http://www.isranews.org/isra-news/item/47961-artical_47961.htmlการประเมินผลกระทบเบื้องต้นต่อระบบเศรษฐกิจการเงินไทย
จากกรณีที่ สหราชอาณาจักรลงประชามติออกจากสมาชิกสหภาพยุโรป
ตามที่สหราชอาณาจักรได้จัดให้มีการลงประชามติและผลปรากฏเป็นการลงคะแนนเสียงข้างมาก
เพื่อออกจากสมาชิกของสหภาพยุโรปนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขอเรียนประเมินผลกระทบเบื้องต้น ว่า
ผลกระทบทางตรงต่อระบบเศรษฐกิจการเงินไทยผ่านช่องทางการค้าและความเชื่อมโยงของสถาบันการเงิน
คาดว่าจะค่อนข้างจำกัด แต่ไทยอาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากความผันผวนในตลาดการเงินโลกในระยะสั้นที่เพิ่มสูงขึ้น
รวมทั้งภาวะความไม่แน่นอนจากกระแสการแยกตัวของประเทศอื่นๆ ในสหภาพยุโรป
ซึ่งจะกระทบต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ตลอดจนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในระยะต่อไป
สำหรับการประเมินผลกระทบในด้านต่างๆ เบื้องต้น มีดังนี้
ผลกระทบผ่านช่องทางการค้า คาดว่าจะมีค่อนข้างจำกัด โดยหากพิจารณาระดับการค้าของไทย
กับสหราชอาณาจักรโดยตรง พบว่าไทยมีสัดส่วนการส่งออกไปยังสหราชอาณาจักรคิดเป็นร้อยละ 1.8 ในปี 2558
(เป็นตลาดส่งออกที่มีความสำคัญเป็นอันดับสามในกลุ่มสหภาพยุโรป รองจากเยอรมนีและ เนเธอร์แลนด์)
อย่างไรก็ดี หากรวมการส่งออกที่รวมกลุ่มสหภาพยุโรป ผลกระทบก็จะเพิ่มมากขึ้น
โดยสัดส่วนการส่งออกของไทยไปกลุ่มประเทศดังกล่าว (ไม่รวมสหราชอาณาจักร) มีประมาณร้อยละ 8.4
อย่างไรก็ดี ผลกระทบทางอ้อมคาดว่าจะไม่มากนัก หากปัญหาไม่ลุกลามจนก่อให้เกิดการแยกตัวของประเทศอื่นๆ
ในกลุ่มสหภาพยุโรป นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวทางเศรษฐกิจของ
ทั้งสหราชอาณาจักรและกลุ่มสหภาพยุโรปภายหลังจากแยกตัวด้วย
ทางด้านผลกระทบต่อระบบสถาบันการเงินของไทย ประเมินว่ามีในวงจำกัดเช่นกัน
เนื่องจาก สถาบันการเงินของไทยมีความเชื่อมโยงทางการเงินโดยตรงกับสถาบันการเงินในสหราชอาณาจักร
และ ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปอื่นเพียงร้อยละ 1.31 ของสินทรัพย์รวม นอกจากนี้
ในช่วงที่ผ่านมาสถาบัน การเงินไทยได้มีการเตรียมความพร้อมและป้องกันความเสี่ยงสถานะเงินตราต่างประเทศไว้ล่วงหน้าแล้ว
อย่างไรก็ดี ประเทศไทยอาจได้รับผลกระทบจากความผันผวนในตลาดการเงินโลก ทั้งในตลาด เงินตราต่างประเทศ
และตลาดทุน จากความกังวลของนักลงทุนที่มีเพิ่มขึ้นและการปรับฐานะการลงทุน ระหว่างประเทศ
ให้ตอบสนองกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งความผันผวนของราคาสินทรัพย์และเงินทุนเคลื่อนย้าย
ที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงนี้ถือเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ในระยะสั้นและเป็นที่คาดหมายไว้ล่วงหน้า แล้ว
โดยล่าสุดพบว่า ค่าเงินปอนด์สเตอร์ลิงและค่าเงินยูโรปรับอ่อนค่าลงร้อยละ 8.0 และ 3.2 ตามลำดับ (ณ เวลา 13.00 น.)
จากวันก่อนประกาศผลการลงประชามติ ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ สรอ. ค่าเงินเยน รวมทั้งราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้น
ตามความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย สำหรับค่าเงินบาทปรับอ่อนค่าลง ร้อยละ 0.7 (ณ เวลา 13.00 น.)
สอดคล้องกับค่าเงินภูมิภาคอื่นๆ ที่ปรับอ่อนค่าลงเช่นกัน ส่วนผลกระทบต่อ ตลาดทุนก็จะเผชิญกับความผันผวนในระยะสั้นได้เช่นกัน
โดยคาดว่าอาจมีเงินทุนไหลออกจากตลาด หลักทรัพย์และตลาดพันธบัตรของไทยบ้าง
แต่จะไม่รุนแรงมากนัก เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติได้ปรับลดการ ลงทุนในตลาดการเงินไทยไประดับหนึ่งแล้วก่อนหน้านี้
แม้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจการเงินไทยในเบื้องต้นจะมีค่อนข้างน้อย กอปรกับปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยยังอยู่ในเกณฑ์ดี
โดยเฉพาะฐานะด้านต่างประเทศที่เข้มแข็ง ซึ่งจะช่วยรองรับผลกระทบจาก สถานการณ์ดังกล่าวได้
แต่ผลกระทบจากการปรับแผนธุรกิจของเอกชนและคู่ค้าต่างๆ ของสหภาพยุโรป เพื่อรับมือกับความสัมพันธ์ทางการค้า
และการลงทุนที่จะเปลี่ยนไปจะสร้างความไม่แน่นอนในการค้าและการลงทุน ระหว่างประเทศที่ถ่วงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในระยะต่อไป
โดย ธปท. จะติดตามพัฒนาการทาง เศรษฐกิจและการเงินโลกอย่างใกล้ชิด และพร้อมดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจ
และการเงินหากมีความจำเป็น รวมทั้งขอแนะนำให้ภาคธุรกิจเอกชนดำเนินการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
เนื่องจากยังมีความ เสี่ยงจากความผันผวนของตลาดการเงินได้ในระยะต่อไป.