เอสทีไอ "วีไอพี" .45 ออโต
สำหรับผู้ที่ต้องการความพอดีทั้งด้านการพกพาและยิงได้แม่นยำ

ในยุคที่ปืนรูปแบบ 1911 ขนาด .45 ออโตฯ มีแต่โคลท์ผูกขาดเจ้าเดียว เพราะเป็นเจ้าของสิทธิบัตร นักนิยมปืนออโตฯ รุ่นหนักทั้งหลายสามารถจำชื่อแบบปืนได้สบายมากครับ เพราะมีเพียงไม่กี่แบบ โคลท์ผลิตปืนออโตฯหมัดหนัก ตัวนี้ออกมาในสามความยาวลำกล้อง คือกัฟเวอร์นเมนท์ (Government) ลำกล้องยาว 5 นิ้ว คอมมานเดอร์ (Commander) ลำกล้อง 4.25 นิ้ว และสั้นสุด ออฟฟิเซอร์ (Officer) 3.50 นิ้ว (ในช่วงที่ออฟฟิเซอร์ออกขายนี้ เริ่มมีผู้ผลิต รายอื่นทำปืนตามแบบ 1911 กันบ้างแล้ว เช่น เดโทนิกส์, คูแนน เป็นต้น) มีที่เพิ่มขึ้นจากสามรุ่นหลักนี้ก็คือ โกลด์คัพ สำหรับปืนยิงเป้า ขนาดเท่ากัฟเวอร์นเมนท์ และแยกคอมมานเดอร์ได้เป็นรุ่นโครงเหล็ก "คอมแบ็ท คอมมานเดอร์"
(Combat Commander) กับรุ่นโครงอัลลอยเบาที่เดิมเรียก "คอมมานเดอร์" แต่ภายหลังเมื่อมีรุ่นโครงเหล็กเพิ่มขึ้นจึงเรียกรุ่นเบานี้ว่า "คอมมานเดอร์ ไลท์เหวท" (Commander Lightweight) เพื่อให้ชัดเจนขึ้น


ภาพซ้ายของวีไอพี

สำหรับเอสทีไอ เมื่อเริ่มทำปืน 1911 โครงโมดุลลาร์ ออกขายใหม่ๆ ใช้ชื่อนกล่าเหยื่อเป็นชื่อรุ่น มีความยาวลำกล้อง เทียบได้กับโคลท์สามระดับดังกล่าว คือ อีเกิล (Eagle-อินทรี) ฮอว์ก (Hawk-เหยี่ยว) และฟัลคอน (Falcon-เหยี่ยวนกเขา) ทั้งสามกระบอกใช้ซองกระสุนสองแถว ต่อมาเมื่อสหรัฐฯ ออกกฎหมายห้ามปืนลูกดก เอสทีไอก็เพิ่มปืนโครงเหล็กชิ้นเดียวแทน ของเดิมที่เป็นรางเหล็กด้ามไฟเบอร์ ขายความบางพกพาสะดวก จากจุดเริ่มต้นสามรุ่นแรกนั้น ปัจจุบันเอสทีไอมีปืน 1911 ให้เลือกถึง 16 แบบ โดย 7 แบบแรกใช้ซองกระสุนแถวเดี่ยวโครงชิ้นเดียว ที่เหลือเป็น ซองกระสุนสองแถวใช้โครงสองชิ้นแบบเดิมของเอสทีไอ

เป็นที่น่าสังเกตว่าความยาวลำกล้องของปืนเอสทีไอ จาก 5-6 นิ้วสำหรับรุ่นมาตรฐานและรุ่นยิงเป้า กระโดดลงไปเป็น 3.9 นิ้ว (Ranger, VIP) และ 3.4 นิ้วครับ (LS, BLS) คือจากยาวก็สั้นไปเลย ไม่มีปานกลางในระดับ 4.25 นิ้วเท่าคอมมานเดอร์ แต่ความยาวด้ามมีทำครบทั้งสามระดับครับ

ภาพขวาของวีไอพี

สำหรับเดือนกันยายนนี้ ปืนที่ "อาวุธปืน" ได้รับมาทดสอบจากห้างฯ ปืนประโยชน์ คือ รุ่นวีไอพี (VIP) ที่เอสทีไอ ภูมิใจมากว่าเป็นปืน .45 ออโตฯ จุสิบนัด น้ำหนักเบาสุดเพียง 25 ออนซ์ ด้ามสังเคราะห์เสริมไฟเบอร์ รางอะลูมินั่ม ประกอบกับชุดลำเลื่อน/ลำกล้องเหล็กปลอดสนิม ทำให้เป็นปืนที่เหมาะมากสำหรับการพกพา
นอกจากน้ำหนักเบาแล้วยังตัดความกังวลเรื่องสนิมได้มากจากวัสดุที่ใช้

การดัดแปลงปืน 1911 ให้สั้นและเบาลง เริ่มเมื่อช่างแสงกองทัพสหรัฐฯ ตัดลำเลื่อน/ลำกล้องปืน 1911 สำหรับเป็น ของขวัญนายทหารระดับนายพลคนสำคัญ โคลท์เห็นว่าน่าจะไปได้ดีจึงผลิตตามแบบ โดยลดน้ำหนักลงไปอีกด้วยโครงอะลูมินั่ม คือรุ่นคอมมานเดอร์ แต่เนื่องจากนักนิยมปืนมือหนักมักจะซื้อมายิงจริงๆ ไม่ได้พกอย่างเดียว จึงมีเสียงบ่นว่าปืนเบาเกินไปบ้าง ไม่ทนทานเหมือนปืนทหารเดิมๆบ้าง โคลท์จึงย้อนกลับไปใช้โครงเหล็กในรุ่นคอมแบ็ท คอมมานเดอร์ ส่วนรุ่นเล็กๆ ระดับออฟฟิเซอร์นั้น เริ่มด้วย "สตาร์ พีดี" และ "เดโทนิกส์" ซึ่งทุกรายใช้โครงเหล็ก


วิธีถอดล้างปืนให้ค้างลำเลื่อนตรวจรังเพลิง ปลดซองกระสุน


ขยับลำเลื่อนให้ช่องถอดคันค้างตรงตำแหน่ง ผลักคันค้างจากขวามาซ้าย

โครงอะลูมินั่มกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งเมื่อเบเร็ตต้า 92 ผ่านการทดสอบความทนทานตามมาตรฐานทหาร
และพารา-ออร์ดแนนซ์ เป็นรายแรกที่ผลิต "ช่วงล่าง" อะลูมินั่มสำหรับปืน 1911 ให้ใช้ซองกระสุนสองแถว ซึ่งโครงเบาๆ ช่วย ชดเชยกับน้ำหนักกระสุนที่เพิ่มขึ้น (นัดละ ประมาณ 21 กรัม) พอให้พกพาในซองนอกได้ไม่ถึงขั้นหอบหิ้ว

เอสทีไอ ใช้รางเหล็ก ด้ามไฟเบอร์ แทนอะลูมินั่ม ทำให้ได้โครงเบาเหมือนอะลูมินั่ม แต่ส่วนที่รับแรงเป็นเหล็กและยัง สามารถถอดเปลี่ยนส่วนด้ามได้หากชำรุด หรือเจ้าของต้องการเปลี่ยนสีให้สวยถูกใจ ใช้เป็นจุดขายเรื่อยมา ซึ่งนับว่า
ประสพความสำเร็จอย่างสูง ปืนแต่งสำหรับแข่งขันหันมาใช้โครงของเอสทีไอ (และเอสวีไอ) กันอย่างแพร่หลาย

แต่เมื่อความต้องการคือ "เบาที่สุด" เพื่อการพกพาแบบมิดชิด ไม่มีเข็มขัดแข็งและซองปืนแข่งขันช่วยรับน้ำหนัก
วิธีที่จะทำให้โครงเบายิ่งกว่าอะลูมินั่มชิ้นเดียว ก็คือ รางอะลูมินั่มด้ามสังเคราะห์นั่นเอง
คิมเบอร์ใช้วิธีหล่อโพลิเมอร์ทับรางเป็นโครงชิ้นเดียว แต่เอสทีไอใช้หลักการโมดุลลาร์ที่ตนเป็นเจ้าของสิทธิบัตรอยู่ เปลี่ยนรางเหล็กเป็น อะลูมินั่มใส่กับด้ามเดิมได้ทันที ซึ่งในอนาคตย่อมมีรางอะลูมินั่มขายให้เจ้าของปืนที่ต้องการลดน้ำหนักปืนเอสทีไอรางเหล็กเดิมได้ด้วย


เลื่อนชุดลำเลื่อนพร้อมลำกล้องออกด้านหน้า


ลำเลื่อนพร้อมลำกล้อง และสปริงลำเลื่อน

ได้ปืนมาถึงสนามราชนาวี เริ่มวัดสัดส่วนชั่งน้ำหนัก พบว่า 25 ออนซ์ ที่เอสทีไอคุยไว้ในเว็บของเขานั้น เป็น น้ำหนักปืนเปล่าจริงๆ ไม่มีซองกระสุน ถ้าใส่ซองกระสุนเข้าไปด้วยเราชั่งได้ 825 กรัม หรือ 29 ออนซ์ และเมื่อใส่กระสุน .45 เข้าไปอีกสิบนัด ก็จะเพิ่มน้ำหนักอีก 210 กรัม รวมเป็น 1,035 กรัม (36 ออนซ์) เกินหนึ่งกิโลกรัมมานิดเดียวครับ เทียบกับปืนที่ ตัวเท่าๆกัน หนักพอๆกัน วีไอพีมีความได้เปรียบตรงความจุกระสุนนะครับ ที่ว่า "เบาที่สุด" ยังเป็นความจริงถ้าใส่กระสุน เท่าๆกัน อีกจุดหนึ่งที่วัดได้ตัวเลขไม่ตรงกับของเอสทีไอ คือความยาวตลอด ในเว็บให้ไว้ 6 5/8 นิ้ว เราวัดได้ 7 5/8 ครับ ตรงนี้น่าจะเป็น typo คือพิมพ์ผิดมากกว่า

น้ำหนักไกของวีไอพี ชั่งได้ 4 ปอนด์นิดๆ แต่หลุดคมดีมาก ให้ความรู้สึกว่าเบา ตั้งแต่ทดสอบรุ่นแรกจนถึงกระบอกนี้ ปืนของ เอสทีไอทำไกจากโรงงานมาดีมาก ไม่เคยพบว่านกขยับถอยหลังขณะเซียร์จะหลุดครับ นิ่งสนิทเหมือนกันทุกกระบอก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความประณีตแม่นยำของกระบวนการผลิต ไม่มีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนในจุดของ มุมขบระหว่างเซียร์กับนก

ดันแกนสปริงออกด้านหน้าให้ถึงไหล่คอด เตรียมลวดขัดเพื่อจับสปริง

ใส่ลวดขัดแล้วถอดสปริงพร้อมแกน
โดยยกด้านที่ยันใต้ลำกล้องขึ้น

ซองกระสุนยาวตลอด 120 มม. ไม่ยื่นพ้นด้ามจนน่าเกลียดครับ ความยาวขนาดนี้ไม่เกินข้อกำหนดของปืนที่จะลงแข่ง IDPA หรือ USPSA ในคลาสลิมิเต็ด 10 เป็นข้อมูลสำหรับที่คิดเผื่อไว้ ในอนาคตบ้านเราอาจมีคนจัดแข่งรายการนี้นะครับ การบรรจุกระสุน 8 นัดแรกสบายมาก นัดที่ 9 แข็งหน่อย และนัดที่ 10 เพื่อสวัสดิภาพ ของหัวแม่มือใช้บรรจุเข้ารังเพลิงจะดีกว่าครับ ความยาวด้ามกำลังดี และด้ามเอสทีไอจัดเหลี่ยมมาเหมาะมือมาก ผมประทับใจตั้งแต่ทดสอบ "อีเกิล" กระบอกแรก ยังไม่เปลี่ยนแปลง

เอสทีไอเซาะร่องกันลื่นบนลำเลื่อนมาให้เฉพาะส่วนหลัง 5 ร่อง เป็นร่องเหลี่ยมกว้าง ซึ่งจุดนี้ความเห็นของผมคือ มันยังลื่น อยู่นะครับ มือแห้งตามปกติไม่มีปัญหา แต่ถ้าเปื้อนน้ำมันบ้างจะดึงไม่ค่อยไหว เซาะ 5 ร่องก็มีสันเหลี่ยมให้จับผิวหนังของนิ้วคน ดึงลำเลื่อน 5 สัน ถ้าเซาะร่องละเอียด 14-15 ร่อง จำนวนสันที่จะจับผิวก็จะเพิ่มขึ้นเท่าจำนวนร่องครับ


โครงปืนฝีมือผลิตเรียบร้อย


ชิ้
นส่วนเมื่อถอดทำความสะอาดธรรมดา

ยิงทดสอบ กล่องแรกเป็นกระสุนหัวบอล 230 เกรนมาตรฐานของบุลเล็ทมาสเตอร์ ผมเล็งจี้กลางเป้าระยะ 15 เมตร กินสูงขวา กลุ่มดีมาก ด้ามของเอสทีไอที่กว้างกว่าด้ามแถวเดี่ยวช่วยกระจายแรงรีคอยล์ได้ดี ยิงสบายมากครับ ปืนมีอาการ ผิดปกติอย่างเดียวคือ ลำเลื่อนค้างเมื่อยังเหลือกระสุนนัดสุดท้าย ซึ่งเป็นติดต่อกันอย่างนี้ประมาณยี่สิบนัด จากนั้นอาการหาย ไปเองปืนทำงานปกติ พิจารณาดูแล้วเป็นเพราะลิ้นป้อนกระสุนกระดกขึ้นด้านหน้ามากไปหน่อย จุดนี้ถ้ายังไม่หายก็แก้ไม่ยากครับ เพียงลบมุมของลิ้นป้อนกระสุนลงเล็กน้อย (หลังทดสอบแล้วเข้าเว็บอ่านรายงานของ Handgun ทางนั้นพบว่าค้างตั้งแต่ยังเหลือ 2-3 นัดครับ ทางโรงงานบอกว่าเป็นที่ซองกระสุน)

เมื่อรู้ทางกันแล้วเปลี่ยนมาเล็งนั่งแท่น ผู้ทดสอบแต่ละท่านทำกลุ่มได้เป็นที่น่าพอใจ กระสุนยิงเป้าหัวตะกั่ว 200 เกรน ทำงาน เรียบร้อยดี และกลุ่มแน่นกว่าหัวบอลสังเกตได้ชัด ความแม่นยำอยู่ในระดับดีมาก ใช้แข่งระบบต่อสู้ หรือยิงเร็ว
ระยะ 15 หลาได้สบาย ถ้า 25 เมตรจะเสียเปรียบพวกลำกล้อง 5-6 นิ้วที่ระยะศูนย์ครับ

การถอดทำความสะอาดเหมือนปืน 1911 แบบลำกล้องหนาไม่มีบูชครอบลำกล้องนะครับ มีความพิเศษที่สปริงลำเลื่อนสองชั้น จะถอดสปริงต้องใช้ลวดขัดที่แกนสปริงให้ช่วยจับสปริงลำเลื่อนไว้ แล้วจึงถอดออกด้านหลัง


เป้าแรกทางขวา เล็งจี้ ปืนกินสูงขวา เป้าอาจารย์เทียนชัยเล็งนั่งแท่น


กระสุนหัวตัดทำกลุ่มได้ดีกว่า ขวาสุดของ ผอ.สุวิทย์
ยิงหมดแม็กฯ สิบนัด

สรุป สำหรับเอสทีไอ "วีไอพี" กระบอกนี้ เป็นปืนพกพาที่คล่องตัวมากด้วย ลำกล้องสั้น แต่หมัดหนักและลูกดกกว่า 1911 มาตรฐานที่ให้ความแม่นยำสูง ดูแลง่าย ไม่กลัวสนิมครับ ฝีมือผลิตเรียบร้อย ประณีต ไม่มีที่ติ ห้างฯ ปืนประโยชน์เป็นผู้นำเข้า ซื้อจากร้านนี้มีบริการให้คำปรึกษาและเปลี่ยนชิ้นส่วนฟรีตลอดชีพครับ คิดแต่ค่าชิ้นส่วน ราคาปืนหนึ่งแสนสามหมื่นกว่า ยังไม่ได้ต่อรองครับ ห้างฯ ปืนประโยชน์เป็นร้านแรกซ้ายมือเมื่อมาจากเสาชิงช้า

นิตยสารอาวุธปืน ฉบับที่ 323 กันยายน 2544 มีวางจำหน่ายตามแผงหนังสือทั่วประเทศ

Copyright ©2000 www.gunsandgames.com Powered by eighteggs.com