ศาลตัดสินประหารชีวิต บอล-เบิ้ม อุ้มฆ่า เอกยุทธ ลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 30 ธ.ค. ที่ห้องพิจารณาคดี 709 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษา คดีฆ่านักธุรกิจชื่อดัง หมายเลขดำ อ.3307/2556 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสันติภาพ หรือบอล เพ็งด้วง อายุ 23 ปี , นายสุทธิพงศ์ หรือ เบิ้ม พิมพิสาร อายุ 28 ปี , นายชวลิต หรือเชาว์ วุ่นชุม อายุ 23 ปี , นายทิวากร หรือ ทิว เกื้อทอง อายุ 18 ปี , จ.ส.อ. อิทธิพล เพ็งด้วง อายุ 51 ปี และนาง จิตอำไพ เพ็งด้วง อายุ 48 ปี บิดา-มารดานายสันติภาพ ทั้งหมดเป็นชาว จ.พัทลุง ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น , ร่วมกันปล้นทรัพย์ฯ, ร่วมกันซ่อนเร้นอำพรางศพฯ , ร่วมกันรับของโจรฯ และข้อหาอื่นๆรวม 8 ข้อหา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199 , 289 , 309 , 310 , 340 , 357 และ 371 ประกอบมาตรา 83 และพ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน พ.ศ. 2492
โจทก์ยื่นฟ้องสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 6 - 9 มิถุนายน 2556 ต่อเนื่องกันจำเลยที่ 1-2 ได้ร่วมกันมีอาวุธปืนพกออโต้เมติก ขนาด .380 (9 ม.ม. KURZ) ทะเบียน กท.5203330 พร้อมเครื่องกระสุน และอาวุธมีด ปล้นเอาทรัพย์สินของ นายเอกยุทธ อัญชันบุตร อายุ 59 ปี อดีตนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง รวม 9 รายการ มูลค่า 6.6 ล้านบาท โดยใช้อาวุธทำร้ายและหน่วงเหนี่ยวกักขังบังคับให้นายเอกยุทธ ออกเช็คเบิกถอนเงิน และใช้เชือกรัดคอจนนายเอกยุทธ ถึงแก่ความตาย ก่อนนำศพไปไว้ในรถยนต์ตู้ ทะเบียน ฮพ 9304 และนำศพไปฝังไว้ในไร่นาสวนผสมทิ้งร้าง อ.เมือง จ.พัทลุง เพื่อปกปิดความผิด โดยมีจำเลยที่ 3 - 4 ช่วยขุดหลุมฝังศพ ส่วนจำเลยที่ 5-6 ซึ่งเป็นบิดามารดาของจำเลยที่ 1 เป็นผู้เก็บเงินสดของผู้ตาย จำนวน4,242,000 บาท ที่จำเลยที่ 1 นำไปฝากไว้ จำเลยให้การปฏิเสธ
โดยเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ควบคุมตัวนายสันติภาพ พร้อมด้วยจำเลยที่ 2-4 มาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ส่วนจำเลยที่ 5-6 ได้รับการประกันตัว โดยมีญาติๆมาร่วมฟังและให้กำลังใจจำนวนมาก ขณะที่บุตรชายนายเอกยุทธ พร้อมด้วยญาติก็เดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษาด้วยเช่นกัน
ศาลพิเคราะห์แล้วมีปัญหาวินิจฉัยประการแรกว่า จำเลยที่ 1-4 ร่วมกันฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน หน่วงเหนี่ยวกักขังปล้นทรัพย์ และปกปิดซ่อนเร้นศพเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดหรือไม่ โจทก์มีพยานแวดล้อมหลายปากเบิกความสอดคล้องกันตั้งแต่ก่อนและหลังเกิดเหตุ ซึ่งสอดคล้องกับภาพจากกล้องวงจรปิดว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถพาผู้ตายออกจากบริษัทไปกินข้าวที่ร้านครัวกระแต จากนั้นพาไปที่บ้านย่านทาวน์อินทาวน์ สนามบินสุวรรณภูมิ และแวะเติมน้ำมันที่วังมะนาว จ.เพชรบุรี แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานเห็นขั้นตอนการฆ่าของจำเลยที่ 1 และ 2 แต่มีพยานแวดล้อมเบิกความเป็นลำดับขั้นตอน อีกทั้งมีพยานเป็นพี่สาวของจำเลยที่ 1 ซึ่งเบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 1 มาหาที่ จ.นครศรีธรรมราช เพื่อหาสถานที่ฝังศพจริง แต่เมื่อหาไม่ได้จึงพากันไปที่ จ.พัทลุง โดยมีพยานโจทก์เบิกความว่าขณะกลับจากโรงพยาบาลพัทลุง เวลา 23.00 น. เห็นรถยนต์ 2 คัน คือรถเก๋งแดวูและรถโฟลค์ตู้สีดำเลี้ยวเข้าไปในเขาจิงโจ้ ซึ่งเป็นสถานที่พบศพ จึงเชื่อว่า เป็นรถที่จำเลยที่ 4 ขับนำรถของผู้ตายไปฝังอำพรางศพ และเมื่อฝังศพแล้วจำเลยที่ 1 ได้ขับรถมาส่งจำเลยที่ 2 เพื่อซื้อตั๋วรถทัวร์กลับกรุงเทพฯ ตามคำเบิกความของพนักงานขายตั๋ว โดยพยานได้ยืนยันพร้อมกับชี้ภาพจำเลยที่ 2 ได้ถูกต้องชัดเจน สอดคล้องกับคำให้การของจำเลยที่ 1 และ 2
ซึ่งในบันทึกการจับกุมจำเลยที่ 1 และ 2 ยังยอมรับว่านำตัวผู้ตายไปกักขัง โดยจำเลยมีอาวุธปืนสั้นและมีด ใช้ขู่บังคับให้ผู้ตายยอมเซ็นเช็คจ่ายเงิน 3 ฉบับ เป็นเงิน 5 ล้านบาท เมื่อได้รับเงินจากเลขาของนายเอกยุทธระหว่างเดินทางออกจากสุวรรณภูมิ นายเอกยุทธพยายามหลบหนีโดยกระโดดลงจากรถยนต์ จำเลยที่ 1 ติดตามมาทันและใช้มือรัดคอแล้วจับตัวกลับขึ้นมาในรถ ก่อนสั่งให้จำเลยที่ 2 ใช้เชือกผูกรองเท้ารัดคอนายเอกยุทธจนเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจ ตามรายงานการตรวจพิสูจน์ศพ แม้จำเลยที่ 1 อ้างว่าในบันทึกจับกุมและภาพชี้จุดเกิดเหตุไม่ถูกต้อง จึงไม่ได้ลงลายมือชื่อกำกับนั้น เชื่อว่าพนักงานสอบสวนไม่ได้บังคับจำเลยให้นำชี้ที่เกิดเหตุ แต่จำเลยสมัครใจเอง อีกทั้งมีสื่อมวลชนติดตามตลอด ดังนั้นจึงไม่มีเหตุที่จะโกรธเคืองหรือสงสัยว่าจะปรักปรำจำเลย คำเบิกความของโจทก์มีน้ำหนักรับฟังได้
ส่วนจำเลยที่ 2 ยอมรับว่า อยู่ร่วมกับจำเลยที่ 1 ตลอดเวลา แต่ถูกจำเลยที่ 1 บังคับให้ร่วมกระทำความผิด เมื่อผู้ตายได้กระโดดหนีลงจากรถ ได้ตามทันและพามาที่รถให้จำเลยที่ 2 ใช้เชือกรัดคอสอดคล้องกับการตรวจหลักฐานที่พบเชือกชนิดเดียวกันในที่เกิดเหตุ เชื่อว่าเป็นเชือกที่จำเลยที่ 2 ฆ่าผู้ตาย หากจำเลยที่ 1 ได้ฆ่าผู้ตายก่อนหน้านี้แล้ว ก็ไม่มีเหตุใดที่จำเลยที่ 2 จะรัดคอผู้ตายอีก เห็นว่าในการตรวจพิสูจน์แพทย์ระบุไม่พบรอยบาดแผลที่คอ จึงไม่เชื่อว่าถูกรัดคอ และไม่มีรอยเลือดบนใบหน้า แต่มีแพทย์นิติเวชยืนยันว่าศพผู้ตายถูกพบเวลา 4 วัน รอยรัดคออาจจางหายได้ จากการอืดบวมของศพ คำเบิกความของจำเลยที่ 2 จึงไม่น่าเชื่อถือ เพราะไม่มีพยานรองรับ เป็นเพียงคำเบิกความลอยๆ เพราะจำเลยที่ 2 มีโอกาสหลบหนีแต่ก็ไม่หลบหนีและไม่ห้ามปราบจำเลยที่ 1 ส่วนที่อ้างว่ากลัวจำเลยที่ 1 จะทำให้เดือดร้อนเป็นเพียงคำกล่าวอ้าง เพราะหากถูกจับกุมดำเนินคดีฆ่าคนตายจะยิ่งเดือดร้อนยิ่งกว่า พยานหลักฐานรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1-2 ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง ลักทรัพย์โดยประทุษร้าย ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อปกปิดความผิด
ส่วนจำเลยที่ 3-4 ไม่มีความผิดฐานร่วมกันฆ่าและร่วมกันชิงทรัพย์ เนื่องจากโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานและพยานแวดล้อมเบิกความยืนยัน แม้คำเบิกความของจำเลยที่ 1 ระบุว่าชวนจำเลยที่ 3 มาเรียกค่าไถ่นักธุรกิจ แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 เข้าร่วมกระทำความผิด อีกทั้งการบันทึกโทรศัพท์ก็ไม่พบว่าจำเลยที่ 1 และ3 ติดต่อกัน ส่วนจำเลยที่ 4 เบิกความว่าไม่รู้จักจำเลยที่ 1-2 มาก่อน และไม่พบรอยนิ้วมือในรถยนต์ของนายเอกยุทธ์ แต่จำเลยที่ 3-4 มีความผิดฐานร่วมกันซ่อนเร้นอำพรางศพ จากการร่วมกันขุดหลุมฝังศพนายเอกยุทธที่เขาจิงโจ้
สำหรับประเด็นที่จำเลยที่ 5-6 ร่วมกันรับของโจรหรือไม่นั้น เห็นว่า จำเลยที่ 5 ให้การยอมรับว่าจำเลยที่ 1 นำเงิน 5 ล้านบาทมามอบให้โดยอ้างว่าเป็นเงินที่ได้จากการเล่นพนันฟุตบอล จำเลยที่ 5 และ 6 จึงนำเงินแบ่งเป็น 2 ส่วน ไปขุดหลุมฝังดินไว้ที่บ้านญาติ แต่ไม่นำเงินไปฝากธนาคารเพราะตรงกับวันเสาร์ที่ธนาคารปิดทำการ ศาลจึงไม่เชื่อในคำให้การเพราะข้ออ้างจำเลยมีพิรุธ ปัจจุบันหลายธนาคารเปิดทำการตามห้างสรรพสินค้า เชื่อว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินที่ได้มาจากการลักทรัพย์ หากเก็บไว้กับตัวหรือบ้านจะถูกติดตามจับกุมได้ ความผิดฐานรับของโจรจึงสำเร็จตั้งแต่รับเงิน 5 ล้านจากจำเลยที่ 1
พิพากษาจำเลยที่ 1 2 ผิดฐานฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้ประหารชีวิต แต่จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณาพอเป็นประโยชน์อยู่บ้าง ลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต ส่วนจำเลยที่ 3 ผิดตามพ.ร.บ.อาวุธปืนและฐานซ่อนเร้นอำพรางศพ จำคุก 13 เดือน และให้รวมโทษที่รอการลงอาญาไว้ในคดีเดิมอีก 6 เดือน รวมเป็น 19 เดือน จำเลยที่ 4 มีความผิดฐานซ่อนเร้นอำพรางศพ จำคุก 8 เดือน ส่วนจำเลยที่ 5 - 6 ผิดฐานรับของโจร แต่รับสารภาพและช่วยติดตามนำเงินของมาคืนจำนวน 4.4 ล้านบาท พิพากษาจำคุก 1 ปี 4เดือน และให้จำเลยที่ 1-2 ร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 1.9 ล้านบาท ให้กับทายาทของผู้เสียชีวิตด้วย
ภายหลังฟังคำพิพากษา นายสันติภาพ กล่าวว่า จะปรึกษาทนายความเพื่อยื่นอุทธรณ์สู้คดีต่อไป โดยนายสันติภาพมีใบหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลา ขณะที่ลูกชายของนายเอกยุทธ กล่าวว่า พอใจกับคำตัดสิน หลังจากนี้จะหารือกับทนายความว่าจะอุทธรณ์คดีหรือไม่ และขอบคุณสื่อมวลชนที่ติดตามและให้ความสนใจกับคดีมาโดยตลอด
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRReE9Ua3hOVFkyTkE9PQ%3D