"จ่ายเงินภาษีให้คนจน"

เลื่อนไปเมย.58 ขึ้น"งด."ขรก. ชงอีก-5หมื่นล. จ่ายภาษีคนจน

ชง"คสช."จ่าย เงินภาษีช่วยคนจน 18 ล้านคน คลังเสนอโครงการ "เงินโอน แก้จน คนขยัน" ระบุสเป๊กต้องเป็นคนที่มีรายได้ต่ำกว่า 8 หมื่นบาทต่อปี หากมีรายได้ 3 หมื่นบาทต่อปีจะได้เงินภาษีมากสุดปีละ 6 พันบาท เพราะคนกลุ่มนี้มีฐานมากที่สุด 8 ล้านคน คาดใช้งบฯ ปีละ 5.56 หมื่นล้าน ขณะที่ปลัดคลังเผยเลื่อนโครงการเพิ่มเงินเดือนขรก. 8 เปอร์เซ็นต์ออกไปเป็นเม.ย.58

เมื่อวันที่ 6 ส.ค. ที่กระทรวงการคลัง นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ได้สั่งให้กรมบัญชีกลางคำนวณตัวเลขการขึ้นบัญชีเงินเดือนข้าราชการ ที่อัตราเงินเดือนจะเพิ่มขึ้นประมาณ 8% ให้กับข้าราชการที่มีรายได้น้อยทุกราย ตามนโยบายของคสช. เพราะที่ผ่านมาเงินเดือนข้าราชการไม่เพียงพอกับค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงปรับขึ้นเงินค่าครองชีพจาก 1,500 บาท เป็น 2,000 บาท ให้เหมาะสมกับอัตราและสถานการณ์ปัจจุบัน คาดว่าจะปรับเงินเดือนได้ในเดือนเม.ย.2558 เลื่อนจากเดิมที่จะเริ่ม ในเดือนต.ค.นี้

นายรังสรรค์กล่าวต่อว่า กรมบัญชีกลาง สำนักงบประมาณ ก.พ. และฝ่ายเศรษฐกิจ ของ คสช. จะต้องมาหารือร่วมกันอีกครั้งว่าจะเริ่มปรับบัญชีเงินเดือนข้าราชการได้ เมื่อใด ระหว่างเดือนเม.ย.-ต.ค. ปีหน้า คาดว่าวงเงินที่ต้องใช้อยู่ที่ 20,000 ล้านบาท ซึ่งตัวเลข ยังไม่นิ่ง เพราะต้องปรับในส่วนบำนาญด้วย ที่ต้องพิจารณากันอีกครั้งว่าอัตราที่ปรับเพิ่ม จะเป็นเท่าใด ส่วนงบประมาณที่จะนำมาใช้อาจจะโยกงบฯ หรือจัดสรรงบประมาณปี 2558 ในช่วงการแปรญัตติของสภานิติบัญญัติ แห่งชาติ

ส่วนนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผอ. สำนัก งานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ประเมิน ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจมหภาคจากการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ และลูกจ้างประจำ 8% จะส่งผลให้ในปีงบประมาณ 2558 ตัวเลขจีดีพีปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.06% ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.68% จากคาดการณ์ในปี 2557 ที่ 2.5% ยืนยันว่าอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นอยู่ในระดับที่บริหารจัดการ ได้ เป็นไปตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ที่ไม่เกิน 3% แล้วยังจะส่งผลให้มีเม็ดเงินเพิ่มเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ผ่านรายจ่ายประจำ ของภาครัฐ จำนวน 1.16 หมื่นล้านบาทต่อปี หรือเฉลี่ยไตรมาสละ 3 พันล้านบาท

นาย กฤษฎากล่าวต่อว่า จากข้อมูลกรมบัญชีกลางระบุว่าที่ผ่านมาใช้วงเงินในการจ่ายเงินเดือนข้า ราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว และพนักงานราชการ อยู่ที่ 5.81 แสนล้านบาท แบ่งเป็น เงินเดือนข้าราชการ 5.2 แสนล้านบาท เฉลี่ยเดือนละ 4.34 หมื่นล้านบาท ค่าจ้างประจำ 3.24 หมื่นล้านบาท เฉลี่ยเดือนละ 2.7 พันล้านบาท ค่าจ้างชั่วคราว 600 ล้านบาท เฉลี่ยเดือนละ 50 ล้านบาท และค่าตอบแทนพนักงานราชการ 2.76 หมื่นล้านบาท เฉลี่ยเดือนละ 2.3 พันล้านบาท

นาย กฤษฎากล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องการศึกษาการจ่ายเงินภาษีให้คนจน เพื่อเสนอให้รัฐบาลพิจารณาเห็นชอบ ถือเป็นการช่วยเหลือและกระจายรายได้ให้กับผู้มีรายได้น้อย มาจากคนที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ต้องจ่ายภาษีให้กับรัฐบาล ดังนั้น คนที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ ก็ควรได้รับเงินโอนจากรัฐ

หลัก การจ่ายคืนภาษีให้คนมีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ จะต้องเป็นคนที่มีรายได้น้อย และต้องอยู่ในระบบภาษี ที่กรมสรรพากรกำหนดให้ผู้มีรายได้เกิน 3 หมื่นบาทต่อปีต้องยื่นแบบภาษีกับกรมสรรพากร ต่อไปจะปรับให้ผู้มีรายได้ตั้งแต่ 1 บาทแรก ต้องยื่นแบบเสียภาษี เพื่อจะได้ใช้สิทธิได้โอนเงินภาษีจากรัฐ

นายกฤษฎายังกล่าว อีกว่า เบื้องต้นกำหนดให้ผู้ที่ได้รับโอนเงินภาษีจากรัฐต้องมีอายุ 15-60 ปี มีรายได้ตั้งแต่ 1 บาท ถึง 3 หมื่นบาทต่อปี จะได้เงินโอนภาษีจากรัฐ 20% ของรายได้ที่ได้รับ แต่หากมีรายได้มากกว่า 3 หมื่นบาทต่อปีขึ้นไปจะได้รับโอนเงินภาษีลดลง 12% ของส่วนที่เกิน 3 หมื่นบาท โดยสูงสุดอยู่ที่ 7 หมื่นบาท ส่วนผู้ที่มีรายได้มากกว่า 8 หมื่นบาทไม่ได้รับเงินโอนภาษีจากรัฐ เพราะถือว่ามีรายได้มากพอแล้ว เทียบเคียงกับการได้ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน

จาก เงื่อนไขดังกล่าวทำให้ผู้มีรายได้ 1 หมื่นบาทต่อปี ได้โอนเงินภาษี 2,000 บาท รายได้ 2 หมื่นบาทต่อปี ได้โอนเงินภาษี 4,000 บาท รายได้ 3 หมื่นบาทต่อปี ได้โอนเงินภาษี 6,000 บาท รายได้ 4 หมื่นบาทต่อปี ได้โอนเงินภาษี 4,800 บาท รายได้ 5 หมื่นบาทต่อปี ได้โอนเงินภาษี 3,600 บาท รายได้ 6 หมื่นบาทต่อปี ได้โอนเงินภาษี 2,400 บาท และรายได้ 7 หมื่นบาทต่อปี ได้โอนเงินภาษี 1,200 บาท ต้องใช้เงินประมาณ 5.56 หมื่นล้านบาทต่อปี มีผู้ได้รับเงินโอนทั้งหมดประมาณ 18 ล้านคน คิดเป็น 27.5% ของประชากรทั้งหมด

นายกฤษฎากล่าวต่อว่า มาตรการคืนภาษีคนจนอาจจะปรับรายละเอียดอีกเล็กน้อย แล้วเสนอให้รัฐบาลที่จะมีขึ้นให้เร็วที่สุดว่าเห็นชอบหรือไม่ เพราะเห็นว่าเป็นมาตรการที่จะช่วยลด หรือเลิกโครงการประชานิยม เป็นมาตรการทางการคลัง ที่ช่วยลดความยากจน แก้ปัญหาการกระจายรายได้ของประเทศ เป็นแรงจูงใจให้คนจนมีความขยันในการทำงานมากขึ้น และเป็นการดึงคนเข้ามาอยู่ในระบบภาษี ใช้เป็นฐานข้อมูลอื่นในการออกมาตรการช่วยคนมีรายได้น้อยต่อไป

รายงาน ข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า ช่วง 10 ปีที่ผ่านมารายจ่ายด้านสวัสดิการของรัฐบาลไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และ มีแนวโน้มจะขยายตัวขึ้นในอนาคต อาจทำ ให้รัฐบาลต้องปรับภาษี เพื่อให้มีงบประมาณเพียงพอสำหรับการใช้จ่ายทางด้านสวัสดิการ แม้รายจ่ายด้านสวัสดิการจะเพิ่มขึ้นแต่ ข้อจำกัดที่รัฐบาลประสบอยู่เสมอ คือการ จัดสวัสดิการให้ถึงมือกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะผู้กำหนดนโยบายของไทยไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าผู้ใดเป็นคนจน ส่งผลการจัดสวัสดิการขาดการตรวจสอบรายได้ของผู้ที่ได้รับประโยชน์ ทำให้รัฐบาลมีภาระรายจ่ายสูงเกินความจำเป็น

รายงานยังระบุ อีกว่า ผลการวิเคราะห์การเข้าถึงบริการที่รัฐผ่านโครงการสวัสดิการต่างๆ ระหว่างปี "53-55 พบว่าเป็นผู้ไม่จนถึง 89.9% เป็นคนจนเพียง 10.1% เท่านั้น ส่งผลให้งบประมาณรายจ่ายเป็นจำนวนมากถูกจัดสรรให้กับผู้ที่มีความจำเป็นน้อย ทำให้รัฐบาลต้องจ่ายงบประมาณมากกว่าที่ควร จะเป็น แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความยากจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่าง ไรก็ตาม การโอนเงินจากรัฐบาลจะเป็นแรงจูงใจให้แรงงานทำงานมากขึ้น เพราะหากตัดสินใจไม่ทำงานเลยก็จะไม่ได้รับโอนเงินจากรัฐบาล แต่หากตัดสินใจทำงานแล้วเงินทุกๆ บาทที่หามาได้ก็จะเพิ่มขึ้นและจะได้รับเงินโอนจากรัฐบาลเข้ามาสมทบอีกส่วน หนึ่ง โดยเฉพาะผู้ที่มีเงินได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี และหลังจากนั้นอัตราที่รัฐบาลโอนให้จะค่อยๆลดลง ก่อนหมดลงเมื่อมีรายได้เพิ่มเกิน 80,000 บาทต่อปี

นอกจาก นั้น ยังช่วยให้บรรลุเป้าหมายการกระจายรายได้ โดยไม่ส่งผลกระทบทางลบต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เพราะช่วยให้รายได้รัฐบาลปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากการโอนเงินให้กับผู้ที่มีรายได้น้อยจะเกิดการจับจ่ายใช้สอย จนเกือบหมด ทำให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีจากฐานการบริโภค โดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่มได้สูงขึ้น ไม่เกิดการบิดเบือนกลไกตลาด ซึ่งต่างจากรัฐบาล ที่ผ่านมาดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้โดยวิธี อื่นๆ เช่น การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ หรือการอุดหนุนสินค้าเกษตร

อภิมหาโปรเจค ตกใจ

	ผู้เขียน	หัวข้อ: "จ่ายเงินภาษีให้คนจน" (อ่าน 4186 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้