เอชเค ยูเอสพี แท็กทิคอล .45 ออโต

ตอนที่ปืนกล็อกผลิตออกมาใหม่ๆ เมื่อสิบหกปีที่แล้ว นักนิยมปืนต่างพากันปรามาสว่า ปืนพลาสติกแบบนี้จะไปได้สักกี่น้ำ แต่เมื่อเวลาผ่านไปสี่ห้าปีก็ยังไม่ได้ยินข่าวว่า โครงพลาสติกของ กล็อกพังไปแม้แต่กระบอกเดียว ก็ยังคิดกันว่าเป็นเพราะกล็อกใช้เข็มแทงชนวนวิ่งกระแทกโดยตรง ไม่ได้ใช้นกปืนซึ่งมีจุดหมุนอยู่ที่โครงปืน ถึงได้ไม่มีปัญหา


ภาพเต็มด้านซ้ายของ เอชเค ยูเอสพี แท็กทิคอล

หลังจากนั้นเพียงหกปี เราก็ต้องแปลกใจกันอีกครั้งหนึ่งเมื่อเอชเคแนะนำปืนพลาสติกรุ่น USP ตามออกมา ปืนรุ่น USP ของเอชเคใช้ระบบนกนอก ซึ่งหมายความว่า นกปืนจะต้องมีแกนเหล็กเป็นจุดหมุนฝังอยู่ในโครงปืนพลาสติก รวมทั้งต้องมีสปริงนก ซึ่งเป็นสปริงที่แข็งประมาณ 25 ปอนด์ ซึ่งแข็งกว่ารีคอยล์สปริงประมาณ 70% ค่อนข้างจะเป็นภาระให้โครงปืนพลาสติกเอาการอยู่ พูดง่ายๆก็คือใช้ระบบลั่นไกแบบเดียวกับปืนออโตลูกดกทั่วๆไปนั่นเอง ออกจะเหนือกว่าตรงที่ติดตั้งคันห้ามไกเอาไว้ที่โครงปืนในตำแหน่งเดียวกับโคลท์ 1911 ซึ่งทำให้ใช้งานได้คล่องตัวมากเพราะเมื่อเข้าห้ามไก นกปืนจะง้างค้างอยู่อย่างนั้น ไม่ลดลงไปเหมือนกับปืนที่ใช้ห้ามไกระบบวอลเธอร์อย่างเช่นสมิธฯ หรือเบเร็ตต้า

ผมเริ่มใช้ซีแซด 75 กับวอลเธอร์ พีพีเคมาพร้อมๆกัน ก็ราวยี่สิบกว่าปีมาแล้ว เวลาเอาซีแซดไปซ้อมยิงจะเข้าห้ามไกทุกครั้งที่ปืนห่างจากมือ แต่สำหรับวอลเธอร์แล้วจำได้ว่าทดลองเข้าห้ามไกเพียงครั้งเดียว คือตอนเลือกซื้อปืนเท่านั้น หลังจากนั้น ก็ไม่ได้ใช้อีกเลยเพราะไม่ชอบระบบลดนกอัตโนมัติเมื่อเข้าห้ามไก


เปรียบเทียบกับ HK มาร์ก 23 (กระบอกล่าง)

เปรียบเทียบกับซองกระสุนจะเห็นว่า เหมือนกันทุกส่วน ยกเว้นฐานซองกระสุนของ มาร์ก 23 จะปาดออกไปเล็กน้อย

จริงๆ ห้ามไกของ USP ออกแบบได้เหนือกว่าระบบห้ามไกของโคลท์หรือซีแซดเสียอีก จำได้ไหมครับว่าโคลท์กับซีแซดเราจะเข้าห้ามไกได้เฉพาะเมื่อปืนง้างนกแล้วเท่านั้น และเมื่อเข้าห้ามไกแล้วตัวคันห้ามไก ก็จะกระดกขึ้นไปล็อกสไลด์ดึงถอยหลังไม่ได้ แต่ระบบห้ามไกของ USP จะเข้าห้ามไกได้ตลอดไม่ว่าปืนจะง้างนกลดนกฮาล์ฟค็อก หรือแม้แต่ ตอนที่สไลด์ถอยมาค้างอยู่ก็ตาม เราก็ยังเข้าห้ามไกและปลดออกได้ตลอดเวลา ข้อดีอยู่ตรงที่เราเข้าห้ามไกค้างเอาไว้ได้ตลอด ปลดห้ามไกต่อเมื่อจะยิงจริงๆเท่านั้น ลองนึกภาพดูนะครับ ถือกระเป๋าปืนเดินเข้าไปในสนามยิงปืน พอหยิบปืนออกมาก็เข้าห้ามไกไว้เลย ต่อจากนั้นก็ปลดซองกระสุนออกมา บรรจุกระสุนขึ้นลำ แล้วพอจะยิงจริงๆ ถึงค่อยปลดห้ามไก สมมติว่าจะต้องหยุดยิงก่อนที่กระสุนจะหมดแม็กฯเราก็เข้าห้ามไก ปลดซองกระสุน แล้วเคลียร์รังเพลิง หรือว่าจะใช้วิธีเข้าห้ามไกแล้วดึงสไลด์จนกว่ากระสุนจะหมดก็ ยังทำได้อย่างสบายใจเพราะเข้าห้ามไกไว้แล้ว

ในช่วงกลางปี ค.ศ.1991 หน่วยงาน SOCOM ของสหรัฐฯ หรือ USSOCOM (U.S.Special Operation Command) ซึ่งดูแลหน่วยรบพิเศษ อย่างเช่น U.S. Navy SEALS, U.S.Army Ranger หรือ U.S.Airforce Special Operation Wing ได้มีความต้องการ "ปืนสั้นเชิงรุก" หรือ Offensive handgun โดยได้กำหนดสเป็กกันง่ายๆว่า ต้องลูกดก กระสุนแรงสูง แล้วต้องยิงแม่นและเงียบด้วย เรื่องกระสุนก็ไม่ต้องสงสัยอะไรหรอกครับ
ยังไงๆก็ต้องไปลงเอยที่ .45 ออโต เพราะเมื่อใช้กระสุนแรงสูงในระดับ +P หัว 200 เกรน
กับ 230 เกรน ความเร็วกระสุนก็ยังคงเป็นซับโซนิกอยู่ และเมื่อกระสุน "พิเศษ" หมดแล้วอย่างน้อยก็ยังพอจะยิงกระสุน .45 หัวบอล 230 เกรนได้ด้วย จำได้ว่าโครงการ นั้นผ่านเข้ารอบสุดท้าย เฉพาะโคลท์กับเอชเค และผลก็คือเอชเค มาร์ก 23 ชนะ

มาร์ก 23 เป็นปืนที่ผลิตโดยใช้พื้นฐานของเอชเค USP โดยขยายโครงปืนกับสไลด์ ให้ยาวขึ้นและใช้รังเพลิงหนาขึ้น 1 มม. เพื่อรองรับกระสุน .45 แรงสูง โกร่งไกใหญ่กว่า ปกติเพื่อใช้ได้กับถุงมือทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นถุงมือดำน้ำหรือถุงมือที่ใช้ในพื้นที่แถบอาร์กติกก็ตาม การที่มาร์ก 23 ออกแบบมาใช้กับงานสะเทินน้ำสะเทินบก ชิ้นส่วนโลหะภายใน จึงเป็นสเตนเลสส์ทั้งหมด ส่วนสไลด์ใช้วิธีเตรียมผิวโลหะให้เป็นรูพรุนขนาดจิ๋วแล้ว เคลือบสีพิเศษที่ป้องกันการกัดกร่อนจากน้ำทะเลและสภาพอากาศอันเลวร้าย


การถอดปืนออกมาทำความสะอาด อย่างแรกก็ปลดซองกระสุน เคลียร์รังเพลิงให้เรียบร้อย แล้วดึงสไลด์มาในตำแหน่งนี้ จากนั้น ก็ดึงคันค้างสไลด์ออกมา

หงายปืนแล้วผ่อนสไลด์ออกมาทาง
ด้านหน้า จากนั้นก็ดึงไกด์ร็อดกับ
ลำกล้องออกมาทางด้านหลังเหมือนกับ
USP รุ่นมาตรฐาน

คันห้ามไกของมาร์ก 23 ถูกแยกออกมาจากคันลดนกเพื่อใช้ห้ามไกอย่างเดียว เป็น การป้องกันการลดนกโดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งยังช่วยให้ลดนกได้เงียบมาก คือถ้าเป็น USP ธรรมดาเมื่อเรากดคันห้ามไกลงไป นกปืนจะฟาด "อย่างแรง" ลงมาอยู่ในตำแหน่ง ฮาล์ฟค็อกซึ่งส่งเสียงดังกว่าการยิงแห้งเสียอีก แต่ถ้าเป็นมาร์ก 23 นกปืนจะค่อยๆลดลง ตามจังหวะที่เราปล่อยคันลดนก ปล่อยเร็วก็ลดเร็ว ค่อยๆ ปล่อยก็ลงมาช้าๆ

นอกจากระบบศูนย์เล็งตามปกติแล้ว มาร์ก 23 ยังติดเลเซอร์ช่วยเล็งที่ผลิตโดย บริษัท Insight Tecnology Inc. ซึ่งเป็นเลเซอร์สองระบบคือสีแดงที่มองเห็นแบบเดียวกับของปืนพาณิชย์ทั่วไป กับแบบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ซึ่งต้องใช้ประกอบกับกล้องกลางคืนที่ใช้ในทางทหาร และของสำคัญที่ทำให้เศรษฐีเมืองไทยอยากได้ปืนมาร์ก 23 กันนักก็คือปืนรุ่นนี้ทำเกลียว
ที่ปากลำกล้องสำหรับติดท่อลดเสียงมาจากโรงงาน สำหรับท่อลดเสียงนั้นเอชเคไม่ได้ผลิตเอง
แต่ให้ KAC หรือบริษัท Knight's Armament Company ทำให้อีกทีหนึ่ง เป็นท่อลดเสียงที่ทำงานได้ทั้งแห้งและเปียก บริษัท Knight 's เป็นผู้ผลิตที่ถนัดใน เรื่องการผลิตของลับๆ หรืออาวุธที่ไม่เปิดเผยต่างๆ อย่างเช่นปืนสไนเปอร์แบบพิเศษ หรือ พวกเครื่องลดเสียงปืน แม้แต่ปืนลูกโม่เก็บเสียงก็ยังทำออกมาแล้ว ดังที่ อวป. ได้เคยแนะนำมาแล้ว (ฉบับที่ 316 หน้า 76-77)

หลังจากที่เอชเคผลิตปืนมาร์ก 23 ให้กับกองทัพสหรัฐฯไปได้ระยะหนึ่งก็เริ่มนำปืนมาร์ก 23 ออกขายทางพาณิชย์ในปี ค.ศ. 1996 ราคาตอนนั้นเฉพาะตัวปืนเปล่าๆ ไม่รวมท่อลดเสียงกับเลเซอร์ เฉียดสองพันเหรียญ หรือแพงกว่า USP ธรรมดาถึงสามเท่าตัว ราคาแพงขนาดนี้ แถมยังมีขนาด ใหญ่โตเทอะทะจึงทำให้ปืนมาร์ก 23 มียอดขายไม่ดีนัก อันนี้หมายถึงยอดขายในอเมริกานะครับ สำหรับในเมืองไทยแล้วเข้ามาเท่าไหร่ก็เห็นแย่งซื้อแทบจะเหยียบกันตาย

ดังนั้น ถัดมาอีกสองปี เอชเคจึงได้ผลิตปืน USP แท็กทิคอลออกมาประกบกับมาร์ก 23 โดยยังคงมีจุดเด่นของมาร์ก 23 คือใช้แหวนยางแบบโอริงรัดปากลำกล้อง ช่วยเรื่องความแม่นยำ และต่อลำกล้องออกไป ทำเกลียวขนาดเดียวกับมาร์ก 23 สำหรับท่อลดเสียง หรืออาจจะใส่พอร์ทลดแรงรีคอยล์อะไรก็ได้ตามที่ต้องการ การที่แท็กทิคอลเป็น ปืนพาณิชย์จึงได้ลดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปหลายอย่างเพื่อให้ราคาถูกลง อย่างเช่นใช้ คันห้ามไกเหมือนกับ USP มาตรฐาน กับใช้เป็นเหล็กรมดำธรรมดาไม่ต้องเป็นเหล็ก เกรดพิเศษจนรมดำไม่ค่อยจะติดเหมือนกับ มาร์ก 23 และไหนๆก็ไม่ต้องไปสมบุกสมบันแบบปืนทหารแล้ว เอชเคจึงได้แถมระบบลั่นไกของปืนแข่งขัน กับศูนย์หลังปรับได้มาให้กับแท็กทิคอล สรุปทั้งสิ้นทั้งปวงแล้วเอชเคตั้งราคาปืนรุ่นแท็กทิคอล
สูงกว่า USP แบบมาตรฐานประมาณ 35% ไม่แพงลิบลิ่วเหมือนกับมาร์ก 23

ถอดเพียงเท่านี้ก็เพียงพอสำหรับการทำความสะอาดตามปกติ การประกอบกลับก็ทำทวนกลับได้ง่ายๆ อย่าลืมว่าไกด์ร็อดต้องเอา ด้านรอยบากเฉียงหันเข้าหาลำกล้องปืน

แต่ที่ว่าแพงกว่า USP แบบมาตรฐาน 35% อันนี้เป็นราคาในอเมริกานะครับ ที่นั่นกฎหมายของเขาชัดเจน แต่สำหรับบ้านเราแล้ว ออกจะชอบกลอยู่ ที่ปืนลูกกรดยาวของซีแซดหรืออันชูตส์ที่ปากลำกล้อง มีเกลียวใส่ท่อลดเสียงแต่ก็ส่งเข้ามาขายได้ ไม่มีใครว่าอะไร แต่พอเป็นมาร์ก 23 กับแท็กทิคอล กลับมีปัญหา คนสั่งต้องดูทางลมกันนานกว่า จะสั่งเข้ามาได้แต่ละเที่ยว ราคาปืนก็เลยออกจะสูงเกินเหตุไปสักหน่อย

ในเมื่อแท็กทิคอลเป็นมาร์ก 23 ที่ขายในทางพาณิชย์ ดังนั้น เพื่อความสมบูรณ์ของการทดสอบ ผมจึงได้ลงทุนขับรถไปชลบุรี ขอยืมเอชเค มาร์ก 23 มาประกบด้วยอีกกระบอกหนึ่ง ซึ่งก็พบว่าระบบกลไกของปืนทั้งสองแบบนี้มีความแตกต่างกันพอสมควร ซึ่งก็ได้แสดงรายละเอียดโดยภาพถ่ายไว้แล้ว และในตอนที่เรานำปืนไปยิงทดสอบภาคสนาม ก็ยิ่งเห็นความแตกต่างได้ชัดเจนมากขึ้น ถ้าเป็นแท็กทิคอลก็จะยิงกระสุนได้ทุกแบบเช่นเดียวกับ
USP ธรรมดานั่นเอง แต่มาร์ก 23 จะต้องเป็นกระสุนเมเจอร์ หรือ +P ถึงจะไว้ใจได้ ขนาดยิง ลูกวินเชสเตอร์หัวบอล 230 เกรน ปลอกกระสุนก็ยังดีดออกมาหล่นแหมะอยู่ข้างๆตัวคนยิง ยิ่งพอลองใช้กระสุนบุลเล็ทฯ หัวตะกั่ว 200 เกรน ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ เพราะถึงพอจะยิงได้โดย ไม่ติดขัดก็ตาม แต่ก็เห็นๆกันว่าปลอกกระสุนค่อยๆกลิ้งออกมาจากช่องคายปลอก และยิง นัดสุดท้ายสไลด์ก็ยังไม่ค้างเพราะถอยไม่สุดเสียอีก

ในส่วนที่ปืนคู่นี้เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือชอบลูกแรงๆ โดยเฉพาะลูกเมเจอร์ของฟิอ็อกกี้ ที่ได้มาจากสนาม ร.ด. ดูเหมือนว่าจะทำกลุ่มกระสุนได้ดีเป็นพิเศษ สำหรับ ลำกล้องที่ยาวขึ้นมาอีกเกือบหนึ่งนิ้ว (5 นิ้ว กับ 5.9 นิ้ว) ก็ไม่ทำให้ความเร็วกระสุนเพิ่มขึ้นมากนัก ซึ่งน่าจะเป็นเพราะว่ากระสุน .45 ออกแบบมาสำหรับปืนลำกล้องยาว 5 นิ้วเป็นหลัก ดังนั้น เมื่อเรายิงกับลำกล้องยาวขึ้นจึงไม่ทำให้ได้ความเร็วหวือหวาขึ้นมา

ยิงทดสอบที่สนามยิงปืนราชนาวี แท็กทิคอลใช้กระสุน 3 แบบ ยิงได้เรียบร้อยดี ส่วนมาร์ก 23 ใช้ 4 แบบ ไม่มีติดขัดแม้แต่ลูกบุลเล็ทฯที่ ปลอกกระสุนค่อยๆกลิ้งออกมาจากช่องคายปลอก แต่ก็ไม่มีขัดลำ เพียงแต่นัดสุดท้ายสไลด์ไม่ค้าง

เป้าของแท็กทิคอล ซ้ายสุดเป็นกระสุนหัวบอล 230 เกรน ถัดมาฟิอ็อกกี้ เมเจอร์ 200 เกรน แล้วก็บุลเล็ทมาสเตอร์ หัวตะกั่ว 200 เกรน

สรุปก็คือท่านที่ต้องการปืนแบบเดียวกับที่ทหารในหน่วยรบพิเศษของอเมริกันกำลังใช้งานอยู่ และไม่มีปัญหากับรูปร่างใหญ่โตของตัวปืน รวมทั้งมีกำลังทรัพย์พอที่ จะซื้อปืนราคาเกินสองแสนบาทได้ก็ควรจะซื้อมาร์ก 23 แต่ถ้าต้องการปืนออโต .45 ความแม่นยำสูง ขนาดกะทัดรัดพอๆกับ USP มาตรฐาน แต่มีหน้าตาเหมือนมาร์ก 23 แล้วก็ราคาถูกกว่ากันเกินครึ่ง รวมทั้งใช้กระสุนทั่วๆไปที่หาซื้อในบ้านเราได้ ก็สมควรพิจารณาแท็กทิคอล ท่านผู้อ่านที่สนใจขอให้สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ห้างฯ ปืนเพ็ญจันทร์ อยู่ที่ถนนเจริญกรุง ตรงมุมซอยข้างศาลาเฉลิมกรุง ตรงทางเข้าด้านข้างของที่จอดรถของดิโอลด์สยาม
โทรศัพท์ 0-2222-9524, 0-2222-0430

นิตยสารอาวุธปืน ฉบับที่ 325 พฤศจิกายน 2544 มีวางจำหน่ายตามแผงหนังสือทั่วประเทศ

Copyright ©2000 www.gunsandgames.com Powered by eighteggs.com