจล ฟาราจ
และการเล่นกับความหวาดกลัวสร้างความเข้าใจผิด
มีบทเรียนมากมายให้ขบคิด