๏ฟฝ๏ฟฝ็บบ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝสน๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝาปืน
พฤษภาคม 11, 2024, 11:03:45 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.ยินดีต้อนรับสุภาพชนทุกท่าน กรุณาใช้คำสุภาพด้วยครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 3 4 5 [6] 7 8 9 ... 37
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: Gorget เกราะสมัยไอเวนโฮ ที่กลับมาในศตวรรษที่ 22  (อ่าน 82352 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
tao bangkhaen
Hero Member
*****

คะแนน 354
ออฟไลน์

กระทู้: 3455


« ตอบ #75 เมื่อ: มีนาคม 01, 2016, 02:01:12 PM »

มีคนยังเรียก สยาม........ ให้ได้ยินทางทีวี อยู่เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ พม่าเรียก ....
บันทึกการเข้า
แปจีหล่อ คนสันขวาน
Hero Member
*****

คะแนน 6335
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8369



« ตอบ #76 เมื่อ: มีนาคม 01, 2016, 02:18:20 PM »

ถ้าอย่างนั้น ตามทีอาจารย์ว่า แสดงว่า ตอนที่สุโขทัย รุ่งเรือง เส้นทางการค้า ใช้เดินทางบก ตัดผ่านจากเมาะตะมะ ไปออกทางอ่าวตังเกี๋ย
ต่อมา พอเร่ิ่มใช้เส้นทาง ทางน้ำ  ต่างชาติ ใช้เดินเรือ มาติดต่อกับเมืองใหม่ คือ โยดะยา  ซึ่งอยู่ใกล้ทะเลกว่า สุโขทัย    การทีต่างชาติ มาติดต่อ โยดะยา มากๆ เข้า เอาปืน เอาการค้า การเงิน เข้ามาโยดะยา มากๆ เข้า ทำให้โยดะยา มีอำนาจเหนือสุโขทัย  และสุดท้าย สุโขทัย ก็เสื่อมอำนาจลง อย่างนี้ หรือประมาณนี้ หรือเปล่าครับ
ครับ ถ้าเป็นอย่างที่ผมคะเนเอานี้  ก็พอจะตรงกับทีี่ สมัยเรียนตอนเด็กๆ ซึ่งหนังสือบอกไว้แค่ว่า  "ต่อมา สุโขทัยเสื่อมอำนาจลง จึงถูกอยุธยา รวมเข้ามาอยู่ใต้อำนาจ"
หนังสือตอนเด็กๆ อธิบาย น้อยไป "นิด" หนึ่ง หรือว่า เราเด็กเกินไปก็ไม่รู้ จึงไม่ได้สนใจลึกมากขนาดตอนอายุเยอะๆ แบบนี้
แหมม เรียกโยดะยาเหมือนพม่าเรียกเราเลยนะครับ ทุกวันนี้พม่าส่วนใหญ่ก็ยังเรียกเราว่าโยดะยา หรือที่หูบางคนได้ยินเป็นโยเดีย อยู่เลยครับ สินค้าที่ส่งออกไปจากบ้านเรา เรียกโยดะยาปิ๊ดซี แปลว่าของไทย อาหารชนิดหนึ่งรสชาดหน้าตาเหมือนต้มยำ เรียกโยดะยาฮินโฉ่ ส่วนที่จะเรียกเราว่าไทย ก็เห็นมีแต่พวกข้าราชการเป็นส่วนมากครับ
อ้าว....เค้าเรียกเราอย่างนี้ ก็ภูมิใจไงครับพี่ เลยเอามาเขียนไว้ว่า เขายังเรียกเราจนติดปากเป็นอยุธยา  มาตั้ง กว่า 200 กว่าปีแล้ว   ยังไม่เปลี่ยนมาเรียกว่า .....สยาม ....ไทย......  หรือ กทม.   เลย 55555
อโยธยา-อยุธยา    รากศัพท์ของชื่อมาจากคำว่า อยุทธ       มีความหมายว่าสู้ไม่ได้    เมื่อนำมาเป็นชื่อเมืองจึงหมายความว่า   เมืองที่ไม่อาจสู้ได้   ไม่อาจเอาชนะได้   

เมื่อพม่ามาทำสงครามกับไทย     จึงใช้วิธีการตัด อ ออกจาก อโยธยา     เพื่อจะได้มีความหมายว่า ยุทธ   หมายถึงสู้ได้   เอาชนะได้     เพื่อเป็นการตัดไม้ข่มนาม     พม่าจึงเรียกว่า   โยธยา   แล้วเสียงก็กร่อนมาเป็น   โยธิยา-โยดิยา-โยเดีย
http://pantip.com/topic/31726358
 ผมว่าไม่น่าภูมิใจเท่าไหร่นะครับ
บันทึกการเข้า

สีกากีเป็นสีของดิน ข้าราชการควรต้องติดดิน ออกพื้นที่รับฟังปัญหาของชาวบ้าน ข้าราชการคือ ข้าที่ทำกิจการต่างๆให้กับพระราชา เครื่องแบบข้าราชการสีกากีคือสีแห่งข้ารับใช้แผ่นดิน
R2D2
ท้าเยาะเย้ยทุกข์ยากขวากหนามลำเค็ญ
Hero Member
*****

คะแนน 370
ออฟไลน์

กระทู้: 6107



« ตอบ #77 เมื่อ: มีนาคม 01, 2016, 02:48:46 PM »

อโยธยา-อยุธยา    รากศัพท์ของชื่อมาจากคำว่า อยุทธ       มีความหมายว่าสู้ไม่ได้    เมื่อนำมาเป็นชื่อเมืองจึงหมายความว่า   เมืองที่ไม่อาจสู้ได้   ไม่อาจเอาชนะได้    เมื่อพม่ามาทำสงครามกับไทย     จึงใช้วิธีการตัด อ ออกจาก อโยธยา     เพื่อจะได้มีความหมายว่า ยุทธ   หมายถึงสู้ได้   เอาชนะได้     เพื่อเป็นการตัดไม้ข่มนาม     พม่าจึงเรียกว่า   โยธยา   แล้วเสียงก็กร่อนมาเป็น   โยธิยา-โยดิยา-โยเดีย
http://pantip.com/topic/31726358
 ผมว่าไม่น่าภูมิใจเท่าไหร่นะครับ
งั้น..อยุทธ-อโยธยา-อยุธยา  =   HMS.Invincible(Royal Navy)ความหมายดีมากครับ
บันทึกการเข้า
tao bangkhaen
Hero Member
*****

คะแนน 354
ออฟไลน์

กระทู้: 3455


« ตอบ #78 เมื่อ: มีนาคม 01, 2016, 02:48:57 PM »

ถ้าอย่างนั้น ตามทีอาจารย์ว่า แสดงว่า ตอนที่สุโขทัย รุ่งเรือง เส้นทางการค้า ใช้เดินทางบก ตัดผ่านจากเมาะตะมะ ไปออกทางอ่าวตังเกี๋ย
ต่อมา พอเร่ิ่มใช้เส้นทาง ทางน้ำ  ต่างชาติ ใช้เดินเรือ มาติดต่อกับเมืองใหม่ คือ โยดะยา  ซึ่งอยู่ใกล้ทะเลกว่า สุโขทัย    การทีต่างชาติ มาติดต่อ โยดะยา มากๆ เข้า เอาปืน เอาการค้า การเงิน เข้ามาโยดะยา มากๆ เข้า ทำให้โยดะยา มีอำนาจเหนือสุโขทัย  และสุดท้าย สุโขทัย ก็เสื่อมอำนาจลง อย่างนี้ หรือประมาณนี้ หรือเปล่าครับ
ครับ ถ้าเป็นอย่างที่ผมคะเนเอานี้  ก็พอจะตรงกับทีี่ สมัยเรียนตอนเด็กๆ ซึ่งหนังสือบอกไว้แค่ว่า  "ต่อมา สุโขทัยเสื่อมอำนาจลง จึงถูกอยุธยา รวมเข้ามาอยู่ใต้อำนาจ"
หนังสือตอนเด็กๆ อธิบาย น้อยไป "นิด" หนึ่ง หรือว่า เราเด็กเกินไปก็ไม่รู้ จึงไม่ได้สนใจลึกมากขนาดตอนอายุเยอะๆ แบบนี้
แหมม เรียกโยดะยาเหมือนพม่าเรียกเราเลยนะครับ ทุกวันนี้พม่าส่วนใหญ่ก็ยังเรียกเราว่าโยดะยา หรือที่หูบางคนได้ยินเป็นโยเดีย อยู่เลยครับ สินค้าที่ส่งออกไปจากบ้านเรา เรียกโยดะยาปิ๊ดซี แปลว่าของไทย อาหารชนิดหนึ่งรสชาดหน้าตาเหมือนต้มยำ เรียกโยดะยาฮินโฉ่ ส่วนที่จะเรียกเราว่าไทย ก็เห็นมีแต่พวกข้าราชการเป็นส่วนมากครับ
อ้าว....เค้าเรียกเราอย่างนี้ ก็ภูมิใจไงครับพี่ เลยเอามาเขียนไว้ว่า เขายังเรียกเราจนติดปากเป็นอยุธยา  มาตั้ง กว่า 200 กว่าปีแล้ว   ยังไม่เปลี่ยนมาเรียกว่า .....สยาม ....ไทย......  หรือ กทม.   เลย 55555
อโยธยา-อยุธยา    รากศัพท์ของชื่อมาจากคำว่า อยุทธ       มีความหมายว่าสู้ไม่ได้    เมื่อนำมาเป็นชื่อเมืองจึงหมายความว่า   เมืองที่ไม่อาจสู้ได้   ไม่อาจเอาชนะได้    

เมื่อพม่ามาทำสงครามกับไทย     จึงใช้วิธีการตัด อ ออกจาก อโยธยา     เพื่อจะได้มีความหมายว่า ยุทธ   หมายถึงสู้ได้   เอาชนะได้     เพื่อเป็นการตัดไม้ข่มนาม     พม่าจึงเรียกว่า   โยธยา   แล้วเสียงก็กร่อนมาเป็น   โยธิยา-โยดิยา-โยเดีย
http://pantip.com/topic/31726358
 ผมว่าไม่น่าภูมิใจเท่าไหร่นะครับ
รับทราบ เป็นความรู้ แบ่งๆ กันไปพี่ แปจีหล่อ
บันทึกการเข้า
แปจีหล่อ คนสันขวาน
Hero Member
*****

คะแนน 6335
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8369



« ตอบ #79 เมื่อ: มีนาคม 01, 2016, 08:07:16 PM »

ผมก็จำคนอื่นเค้ามาอีกทีครับลำพังตัวเองก็ไม่มีความรู้อะไรมาก อาศัยที่ชอบอ่านครับ
บันทึกการเข้า

สีกากีเป็นสีของดิน ข้าราชการควรต้องติดดิน ออกพื้นที่รับฟังปัญหาของชาวบ้าน ข้าราชการคือ ข้าที่ทำกิจการต่างๆให้กับพระราชา เครื่องแบบข้าราชการสีกากีคือสีแห่งข้ารับใช้แผ่นดิน
Ghost of the darkness
Sr. Member
****

คะแนน -487
ออฟไลน์

กระทู้: 891



« ตอบ #80 เมื่อ: มีนาคม 01, 2016, 09:22:25 PM »

  ความรู้ทั้งนั้น
บันทึกการเข้า
สุพินท์ - รักในหลวง
Guns & Games Staff
Hero Member
*****

คะแนน 3539
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 12902



« ตอบ #81 เมื่อ: มีนาคม 01, 2016, 09:33:14 PM »

อโยธยา-อยุธยา    รากศัพท์ของชื่อมาจากคำว่า อยุทธ       มีความหมายว่าสู้ไม่ได้    เมื่อนำมาเป็นชื่อเมืองจึงหมายความว่า   เมืองที่ไม่อาจสู้ได้   ไม่อาจเอาชนะได้    เมื่อพม่ามาทำสงครามกับไทย     จึงใช้วิธีการตัด อ ออกจาก อโยธยา     เพื่อจะได้มีความหมายว่า ยุทธ   หมายถึงสู้ได้   เอาชนะได้     เพื่อเป็นการตัดไม้ข่มนาม     พม่าจึงเรียกว่า   โยธยา   แล้วเสียงก็กร่อนมาเป็น   โยธิยา-โยดิยา-โยเดีย
http://pantip.com/topic/31726358
 ผมว่าไม่น่าภูมิใจเท่าไหร่นะครับ
งั้น..อยุทธ-อโยธยา-อยุธยา  =   HMS.Invincible(Royal Navy)ความหมายดีมากครับ

เชื่อว่าบรรพชนของเราคงไม่ได้ตั้งชื่อโดยอาศัยความหมาย แบบเฉพาะเจาะจงหรอกครับ  น่าจะเป็นเพราะได้รับคตินิยมจากทางอินเดีย (ผ่านเขมร) เสียมากกว่า
เดิมใช้ชื่อ "อโยธยาศรีรามเทพนคร" และปรากฏชื่อกรุงศรีอยุธยาในสมัยพระนเรศวร

อโยธยาในตำนานเป็นเมืองของพระอินทร์  และอสูรก็ใช้เป็นชื่อเมืองด้วย  ต่อมาก็เป็นเมืองของพระราม
ส่วนในทางรูปธรรม อโยธยาก็เป็นเป็นเมืองเก่าแก่ในประเทศอินเดีย อยู่ในรัฐอุตตรประเทศ  ชาวฮินดูเชื่อว่าพระรามเคยอยู่ที่นี่  ต่อมาเมื่อมุสลิมปกครองอินเดียก็มีการทำลายเทวสถาน  พอแยกปากีสถานออกไปใน ค.ศ.1947 พวกฮินดูก็เอาคืนบ้าง เผามัสยิด  ฆ่ากันไป ฆ่ากันมาอยู่หลายสิบปี แต่ละครั้งตายเป็นพันคน  ศาลอินเดียเพิ่งตัดสินแบ่งพื้นที่เมื่อ 5-6 ปีมานี้เอง  
บันทึกการเข้า
BANGRACHAN
ชาว อวป.
Sr. Member
****

คะแนน 176
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 637


ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป


« ตอบ #82 เมื่อ: มีนาคม 01, 2016, 10:05:46 PM »

อ่านเพลิน และได้สาระความรู้ดีครับ
บันทึกการเข้า
โทน73 -รักในหลวง-
มือปืนกาวช้าง
Hero Member
*****

คะแนน 586
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8575


« ตอบ #83 เมื่อ: มีนาคม 01, 2016, 10:38:47 PM »

อิทธิพลของรามยณะ รามายณะ ชื่อ อโยธยา ยังมีที่อินโดนีเซีย "ยอกยาการ์ตา"  เพี้ยนมาจาก "อโยธยา"
บันทึกการเข้า

....ตามล่า...อีตอแหล
Yut64
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 7670
ออฟไลน์

กระทู้: 10061



« ตอบ #84 เมื่อ: มีนาคม 01, 2016, 10:55:34 PM »

เคยไปบาหลีสองครั้งได้ชม รามายะณะ ทั้งสองครั้งสองสไตล์ ครั้งแรกกับวงเครื่องเคาะวงใหญ่ครั้งที่สองใช้คนจุปากเป็นจังหวะอย่างในรูป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 01, 2016, 10:58:33 PM โดย Yut64 » บันทึกการเข้า
รพินทรนาถ -รักในหลวงและสยามประเทศ
รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย คือสมบัติของผู้มีอารยธรรม
Hero Member
*****

คะแนน 239
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1115



« ตอบ #85 เมื่อ: มีนาคม 02, 2016, 02:09:02 AM »

จะว่าไปก็น่าแปลกใจว่า ในขณะที่ "มหากาพย์รามายณะ" ได้รับความนิยมจากหลายชาติในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ แต่ "มหากาพย์ภารตยุทธ์" ที่มาจากชมพูทวีปเช่นกันกลับไม่ค่อยแพร่หลายเท่าไหร่

กลับมีปรากฏแค่ในกลุ่มชาติที่เคยได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดูแบบเข้มข้นมาก่อนอย่างกัมพูชาและอินโดนีเซีย ทั้งๆ ที่เนื้อหาในมหาภารตยุทธ์ก็มีความสนุกและหลักปรัชญาล้ำลึกให้ค้นหาอยู่ไม่น้อย

ผมเข้าใจว่า หลักปรัชญาแนวคิดบางอย่างในมหาภารตยุทธ์อาจจะขัดแย้งกับแนวคิดของพุทธศาสนา เช่น หลักในคัมภีร์ภควัตคีตา เลยไม่นิยมนำมาดัดแปลงสอนผู้คนครับ  ไหว้
บันทึกการเข้า

...การที่เราทะนุถนอมคนที่เรารัก มันเป็นเรื่องปกติ
แต่การถนอมหัวใจคนที่เราไม่ได้รัก ใครจะทำได้สักกี่คน...

คิดถึงทุกปี-บินหลา สันกาลาคีรี
สุพินท์ - รักในหลวง
Guns & Games Staff
Hero Member
*****

คะแนน 3539
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 12902



« ตอบ #86 เมื่อ: มีนาคม 02, 2016, 09:35:35 AM »

จะว่าไปก็น่าแปลกใจว่า ในขณะที่ "มหากาพย์รามายณะ" ได้รับความนิยมจากหลายชาติในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ แต่ "มหากาพย์ภารตยุทธ์" ที่มาจากชมพูทวีปเช่นกันกลับไม่ค่อยแพร่หลายเท่าไหร่

กลับมีปรากฏแค่ในกลุ่มชาติที่เคยได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดูแบบเข้มข้นมาก่อนอย่างกัมพูชาและอินโดนีเซีย ทั้งๆ ที่เนื้อหาในมหาภารตยุทธ์ก็มีความสนุกและหลักปรัชญาล้ำลึกให้ค้นหาอยู่ไม่น้อย

ผมเข้าใจว่า หลักปรัชญาแนวคิดบางอย่างในมหาภารตยุทธ์อาจจะขัดแย้งกับแนวคิดของพุทธศาสนา เช่น หลักในคัมภีร์ภควัตคีตา เลยไม่นิยมนำมาดัดแปลงสอนผู้คนครับ  ไหว้

รามายณะแปลว่าชัยชนะของพระราม  ส่วนรามเกียรติแปลว่าเกียรติของพระราม
ราชสำนักในสมัยกรุงศรีอยุธยาเลือกรามเกียรติ  เพราะว่าเนื้อเรื่องตอบสนองต่อการเมืองการปกครองของไทย

รามายณะ เป็นเรื่องราวที่ดัดแปลงจากเหตุการณ์ที่พวกชาวอารยันรุกรานเข้ามาในอินเดีย  และคนท้องถิ่นต่อต้านการรุกราน พวกที่ต่อสู้เข้มแข็ง ต้านทานได้นานที่สุดคือพวกทมิฬในทางใต้ของอินเดียกับในลังกา  คนไทยฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด เอาเนื้อความในรามายณะไปเรียกเขาว่า "ทมิฬหินชาติ" ทั้ง ๆ ที่ชาวทมิฬเป็นครูใหญ่ของสุวรรณภูมิ  พวกทมิฬ เป็นผู้นำเอาตัวอักษรปาลวะเข้ามาเผยแพร่ในสุวรรณภูมิ  พัฒนาเป็นอักษรทวารวดี อักษรเขมร อักษรไทย อักษรมอญ-พม่า และอักษรธรรมล้านนา  ประสาทหินทั้งหลายของพวกขอม ก็ได้จากชาวทมิฬ

เนื้อเรื่องในรามายณะ เป็นเรื่องขาวกับดำ ธรรมกับอธรรม  ส่งเสริมความซื่อสัตย์ระหว่างบ่าวกับนาย  ในระยะหลังไทยเราดัดแปลงกันจนไม่เห็นภาพนี้ชัดเจน  อย่างเช่นหนุมานของไทย เอาบุคลิกแบบที่ชายไทยชอบ ไปใส่ให้กับหนุมาน  กลายเป็นลิงชอบทำการงานนอกสั่ง เจอตัวเมียเป็นไม่ได้  แต่หนุมานต้นฉบับในอินเดียจะเป็นนักพรต ถือเพศพรมจรรย์ ปัจจุบันได้รับการนับถือเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งของชาวฮินดู  รูปเคารพของหนุมานจะมี 2 แบบ  คือแต่งเครื่องทรงแบบกษัตริย์ กับหนุมานแหกอก ข้างในที่ตำแหน่งหัวใจเป็นรูปพระราม แสดงถึงความจงรักภักดี
ส่วนหนุมานในเมืองไทย  กลายเป็นขอทาน เต้นไปถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยว เก็บเงินรูปละ 20 บาท   พระรามก็กลายเป็นเมนูพระรามลงสรงอยู่ในร้านอาหาร

มหาภารต เป็นเรื่องที่แต่งเติมจากเหตุการณ์ที่พวกอารยันทะเลาะกันเอง  พี่น้องฆ่าฟันกันเอง ตายเป็นล้าน  ในเมื่อเป็นการแต่งเรื่องของพวกเดียวกัน  จึงไม่ได้มีการป้ายสีมากเกินสมควร  ตัวละครทั้ง 2 ฝ่าย เป็นสีเทา ๆ เหมือนกัน  มีทั้งดี มีทั้งชั่วอยู่ในตัวละครแต่ละตัว
ถ้าราชสำนักส่งเสริมมหาภารต จะไม่ได้ประโยชน์ทางการปกครอง  อาจจะเป็นลบด้วยซ้ำ
ร.5 ท่านทรงวิจารณ์พงศวดารอยุธยาแบบสลดใจว่า  มีการปราบดาภิเษก ฆ่าล้างตระกูลทั้งเจ้านายและขุนนางบ่อยมาก  ในช่วงระยะเวลาเพียง 90 ปี มีถึง 13 ครั้ง
บันทึกการเข้า
tao bangkhaen
Hero Member
*****

คะแนน 354
ออฟไลน์

กระทู้: 3455


« ตอบ #87 เมื่อ: มีนาคม 02, 2016, 10:32:22 AM »

90 ปี  ต่อ 13 ครั้ง   ถ้ามาเฉลี่ยดู   ถ้าในรอบ 10 ปี ฆ่าล้างบางกัน1 ที  ก็จะมีการฆ่ากันแค่ 9 ครั้ง   แต่ นี่ มีถึง 13 ครั้ง ก็แสดงว่า ในบางครั้ง ยังไม่ทันครบสิบปี  ก็ฆ่าล้างบางกันเสียแล้ว
ฟังอาจารย์ มาถึงตรงนี้ ก็สบายใจว่า ในทุกวันนี้  มันก็ยังคล้ายๆ ของเดิม จึงไม่น่าแปลกใจอะไร ..... อาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ ไม่ถึงกับฆ่ากันตาย แค่สมบัติ ผลัดกันชม ......
บันทึกการเข้า
สุพินท์ - รักในหลวง
Guns & Games Staff
Hero Member
*****

คะแนน 3539
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 12902



« ตอบ #88 เมื่อ: มีนาคม 02, 2016, 10:44:45 AM »

90 ปี  ต่อ 13 ครั้ง   ถ้ามาเฉลี่ยดู   ถ้าในรอบ 10 ปี ฆ่าล้างบางกัน1 ที  ก็จะมีการฆ่ากันแค่ 9 ครั้ง   แต่ นี่ มีถึง 13 ครั้ง ก็แสดงว่า ในบางครั้ง ยังไม่ทันครบสิบปี  ก็ฆ่าล้างบางกันเสียแล้ว
ฟังอาจารย์ มาถึงตรงนี้ ก็สบายใจว่า ในทุกวันนี้  มันก็ยังคล้ายๆ ของเดิม จึงไม่น่าแปลกใจอะไร ..... อาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ ไม่ถึงกับฆ่ากันตาย แค่สมบัติ ผลัดกันชม ......

อยุธยามีพระมหากษัตริย์ 33 พระองค์ ถ้านับขุนวรวงศา ฯ ด้วยก็ 34
ครองราชไม่ถึง 1 ปี มีถึง 9 พระองค์  สั้นที่สุดคือพระเจ้าทองลัน 7 วัน  ขุนวรวงศา ยังอยู่ได้ 42 วัน
บันทึกการเข้า
tao bangkhaen
Hero Member
*****

คะแนน 354
ออฟไลน์

กระทู้: 3455


« ตอบ #89 เมื่อ: มีนาคม 02, 2016, 11:38:21 AM »

ครับอาจารย์ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์  ข้อความของอาจารย์เป็นคุณแก่ผู้พบเห็น ซึ่งบางครั้ง บางท่าน..อาจจะหงุดหงิดว่า ทำไม บ้านเมืองดูมันยุ่งจัง เดี๋ยวเปลี่ยน  เดี๋ยวเปลี่ยน  พอมาเห็นท่านอาจารย์ว่าไว้  เป็นไงครับ แต่ก่อน เปลี่่ยนยิ่งกว่าเดี๋ยวนี้ อีกหลายเท่า .... สมัยนี้ สงบกว่าแต่ก่อนเยอะแล้วคร้าบผม....
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 3 4 5 [6] 7 8 9 ... 37
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.18 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.068 วินาที กับ 20 คำสั่ง