นี่แหละครับ ครูบาอาจารย์สายวัดป่าจึง หลีกหนีปลีกวิเวกเข้าไปอาศัยอยู่ในป่าไม่สนใจลาภสักการะ ทั้ง ๆ ที่พระพุทธเจ้าสละทุกอย่างเพื่อมาบวช แต่เหล่าสาวกพุทธโอรสทั้งหลายกลับสร้างยศฐาบรรดาศักดิ์ขึ้นมาทั้งชั้น ราช ชั้นเทพ ชั้นพรหม ฯลฯ
จะว่าไปก็ถูกต้องตามนี้ครับ ผมไม่รู้ว่าวัดในเมืองวัดใหญ่ๆดังๆเค้ามีการดูแลจัดการสมบัติของวัดกันยังไงครับแต่ผมก็คิดว่าที่มันเกิดเป็นเรื่องเป็นราวอยู่ขณะนี้มันมาจากผลประโยชน์แฝงที่เกิดกับวัดในเมืองวัดใหญ่ๆดังนั่นแหละครับ วัดตามบ้านนอกชาวบ้านจะคัดเลือกกรรมการวัดมากำกับดูแลเรื่องเงินเรื่องทรัพย์สินต่างๆกันเองเจ้าอาวาสก็แค่รับทราบยอดเงินของวัดการเอาเข้าออกธนาคารทุกครั้งกรรมการวัดผู้ใหญ่บ้านจะร่วมกันรับผิดชอบถ้าทางพระอยากสร้างปรับปรุงอะไรก็เรียกกรรมการวัดผู้ใหญ่บ้านมาคุยกัน จากนั้นผู้ใหญ่บ้านก็เรียกชาวบ้านมาประชุมขอความเห็นชอบกันอีกที มันมีการควบคุมของชาวบ้านไว้เรียบร้อยจึงไม่ค่อยเกิดปัญหาอะไร รายได้ส่วนตัวของพระก็ใช่ว่าจะมากมายอะไรค่าสวดค่าอะไรอย่างเก่งก็ได้คืนสองสามร้อย(สมัยตอนผมบวชได้ซองละยี่สิบบาทครับ)ก็พอได้ค่านํ้าค่าไฟในวัดสบู่ยาสีฟันผงซักฟอกบางครั้งของที่ญาติโยมมาถวายหมดก็ต้องซื้อสบงจีวรก็ต้องซื้อ(ตอนผมยังเป็นพระใครสึกก็เอาจีวรสบงมาแบ่งกันใช้จนเปื่อยก็มีครับตอนนั้นจีวรธรรมดาผืนละสามร้อยกว่าผ้าป่านดีหน่อยก็ห้าร้อยขึ้นครับ)
ครูบาอาจารย์วัดป่าท่านไม่สนใจเงินเห็นด้วยครับ วันละบาตรเดียวก็จบแล้ว
บริขาร/เครื่องนุ่งห่มใช้กันต่ำๆสิบ-ยี่สิบปี ที่ได้เกินก็เอาไปถวายต่อหมด....เคยทำใจกล้าไปกะลิ้มกะเหลี่ยขอผ้ารองนั่ง(นิสิทนะ)จากอาจารย์ ท่านหัวเราะหึ หึ บอกอีกนานนนนนนนนน
เงินบริจาคถือเป็น"ของกลาง"มือไม่แตะ ใจก็ไม่แตะ
เห็นมีพระมาโต้ว่าต้องใช้เงินเป็นค่าเดินทางไปเรียน , ค่ากินฯลฯแล้วงง เดือนละสองหมื่น ท่านจะแด*นอกเวลาได้ยังไง แล้วหาไว้ผ่อนรถขับไปเรียนเองหรือไร?