http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1405770556เอ็มเอช17 ฆาตกรรมกลางเวหาก่อนหน้าเครื่องบินโบอิ้ง 777-200 อีอาร์ เที่ยวบินเอ็มเอช 17 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ส
จะออกเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติ สคีโฟล กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ไม่นาน
เด็กหนุ่มชาวดัตช์ที่กำลังรอขึ้นเครื่องบินลำนี้เดินทางสู่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
พร้อมกับแฟนสาว เกิดนึกสนุกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ในห้วงคำนึง เขาหวนคิดไปถึงชะตากรรมของเอ็มเอช 370 ของสายการบินเดียวกันนี้
ที่หายสาบสูญไปพร้อมกับคนบนเครื่อง 298 คนเมื่อราว 6 เดือนก่อนหน้านี้
ขณะบรรจงพิมพ์ข้อความพร้อมกับโพสต์ภาพเครื่องเอ็มเอช 17 ลงบนหน้าวอลล์ของเฟซบุ๊กของตนเอง
"ถ้าเจ้านี่หายไป ขอให้รู้กันว่ามันหน้าตาเป็นอย่างนี้นะ"
เอ็มเอช 17 ไม่ได้หายไปแบบไร้ร่องรอยเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ประสบชะตากรรมคล้ายคลึงกัน
มันถูกยิงตกในบริเวณหมู่บ้านฮาโบรฟ ในจังหวัดโดเนตสก์ พื้นที่อิทธิพลของกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนยูเครน
เด็กหนุ่มกับแฟนสาว กลายเป็น 2 ใน 154 ผู้โดยสารชาวดัตช์ที่เสียชีวิต พร้อมๆ กับผู้โดยสาร
และพนักงานประจำเครื่องจากอังกฤษ, ออสเตรเลีย, มาเลเซีย, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, ฟิลิปปินส์ และแคนาดา
ที่ตกกระจัดกระจายจากท้องฟ้าลงสู่ท้องทุ่งกว้างใหญ่ ไร้สิ่งปลูกสร้าง ไร้ผู้คน
ห่างจากชายแดนรัสเซียเพียง 50 กิโลเมตร
หมู่บ้านที่ใกล้ที่สุดกับจุดที่เครื่องบินตกและเป็นชาวยูเครนกลุ่มเดียวที่เห็นเหตุการณ์
คือชาวบ้านในหมู่บ้านกราโบโว ชุมชนขนาดเล็กที่อาศัยการทำเหมืองเป็นสัมมาชีพ
โอเล็ก กอร์กีวิช คนงานเหมืองวัย 40 บอกว่า เขาได้ยินเสียงครั้งแรกเมื่อเลย 16.00 น.
ตามเวลาท้องถิ่นไปเล็กน้อย และคิดว่าเมืองถูกถล่มด้วยระเบิด
แต่ไม่ทันคิดอะไรมากมายก็ได้ยินเสียงหวีดยาว เมื่อเดินออกมามองจากเฉลียงชั้น 5 ของอพาร์ตเมนต์ที่พัก
ก็เห็นบางอย่างกำลังร่วงลงมาจากฟ้า มันเหมือนชิ้นส่วนของเครื่องบิน
สิ่งที่กระจัดกระจายกันร่วงตามมาพร้อมๆ กับเศษซากเป็นจำนวนมากคือ
ร่างของผู้คนจำนวนมาร่วงหล่นลงมา เสื้อผ้าถ้าไม่ถูกแรงระเบิดฉีกขาดก็
ถูกแรงลมกระชากจนหลุดจากตัว
อเล็กเซ หนึ่งในคนกลุ่มแรกๆ ที่เข้าถึงที่เกิดเหตุ ประเมินขนาดพื้นที่ที่เศษซากกระจัดกระจายว่า
กินเนื้อที่ราว 10-15 ตารางกิโลเมตร เครื่องเทอร์ไบน์เครื่องหนึ่งยังคงมีไฟลุก
ห่างออกไปราว 1 กิโลเมตรคือส่วนที่น่าจะเป็นห้องนักบิน ส่วนที่เป็นแพนหาง
พร้อมสัญลักษณ์ของสายการบิน ตกห่างออกไปอีกหลายกิโลเมตร
ร่างไร้วิญญาณส่วนใหญ่ยังคงติดอยู่กับเข็มขัดนิรภัย ผู้หญิงสวมสเวตเตอร์สีดำ
นอนหงายอยู่บนผืนหญ้า แขนซ้ายยกชะงักค้าง เหมือนกำลังไขว่คว้าบางอย่างในนาทีสุดท้ายของชีวิต
ห่างออกไปเล็กน้อยอีกร่างในสภาพแทบเปลือย ผมยาวสีดอกเลาของเธอแผ่ไปบนหญ้าสีเขียว
ขาข้างหนึ่งหักสะบั้น ส่วนลำตัวฉีกขาดอย่างน่าสะพรึงกลัว
298 ชีวิต มีเด็กๆ ชายหญิงรวมอยู่ด้วยหลายคน มีทารกแรกเกิดที่ไม่มีชื่อในบัญชีผู้โดยสาร 3 ราย
กลายเป็นเหยื่อฆาตกรรมกลางเวหาครั้งนี้
สงครามกลางเมืองในยูเครนระอุมาตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ในช่วง 2-3 สัปดาห์ก่อนหน้านี้
เครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์ทหารของทางการยูเครนถูกสอยร่วงไปไม่น้อยกว่า 4 ลำแล้ว
คำถามก็คือ เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่ที่ มาเลเซียแอร์ไลน์ส ยังคงใช้เส้นทางนี้อยู่ตามปกติวิสัย
คำตอบจากผู้เชี่ยวชาญหลายต่อหลายคนระบุตรงกันก็คือ เครื่องบินพาณิชย์กับเครื่องบินทหารนั้น
เพดานบิน "ปกติ" แตกต่างกันอยู่มาก เอ็มเอช 17 ตั้งระดับเพดานบินอยู่ที่ 33,000 ฟุต หรือ 10,000 เมตร
เฮลิคอปเตอร์บินสูงได้ไม่เกิน 5,000 ฟุต เครื่องบินทิ้งระเบิด ต้องปฏิบัติการในเพดานบินต่ำกว่านั้นเพื่อความแม่นยำ
เครื่องบินสอดแนม อันโตนอฟ-30 อาจบินในเพดานบินใกล้เคียงกับเอ็มเอช 17
และสายการบินพาณิชย์อื่นๆ ได้ แต่เพื่อประสิทธิภาพในการหาข่าว ก็จำต้องลดเพดานบินลงเช่นเดียวกัน
ที่ผ่านมา เครื่องบินของทางการยูเครนที่ถูกยิงตก
ไม่เคยถูกยิงขณะบินอยู่ในระดับใกล้เคียงกับเอ็มเอช 17 เลยแม้แต่ลำเดียว
ที่ผ่านมา ทางการยูเครน และ ยูโรคอนโทรล
ซึ่งควบคุมการจราจรทางอากาศในภาคพื้นยุโรป
ได้แต่ออกคำเตือนถึงสถานการณ์
แต่ในขณะเดียวกับที่ห้ามเครื่องบินทุกชนิดผ่านน่านฟ้าในระดับความสูง 32,000 ฟุต
แต่ก็ไม่ได้ห้ามเครื่องบินที่มีเพดานบินสูงกว่านั้นแต่อย่างใด
นั่นทำให้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของสายการบินเป็นหลักว่าจะยังคงเส้นทางบินปกติไว้
หรือปรับเปลี่ยนเส้นทางอ้อมยูเครนเพื่อสวัสดิภาพกันแน่
บางคนตั้งข้อสังเกตไว้ชัดเจนว่า อัฟกานิสถาน ในยามที่มีสงครามสู้รบกันทุกวันจนเป็นเรื่องปกติ
ก็มีเครื่องบินพาณิชย์บินผ่านน่านฟ้าทุกวันเช่นเดียวกัน
คำถามที่สำคัญกว่าจึงกลายเป็นว่า ใคร และ อาวุธอะไรกัน
ที่สามารถยิงเครื่องบินที่บินอยู่เหนือพื้นดินถึง 10 กิโลเมตรได้?
วิธีการยิงเครื่องบินในระดับเพดานบินสูงๆ อย่างเช่นที่เอ็มเอช 17 บินอยู่อย่างง่ายที่สุด ก็คือ
การใช้เครื่องบินยิงจรวดชนิดจากอากาศสู่อากาศเข้าใส่จากระดับเพดานบินใกล้เคียงกัน
ประเด็นที่น่าคิดอย่างหนึ่งก็คือ แม้จะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด
แต่ก็เป็นวิธีที่นักบินเครื่องบินรบสามารถ "มองเห็น" และ "ตระหนัก" ได้ดีที่สุดเช่นกัน
ว่าเป้าหมายของตนเป็นเครื่องบินพลเรือน ไม่ใช่เครื่องบินทหาร
วิธีการถัดมาที่นิยมใช้กันในหลายๆ พื้นที่สู้รบ ตั้งแต่อัฟกานิสถาน ปากีสถาน
หรือแม้แต่ในยูเครนเองเมื่อไม่นานมานี้ ก็คือการใช้อาวุธที่เรียกรวมๆ ว่า
"ระบบต่อต้านทางอากาศเคลื่อนที่แบบใช้คนยิง"
หรือเรียกสั้นๆ ว่า "แมนแพดส์" เป็นอาวุธชนิดประทับบ่า ยิงได้ทีละนัด
ที่สำคัญก็คือ ระยะทำการไม่ได้สูงถึงระดับ 10,000 เมตรอย่างแน่นอน
แมนแพดส์ ที่เชื่อว่ากบฏแบ่งแยกดินแดนยูเครนมีอยู่ในมือคือ "เอสเอ-18" หรือ "อิกลา"
ยิงได้สูงสุดเพียงไม่ถึง 11,500 ฟุตเท่านั้นเอง
ที่ผู้เชี่ยวชาญสงสัยกันมากที่สุดว่าเป็นอาวุธที่ใช้ยิงเครื่องบินพลเรือนในครั้งนี้ก็คือ
"ระบบจรวดต่อต้านอากาศยานชนิดยิงจากภาคพื้นสู่อากาศ" แบบ "เอสเอ-17" ผลิตในรัสเซีย
เรียกกันว่า "ระบบยิงจรวดบุ๊ค" มีใช้ทั้งในกองทัพรัสเซียและยูเครน
กองทัพนาโตเรียกขานมันเล่นๆ ว่า "กริซลี"
รัสเซียพัฒนา "บุ๊ค" ขึ้นมาในทศวรรษ 1970 เพื่อหวังใช้เป็นเครื่องยิงสกัดจรวดร่อน "ครูส"
และจรวดอื่นๆ นำเข้าประจำการครั้งแรกเมื่อปี 1979 ตัวจรวดความยาว 18 ฟุต (ราว 5.5 เมตร)
ติดตั้งเป็นชุด 6 ตัวไว้กับเครื่องยิงที่อยู่บนยานยนต์หุ้มเกราะแบบสายพาน
อิกอร์ ซุตยากิน ผู้เชี่ยวชาญพิเศษเกี่ยวกับกองทัพรัสเซีย
ประจำ สถาบันรอยัล ยูไนเต็ด เซอร์วิส ของอังกฤษ บอกว่า
บุ๊ค หรือ กริซลี ไม่ใช่ระบบอาวุธที่ยิงได้ง่ายๆ แค่การกดปุ่มธรรมดาๆ
ในทางตรงกันข้าม มีขั้นตอนในการยิงหลายขั้นตอน
รวมทั้งต้องมีความชำนาญในการใช้เรดาร์ที่ทำหน้าที่คลำเป้าให้อีกด้วย
นั่นหมายความว่า กองกำลังกบฏเหล่านั้นต้องได้รับความช่วยเหลือ
หรือไม่ก็การฝึกจากผู้เชี่ยวชาญชาวรัสเซีย ที่ลักลอบข้ามแดนเข้ามา
ซุตยากิน ซึ่งเกาะติดสถานการณ์ในยูเครนมาตลอด ระบุว่า
กองกำลังแบ่งแยกดินแดนเข้าควบคุมฐานที่ตั้งทางทหารแห่งหนึ่ง
ซึ่งมีระบบจรวดบุ๊คประจำการอยู่เมื่อไม่นานมานี้
และไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าเหตุการณ์ครั้งนี้
มีผู้พบเห็นกบฏยูเครนพร้อมระบบยิงจรวดบุ๊ค ที่หมู่บ้านทอเรซ
ติดกับจุดที่เครื่องบินเอ็มเอช 17 ถูกสอยร่วงจากท้องฟ้า
เขาระบุด้วยว่า ก่อนหน้าที่เครื่องบินโบอิ้ง 777 เที่ยวบินมรณะ
จะบินผ่านน่านฟ้าทางด้านตะวันออกของยูเครน
มีเครื่องบินขนส่งทางทหารของทางการยูเครนลำหนึ่ง
บินผ่านไปใกล้เคียงอย่างยิ่งกับเที่ยวบินเอ็มเอช 17
ซึ่งแสดงถึงความเป็นไปได้ที่ว่า เครื่องบินทหาร
ลำนั้นต่างหากที่เป็นเป้าหมายที่กบฏยูเครนต้องการ
เครื่องบินขนส่งทหารอันโตนอฟ 29 ลำดังกล่าว
ถูกส่งไปเพื่อให้ความช่วยเหลือทหารในค่ายที่ถูกปิดล้อม
อยู่ในพื้นที่ทางตะวันออกแต่เป็นที่มาของหายนะของผู้คนร่วมๆ 300 คนชนิดที่ไม่มีใครคาดฝัน
เอ็มเอช 17 ไม่ใช่เครื่องบินโดยสารลำแรกที่ถูกยิงตก
ก่อนหน้าเหตุการณ์ครั้งนี้มีเครื่องบินโดยสารอย่างน้อย 3 ลำ
ถูกสอยร่วงด้วยพลานุภาพของอาวุธทางทหาร
เหตุการณ์ที่โด่งดังที่สุดครั้งหนึ่ง เป็นเหตุการณ์เครื่องบินโดยสารแบบโบอิ้ง 747
ของสายการบินโคเรียน แอร์ไลน์ส เที่ยวบิน 007 เดินทางจากนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
โดยมีจุดหมายปลายทางที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 1 กันยายน 1983
พร้อมผู้โดยสาร นักบิน และพนักงานบนเครื่องรวมแล้ว 269 คน
เครื่องบินทั้งลำพร้อมคนทั้งหมดถูกยิงร่วงลงสู่ทะเลญี่ปุ่นในวันนั้น
เริ่มแรกสุด ทางการรัสเซียปฏิเสธเสียงแข็ง ก่อนยอมรับในท้ายที่สุดว่า
เครื่องบินรบซู-15 ของกองทัพอากาศรัสเซียเป็น "มือเพชฌฆาต" เหยื่อทั้งกว่าสองร้อยคนนั้น
แต่ยังไม่วายยืนกรานว่า โบอิ้ง 747 ลำดังกล่าวมี "พฤติกรรมจารกรรม"
ในวันที่ 3 กรกฎาคม 1988 เรือรบยูเอสเอส วินเซนส์ เรือพิฆาตติดจรวดนำวิถี
ยิงจรวดชนิดจากพื้นผิวสู่อากาศ 2 ลูกเข้าใส่เป้าหมายที่เข้าใจว่าเป็นเครื่องบินรบของอิหร่าน
ขณะเรือรบอเมริกันกำลังปฏิบัติภารกิจอยู่ในอ่าวเปอร์เซีย
แต่เป้าหมายที่ถูกถล่มเข้าอย่างจัง กลับกลายเป็นเครื่องบินเจ็ตของสายการบินอิหร่าน แอร์
เที่ยวบินที่ 655 พร้อมผู้โดยสารเต็มลำกับนักบินและพนักงานบนเครื่อง 290 คน
ไม่มีใครเหลือรอดชีวิตเช่นเดียวกัน
หลังสุด เมื่อปี 2001 ที่ผ่านมา เครื่องบินโดยสารอีกลำถูกยิงตก
และก่อให้เกิดความตึงเครียดขึ้นระหว่างรัสเซียกับยูเครน
เมื่อเครื่องบินพาณิชย์ของสายการบินไซบีเรียน แอร์ไลน์ส เที่ยวบินที่ 1812
ถูกยิงตกทะเลดำ เมื่อวันที่ 4 ตุลาคมปีนั้น คนบนเครื่อง 78 คนที่กำลังเดินทางจากเทลอาวีฟ
เมืองหลวงของอิสราเอลไปยังโนวโวซิเบียร์สก์ ในรัสเซีย ไม่มีผู้รอดชีวิต
ไม่กี่วันให้หลังจากวันเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ทางการรัสเซียแถลงว่า
พบชิ้นส่วนของจรวดต่อต้านอากาศยานแบบเอส-200 ในพื้นที่ที่เป็นจุดตก
และกล่าวหายูเครนว่า เจตนายิงเครื่องบินดังกล่าว
ยูเครนปฏิเสธเสียงแข็งอยู่นานเป็นสัปดาห์ ก่อนที่จะยอมรับในที่สุดว่า
เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากความผิดพลาดของการซ้อมรบทางทหารของกองทัพของตน
ไม่ว่าใคร จากฝ่ายไหน เป็นผู้ลงมือยิงจรวดต่อต้านอากาศยานที่คร่าชีวิตผู้คนเกือบ 300 คนก
ลางท้องฟ้าในครั้งนี้ เป็นที่แน่ชัดว่า ผลสะเทือนที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ครั้งนี้มีไม่น้อยอย่างแน่นอน
เป็นไปได้ว่าความตึงเครียดของคู่ขัดแย้งในระดับโลกที่ถือหางสองฝ่ายในสงครามกลางเมืองของยูเครน
อย่าง กลุ่มประเทศนาโตและรัสเซีย จะทวีขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงทันทีทุกอย่างกระจ่างชัด
หลายประเทศในยุโรป อาจมีเหตุผลเพิ่มมากขึ้นในการเข้าไปแทรกแซงอย่างหนึ่งอย่างใดในยูเครน
อย่างไรก็ตาม เจมส์ เอฟ. คอลลินส์ อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำรัสเซีย
ที่ทำหน้าที่เป็นนักวิชาการด้านสันติภาพให้กับสถาบันคาร์เนกีในเวลานี้
ชี้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ "เป็นองค์ประกอบใหม่ที่ไม่มีใครคาดฝัน"
และอาจจะส่งผลทั้งในทางบวกหรือทางลบก็ได้ทั้งนั้น
เหตุการณ์นี้ อาจทำให้คนบางคนตัดสินใจว่า จำเป็นต้องเลือกใช้วิธีการที่แตกต่างออกไป
เพื่อแก้วิกฤตยูเครน เพราะถึงตอนนี้ทุกอย่างหลุดออกไปนอกเหนือการควบคุมแล้ว
"ในทันทีทันควัน ทุกคนอาจหันมาพูดถึงเรื่องยูเครน
แล้วบอกว่า พอได้แล้ว เลิกเถอะ" คอลลินส์บอก
วิกฤตหนนี้ทำให้ผู้ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ตายมากจนเกินไปแล้ว!