การยุทธ์ที่เมืองเคิร์สค์ (Kursk) ถ้าว่ากันตามข้อเท็จจริง กองทัพเยอรมันเสียเปรียบกองทัพโซเวียตมากอยู่แล้วครับ เพราะกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างได้รับความบอบช้ำจากสมรภูมิอื่นๆในแนวรบรัสเซียเหมือนกัน โดยเฉพาะการยุทธ์ที่เมืองสตาลินกราดที่มีความสูญเสียสูงมาก
เอาประเด็นแรกที่เรื่องการส่งกำลังบำรุงก่อนนะครับ กองทัพโซเวียตแม้กองทัพเยอรมันจะถูกโอบล้อมก็จริง แต่มันก็ทำให้สายการส่งกำลังบำรุงของโซเวียตมีระยะทางสั้นกว่าของเยอรมันด้วยหลักที่เรียกว่า "การเดินทางสายใน" ซึ่งผิดกับฝ่ายเยอรมันเมื่อจะส่งกำลังไปบำรุงปีกของตนก็ต้องอ้อมแนวรบไปเนื่องจากไม่สามารถฝ่าเข้าไปกลางพื้นที่ยึดครองของข้าศึกได้ ในขณะเดียวกันหากมีการสูญเสียกำลังพลหรือยุทโธปกรณ์เมื่อไหร่ ทางโซเวียตก็สามารถเสริมกำลังได้รวดเร็วกว่าเยอะครับ
ประเด็นต่อมา สภาพภูมิประเทศบริเวณรอบเมืองเคิร์สค์นั้นเป็นพื้นที่การเกษตร มีสภาพเป็นทุ่งราบขนาดใหญ่สลับเนินเขาเตี้ยๆ ดังนั้นเมื่อกองทัพเยอรมันเคลื่อนพลจึงหาได้หลุดรอดการตรวจจับของทางโซเวียตไม่ โดยทางโซเวียตเองสามารถตรวจจับความเคลื่อนไหวได้จากระยะแนวเส้นขอบฟ้าแล้ว จึงมีเวลาเหลือเฟือที่จะเตรียมตัวพร้อมกับการบุกของทางเยอรมัน รวมทั้งพื้นดินในพื้นที่แถบนั้นก็มีลักษณะเป็นดินโคลน จึงไม่เอื้ออำนวยให้รถถังที่มีอำนาจการยิงสูงแต่มีน้ำหนักมากอย่างรถถัง Panzer V หรือ Tiger เคลื่อนที่ได้สะดวกมากนัก
ประเด็นสุดท้าย กองทัพเยอรมันผิดพลาดที่เร่งรีบส่งรถถังรุ่นใหม่ที่ยังไม่ได้รับการทดสอบสมรรถนะดีพอเข้าสู่สนามรบ ซึ่งรถถังรุ่นที่ว่านี้ก็คือรถถัง Panzer V หรือ Panther ซึ่งมีปัญหาเรื่องความเสถียรของเครื่องยนต์เป็นอย่างมาก ทำให้การดำเนินยุทธวิธีมีความคลาดเคลื่อนตามไปด้วย กล่าวคือเมื่อด้านปีกตีโอบเข้ามาไม่ได้หรือไม่ทัน มันก็ทำให้กำลังตรงกลางต้องรับศึกหนักอยู่ฝ่ายเดียว
ลองอ่านบทความที่ท่านพันเอกศนิโรจน์ ธรรมยศ ได้เขียนไว้นะครับ (นำมาจาก http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=vuw&date=12-07-2009&group=5&gblog=19 ) ผมว่าท่านผู้การเขียนวิเคราะห์ได้ดีทีเดียว สมรภูมิที่ เคริซ์ หรือ ยุทธการ ซิทาเดล ในสงครามโลกครั้งที่สอง
Battle of Kursk - Operation Citadel
นี่คือแผนที่แนวรบด้านตะวันออกหรือด้านรัสเซีย ก่อนยุทธการซิทาเดล (Citadel) ของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์จะเปิดฉากขึ้น สีเขียวคือ กำลังฝ่ายเยอรมัน สีแดงคือกองทัพรัสเซีย
จะเห็นส่วนของกองทัพรัสเซียยื่นเข้ามาในเขตของเยอรมัน หรือที่เรียกว่า salient ฮิตเลอร์ต้องการทำลายกองทัพรัสเซียที่อยู่ในส่วนที่ยื่นเข้ามาให้หมดไป ด้วยการให้กองทัพเยอรมัน ที่อยู่ด้านบนตีลงมา และกองทัพเยอรมันที่อยู่ด้านล่างตีตัดส่วนที่ยื่นมาขึ้นไป แล้วไปบรรจบกับส่วนข้างบน ซึ่งถ้ายุทธการซิทาเดลประสบผลสำเร็จ ทหารรัสเซียจำนวนมากในส่วนที่ยื่นเข้ามาจะถูกตัดขาดและถูกโอบล้อม
อย่างไรก็ตาม จอมพลอีริค ฟอน แมนสไตน์ (Eric Von Manstein) แย้งว่า เยอรมันยังไม่พร้อมที่จะทำการรุกใดๆในขณะนั้น เนื่องจากหน่วยต่างๆ ได้รับความบอบช้ำมาจากสงครามในช่วงที่ผ่านมา ควรจะรอไปจนถึงต้นปี 1944 หรือฤดูร้อน เพราะสถานการณ์ในปี 1943 ไม่เหมือนสถานการณ์ในปี 1941 หรือ 1942 ที่เยอรมันสามารถทำการรุกได้ทุกรูปแบบ
แต่ฮิตเลอร์ก็ยังคงยืนยันที่จะเปิดยุทธการซิทาเดล ในปี 1943 และนำมาซึ่งความสูญเสียอย่างมหาศาลทั้งกำลังพลและยุทโธปกรณ์
ในเดือนมิถุนายน 1943 แนวรบด้านรัสเซียมีความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก นับแต่จุดเริ่มต้นการบุกรัสเซียในยุทธการบาร์บารอสซ่า (Barbarossa) เมื่อปี 1941 เนื่องจากความพ่ายแพ้ของกองทัพที่ 6 ที่เมืองสตาลินกราด จึงมีการวางแผนการรุกครั้งใหญ่ซึ่งจะมีขึ้นที่เมือง KURSK
เนื่องจากแนวหน้าของรัสเซียโผล่ล้ำเข้ามาในแนวของเยอรมันอย่างมาก ก่อให้เกิดส่วนยื่นหรือ salient ทำให้เยอรมันต้องใช้กำลังพลจำนวนมากในการตรึงกองทัพรัสเซียบริเวณนี้เอาไว้ เพื่อป้องกันการรุกของกองทัพรัสเซียที่โผล่ยื่นเข้ามาในเขตของเยอรมัน
ฮิตเลอร์มีแนวความคิดที่จะทำลายกองทัพรัสเซียในบริเวณส่วนที่ยื่นเข้ามานี้ จึงวางแผนยุทธการซิทาเดล (CITADEL) เพื่อโจมตีกองทัพรัสเซียด้วยกำลังจำนวนมาก โดยกำลังฝ่ายเยอรมันประกอบด้วยทหารกว่า 900,000 คน รถถังกว่า 2,700 คัน ปืนใหญ่อีกกว่า 10,000 กระบอก
ฮิตเลอร์หวังว่า การรบครั้งจะเปลี่ยนแปลงสงครามทางด้านตะวันออกได้อย่างสิ้นเชิง อีกทั้งจะเป็นการหยุดกระแสการหลั่งไหลเข้ามาในแนวรบของกองทัพรัสเซีย
กำลังของรัสเซียสืบทราบความเคลื่อนไหวของเยอรมันในครั้งนี้ จึงได้เตรียมกำลังพลจาก กองทัพ 11 กองทัพ กำลังพลกว่า 1,700,000 คน รถถังกว่า 3,300 คัน ปืนใหญ่ 20,000 กระบอก และเครื่องบินอีกกว่า 2,000 ลำ กับระเบิดกว่าครึ่งล้านลูก พร้อมทั้งทำแนวรบถึง 6 ชั้น ประกอบด้วยสนามเพลาะ แนวทุ่นระเบิด คูดักรถถัง โดยวางแผนว่า เมื่อแนวแรกถูกทำลาย กำลังพลจากแนวแรกจะล่าถอยไปสมทบกับแนวที่สอง ระหว่างที่เยอรมันเคลื่อนที่จากแนวแรกไปแนวที่สอง จะพบกับการระดมยิงด้วยปืนใหญ่อย่างหนัก เมื่อถึงแนวที่สอง ทหารเยอรมันจะเริ่มบอบช้ำ ในขณะที่ทหารรัสเซียจะมีกำลังพลจากแนวแรกมาเพิ่ม จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น สรุปก็คือ ยิ่งรุก เยอรมันจะยิ่งล้า ในขณะที่แนวรับของรัสเซียจะยิ่งเข้มแข็งขึ้น
รถถังส่วนใหญ่ของ เยอรมันเป็นรถถัง PANZER MK IV หรือแม้แต่ MK III ซึ่งติดตั้งปืนใหญ่ 50 มม. ด้อยกว่ารถถังหลัก T 34 ของรัสเซีย แม้ว่าเยอรมันจะมีการใช้รถถังรุ่นใหม่ Panzer V - Panther และ Panzer VI - Tiger แต่เนื่องจากความรีบร้อน รถถังทั้งสองรุ่นนี้จึงมีปัญหาด้านเครื่องยนต์ และขัดข้องก่อนอออกปฏิบัติการเป็นจำนวนมาก
กำลังพลของหน่วย เอส เอส จากประเทศฟินแลนด์ ที่เข้าร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารเยอรมัน ในการรบด้านรัสเซีย
(ผมคาดว่าน่าจะโยกกำลังทหารฟินแลนด์เหล่านี้มาจากกองพลยานเกราะเอส เอส ที่ 5 ไวกิ้งมากกว่า)
การรบในสมรภูมิเคริซ (Kursk) ได้มีการระดมกำลังยานเกราะของหน่วย เอส เอส เพื่อการรุกครั้งนี้โดยเฉพาะ โดยมีการตั้งกองทัพน้อยยานเกราะ เอส เอส ที่ 2 (2nd SS. Panzer Corps) ขึ้นการบังคับบัญชากับกองทัพแพนเซอร์ที่ 4 (4th Panzer Army) ของนายพลแฮร์มาน โฮท (Herrman Hoth) ประกอบด้วย
- กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 1 (1st SS. Panzer Division Leitstandarte Adolf Hitler)- กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 2 ดาสไรซ์ (2nd SS. Panzer Division Das Reich)- กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 3 โทเทนคอฟ (3rd SS. Panzer Division Totenkolf)การรุกครั้งนี้ หน่วยยานเกราะเอส เอส จัดรูปขบวนเป็น 2 รูปแบบ แบบแรก ใช้รถถังไทเกอร์ Panzer VI -Tiger เป็นกำลังหลัก อยู่ตรงกลางของรูปขบวน มีรถถัง Panzer V - Panther อยู่ที่ปีกทั้งสองข้าง รูปแบบที่สอง ใช้รถถัง Panzer V- Panther เป็นกำลังหลักอยู่ส่วนกลางของรูปขบวน และใช้ Panzer III, Panzer IV เป็นกำลังส่วนปีกทั้งสองข้าง
รูปขบวนทั้งสองนี้ ทรงประสิทธิภาพมาก เพราะอำนาจการยิงอยู่ตรงกลาง เหมาะกับการเจาะแนวตั้งรับของรัสเซีย รถถังที่มีความเร็วอยู่ที่ปีก พร้อมที่จะโอบล้อม เข้าตีตลบ และทำลายกำลังที่ถูกโอบล้อม แต่ในสมรภูมิ Kursk มีจุดอ่อนอยู่ 2 ประการคือ
1. รถถัง Panzer V - Panther มีเครื่องยนต์ที่ไว้ใจไม่ได้ เพราะเพิ่งออกจากโรงงาน ยังไม่มีการตรวจสอบที่พอเพียง
รถถัง Panzer V - Panther ซึ่งเพิ่งออกจากโรงงาน มุ่งตรงสู่สมรภูมิ Kursk ทันที
2. รถถัง Panzer VI - Tiger มีความเชื่องช้าเกินไป ในภูมิประเทศที่เป็นทุ่งโล่ง ปกคลุมด้วยทุ่งหญ้าและไร่ข้าวโพด อย่างสมรภูมิ Kursk แนวรับของรัสเซีย สามารถมองเห็นรถถังของเยอรมันได้ในระยะไกลที่ขอบฟ้า ทำให้สามารถเตรียมการได้อย่างเต็มที่
รถถัง Panzer VI - Tiger ของกองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 2 ดาส ไรซ์ ขณะเดินทางเข้าสู่สมรภูมิที่ Kursk
การรุกของเยอรมันในวันที่ 5 มิ.ย. 1943 เวลา 0430 น. ก่อนการรุก รัสเซียสืบทราบแผนของเยอรมันอย่างละเอียด จึงระดมยิงด้วยปืนใหญ่ เพื่อทำลายการเตรียมการเข้าตีของเยอรมัน 15 นาที ทำให้กำลังพลของเยอรมันสับสนอย่างหนัก แต่ก็สามารถปรับกำลังได้อย่างรวดเร็ว และรุกไปข้างหน้า แต่ก็ได้พบกับการต้านทานอย่างเหนียวแน่น รถถัง TIGER ที่ใช้เป็นหัวหอก เหนือกว่า T 34 ก็จริง แต่ทุ่นระเบิดดักรถถังกว่าครึ่งล้านลูกที่ฝ่ายรัสเซียวางไว้ และคูดักรถถังถึง 6 ชั้น ก็สร้างความเสียหายให้เยอรมันอย่างมาก
กอง พลยานเกราะ เอส เอส ที่ 3 โทเทนคอฟ (TOTENKOPF - หัวกระโหลกไขว้) ซึ่งเป็นกองพลที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดหน่วยหนึ่งของเยอรมัน ใช้รถถังเข้าโจมตีกองพล GUARDS ที่ 52 ของรัสเซีย แม้ว่าจะสามารถรุกคืบหน้าไปได้ แต่ก็พบกับความสูญเสียอย่างหนัก ส่วนกองพลยานเกราะเอส เอส ที่ 1 และ 2 ก็สูญเสียอย่างหนัก และรุกคืบหน้าไปได้ไม่มากนัก
ทหารยานเกราะเอส เอส ทำการรบอย่างห้าวหาญ ผู้บังคับหมวดต่อสู้รถถัง Kurt Sametreiter ของ กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 1 ไลป์สตานดาร์ด สามารถทำลายรถถังรัสเซียได้ถึง 24 คัน ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ด้วยปืนต่อสู้รถถังเพียง 4 กระบอก รถถัง Panzer VI - Tiger หมายเลข 13 ของกองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 1 ทำลายรถถัง ที 34 ของรัสเซียได้ 20 คัน ในวันแรกของการรบ และเฉพาะกองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 1 กองพลเดียวสามารถทำลายรถถังรัสเซียได้กว่า 500 คัน ตลอดการรบจนถึงวันที่ 14 มิ.ย.
ในที่สุดกำลังยานเกราะของทั้งสองฝ่าย ก็ได้มาพบกันที่เมือง PROKHOROVKA และเริ่มทำการรบกันอย่างหนักหน่วง หลายคนเชื่อว่าการรบที่นี่ เป็นการรบทางรถถังที่ใหญ่ที่สุดในโลกนับตั้งแต่มีการต่อสู้ด้วยรถถังมา ความสูญเสียของทั้งสองฝ่ายมีมากมาย ซากรถถังและควันไฟ ตลอดจนซากศพของทหารเกลื่อนกราดไปทั่วสมรภูมิ
แต่เมื่อการรบยิ่งยืดยาวออกไป ฝ่ายรัสเซียก็ยิ่งทุ่มเทกำลังทั้งหมดเข้าต้านทานเยอรมัน ในวันแรก เอส เอส รุกไปได้เพียง 19 กม. จนวันที่ 13 มิ.ย. ฮิตเลอร์ก็สั่งยกเลิกยุทธการ Citadel เนื่องจากความสูญเสียของเยอรมัน ที่มีสูงถึง 100,000 คน ฝ่ายรัสเซียเสียชีวิต 250,000 คน อีก 600,000 คนบาดเจ็บ รถถังรัสเซียกว่าครึ่งที่เข้าร่วมในการรบถูกทำลาย
ฝ่ายเยอรมันก็สูญเสียอย่างหนัก กองทัพน้อย เอส เอส ที่ 2 เหลือรถถังเพียง 183 คัน รถปืนใหญ่อัตตาจร 64 คัน นายพลกูเดเรียนถึงกับกล่าวว่า "กำลังยานเกราะที่รวบรวมมาอย่างยากลำบาก เพื่อการรบครั้งนี้ ได้ประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก (heavily lost) ทั้งกำลังพลและยุทโธปกรณ์"
สำหรับฝ่ายเยอรมัน กำลังที่สูญเสียไป ยากที่จะหามาทดแทน ส่วนฝ่ายรัสเซียนั้น กำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ กำลังเตรียมพร้อมที่จะเข้ามาเสริมอีกมหาศาล ความสูญเสียที่มีสูง ทำให้ฮิตเลอร์สั่งยกเลิกยุทธการ Citadel ก่อนที่สูญเสียมากกว่าที่เป็นอยู่ ผลจากการรบครั้งนี้ ทำให้เยอรมันไม่มีโอกาสเป็นฝ่ายรุกในแนวรบด้านตะวันออกได้อีกเลย
ทหารรัสเซียกำลังสำรวจซากรถถัง Panzer V Panther ซึ่งถูกยิงเสียหายในการรบที่ Kursk